พระมหาปชาบดีโคตมีเถริยาปทาน พระเขมาเถริยาปทาน
พระอุบลวรรณาเถรียาปทาน พระปฏาจาราเถริยาปทาน

 

                   มหาปชาบดีโคตมีเถริยาปทานที่ ๗
              
ว่าด้วยบุพจริยาของพระมหาปชาบดีโคตมีเถรี
      [
๑๕๗] ในกาลครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคผู้เป็นประทีปแก้วส่องโลกให้สว่าง
           
ไสว เป็นนายสารถีฝึกนรชน ประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลาป่ามหา
           
วันใกล้พระนครเวสาลี ครั้งนั้น พระมหาโคตมีภิกษุณีพระมาตุจฉา
           
ของพระพิชิตมาร อยู่ในสำนักนางภิกษุณีในพระนครอันรื่นรมย์นั้น
           
พร้อมด้วยพระภิกษุณี ๕๐๐ องค์ ซึ่งล้วนแต่พ้นจากกิเลสแล้ว เมื่อ
           
พระมหาปชาบดีโคตมีนั้นอยู่ในที่สงัด ตรึกนึกคิดอย่างนี้ว่า การ
           
ปรินิพพานของพระพุทธเจ้าก็ดี ของคู่พระอัครสาวกก็ดี ของพระ-
           
ราหุลพระอานนท์และพระนันทะก็ดี เราไม่ได้เห็น เราอันพระโลก-
           
นาถผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ทรงอนุญาตแล้ว พึงปลงอายุสังขารแล้ว
           
นิพพานก่อนเถิด พระภิกษุณีทั้ง ๕๐๐ องค์ ก็ได้ตรึกอย่างนั้น
           
เหมือนกัน แม้พระเขมาภิกษุณีเป็นต้น ก็ได้ตรึกเช่นนี้เหมือนกัน
           
ครั้งนั้น เกิดแผ่นดินไหว กลองทิพย์ดังขึ้นเองทวยเทพที่สิงอยู่ใน
           
สำนักของนางภิกษุณี ถูกความโศกบีบคั้น บ่นเพ้ออยู่อย่างน่าสงสาร
           
หลั่งน้ำตาแล้วในที่นั้น พระภิกษุณีทุกๆ องค์พร้อมด้วยทวยเทพเหล่า
           
นั้น เข้าไปหาพระมหาโคตมีภิกษุณี ซบศีรษะแทบเท้าแล้วกล่าวว่า
           
ข้าแต่พระแม่เจ้า เพราะเรามีปกติอยู่ด้วยการเทียบเคียงในธรรม
           
เหล่านั้น เราได้อยู่ในที่สงัด พื้นภูมิภาคหวั่นไหวจลาจลกลองทิพย์
           
ดังขึ้นเอง และเราได้ยินเสียงคร่ำครวญ ข้าแต่พระโคตมี จะต้อง
           
มีเหตุอะไรเกิดขึ้นแน่ ครั้งนั้น พระมหาโคตมีภิกษุณีท่านได้บอก
           
ถึงเหตุตามที่ตนได้ตรึกแล้วทุกประการ ลำดับนั้นพระภิกษุณีทุกๆ
           
องค์ ก็ได้บอกถึงเหตุที่ตนตรึกแล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ถ้า
           
พระแม่เจ้าชอบใจจะปรินิพพานอันเกษมอย่างยิ่งไซร้ ถึงดิฉันทั้ง
           
หลายก็จักนิพพานทั้งหมด ในกาลก่อนที่พระพุทธเจ้าจะทรงพระ-
           
อนุญาต ดิฉันทั้งหลายได้ออกจากเรือนพร้อมด้วยพระแม่เจ้า เมื่อ
           
ดิฉันทั้งหลายออกจากภพนี้ไปสู่บุรีคือนิพพานอันอุดม ดิฉันทั้งหลาย
           
ก็จักไปพร้อมกับพระแม่เจ้าเหมือนกัน พระมหาปชาบดีโคตมีได้
           
กล่าวว่า เมื่อท่านทั้งหลายจะไปนิพพาน ดิฉันจักว่าอะไรได้เล่า แล้ว
           
ได้ออกจากสำนักนางภิกษุณีไปพร้อมกับพระภิกษุณีทั้งหมดในครั้ง
           
นั้น พระปชาบดีโคตมีภิกษุณีได้กล่าวกะทวยเทพทั้งหลายว่า ขอทวย
           
เทพทั้งหลายที่สิงอยู่ ณ สำนักนางภิกษุณี จงอดโทษแก่ดิฉันเถิด
           
การเห็นสำนักนางภิกษุณีของดิฉันนี้ เป็นการเห็นครั้งสุดท้ายในที่ใด
           
ไม่มีความแก่หรือความตาย ไม่มีการสมาคมด้วยสัตว์และสังขารอัน
           
ไม่เป็นที่รัก ไม่มีการพลัดพรากจากสัตว์และสังขารอันเป็นที่รัก
           
ที่นั้นนักปราชญ์กล่าวว่าเป็นอสังขตสถาน พระโอรสของพระสุคตเจ้า
           
ทั้งหลายที่ยังไม่ปราศจากราคะ ได้สดับคำของพระนางนั้น เป็นผู้โศก
           
กำสรดปริเทวนาการว่า น่าสังเวชหนอ พวกเราเป็นคนมีบุญน้อย
           
สำนักพระภิกษุณีนี้จะว่างเปล่า เพราะเว้นพระภิกษุณีเหล่านั้น
           
พระภิกษุณีผู้ชิโนรสจะไม่ปรากฏ เปรียบเหมือนดวงดาวทั้งหลาย
           
ไม่ปรากฏในเวลาที่สว่างฉะนั้น พระนางโคตมีภิกษุณีจะไปสู่นิพพาน
           
พร้อมกับพระภิกษุณีอีก ๕๐๐ องค์ เหมือนกับแม่น้ำคงคาไหลไปสู่
           
สาครพร้อมกับแม่น้ำ ๕๐๐ สาย ฉะนั้น อุบาสิกาทั้งหลายผู้มีศรัทธา
           
เห็น พระโคตมีภิกษุณีนั้นกำลังเดินไปตามถนน ได้พากันออกจาก
           
เรือนไปหมอบลงแทบเท้าแล้วกล่าวว่า ดิฉันทั้งหลายเลื่อมใสใน
           
พระแม่เจ้า พระแม่เจ้าจะละทิ้งดิฉันทั้งหลายไว้ให้เป็นคนอนาถาเสีย
           
แล้ว พระแม่เจ้ายังไม่ควรที่จะปรินิพพานก่อน ควรที่จะสงสาร
           
ด้วยอุบาสิกาเหล่านั้นพากันปริเวทนาการ เพื่อจะให้อุบาสิกาเหล่านั้น
           
ละเสียซึ่งความโศก พระนางจึงได้กล่าวอย่างเพราะพริ้งว่า อย่าร้อง
           
ไห้ไปเลยลูกทั้งหลาย วันนี้เป็นเวลารื่นเริงของท่านทั้งหลาย ความ
           
ทุกข์ดิฉันกำหนดรู้แล้ว ตัณหาอันเป็นเหตุแห่งความทุกข์ดิฉันเว้น
           
ขาดแล้ว ความดับทุกข์ดิฉันได้ทำให้แจ้งแล้ว อนึ่ง แม้ถึงมรรคดิฉัน
           
ก็ได้อบรมดีแล้ว.
                        
จบภาณวารที่ ๑.
           
พระศาสดาดิฉันได้บำรุงแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า ดิฉันได้ทำ
           
เสร็จแล้ว ภาระอันหนักดิฉันได้ปลงลงแล้ว ตัณหาอันนำไปสู่ภพ
           
ดิฉันได้ถอนเสียแล้ว ดิฉันออกบวชเป็นบรรพชิตเพื่อประโยชน์ใด
           
ประโยชน์นั้นดิฉันบรรลุแล้วโดยลำดับ สังโยชน์ทุกอย่างหมดไปแล้ว
           
พระพุทธเจ้าและสัทธรรมของพระองค์ มิได้ย่อหย่อน ยังดำรงอยู่
           
ตราบใด ตราบนั้นเป็นกาลที่ดิฉันจะนิพพาน ลูกทั้งหลายอย่าได้
           
เศร้าโศกถึงดิฉันไปเลย พระโกณฑัญญะพระอานนท์และพระนันทะ
           
เป็นต้น กับทั้งพระราหุลพุทธชิโนรสยังมีชนมชีพอยู่ ขอพระสงฆ์
           
จงเป็นผู้มีความสุขสำราญ ขอให้เดียรถีย์จงเป็นผู้มีความโง่เขลาอัน
           
กำจัดเสียได้เถิด ยศ คือ การย่ำยีมารอันวงศ์แห่งพระเจ้าโอกกาก-
           
ราชยกขึ้นแล้ว ลูกทั้งหลาย บัดนี้ ถึงเวลาที่ดิฉันจะนิพพานมิใช่หรือ
           
ความปรารถนาที่ดิฉันได้ตั้งไว้ตั้งแต่ต้นมานานนักหนา จะสำเร็จแก่
           
ดิฉันในวันนี้ เวลานี้เป็นเวลาที่จะบันลือกลองนันทเภรี ลูกทั้งหลาย
           
น้ำตาจะมีประโยชน์อะไรแก่ท่านทั้งหลายเล่า ถ้าท่านทั้งหลายจะมี
           
ความเอ็นดูหรือมีความกตัญญูในดิฉัน ขอให้ท่านทุกคนจงทำความ
           
เพียรมั่น เพื่อความดำรงอยู่แห่งพระสัทธรรมเถิด พระสัมพุทธเจ้า
           
อันดิฉันทูลอ้อนวอน จึงได้ประทานบรรพชาแก่สตรีทั้งหลาย เพราะ
           
ฉะนั้น ดิฉันยินดี ฉันใด ท่านทั้งหลายก็จงเจริญรอยตามซึ่งความ
           
ยินดีนั้นฉันนั้นเถิด ครั้นพระนางพร่ำสอนอุบาสิกาเหล่านั้นอย่างนี้
           
แล้ว ห้อมล้อมด้วยภิกษุณีทั้งหลาย เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ถวาย
           
