(กด X บนมุมขวากลับที่เดิม)
                                     
การสร้างบารมีของพระอริยะ(พระสาวก)

       การสร้างบารมีขงอพระอริยะ นั้นมีหลายแบบ ระยะเวลาในการสร้างบารมีก็ไม่เท่าเทียมกัน และการสร้างบารมีของพระอริยะ ก็คือการสร้างสมทศบารมี(บารมี 10 ทัศ)เหมือนกัน แต่ไม่ได้มากมายเท่ากับพระพุทธเจ้า เมื่อจัดลำดับการสร้างบารมีของพระสาวกก็สามารถจัดได้ดังนี้
                      1.
พระอริยะปกติสาวก
                      2.
พระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา
                      3.
พระอรหันต์ผู้ทรงปฏิสัมภิทาญาณ
                      4.
พระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญาและปฏิสัมภิทาญาณ
                      5.
พระอรหันต์ผู้เป็นมหาสาวก
                      6.
พระอริยะผู้เป็นพระอเสติ หรือเป็นเอกคทัคคะ
                      7.
พระอรหันต์ผู้เป็นพระอเสติ
                      8.
พระอรหันต์ผู้เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายและขวา
                      9.คำปทานของพระเถราที่สำคัญ
                    10.คำปทานของพระเถรีที่สำคัญ
ตอนที่ 1
                    11.คำปทานของพระเถรีที่สำคัญ
ตอนที่ 2

           1.พระอริยะปกติสาวก  นั้นระยะเวลาการสร้างบารมีไม่แน่นอน เช่นบางท่านตั้งความปรารถนาถึงซึ่งพระนิพพาน แต่ไม่ได้บำเพ็ญบารมีอย่างดี ก็ย่อมวนเวียนในวัฏสังขารเป็นเวลายาวนานหลังจากตั้งความปรารถนาไว้ จนจำไม่ได้ แต่บางท่านเมื่อตั้งความปรารถนาถึงซึ่งพระนิพพานแล้วได้บำเพ็ญบารมีอย่างดี ก็ย่อมวนเวียนในวัฏสังขารเป็นเวลาไม่นาน หลังจากที่ตั้งความปรารถนาไว้ บางท่านก็บรรลุเป็นพระอริยะเลยในชีวิตนั้น บางท่านก็บรรลุในชาติถัดๆ ไป บางท่านก็บรรลุในสมัยของพระพุทธเจ้าองค์ถัดๆ ไป ในเวลาอันไม่ไกลกันนัก
     
ต่อไปขอยกคำตรัสของพระพุทธองค์ ที่ชี้ให้เห็นว่าผู้ที่ตั้งความปรารถนานิพพานในปัจจุบัน และสามารถบรรลุนิพพานในปัจจุบันชาติดังนี้

      [๓๐๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้
 
อย่างนี้ ตลอด ๗ ปี เขาพึงหวังผล๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
 
พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑ ๗ ปี
 
ยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่งพึงเจริญสติปัฏฐาน๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๖ ปี ... ๕ ปี ... ๔ ปี ... ๓ ปี ...
 
๒ ปี ... ๑ ปี เขาพึงหวังผล๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลใน
 
ปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่เป็นพระอนาคามี ๑ ๑ ปียกไว้ ผู้ใดผู้
 
หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๗ เดือน เขาพึงหวังผล ๒ ประการ
 
อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่
 
เป็นพระอนาคามี ๑ ๗ เดือนยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่งเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนี้
 
ตลอด ๖ เดือน ... ๕ เดือน ... ๔ เดือน ... ๓ เดือน ... ๒ เดือน ... ๑ เดือน ... กึ่ง
 
เดือน เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่งคือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน
 
๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่เป็นพระอนาคามี ๑ กึ่งเดือนยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่ง
 
พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๗ วัน เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใด
 
อย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็น
 
พระอนาคามี ๑ ฯ
     
ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่า
 
สัตว์ เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์โทมนัส เพื่อ
 
บรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานหนทางนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔
 
ประการ ฉะนี้แล คำที่เรากล่าว ดังพรรณนามาฉะนี้ เราอาศัยเอกายนมรรคกล่าว
 
แล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้น ยินดี ชื่นชมภาษิต
 
ของพระผู้มีพระภาคแล้ว ฉะนี้แลฯ

          ตัวอย่าง พระเจ้าพิมพิสาร ที่ท่านได้เป็นพระโสดาบัน ตามพระอรรถกถากล่าวไว้ว่า ท่านได้สร้างบารมีตั้งแต่เริ่ม 90 กัปมาแล้ว

           ดังนั้นจำนวนของพระอริยะปกติสาวก จึงมีมากมายมหาศาลเป็นอย่างยิ่ง ในแต่ละพุทธสมัยก็จะมีจำนวนพระอริยะปกติถึงจำนวน อสงไขยๆ สัตว์ที่บรรลุนิพพาน และในยามที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน(สิ้นพระชนชีพ) ก็มีเห่ลาพระอริยะปกติสาวกนี้เหละ เป็นผู้สืบทอดต่ออายุของพระพุทธศาสนา ดำเนินต่อไปเป็นเวลายาวนานตามยุคตามสมัย