บังคมแล้วได้กราบทูลดังนี้ว่า ข้าแต่พระสุคตเจ้า หม่อมฉันเป็น
           
มารดาของพระองค์ ข้าแต่พระธีรเจ้า พระองค์เป็นพระบิดาของ
           
หม่อมฉัน ข้าแต่พระโลกนาถ พระองค์เป็นผู้ประทานความสุข
           
อันเกิดจากพระสัทธรรมให้หม่อมฉัน ข้าแต่พระโคดม หม่อมฉัน
           
เป็นผู้อันพระองค์ให้เกิด ข้าแต่พระสุคตเจ้า รูปกายของพระองค์นี้
           
อันหม่อมฉันทำให้เจริญเติบโต ธรรมกายอันน่าเพลิดเพลินของ
           
หม่อมฉัน อันพระองค์ทำให้เจริญเติบโตแล้ว หม่อมฉันให้พระองค์
           
ดูดดื่มน้ำนมอันระงับเสียได้ ซึ่งความอยากชั่วครู่ แม้น้ำนม คือ
           
พระสัทธรรมอันสงบระงับล่วงส่วน พระองค์ก็ให้หม่อมฉันดูดดื่ม
           
แล้ว ข้าแต่พระมหามุนี ในการผูกมัดและรักษา พระองค์ชื่อว่ามิได้
           
เป็นหนี้หม่อมฉัน หม่อมฉันได้ฟังมาว่าสตรีทั้งหลายผู้ปรารถนา
           
บุตรบวงสรวงอยู่ ก็ย่อมจะได้บุตรเช่นนั้น สตรีที่เป็นพระมารดา
           
ของพระนราธิบดีมีพระเจ้ามันธาตุเป็นต้น ชื่อว่าเป็นมารดาผู้ยังบุตร
           
ให้จมอยู่ในห้วงมหรรณพคือภพ ข้าแต่พระโอรส หม่อมฉันผู้จมดิ่ง
           
อยู่ในห้วงมหรรณพคือภพอันพระองค์ให้ข้ามไปจากสาครคือภพแล้ว
           
พระนามว่า พระมเหสีพันปีหลวง สตรีทั้งหลายได้ง่าย พระนามว่า
           
พระพุทธมารดา นี้ สตรีทั้งหลายได้ยากอย่างยิ่ง ข้าแต่พระมหาวีร-
           
เจ้า ก็พระนามว่าพระพุทธมารดานั้น หม่อมฉันได้แล้ว ความ
           
ปรารถนาน้อยใหญ่ของหม่อมฉันทั้งปวงนั้น หม่อมฉันได้บำเพ็ญ
           
แล้วกับพระองค์ หม่อมฉันปรารถนาเพื่อจะทิ้งร่างนี้นิพพาน ข้าแต่
           
พระวีรเจ้าผู้ทำที่สุดทุกข์ เป็นผู้นำ ขอพระองค์จงทรงอนุญาตให้หม่อม
           
ฉันเถิด ขอได้ทรงโปรดเหยียดออก ซึ่งพระยุคลบาทอันเกลื่อนกล่น
           
ไปด้วยลายจักรและธง อันละเอียดอ่อนเหมือนกับดอกบัวเถิด
           
หม่อมฉันจะถวายบังคมพระยุคลบาทนั้น จะขอทำความรักในบุตร
           
ข้าแต่พระองค์ผู้นายก หม่อมฉันกระทำสรีระซึ่งเปรียบด้วยกองทอง
           
ให้ปรากฏเป็นข้าวสุก ได้เห็นพระสรีระของพระองค์แล้ว จึงจะขอ
           
ไปนิพพาน พระพิชิตมารได้ทรงแสดงพระกายอันประกอบด้วยมหา-
           
ปุริสลักษณ์ ๓๒ ประการ ประดับด้วยพระรัศมีอันงาม อันเป็น
           
เหมือนดวงตาของคนพาลเพราะมีค่ามาก กะพระมาตุจฉา ลำดับนั้น
           
พระนางมหาปชาบดีโคตมีเถรี ได้ซบพระเศียรลงแทบพื้นพระบาท
           
อันเป็นลายจักรคล้ายกับดอกบัวบานมีพระรัศมีปานดังพระอาทิตย์
           
แรกทอแสง แล้วพระนางได้กราบทูลว่า หม่อมฉันขอน้อมมัสการ
           
พระนราทิจ ผู้เป็นธงขององค์พระอาทิตย์ ขอพระองค์ทรงโปรดเป็น
           
ที่พึ่งของหม่อมฉันในกาลสุดท้ายเถิด หม่อมฉันจะไม่ได้เห็นพระองค์
           
อีก ข้าแต่พระองค์ผู้เลิศโลก ธรรมดาสตรีทั้งหลายรู้กันว่ามีแต่จะก่อ
           
โทษทุกประการ ถ้าโทษอย่างใดอย่างหนึ่งของหม่อมฉันมีอยู่ ก็ขอ
           
พระองค์ได้โปรดกรุณาอดโทษแก่หม่อมฉันเถิด อนึ่ง หม่อมฉันได้
           
ทูลขอบ่อยๆ ให้สตรีทั้งหลายได้บวช ข้าแต่พระนราสภ ถ้าโทษ
           
ในข้อนั้นจะมีแก่หม่อมฉัน ขอได้ทรงโปรดอดโทษนั้นเถิด ข้าแต่
           
พระวีรเจ้าผู้ทรงไว้ซึ่งการอดโทษ ภิกษุณีทั้งหลายอันหม่อมฉันสั่ง-
           
สอนแล้ว ตามที่พระองค์ทรงอนุญาต ถ้าในข้อนั้นจะมีการแนะนำ
           
ได้ยาก ขอได้โปรดทรงอดโทษข้อนั้นเถิด.
           
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรนางโคตมีผู้ประดับไปด้วยคุณโทษ
           
ที่ท่านจะพึงอดพึงมีอะไร เมื่อท่านบอกว่าลาจะนิพพาน ตถาคตจักไป
           
ว่ากระไรให้มากไปเล่า.
                 
เมื่อภิกษุสงฆ์ของตถาคตบริสุทธิ์ไม่บกพร่อง ท่านจะออก
                 
ไปเสียจากโลกนี้ได้ก็ควร เพราะเมื่อหมดแสงดาวในเวลา
                 
รุ่งแล้ว รอยในพระจันทร์ก็ย่อมจะมองไม่เห็น ฉะนั้น
                 
พระภิกษุณีทั้งหลาย นอกจากพระมหาปชาบดีโคตมีเถรี
                 
พากันทำประทักษิณพระพิชิตมารผู้เลิศ เหมือนหมู่ดาวที่
                 
ติดตามพระจันทร์ทำประทักษิณภูเขาสิเนรุ ฉะนั้น หมอบ
                 
ลงแทบพระบาทแล้ว ยืนจ้องดูพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า
                 
กราบทูลว่า จักษุของหม่อมฉันทั้งหลาย ไม่เคยอิ่มด้วยการ
                 
เห็นพระองค์ โสตของหม่อมฉันทั้งหลาย ไม่เคยอิ่มด้วย
                 
พระภาษิตของพระองค์ จิตของหม่อมฉันทั้งหลายดวงเดียว
                 
แท้ๆ ก็ไม่อิ่มด้วยรสแห่งธรรมของพระองค์.
           
ผู้บันลืออยู่ในบริษัท กำจัดเสียซึ่งทิฏฐิและมานะ ชนเหล่าใดเห็น
           
พระพักตร์ของพระองค์ ชนเหล่านั้นชื่อว่าเป็นผู้มีโชคดี ข้าแต่
           
พระองค์ผู้ถึงที่สุดสงคราม ชนเหล่าใดประณมน้อมพระยุคลบาทของ
           
พระองค์ ซึ่งมีพระองคุลียาว มีพระนขาแดงงดงาม มีส้นพระบาท
           
ยาว ถึงชนเหล่านั้นก็ชื่อว่าเป็นผู้มีโชคดี ข้าแต่พระนโรดม ชน
           
เหล่าใดได้สดับพระดำรัสของพระองค์อันไพเราะน่าปลื้มใจ เผาเสีย
           
ซึ่งโทษ เป็นประโยชน์เกื้อกูล ชนเหล่านั้นก็ชื่อว่าเป็นผู้มีโชคดี
           
ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันทั้งหลายอิ่มไปด้วยการบูชาพระบาท
           
ของพระองค์ข้ามพ้นทางกันดารคือสงสารได้ ด้วยพระสุนทรกถาของ
           
พระองค์ผู้ทรงศิริ ฉะนั้นหม่อมฉันทั้งหลายจึงชื่อว่าเป็นผู้มีโชคดี.
           
ลำดับนั้น พระมหาปชาบดีโคตมีเถรีผู้มีวัตรอันงาม ประกาศในหมู่
           
พระภิกษุสงฆ์แล้ว ไหว้พระราหุลพระอานนท์และพระนันทะ แล้ว
           
ได้ตรัสดังนี้ว่า ดิฉันเบื่อหน่ายในร่างกายซึ่งเสมอด้วยที่อยู่ของ
           
อสรพิษ เป็นที่พักของโรค เป็นสถานที่เกิดทุกข์ มีชราและมรณะ
           
เป็นโคจร อาเกียรณ์ไปด้วยมลทิน คือ ซากศพต่างๆ ต้องพึ่งพาผู้อื่น
           
ปราศจากเรี่ยวแรง ฉะนั้น ดิฉันจึงปรารถนาจะนิพพานเสีย ขอลูก
           
ทั้งหลายจงยอมอนุญาตให้เถิด.
           
พระนันทเถรเจ้าและพระราหุลผู้เจริญ เป็นผู้ปราศจากความโศก
           
ไม่มีอาสวะ ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว มีปัญญา มีความเพียร ได้คิดตาม
           
ธรรมดาว่า น่าติโลกที่ปัจจัยปรุงแต่ง ปราศจากแก่นสาร เปรียบด้วย
           
ต้นกล้วย เช่นเดียวกับกลลวงและพยับแดด ต่ำช้า ไม่มั่นคง พระ-
           
โคตมีเถรี พระมาตุจฉาของพระพิชิตมาร ซึ่งได้เลี้ยงดูพระพุทธเจ้า
           
ก็ยังต้องถึงแก่กรรม สังขตธรรมทั้งปวงไม่เที่ยง ก็ครั้งนั้น ท่าน
           
พระอานนท์พุทธอนุชา ซึ่งเป็นคนสนิทของพระพิชิตมาร ยังเป็น
           
พระเสขบุคคลอยู่ ท่านหลั่งน้ำตาร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าสงสาร
           
ณ ที่นั้นว่า พระโคตมีเถรีเจ้าตรัสอยู่หลัดๆ ก็จะเสด็จไปนิพพาน
           
เสีย อีกไม่นานเลยแม้พระพุทธเจ้าก็คงจะเสด็จไปนิพพานแน่นอน
           
เปรียบเหมือนไฟที่หมดเชื้อแล้ว ฉะนั้น พระโคตมีเถรีเจ้าได้ตรัสกะ
           
ท่านพระอานนท์ผู้ชำนาญพระปริยัติ ปานดังสาครอันลึกล้ำ เอาใจใส่
           
ในการอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า ซึ่งพร่ำรำพันอยู่ดังกล่าวมาว่า ลูกเอ๋ย
           
เมื่อกาลเป็นที่ร่าเริงปรากฏขึ้นแล้ว พ่อไม่ควรที่จะเศร้าโศกถึงการ
           
ตายของดิฉัน ที่สุดแห่งการนิพพานของดิฉันใกล้เข้ามาแล้ว พ่อเอ๋ย
           
พระศาสดาพ่อได้ทูลให้ทรงยินยอมจึงได้ทรงอนุญาตให้เราบวช
           
ลูกเอ๋ย พ่ออย่าเสียใจไปเลย ความพยายามของพ่อมีผล ก็บทใดที่
           
ติตถิกาจารย์ทั้งหลายผู้เก่าแก่ไม่เห็น บทนั้นอันเด็กหญิงซึ่งมีอายุ ๗
           
ขวบรู้แจ้งประจักษ์แล้ว พ่อจงรักษาพระพุทธศาสนาไว้ การที่ดิฉัน
           
ได้เห็นพ่อครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย บุคคลไปในทิศใดแล้วไม่ปรากฏ
           
ดิฉันก็จะขอลาไปในทิศนั้นนะลูก ในกาลบางคราวพระนายกเจ้าผู้
           
เลิศโลกกำลังทรงแสดงธรรมอยู่ พระองค์ทรงถามแล้วครั้งนั้น ดิฉัน
           
เกิดความสงสารกล่าววาจาถวายพระพรว่า ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า ขอ
           
พระองค์จงมีพระชนมชีพอยู่นานๆ ข้าแต่พระมหามุนี ขอพระองค์จง
           
ดำรงพระชนม์อยู่ตลอดกัป เพื่อความเกื้อกูลและประโยชน์แก่โลก
           
ทั้งปวงเถิด ขออย่าให้พระองค์ทรงพระชราและปรินิพพานเสียเลย
           
พระพุทธเจ้าพระองค์ได้ตรัสกะดิฉันผู้กราบทูลเช่นนั้นว่า ดูกรพระ-
           
นางโคตมี พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นอันบุคคลชมเชย เหมือนอย่าง
           
ที่ท่านชมเชยอยู่มิได้ ดิฉันได้ทูลถามว่าก็แลด้วยประการเป็นดังฤา
           
พระคถาคตผู้สัพพัญญูจึงชื่อว่าอันบุคคลพึงชมเชยด้วยประการเป็น
           
ดังฤา พระพุทธเจ้าจึงชื่อว่าอันบุคคลไม่ชมเชย พระองค์อันหม่อมฉัน
           
ถามถึงเหตุนั้นแล้ว ขอได้ตรัสบอกเหตุนั้นแก่หม่อมฉันเถิด พระ-
           
องค์ตรัสตอบว่าท่านจงดูพระสาวกทั้งหลายผู้ปรารภความเพียร ตั้งใจ
           
แน่วแน่ มีความบากบั่นมั่นเป็นนิตย์ เป็นคนพร้อมเพรียงกันนี้ การ
           
ชมเชยพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ต่อแต่นั้น ดิฉันไปสู่สำนักนางภิกษุณี
           
อยู่ผู้เดียว คิดเห็นแจ้งชัดว่า พระนาถะผู้ถึงที่สุดแห่งไตรภพ
           
ทรงพอพระทัยบริษัทที่สามัคคีกัน มิฉะนั้น ดิฉันจะนิพพานเสีย ดิฉัน
           
อย่าได้พบความวิบัตินั้นเลย ครั้นดิฉันคิดดังนี้แล้ว ได้ไปเฝ้าพระ-
           
พุทธเจ้าผู้อุดมกว่าฤาษีทั้งปวง แล้วได้กราบทูลกาลเป็นที่ปรินิพพาน
           
กะผู้นำชั้นพิเศษ ลำดับนั้น พระองค์ได้ทรงอนุญาตให้ดิฉันดังนี้ว่า
           
จงรู้กาลเอาเถิดพระนางโคตมี ดิฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ...
           
พระพุทธศาสนา ดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว.
           
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรพระโคตมีคนพาลเหล่าใดสงสัยใน
           
การตรัสรู้ธรรมสตรีทั้งหลาย ท่านจงแสดงอิทธิฤทธิ์เพื่อละเสียซึ่งทิฏฐิ
           
ของคนพาลเหล่านั้น ครั้งนั้น พระโคตมีเถรีเจ้า ถวายบังคม
           
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เหาะขึ้นสู่อัมพร แสดงฤทธิ์เป็นอันมาก
           
ตามพระพุทธานุญาต คือองค์เดียวเป็นหลายองค์ก็ได้ ทำให้ปรากฏ
           
ก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝากำแพงภูเขาไปได้ไม่ติดขัดเหมือน
           
ไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงแม้ในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดิน
           
บนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือน
           
นกก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ ทำภูเขาสิเนรุ
           
ให้เป็นคั่น พลิกมหาปฐพีพร้อมด้วยราก ทำให้เป็นตัวร่มกั้นต่างร่ม
           
เดินจงกรมในอากาศ ทำโลกให้รุ่งโรจน์ประหนึ่งว่าเวลาพระอาทิตย์
           
อุทัยเหนือภูเขายุคันธร และทำโลกนั้นให้เป็นเหมือนพวงดอกไม้
           
ตาข่าย เอาพระหัตถ์ข้างหนึ่งกำภูเขามุจลินท์ ภูเขาสิเนรุ ภูเขามัน
           
ทาระและภูเขาทัททระไว้ทั้งหมด เหมือนดังกำเมล็ดพันธุ์ผักกาดเอา
           
ปลายนิ้วมือ บังพระอาทิตย์พร้อมทั้งพระจันทร์ไว้ ทัดทรงพระจันทร์
           
พระอาทิตย์ไว้ตั้งพันดวง เหมือนทัดทรงพวงมาลัย ฉะนั้น ทรงน้ำใน
           
สาครทั้ง ๔ ไว้ได้ด้วยฝ่าพระหัตถ์ข้างหนึ่ง ยังฝนใหญ่อันมีอาการ
           
ปานดังเมฆบนภูเขายุคันธรให้ตกลง พระนางเจ้านั้นได้นิรมิตให้เป็น
           
พระเจ้าจักรพรรดิ พร้อมด้วยบริษัทในนภาดลอากาศ แสดงให้เป็น
           
ครุฑ คชสารราชสีห์ต่างบันลือสีหนาทนฤโฆษอยู่ องค์เดียวนิรมิต
           
ให้เป็นคณะพระภิกษุณีนับไม่ถ้วน แล้วก็อันตรธานกลับเป็นองค์
           
เดียวกราบทูลพระมหามุนีเจ้าว่า ข้าแต่พระมหาวีรเจ้าผู้มีพระจักษุ
           
หม่อมฉันผู้เป็นพระมาตุจฉาของพระองค์ เป็นผู้ทำตามคำสอนของ
           
พระองค์ บรรลุประโยชน์ของตนโดยลำดับแล้ว ขอถวายบังคม
           
พระยุคลบาทของพระองค์ พระนางเจ้านั้นครั้นแสดงฤทธิ์ต่างๆ แล้ว
           
ลงจากนภาดลอากาศ ถวายบังคมพระผู้ส่องโลกแล้ว ประทับลง ณ
           
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระนางเจ้าได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหามุนีผู้
           
นายกของโลก หม่อมฉันมีอายุได้ ๑๒๐ ปี แต่กำเนิดแล้วเพียงเท่านี้
           
ก็พอแล้ว หม่อมฉันจักขอทูลลานิพพาน.
           
ครั้งนั้น บริษัททั้งหมดนั้นถึงความพิศวงยิ่งนัก จึงได้พากันประนม-
           
อัญชลีถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า พระแม่เจ้าได้ทำอะไรไว้ จึงมี
           
ฤทธิ์อำนาจเช่นนี้.
           