            2.พระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา    ผู้ที่ปรารถนาเป็นพระอรหันต์ผู้มีอภิญญาก็ต้องสร้างสมบารมีมากกว่าปกติ คือต้องสร้างบารมี 10 ทัศ แล้วต้องสร้างสมสมถะจนเชี่ยวชาญ จนได้อภิญญา ซึ่งต้องสร้างสมกันเป็นเวลาหลายๆ ชาติ จนข้ามกัป หรือใช้เวลาหลายๆ กัป จากที่ทราบมา ผู้ปรารถนาเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญาเพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลาย ต้องสร้างสมบารมีเป็นเวลาถึง หนึ่งหมื่นกัป (10,000 กัป) โดยประมาณ

           3.พระอรหันต์ผู้ทรงปฏิสัมภิทาญาณ ผู้ที่ปรารถนาเป็นพระอรหันต์ผู้มีปฏิสัมภิทาญาณ ก็ต้องสร้างสมบารมีมากกว่าปกติ คือต้องสร้างบารมี 10 ทัศแล้ว ยังต้องสร้างสมปฏิสัมภิทาญาณต่างๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งจะต้องสร้างสมกันเป็นเวลาหลายๆ ชาติจนข้ามกัป หรือใช้เวลาหลายกัป จากที่ทราบมา ผู้ที่ปรารถนาเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงปฏิสัมภิทาญานเพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลาย ต้องสร้างสมบารมีเป็นเวลาถึง หนึ่งหมื่นกัป(10,000 กัป) โดยประมาณ

       4.พระอรหันต์ทรงอภิญญาและปฏิสัมภิทาญาณ จากที่ทราบมา พระอรหันต์ทรงอภิญญาและปฏิสัมภิทาญาณ ที่ไม่ได้เป็นมหาสาวกหรือเป็นพระอรหันต์ในสมัยที่ พระพุทธเจ้าทรงปรินิพพานไปแล้ว ต้องสร้างบารมีถึง หนึ่งหมื่นกัป หรือมากกว่านั้น โดยประมาณ และส่วนมากจะเป็นพระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจัาในขณะที่พระองค์มีพระชนชีพอยู่

            5.พระอรหันต์ผู้เป็นมหาสาวก   พระอรหันต์ผู้เป็นมหาสาวกส่วนมากจะทรงอภิญญาและปฏิสัมภิทาญาณพร้อม และเป็นพระอรหันต์ในขณะที่พระพุทธองค์มีพระชนชีพอยู่ จากที่ทราบมาต้องสร้างบารมีถึง หนึ่งแสนกัป โดยประมาณ ดังเช่นพระอภัยอรหันต์ ผู้เป็นพระโอรสองค์หนึ่งของพระเจ้าพิมพิสาร ก็ยังมีมหาสาวกบางท่านสร้างบารมีมายาวนานมากกว่า อสงไขย ก็มี (มีข้อมูลอ่านข้างล่าง)

             6.พระอริยะผู้เป็นพระอเสติ หรือเป็นเอกคทัคคะ ได้แก่ฆารวาสอริยะที่ยังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์ แต่ได้รับการแต่งตั้งจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเอกหรือเอคทัคคะด้านใดด้านหนึ่ง ดังเช่น นางวิสาขา จิตตะเศรษฐี ซึ่งต้องสร้างสมสมบารมีอย่างน้อยที่สุด หนึ่งแสนกัป (100,000 กัป) หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอดีต แต่ก่อนที่จะได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกนั้นอาจจะสร้างบารมีมายาวนานแล้ว จึงจะได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกได้

               7.พระอรหันต์ผู้เป็นพระอเสติ หรือเป็นเอกคทัคคะ ได้แก่พระอริยะภิกษุหรือพระอรหันต์ภิกษุและพระอรหันต์ภิกษุณี ที่ได้รับแต่งตั้งจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเอกหรือเอคทัคคะด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งต้องสร้างสมบารมีถึง หนึ่งแสนกัป (100,000 กัป) หรือมากกว่านั้น จนถึงอสงไขยกัป หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอดีด แต่ก่อนที่จะได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกนั้นอาจจะสร้างบารมีมายาวนานแล้ว จึงจะได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกได้เช่น พระอานนท์ พระพักกุลละเถระ พระอุบลวรรณาเถรี พระโคตมีเถรี พระอนุรุท ฯลฯ   
                   
ตัวอย่าง พระเถระและพระเถรีที่สร้างบามีเกิน 1
อสงไขยสมัยของพระสมณะโคตมพุทธเจ้าที่ค้นหาได้ซึ่งมีในพระไตรปิฏกฉบับภาษาไทย ได้นำมาสรุปให้ดู
เมื่อ 4 อสงไขย แสนกัป
 
พระทีปังกรพุทธเจ้า
      1
พระนางยโสธราเถรี  เป็นพระเทวีของพระสิทธัตตะ
      2.
พระเถรีหมื่นแปดพัน เคยเป็นสาวิกาของพระโพธิสัตว์
      3.
พระเถรีหมื่นรูป เป็นพระญาติพระโพธิสัตว์
เมื่อ 3 อสงไขย แสนกัป
 