พระมหาปชาบดีโคตมีเถรีเจ้า ได้กล่าวบุรพจรรยาของท่านดังต่อไปนี้
           
ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ พระพิชิตมารพระนามว่าปทุมุตระผู้มีจักษุใน
           
ธรรมทั้งปวง เป็นผู้นำได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ครั้งนั้น ดิฉันเกิดใน
           
สกุลอำมาตย์ ซึ่งสมบูรณ์ด้วยเครื่องอุปการะทุกสิ่ง เจริญ รุ่งเรือง
           
ร่ำรวย ในพระนครหังสวดี บางครั้ง ดิฉันพร้อมด้วยบิดา อันหมู่ทาสี
           
ห้อมล้อม เข้าไปเฝ้าพระนราสภพระองค์นั้น พร้อมด้วยบริวารเป็น
           
อันมาก ได้เห็นพระพิชิตมารผู้ปานดังท้าววาสวะ ยังฝนคือธรรมให้
           
ตกอยู่ เป็นผู้ไม่มีอาสวะ เกลื่อนไปด้วยระเบียบแห่งรัศมี เช่นกับ
           
พระอาทิตย์ในสรทกาล แล้วยังจิตให้เลื่อมใส และสดับสุภาษิต
           
ของพระองค์ ได้สดับพระผู้นำนรชนทรงตั้งพระภิกษุณีผู้เป็นพระ-
           
มาตุจฉาไว้ในตำแหน่งอันเลิศ จึงถวายมหาทานและปัจจัยเป็นอัน
           
มาก แด่พระผู้เลิศกว่านรชน ผู้คงที่พระองค์นั้น พร้อมทั้งพระสงฆ์
           
๗ วัน แล้วได้หมอบลงแทบพระบาท มุ่งปรารถนาตำแหน่งนั้น
           
ลำดับนั้น พระพิชิตมารผู้อุดมกว่าฤาษีได้ตรัสในบริษัทใหญ่ว่า
           
สตรีใดได้นิมนต์พระผู้นำโลกพร้อมด้วยสงฆ์ให้ฉันตลอด ๗ วัน
           
เราจักพยากรณ์สตรีนั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว ในกัปที่แสนแต่
           
กัปนี้ พระศาสดาพระนามว่าโคดม ซึ่งทรงสมภพในวงศ์พระเจ้า
           
โอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก สตรีผู้นี้จักได้เป็นธรรมทายาท
           
ของพระศาสดาพระองค์นั้น จักเป็นโอรสอันธรรมนิรมิต จักได้
           
เป็นพระสาวิกาของพระศาสดา มีนามว่าโคตมี จักได้เป็นพระมาตุจฉา
           
บำรุงเลี้ยงชีวิตของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น จักได้ความเป็นผู้เลิศ
           
กว่าภิกษุณีทั้งหลายฝ่ายผู้รู้ราตรีนาน ครั้งนั้น ดิฉันได้สดับพระพุทธ-
           
พยากรณ์นั้นแล้ว มีใจปราโมทย์ บำรุงพระพิชิตมารด้วยปัจจัย
           
ทั้งหลายตราบเท่าสิ้นชีวิต ต่อจากนั้น ดิฉันก็ได้ทำกาลกิริยา ดิฉัน
           
เกิดในพวกเทพเหล่าดาวดึงส์ ผู้ซึ่งให้สำเร็จสิ่งน่าใคร่ได้ทุกประการ
           
ครอบงำทวยเทพอื่นๆ เสียด้วยองค์ ๑๐ ประการ คือ ด้วยรูป เสียง
           
กลิ่น รส ผัสสะ อายุ วรรณะ สุขและยศ รุ่งเรืองครอบงำทวยเทพ
           
อื่นๆ ด้วยความเป็นใหญ่ ดิฉันได้เป็นพระมเหสีผู้น่ารักของท้าว
           
อมรินทร์ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้น ก็เมื่อดิฉันยังท่องเที่ยวอยู่ใน
           
สงสาร เป็นผู้หวั่นไหวเพราะพายุ คือกรรม จึงเกิดในบ้านของทาส
           
ในอาณาเขตของพระเจ้ากาสี ครั้งนั้น ทาส ๕๐๐ คน อาศัยอยู่ใน
           
บ้านนั้น ดิฉันได้เป็นภรรยาของหัวหน้าทาสในบ้านนั้น พระปัจเจก-
           
พุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ ได้เข้าไปสู่บ้านบิณฑบาต ดิฉันกับญาติทุกคน
           
เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นก็มีความยินดี เราพร้อมด้วยสามี
           
มีจิตเลื่อมใส สร้างกุฎี ๕๐๐ หลัง อุปัฏฐากพระปัจเจกพุทธเจ้า
           
เหล่านั้นตลอดสี่เดือน แล้วถวายไตรจีวร ต่อจากนั้น เราพร้อมกับ
           
สามีก็ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็ในภพสุดท้ายในบัดนี้ ดิฉันเกิดใน
           
พระนครเทวทหะ พระชนกของดิฉันพระนามว่าอัญชนศากยะ พระ-
           
ชนนีของดิฉันพระนามว่าสุลักขณา ต่อมาดิฉันได้ไปสู่พระราชวังของ
           
พระเจ้าสุทโธทนะ ในพระนครกบิลพัสดุ์ สตรีทุกคนเกิดในสกุล
           
ศากยะแล้ว ไปสู่เรือนของพวกเจ้าศากยะ ก็ดิฉันประเสริฐกว่า
           
สตรีทุกคน ได้เป็นคนบำรุงเลี้ยงพระพิชิตมาร พระโอรสของดิฉัน
           
พระองค์นั้น เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์แล้ว ได้เป็นพระพุทธเจ้าผู้นำ
           
ชั้นพิเศษ ภายหลังดิฉันพร้อมด้วยนางศากิยานี ๕๐๐ จึงได้บวช
           
แล้วก็ได้ประสพสันติสุขพร้อมด้วยนางศากิยานีผู้มีความเพียร สามี
           
ของเราที่ได้ทำบุญร่วมกันมาแต่ชาติก่อนในครั้งนั้น เป็นผู้ทำมหาสมัย
           
อันพระสุคตเจ้าทรงอนุเคราะห์แล้ว ได้บรรลุอรหัต.
           
พระภิกษุณีทั้งหลาย นอกจากพระมหาปชาบดีเถรีเจ้านั้น ได้พากัน
           
เหาะขึ้นสู่นภาดลอากาศ เป็นผู้ประกอบด้วยมหิทธิฤทธิ์รุ่งโรจน์
           
เหมือนดวงดาวทั้งหลาย อันโคจรเป็นกลุ่มกันไป ฉะนั้น พระภิกษุณี
           
เหล่านั้น เป็นผู้ศึกษาแล้วในบุญกรรม จึงได้แสดงฤทธิ์มิใช่น้อย
           
เหมือนนายช่างทองที่ได้รับการศึกษาแล้ว แสดงเครื่องประดับที่ทำ
           
ด้วยทองชนิดต่างๆ ฉะนั้น ในครั้งนั้น พระภิกษุณีเหล่านั้น แสดง
           
ปฏิหาริย์มากมายหลายอย่าง ยังพระมุนีผู้ประเสริฐกว่าพระอาทิตย์
           
พร้อมทั้งบริษัทให้ชอบใจ แล้วได้พากันลงจากนภาดลอากาศ ถวาย
           
บังคมพระศาสดาผู้สูงสุดกว่าฤาษี เมื่อพระศาสดาผู้เป็นยอดของ
           
นรชนทรงอนุญาตแล้ว จึงได้นั่ง ณ สถานที่อันสมควร แล้วได้
           
กราบทูลว่า ข้าแต่พระวีรเจ้า โอหนอ พระโคตมีเถรีเจ้าเป็นผู้
           
อนุเคราะห์หม่อมฉันทุกๆ คน หม่อมฉันทุกคน พระนางได้อบรม
           
ด้วยบุญ จึงได้บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นอาสวะ หม่อมฉันทั้งหลายเผา-
           
กิเลสเสียแล้ว ถอนภพทั้งปวงขึ้นได้แล้ว ตัดกิเลสเครื่องผูกเหมือน
           
ช้างพังตัดเชือกแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ การหม่อมฉันทั้งหลาย
           
มาในสำนักของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด เป็นการมาดีแล้วหนอ
           
วิชา ๓ หม่อมฉันทั้งหลายบรรลุแล้วโดยลำดับ คำสอนของพระ-
           
พุทธเจ้า หม่อมฉันทั้งหลายก็ได้ทำเสร็จแล้ว คุณวิเศษเหล่านี้ คือ
           
ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ หม่อมฉันทั้งหลายทำให้
           
แจ้งแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า หม่อมฉันทั้งหลายได้ทำเสร็จแล้ว
           
หม่อมฉันทั้งหลายมีความชำนาญในฤทธิ์และทิพโสตธาตุ ข้าแต่
           
พระมหามุนี หม่อมฉันทั้งหลายมีความชำนิชำนาญในเจโตปริยญาณ
           
รู้ปุพเพนิวาสญาณ ชำระทิพจักษุได้แล้ว มีอาสวะทั้งหลายสิ้นไปแล้ว
           
บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีก ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันทั้งหลายมีญาณ
           
ในอรรถ ธรรม นิรุติ และปฏิภาณ ญาณนั้นเกิดที่สำนักของพระองค์
           
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นพระนายกมหามุนี พระองค์เป็นผู้อันหม่อมฉัน
           
ทั้งหลายได้วิสสาสะแล้ว ได้ทรงโปรดมีจิตเมตตาอนุญาตให้หม่อม-
           
ฉันทั้งปวงนิพพานเถิด.
           
พระพิชิตมารได้ตรัสว่า เมื่อท่านทั้งหลายพูดอย่างนี้ว่า จักนิพพาน
           
ฉันจักไปว่าอะไร ก็บัดนี้ท่านทั้งหลายจงสำคัญกาลเวลาเอาเองเถิด.
           
ครั้งนั้น พระภิกษุณีเหล่านั้นมีพระโคตมีเถรีเจ้าเป็นต้น ถวายบังคม
           
พระพิชิตมารแล้วได้พากันลุกจากที่นั่งนั้นไป พระธีรเจ้าผู้นำชั้นเลิศ
           
ของโลก พร้อมด้วยหมู่ชนเป็นอันมากได้เสด็จไปส่งพระมาตุจฉา
           
จนถึงซุ้มประตู ครั้งนั้น พระโคตมีเถรีเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุณี
           
ทั้งหลายทุกๆ องค์ ได้พากันหมอบลงแทบพระยุคลบาทของพระ-
           
ศาสดาผู้เป็นพงศ์พันธุ์ของโลก กราบทูลว่า นี้เป็นการถวายบังคม
           
พระยุคลบาทครั้งสุดท้ายของหม่อมฉัน การได้เห็นพระองค์ผู้เป็น
           
นาถะของโลกครั้งนี้ ก็เป็นครั้งสุดท้าย หม่อมฉันจักไม่ได้เห็นพระ-
           
พักตร์ของพระองค์ซึ่งมีอาการปานน้ำอมฤตอีก ข้าแต่พระวีรเจ้าผู้เลิศ
           
ของโลก หม่อมฉันจักไม่ได้ถวายบังคมพระยุคลบาทของพระองค์
           
ซึ่งอ่อนละเอียดดีอีก วันนี้หม่อมฉันจะเข้านิพพาน.
     
พระศาสดาตรัสว่า
           
จะมีประโยชน์อะไรด้วยรูปนี้แก่ท่านในปัจจุบัน รูปนี้ล้วนปัจจัย
           
ปรุงแต่ง ไม่น่ายินดี เป็นของเลวทราม.
           
พระมหาปชาบดีเถรีเจ้า พร้อมด้วยพระภิกษุณีเหล่านั้นไปสู่สำนัก
           
นางภิกษุณีของตนแล้ว นั่งพับเพียบบนอาสนะอันประเสริฐ ครั้ง
           
นั้น อุบาสิกาทั้งหลายในพระนครนั้น ผู้มีความเคารพรักในพระพุทธ-
           
ศาสนา ได้สดับพฤติเหตุของพระนางเจ้า ต่างก็เข้าไปหานมัสการ
           
แทบบาทมูล เอากรค่อนอุระประเทศร้องไห้พิไรร่ำคร่ำครวญควรจะ
           
กรุณา เต็มไปด้วยความโศกเศร้า ล้มลงที่พื้นพสุธา ดุจเถาวัลย์
           
รากขาดแล้วล้มลง ฉะนั้น พากันร้องไห้รำพันด้วยวาจาว่า ข้าแต่
           
พระแม่เจ้าผู้เป็นนาถะให้ที่พึ่งของดิฉันทั้งหลาย พระแม่เจ้าอย่าได้
           
ละทิ้งดิฉันทั้งหลาย ไปเข้านิพพานเสียเลย ดิฉันทุกคนขอซบเศียร
           
อ้อนวอน พระมหาปชาบดีเถรีเจ้าลูบศีรษะของอุบาสิกาผู้มีศรัทธา
           
มีปัญญาซึ่งเป็นหัวหน้าของอุบาสิกาเหล่านั้นอยู่ ได้กล่าวว่า ลูก
           
ทั้งหลายเอ๋ย การพร่ำเพ้อซึ่งเป็นไปในบ่วงแห่งมารไม่ควรเลย
           
สังเขตธรรมทั้งปวงล้วนไม่เที่ยง มีแต่จะพลัดพรากจากกัน หวั่น-
           
ไหวไปมา ต่อแต่นั้น พระนางก็สละอุบาสิกาเหล่านั้นเสีย เข้าปฐม
           
ฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน แล้วเข้าอากาสานัญ-
           
จายตนฌาน วิญญาณัญจายตนฌาน อากิญจัญญายตนฌาน และ
           
เนวสัญญานาสัญญายตนฌานตามลำดับ แล้วพระโคตมีเถรีเจ้าก็เข้า
           
ฌานทั้งหลายโดยปฏิโลม แล้วก็เข้าปฐมฌานไปตราบเท่าถึงจตุตถ-
           
ฌาน ครั้นออกจากจตุตถฌานนั้นแล้วก็ดับไป เหมือนเปลวประทีป
           
ที่หมดเชื้อดับไป ฉะนั้น ได้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ สายฟ้าก็ตกลง
           
จากนภากาศ กลองทิพย์ก็บันลือลั่นขึ้นเอง ทวยเทพพากันคร่ำครวญ
           
และฝนดอกไม้ก็ตกจากอากาศลงยังพื้นแผ่นดิน แม้ขุนเขาสุเมรุราช
           
ก็กัมปนาทหวั่นไหว เหมือนคนเต้นรำในท่ามกลางที่เต้นรำ ฉะนั้น
           
สาครก็ปั่นป่วนตีฟองคะนองระลอกฉะฉาน ทวยเทพ นาค อสูร
           
และพรหมต่างก็พากันสลดใจ กล่าวขึ้นในทันใดนั้นเองว่า สังขาร
           
ทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ เหมือนอย่างพระมหาปชาบดีเถรีเจ้านี้ถึง
           
ความย่อยยับไปแล้ว และพระเถรีทั้งหลายผู้ทำตามคำสอนของพระ
           
ศาสดา ซึ่งแวดล้อมพระมหาปชาบดีเถรีเจ้านี้ ก็พากันดับไปแล้ว
           
เหมือนเปลวประทีปหมดเชื้อดับไป ฉะนั้น โอ้ ความประจวบกัน
           
มีความพลัดพรากเป็นที่สุด โอ้ สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งล้วนแต่ไม่เที่ยง
           
โอ้ ชีวิตมีความหายสูญเป็นที่สุด ความปริเทวนา ได้มีแล้ว ด้วย
           
ประการฉะนี้.
           
ในลำดับนั้น เทวดาและพรหมต่างก็ทำความประพฤติตามโลกธรรม
           
ตามสมควรแก่กาลแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคผู้สูงสุดกว่าฤาษี
           
ครั้งนั้นพระศาสดาได้ตรัสเรียกท่านพระอานนท์ผู้พหูสูตมาสั่งว่า
           
อานนท์ท่านจงไปประกาศให้ภิกษุทั้งหลายทราบถึงการนิพพานของ
           
พระมารดาเวลานั้น ท่านพระอานนท์เป็นผู้หมดความแช่มชื่น
           
มีตานองไปด้วยน้ำตา ได้กล่าวด้วยเสียงอันน่าสงสารว่า ขอ
           
พระภิกษุทั้งหลายผู้เป็นโอรสของพระสุคตเจ้าซึ่งอยู่ในทิศตะวันออก
           
ทิศใต้ ทิศตะวันตกและทิศเหนือ จงมาประชุมกัน พระภิกษุณี
           
ผู้ยังพระสรีระสุดท้ายของพระมุนีให้เจริญด้วยน้ำนม พระมารดาของ
           
กระผม พระโคตมีภิกษุณีนั้นถึงความสงบ เหมือนดวงดาวในเมื่อ
           
พระอาทิตย์ อุทัย ฉะนั้น พระนางยังความรู้พร้อมกันว่า เป็น
           
พระพุทธมารดา ให้ดำรงอยู่แล้วไปสู่นิพพาน ในที่ใดถึงคนมี ๕
           
ตาก็เห็นไม่ได้ ในที่นั้น พระผู้มีพระภาคซึ่งเป็นผู้นำทรงเห็นได้
           
ขอพระโอรสของพระสุคตเจ้าผู้มีความเชื่อในพระสุคต หรือเป็น
           
ศิษย์ของพระมหามุนีจงทำสักการะแด่พระพุทธมารดาเถิด ภิกษุ
           
ทั้งหลายถึงอยู่ไกล ได้ฟังคำประกาศนั้นแล้ว ก็มาได้เร็ว บางพวก
           
มาด้วยพุทธานุภาพ บางพวกที่ฉลาดในฤทธิ์ก็มาด้วยฤทธิ์ต่างช่วยกัน
           
ยกเอาเตียงนอนที่พระโคตมีเถรีเจ้าหลับ ขึ้นไว้ในเรือนยอดอัน
           
ประเสริฐ น่ายินดี สำเร็จด้วยทองคำล้วนๆ งดงาม ท้าวโลก
           
บาลทั้งสี่เอาบ่าเข้ารองรับเรือนยอด ทวยเทพที่เหลือมีท้าวสักกะ
           
เป็นต้น เข้าช่วยรับเรือนยอด ก็เรือนยอดทั้งหมดมี ๕๐๐ หลัง
           
แท้จริง เรือนยอดเหล่านั้น วิสสุกรรมเทพบุตรนิรมิต มีสีเหมือน
           
พระอาทิตย์ในสรทกาล ทวยเทพทั้งหลายได้แบกพระภิกษุณีทุกๆ
           
องค์ที่นอนอยู่บนเตียงแล้ว นำเอาออกไปตามลำดับพื้นนภากาศถูก
           
เอาเพดานบังไว้ทั่ว ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์พร้อมทั้งดวงดาวซึ่ง
           