พระโกณฑัญญะพุทธเจ้า
      1.
พระนิสเสณีทายกเถระ สร้างบันใด
      2.
พระอัพภัญชนทายกเถระ ถวายยาหยอดตา
      3.
พระสังกมนทาเถรี ทอดตนเป็นทางเดิน
เมื่อ 2 อสงไขย แสนกัป
 
พระสุมังคละพุทธเจ้า
      1.
พระติกัณฑิปุญทิยเถระ บูชาด้วยดอกคล้าว
 
พระสุมนะพุทธเจ้า
      2.
พระสัตปัญณิยเถระ  บูชาด้วยต้นตีนเป็ด
      3.
พระวัลลิการผลทายกเถระ ถวายแตง
 
พระเรวตะพุทธเจ้า
      4.
พระเอกัญชลิยเถระ ไหว้
 
พระโสภิตะพุทธเจ้า
      5.
พระปทุมบูชาเถระ
      6.
พระพันธุชิวกเถระ ถวายดอกชบา
      7.
พระศิระปุนนาคิยเถระ ตวาดดอกบุญนาค
เมื่อ 1 อสงไขย แสนกัป
 
พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า
      *.
พระสารีบุตร เป็นฤาษีมีศิษย์ 25,000 ท่าน ถวายดอกไม้ เป็นอัครสาวกเบื้องขวา
      *.
พระโมคคลา เป็นพระยานาค ถวายภัตตาหารและปัจจัย เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย
      1.
พระพักกุลเถระ ถวายยา เป็นเอตทัคคะไม่มีโรคภัย
      2.
พระเบญจสิลสมาทานนิยเถระ
      3.
พระโสณโกฏิยเวสสเถระ ทำที่จงกรม เป็นเอตทัคคะ
      4.
พระอัมพทายเถระ เป็นวานรถวายมะม่วง
      5.
พระอนุโลมทายกเถระ
      6..
พระมักตทัตติเถระ
      7.
พระปานธทายกเถระ  ถวายรองเท้า
 
พระปทุมะพุทธเจ้า
      8.
พระสุปาริจริยเถระ เป็นเทวดา บูชา
      9.
พระอโสกปูชาเถระ ถวายดอกบัว
      10.
พระอังโกลปุปผิยเถระ
 
พระนารถะพุทธเจ้า
      11.
พระนฬกุฏิกทายกเถระ สร้างกุฏิไม้อ้อ
   
จะเห็นว่าพระอเสติ ที่สร้างบารมีอันยาวนานก็มีหลายท่าน ดังเช่นพระพักกุลเถระที่เป็นเอกคทัคคะไม่มีโรคภัย และพระโสณโกฏิยเวสสเถระ ก็ได้รับพุทธพยากรณ์ในสมัยเดียวกับพระสารีบุตรหรือพระโมคคัลลนะ พระอัครสาวกเบื้องขวาหรือซ้าย ดังนั้นวิเคราะห์ได้ว่าพระอเสติทั้งหลาย ไม่ใช่เพิ่งเริ่มสร้างบารมีเมื่อได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรก แต่ต้องสร้างบารมีมาก่อนหน้านั้นเพื่อให้ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งเสียก่อน

                8.พระอรหันต์ผู้เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายหรือขวา นั้นจะต้องสร้างบารมีเป็นเวลายาวนาน เป็นเวลาถึง หนึ่งอสงไขยกับเศษแสนมหากัป หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอดีด แต่ก่อนที่จะได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกนั้นอาจสร้างบารมีเพื่อให้ได้รับพุทธพยากรณ์มาเป็นเวลานานแล้ว   ดังเช่น พระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ
      
จากตัวอย่างของพระสารีบุตร ที่ท่านได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกในสมัยของพระอโนทัศสีพุทธเจ้านั้น อดีดชาติของพระสารีบุตรสมัยนั้น เป็นฤาษีผู้ทรงอภิญญา 5 และมีศิษย์ ถึง 25000 ตน ซึ่งหมายความว่าก่อนที่จะได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกนั้นท่านได้สร้างสมบารมีมายาวนานก่อนหน้านั้นแล้ว ไม่ใช่ว่า จะมาเริ่มต้นสร้างบารมีหลังจากได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรก

           สรุป การสร้างบารมีเพื่อเป็นพระอรหันต์ที่ทรงอภิญญาหรือ/และปฏิสัมภิทาญาณ ย่อมใช้เวลายาวนานกันทั้งนั้น และเป็นสร้างบารมีอย่างเอาจริงเอาจัง เมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์ ย่อมดำรงณ์คุณประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายมากมายเป็นอย่างยิ่ง เหมือนพลุที่สองสว่างจำรัสจ้าด้วยแสงที่สวยสดงดงาม ให้สัตว์ทั้งหลายต่างเพียรเพื่อบรรลุนิพพาน สืบทอดต่อไปจนจวบสิ้นอายุพุทธศาสนา