สำเร็จด้วยทองได้ถูกติดเป็นตราไว้ที่เพดานนั้น ธงปฏากได้ถูกยก
           
ขึ้นไว้เป็นอันมาก จิตกาธารทั้งหลายมีดอกไม้เป็นเครื่องปกคลุม
           
ดอกบัวที่เกิดในอากาศเอาปลายลง ดอกไม้ผุดขึ้นจากแผ่นดิน พระ-
           
จันทร์และพระอาทิตย์คนมองดูเห็นได้ และดาวทั้งหลายส่องแสง
           
ระยับระยิบ อนึ่ง พระอาทิตย์ถึงจะโคจรไปในเวลาเที่ยงก็เป็นเหมือน
           
พระจันทร์ ไม่ทำใครๆ ให้เร่าร้อน ทวยเทพทั้งหลายพากันบูชาด้วย
           
ของหอมและดอกไม้ทิพย์อันน่ายินดี และด้วยการขับร้อง ฟ้อนรำ
           
ดีดสีตีเป่าอันเป็นทิพย์ พวกนาค อสูรและพรหม ต่างก็พากันบูชา
           
พระพุทธมารดาผู้นิพพานแล้ว กำลังถูกเขานำเอาออกไปตามสติ
           
กำลัง พระภิกษุณีผู้เป็นโอรสของพระสุคตเจ้า ซึ่งนิพพานแล้ว
           
ทั้งหมดเชิญไปข้างหน้า พระโคตมีเถรีพุทธมารดาผู้อันเทวดาและ
           
มนุษย์สักการะเชิญเอาไปข้างหลัง เทวดา มนุษย์พร้อมด้วยนาค
           
อสูรและพรหม ไปข้างหน้า ข้างหลังพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระ-
           
สาวกเสด็จไปเพื่อจะบูชาพระมารดาการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า
           
หาได้เป็นเช่นนี้ไม่ การปรินิพพานของพระโคตมีเถรีเจ้า อัศจรรย์
           
ยิ่งนัก ในเวลาพระพุทธเจ้าเสด็จนิพพานไม่มีพระพุทธเจ้าและภิกษุ
           
ทั้งหลายมีพระสารีบุตรเป็นต้น เหมือนในเวลาพระโคตมีเถรีเจ้า
           
นิพพาน ซึ่งมีพระพุทธเจ้าและภิกษุทั้งหลายมีพระสารีบุตรเป็นต้น
           
ชนทั้งหลายช่วยกันทำจิตกาธารซึ่งสำเร็จด้วยของหอมล้วน และ
           
เกลื่อนไปด้วยจุรณแห่งเครื่องหอม แล้วเผาพระภิกษุณีเหล่านั้นบน
           
จิตกาธารนั้น ส่วนที่เหลือนอกจากอัฐิถูกไฟไหม้สิ้น ก็ในเวลานั้น
           
ท่านพระอานนท์ได้กล่าววาจาอันให้เกิดความสังเวชว่า พระโคตมี
           
เถรีเจ้าเข้านิพพานแล้ว พระสรีระของพระนางก็ถูกเผาแล้ว การ
           
นิพพานของพระพุทธเจ้าน่าสังเกต อีกไม่นานก็คงจักมี ต่อจากนั้น
           
ท่านพระอานนท์อันพระพุทธเจ้าทรงตักเตือน ท่านได้น้อมพระธาตุ
           
ของพระโคตมีเถรีเจ้า ซึ่งอยู่ในบาตรของพระนาง เข้ามาถวายแด่
           
พระโลกนาถ พระผู้มีพระภาคผู้สูงสุดกว่าฤาษี ได้ทรงประคองพระ-
           
ธาตุเหล่านั้นด้วยฝ่าพระหัตถ์แล้วตรัสว่า เพราะสังขารเป็นสภาพไม่
           
เที่ยง พระโคตมีผู้เป็นใหญ่กว่าหมู่พระภิกษุณีจึงต้องนิพพาน เช่น
           
เดียวกับลำตัวของต้นไม้ใหญ่ที่มีแก่นตั้งอยู่ถึงจะใหญ่โตก็ต้องพินาศ
           
ฉะนั้น ดูเถอะอานนท์ เมื่อพระพุทธมารดาแม้นิพพานแล้วเพียงแต่
           
สรีระก็ยังไม่เหลือ ไม่น่าเศร้าโศกปริเทวนาการไปเลย คนอื่นๆ ไม่
           
ไม่ควรเศร้าโศกถึงพระนางผู้ข้ามสาครคือสงสารไปแล้ว ละเว้นเหตุ
           
อันทำให้เดือดร้อนเสียได้ เป็นผู้เยือกเย็นดับสนิทดีแล้ว พระนาง
           
เป็นบัณฑิต มีปัญญามาก และมีปัญญากว้างขวาง ทั้งเป็นผู้รู้ราตรี
           
นานกว่าภิกษุณีทั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย จงรู้ไว้อย่างนี้เถิด พระ
           
โคตมีเถรีเจ้า เป็นผู้ชำนาญในฤทธิ์ทิพโสตธาตุ และมีความชำนาญ
           
ในเจโตปริยญาณรู้ทั่วถึง ปุพเพนิวาสญาณ ชำระทิพจักษุให้หมด
           
จด อาสวะทั้งสิ้นของพระนางหมดสิ้นไปแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีก
           
พระนางมีญาณอันบริสุทธิ์ ในอรรถะ ธรรมะ นิรุติและปฏิภาณ
           
เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรจะเศร้าโศกถึงพระนาง คติของไฟที่ลุกโพลง
           
ถูกแผ่นเหล็กทับแล้วดับไปโดยลำดับ ใครๆ ก็รู้ไม่ได้ ฉันใด
           
บุคคลผู้ที่หลุดพ้นจากกิเลสด้วยดีแล้ว ข้ามพ้นโอฆะคือกามพันธุ์
           
บรรลุอจลบทแล้ว ก็ฉันนั้น ย่อมไม่มีคติใครๆ จะรู้ได้ เพราะฉะนั้น
           
ท่านทั้งหลายจงมีตนเป็นที่พึ่ง มีสติปัฏฐานเป็นโคจรเถิดท่าน
           
ทั้งหลายอบรมโพชฌงค์ ๗ ประการแล้ว จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้
     
ทราบว่า ท่านพระมหาปชาบดีโคตมีภิกษุณีได้ตรัสคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
                  
จบมหาปชาบดีโคตมีเถริยาปทาน.
                      
เขมาเถริยาปทานที่
                  
ว่าด้วยบุพจริยาของพระเขมาเถรี
      [
๑๕๘] พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ มีพระญาณจักษุในสรรพธรรม
           
เป็นพระโลกนายก เสด็จอุบัติในกัปที่แสนกัปแต่กัปนี้ ครั้งนั้น
           
ดิฉันเกิดในสกุลเศรษฐีมีความรุ่งเรืองด้วยรัตนะต่างๆ ในเมือง
           
หังสวดี เป็นผู้เพียบพร้อมไปด้วยความสุขมาก ดิฉันเข้าไปเฝ้าพระ
           
พุทธมหาวีระพระองค์นั้นแล้ว ได้ฟังธรรมเทศนา เกิดความเลื่อม
           
ใสในพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ได้ถึงพระองค์เป็นสรณะ ดิฉันขอ
           
อนุญาตมารดาบิดาได้แล้ว นิมนต์พระพุทธเจ้าผู้นำชั้นพิเศษให้
           
เสวยพร้อมด้วยพระสาวกสงฆ์ ตลอดสัปดาห์หนึ่งเมื่อสัปดาห์หนึ่ง
           
ล่วงไปแล้ว พระผู้มีพระภาคผู้เป็นสารถีฝึกนระ ทรงตั้งภิกษุณีองค์
           
หนึ่ง ซึ่งอุดมกว่าพวกภิกษุณีฝ่ายที่มีปัญญามากในตำแหน่งเอตทัคคะ
           
ดิฉันได้ฟังเรื่องนั้นแล้ว มีความยินดีทำสักการะแต่พระพุทธเจ้า ผู้
           
แสวงหาคุณใหญ่พระองค์นั้นอีกแล้วหมอบลงปรารถนาตำแหน่งนั้น
           
ในทันใดนั้น พระพิชิตมารพระองค์นั้นตรัสกะดิฉันว่า ความ
           
ปรารถนาของท่านจักสำเร็จ สักการะที่ท่านทำแล้วแก่เราพร้อมด้วย
           
ภิกษุสงฆ์มีผลมาก ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ พระศาสดาพระนาม
           
ว่าโคดมทรงสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นใน
           
โลก หญิงนี้จักได้เป็นภิกษุณีชื่อเขมา ผู้เป็นธรรมทายาทของพระ
           
ศาสดาพระองค์นั้น เป็นโอรสอันธรรมนิรมิตจักถึงตำแหน่งเอต-
           
ทัคคะ ด้วยกรรมที่ทำดีแล้วนั้น และด้วยการตั้งเจตน์จำนงไว้ดิฉัน
           
ละร่างกายมนุษย์แล้วได้เป็นผู้เข้าถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จุติจากสวรรค์
           
ชั้นดาวดึงส์แล้วไปชั้นยามา จุติจากชั้นยามาแล้วไปชั้นดุสิต จุติจาก
           
ชั้นดุสิตแล้ว ไปชั้นนิมมานรดี จุติจากชั้นนิมมานรดีแล้วไปชั้น
           
ปรนิมมิตวสวัสดี เพราะอำนาจบุญกรรมนั้น ดิฉันเกิดในภพใดๆ
           
ก็ได้เป็นพระอัครมเหสีของพระราชาในภพนั้นๆ ดิฉันจุติจากภพนั้น
           
แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ได้เป็นพระอัครมเหสีของพระเจ้าจักรพรรดิและ
           
เป็นมเหสีของพระเจ้าเอกราช เสวยทิพสมบัติและมนุษย์สมบัติ มี
           
ความสุขทุกภพท่องเที่ยวไปในกัปเป็นอเนกในกัปที่ ๙๑ แต่กัปนี้
           
พระพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี เป็นนายกของโลก งดงามน่าดู
           
ยิ่งนัก ทรงเห็นแจ่มแจ้งในสรรพธรรมเสด็จหุบัติขึ้นแล้วในโลก
           
ดิฉันเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งเป็นนายกของโลก ได้ออก
           
บวชเป็นบรรพชิตในพระศาสนาของพระวีรเจ้าพระองค์นั้นอยู่หมื่นปี
           
ประพฤติพรหมจรรย์ ประกอบความเพียร เป็นพหูสูตฉลาดในปัจจัย
           
การคล่องแคล่วในจตุราริยสัจ มีปัญญาละเอียดแสดงธรรมไพเราะ
           
ปฏิบัติตามสัตถุศาสน์อยู่หมื่นปี ด้วยผลแห่งพรหมจรรย์ ดิฉันจุติ
           
จากภพนั้นแล้วเข้าถึงสวรรค์ชั้นดุสิตเป็นผู้มีศีล เสวยสมบัติในภพ
           
นั้นและภพอื่น ดิฉันเกิดในภพใดๆ ก็เป็นผู้มีสมบัติมาก มีทรัพย์
           
มาก มีปัญญา รูปงาม มีบริวารชมก็ว่าง่าย ด้วยบุญกรรมและความ
           
เพียรในศาสนาของพระพิชิตมารนั้น สมบัติทุกอย่างดิฉันหาได้ง่าย
           
เป็นที่รักแห่งใจ ด้วยผลแห่งความปฏิบัติของดิฉัน เมื่อดิฉันเดินไป
           
ณ ที่ใดๆ ภัสดาของดิฉันและใครๆ ย่อมไม่ดูหมิ่นดิฉัน ในภัทกัป
           
นี้ พระพุทธเจ้าพระนามว่าโกนาคมน์ผู้เป็นพงศ์พันธุ์แห่งพราหมณ์
           
มียศมาก ประเสริฐกว่าพวกบัณฑิต เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ในครั้งนั้น
           
แหละกุลธิดาที่มั่นคงดีในเมืองพาราณสี ชื่อธนัญชานี ๑ สุเมธา ๑
           
ดิฉัน ๑ รวม ๓ คนด้วยกัน ได้ถวายสังฆารามแก่พระมุนีหลายพัน
           
และได้สร้างวิหารอุทิศถวายแก่พระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระสาวก
           
สงฆ์ เราทั้งหมดด้วยกันจุติจากภพนั้นแล้วไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
           
ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยยศกว่าเทพธิดาและกุลธิดาในมนุษย์ ใน
           
ภัทกัปนี้แหละ พระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ผู้เป็นพงศ์พันธุ์
           
แห่งพราหมณ์ มียศมาก ประเสริฐกว่าพวกบัณฑิต เสด็จอุบัติขึ้น
           
แล้ว ในครั้งนั้น พระเจ้ากาสีพระนามว่ากิกี ในพระนครพาราณสี
           
อันอุดม เป็นอิสระกว่าประชาชน เป็นอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าผู้ทรง
           
แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ดิฉันเป็นพระธิดาคนใหญ่ของท้าวเธอ มี
           
นามปรากฏว่าสมณี ได้ฟังธรรมของพระพิชิตมารผู้เลิศแล้ว พอใจ
           
บรรพชาแต่พระชนกนาถไม่ทรงอนุญาตแก่เราทั้งหลาย เมื่ออยู่ใน
           
อาคารสถานในครั้งนั้น เราทั้งหลายผู้เป็นราชกัญญามิได้เกียจคร้าน
           
ปรนพฤติพรหมจรรย์ตั้งแต่เป็นกุมารี ดำรงอยู่ในสุขสมบัติสอง
           
หมื่นปี พระราชธิดา ๗ องค์ล้วนพอใจยินดีในการบำรุงพระพุทธเจ้า
           
พระราชธิดา ๗ นั้น คือ นางสมณี ๑ นางสมณคุตตา ๑ นางภิกษุณี
           
๑ นางภิกขุทาสิกา ๑ นางธรรมา ๑ นางสุธรรมา ๑ และ
           
นางสังฆทาสิกาเป็นที่ ๗ พระราชธิดาทั้ง ๗ นั้น ได้มาเป็นดิฉันเป็น
           
พระอุบลวรรณาเถรี เป็นพระปฏาจาราเถรี เป็นพระกุณฑลเกสีเถริ
           
เป็นพระกิสาโคตมีเถรีเป็นพระธรรมทินนาเถรีเป็นนางวิสาขาอุบาสิกา
           
เป็นที่ ๗ บางครั้ง พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นผู้เป็นดังว่าดวงอาทิตย์
           
ของนรชน ทรงแสดงธรรมเป็นอัศจรรย์ดิฉันได้ฟังมหานิทานสูตรแล้ว
           
เล่าเรียนอยู่ เพราะกรรมที่ได้ทำไว้ดีแล้วนั้น และเพราะการตั้งเจตน์
           
จำนงไว้ ดิฉันละร่างกายมนุษย์แล้ว ได้ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
           
ในภพหลัง ครั้งนี้ ดิฉันเป็นพระธิดาที่พอพระทัยกรุณาโปรดปราน
           
ของพระเจ้ามัททราช ในสากลนครอันอุดม พร้อมกับเมื่อดิฉันเกิด
           
พระนครนั้นได้มีความเกษมสุข โดยคุณนิรมิตนั้น ชื่อดิฉันปรากฏว่า
           
เขมา เมื่อใด ดิฉันเจริญวัยโตเป็นสาว มีรูปและผิวพรรณงาม เมื่อ
           
นั้น พระราชบิดาก็โปรดปรานประทาน ดิฉันแก่พระเจ้าพิมพิสาร
           
ดิฉันเป็นที่โปรดปรานของพระราชสวามียินดีแต่ในการบำรุงรูป ไม่
           
พอใจคนที่กล่าวโทษรูปเป็นอันมาก ครั้งนั้น พระเจ้าพิมพิสารโปรด
           
ให้นัตขับร้องขับเพลงพรรณนาพระมหาวิหารเวฬุวัน ด้วยพระ
           
ประสงค์จะทรงอนุเคราะห์ดิฉัน ดิฉันสำคัญว่าพระมหาวิหารเวฬุวัน
           
อันเป็นที่ประทับแห่งพระสุคตเจ้าเป็นที่น่ารื่นรมย์ผู้ใดยังมิได้เห็นก็
           
จัดว่าผู้นั้นยังไม่เห็นนันทวัน พระมหาวิหารเวฬุวันเป็นดังว่านันทวัน
           
อันเป็นที่เพลิดเพลินของนรชน ผู้ใดได้เห็นแล้ว นับว่าผู้นั้นเห็นดี
           
แล้ว ซึ่งนันทวัน อันเป็นที่เพลิดเพลิน ของท้าวอมรินทร์ สักก-
           
เทวราชทวยเทพละนันทวันแล้วลงมาที่พื้นดินเห็นพระมหาวิหาร-
           
เวฬุวันอันน่ารื่นรมย์เข้าแล้ว ก็อัศจรรย์ใจเพลินชมมิได้เบื่อ พระ-
           
มหาวิหารเวฬุวันเกิดขึ้นเพราะบุญของพระราชา อันบุญญานุภาพ
           
แห่งพระพุทธเจ้าประดับแล้ว ใครเล่าจะกล่าวถึงความเจริญด้วยคุณ
           
แห่งพระมหาวิหารเวฬุวันให้จบได้ครั้งนั้นดิฉันได้ฟังความสำเร็จแห่ง
           
พระมหาวิหารเวฬุวันอันเป็นที่ชอบโสตและชอบใจแล้วประสงค์จะ
           
เห็นดิฉันจึงได้กราบทูลพระราชา ครั้งนั้น ท้าวมหิบดีจึงโปรดสั่งดิฉัน
           
ผู้มุ่งจะชมพระมหาวิหารเวฬุวัน พร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก ด้วย
           
พระดำรัสว่า พระนางผู้มีสมบัติมาก เชิญเสด็จไปชม พระมหาวิหาร
           
เวฬุวัน อันเป็นที่เย็นตา เปล่งปลั่งด้วยพระรัศมีแห่งพระสุคตเจ้า
           
งามด้วยสิริทุกสมัย ดิฉันทูลว่า เมื่อใด พระพุทธมุนีเสด็จเข้ามา
           
ทรงบาตรในพระนครราชคฤห์อันอุดม เมื่อนั้น หม่อมฉันจะเข้าไป
           
ชมพระมหาวิหารเวฬุวัน เวลานั้น พระมหาวิหารเวฬุวันมีสวน
           
ดอกไม้กำลังแย้มบาน วู่ว่อนไปด้วยภมรต่างๆ ชนิด และมีเสียง
           
นกดุเหว่าร่ำร้องดังเพลงขับ ทั้งมีเหล่านกยูงฟ้อนรำ เงียบเสียง ไม่
           
พลุกพล่าน ประดับไปด้วยที่จงกรมต่างๆ สะพรั่งไปด้วยกุฎีและ
           
มณฑปที่พระโยคีชอบปรารภบำเพ็ญเพียร เมื่อดิฉันเที่ยวไปได้รู้สึก
           
ว่านัยน์ตาของเรามีผล ครั้งนั้น ดิฉันได้เห็นภิกษุรูปหนึ่งประกอบกิจ
           
อยู่ แล้วคิดไปว่า ภิกษุนี้ตั้งอยู่ในปฐมวัย มีรูปน่าปรารถนา ปฏิบัติ
           
ดีอยู่ในป่าที่น่ารื่นรมย์เช่นนี้ เหมือนคนอยู่ในที่มืด ภิกษุนี้ศีรษะโล้น
           
คลุมสังฆาฏินั่งอยู่ที่โคนไม้ ละความยินดีที่เกิดแต่อารมณ์เจริญฌาน
           
อยู่ธรรมดาคฤหัสถ์ควรจะบริโภคกามตามความสุข แก่แล้วจึงควรจะ
           
ประพฤติธรรมอันเจริญงามนี้ในภายหลัง ดิฉันสำคัญว่าพระคันธกุฎี
           
ที่ประทับแห่งพระพิชิตมารว่างเปล่าจึงเข้าไป ได้เห็นพระพิชิตมาร
           
ดังดวงอาทิตย์แรกอุทัย ประทับสำราญพระองค์เดียว มีหญิงสาว
           
สวยพัดถวายอยู่ ครั้นแล้วดำริผิดว่าพระผู้มีพระภาคผู้องอาจกว่า
           
นรชนพระองค์นี้มิได้เศร้าหมองหญิงสาวคนนั้น มีรัศมีเปล่งปลั่งดัง
           
ทองคำ มีดวงตางามเช่น ดอกบัว ริมฝีปากแดงดังผลมะพลับสุก
           
ชำเลืองแต่น้อยเป็นที่ยินดีแห่งใจและนัยน์ตา มีลำแขนเหมือน
           
ทองคำ วงหน้าสวย ถันทั้งคู่เต่งตั่งดังดอกบัวตูม มีเอวกลมกล่อม
           
ตะโพกผึ่งผาย ลำขาน่ายินดี มีเครื่องตกแต่งงาม เครื่องประดับ
           
สีแดงแวววาว นุ่งผ้าเนื้อเกลี้ยงสีเขียว มีรูปสมบัติชมไม่เบื่อ
           
ประดับด้วยสรรพาภรณ์ ดิฉันเห็นหญิงสาวนั้นเข้าแล้วคิดว่า โอ
           
หญิงสาวคนนี้รูปงามเหลือเกิน เราไม่เคยเห็นด้วยนัยน์ตาในครั้ง
           
ไหนๆ เลย ขณะนั้น หญิงสาวคนนั้นถูกชราย่ำยี มีผิวพรรณแปลก
           
ไป หน้าเหี่ยว ฟันหัก ผมหงอก น้ำลายไหล หน้าไม่สะอาด ใบหู
           
แข็งกระด้าง นัยน์ตาขาว นมยานไม่งาม ตัวตกกระทั่วไป ร่างกาย
           
สั่นตลอดศีรษะ หลังขด มีไม้เท้าเป็นคู่เดิน ร่างกายซูบผอมลีบไป
           
สั่นงั่นงก ล้มลงแล้วหายใจถี่ๆ ลำดับนั้น ความสังเวชอันไม่เคย
           
เป็นทำให้ขนลุกชูชันได้มีแก่ดิฉันว่า น่าตำหนิรูปอันไม่สะอาด
           
ที่พวกคนพาลยินดีกัน ขณะนั้น พระพุทธเจ้าผู้ทรงพระกรุณามาก
           
มีพระทัยปีติโสมนัส ทอดพระเนตรเห็นดิฉันผู้มีใจสังเวชแล้ว ได้
           
ตรัสพระคาถานี้ว่า ดูกรพระนางเขมา เชิญดูร่างกายอันกระสับ
           
กระส่าย ไม่สะอาดโสโครก ไหลเข้า ถ่ายออก ที่พวกพาลชนยินดี
           
กันซิ ท่านจงอบรมจิตให้เป็นสมาธิมีอารมณ์เดียวด้วยอสุภารมณ์เถิด
           
ท่าน จงมีกายคตาสติมากไปด้วยความเบื่อหน่ายเถิด รูปหญิงนี้ฉันใด
           
รูปของท่านนั้นก็ฉันนั้น รูปของท่านฉันใด รูปหญิงนี้ก็เป็นฉันนั้น
           
ท่านจงคลายความพอใจในกายทั้งภายในภายนอกเสียเถิด จงอบรม
           
อนิมิตตวิโมกข์ จงละมานานุสัยเสีย ท่านจักเป็นผู้สงบประพฤติไป
           
เพราะละมานานุสัยนั้นได้.
           
ชนเหล่าใด กำหนัดด้วยราคะเกาะกระแสอยู่เหมือน
           
แมลงมุมเกาะใยตรงกลางที่ทำไว้เอง ชนเหล่านั้นตัด
           
ราคะนั้นเสีย ไม่มีความอาลัย ละกามสุขไป ย่อม
           
ละเว้นได้.
           
ขณะนั้น พระบรมศาสดาผู้เป็นสารถีฝึกนรชน ทรงทราบดิฉันว่า
           
มีจิตควรแล้ว จึงทรงแสดงมหานิทานสูตรเพื่อจะทรงแนะนำดิฉัน
           
ดิฉันได้ฟังสูตรอันประเสริฐนั้นแล้ว จึงระลึกถึงสัญญาในกาลก่อน
           
ได้ ดำรงอยู่ในสัญญานั้นแล้ว ชำระธรรมจักษุให้หมดจด ทันใดนั้น
           
ดิฉันหมอบลงแทบพระบาทยุคลแห่งพระเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
           
เพื่อประสงค์จะแสดงโทษ จึงได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ทรง
           
เห็นแจ้งธรรมทั้งปวง หม่อมฉันขอถวายนมัสการแด่พระองค์ ข้าแต่
           
พระองค์ผู้มีพระกรุณาเป็นที่อยู่ หม่อมฉันขอถวายนมัสการแด่พระ-
           
องค์ ข้าแต่พระองค์ผู้เสด็จข้ามสงสารแล้ว หม่อมฉันขอถวายนมัส-
           
การแด่พระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้ประทานอมตธรรม หม่อมฉันขอ
           
ถวายนมัสการแด่พระองค์หม่อมฉันแล่นไปแล้วสู่ทิฏฐิอันรกชัฏหลง-
           
ใหลเพราะกามราคะ พระองค์ทรงแนะนำด้วยอุบายที่ชอบเป็นผู้ยินดี
           
แล้วในธรรมที่ทรงแนะนำ สัตว์ทั้งหลายเหินห่างจากการเห็นท่าน
           
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่เช่นพระองค์ ย่อมประสบมหันตทุกข์ใน
           
สังสารสาคร เมื่อใดหม่อมฉันยังมิได้มาเฝ้าพระองค์ผู้เป็นสรณะแห่ง
           
สัตว์โลก ไม่เป็นศัตรูแก่สัตว์โลก เสด็จถึงที่สุดแห่งมรณะ มีธรรม
           
เป็นประโยชน์อย่างดี หม่อมฉันขอแสดงโทษนั้น หม่อมฉันมัวยินดี
           
ในรูป ระแวงว่าพระองค์ไม่ทรงเกื้อกูล จึงมิได้มาเฝ้าพระองค์ผู้ทรง
           
เกื้อกูลมาก ทรงประทานธรรมอันประเสริฐ หม่อมฉันขอแสดง
           
โทษนั้น ครั้งนั้น พระองค์ผู้ทรงพระมหากรุณา มีพระกระแสเสียง
           
อันไพเราะ เมื่อทรงเอาน้ำอมฤตรดดิฉัน ได้ตรัสว่า ดูกรพระนาง
           
เขมา หยุดอยู่เถิดครั้งนั้น ดิฉันประนมนมัสการด้วยเศียรเกล้า
           
ทำประทักษิณพระองค์แล้ว กลับไปเฝ้าพระราชสวามีผู้เป็นนรบดี
           
แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงทรมานข้าศึก น่าชมอุบาย
           
อย่างดีนั้น ที่พระองค์ทรงดำริแล้ว พระมุนีเจ้าผู้ไม่มีกิเลสเหมือนป่า
           
หม่อมฉันผู้ปรารถนาจะชมพระมหาวิหารเวฬุวันได้เฝ้าแล้ว ถ้า
           
พระมหาราชจะทรงพระกรุณาโปรด หม่อมฉันผู้เบื่อหน่ายในรูปตาม
           
ที่พระพุทธมุนีตรัสสอน จักบวชในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้คงที่
           
พระองค์นั้น.
                        
จบทุติยภาณวาร.
           
ครั้งนั้น พระเจ้าพิมพิสารพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้น ทรงประ-
           
นมกรอัญชลีตรัสว่า ดูกรพระน้องนาง พี่อนุญาตแก่พระน้อง
           
บรรพชาจงสำเร็จแก่พระน้องเถิด ครั้งนั้น ดิฉันบวชมาแล้วได้เจ็ด
           
เดือน เห็นประทีปสว่างขึ้นและดับไปมีใจสังเวช เบื่อหน่ายใน
           
สรรพสังขาร ฉลาดในปัจจยาการข้ามพ้นจตุรโอฆะแล้ว ได้บรรลุ
           
อรหัต เป็นผู้ชำนาญในฤทธิ์ในทิพโสตธาตุและเจโตปริยญาณ รู้ชัด
           
ปุพเพนิวาสญาณชำระทิพจักษุให้บริสุทธิ์ มีอาสวะทั้งปวงหมดสิ้น
           
แล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีก ญาณอันบริสุทธิ์ของดิฉัน ในอรรถะ
           
ธรรมะ นิรุติและปฏิภาณ เกิดขึ้นแล้วในพระพุทธศาสนา ดิฉัน
           
เป็นผู้ฉลาดในวิสุทธิทั้งหลาย คล่องแคล่วในกถาวัตถุ รู้จักนัยแห่ง
           
อภิธรรม ถึงความชำนาญในศาสนา ภายหลัง พระราชสวามีผู้ฉลาด
           
ตรัสถามปัญหาละเอียดในโตรณวัตถุ ดิฉันได้วิสัชนาโดยควรแก่กถา
           
ครั้งนั้น พระราชาเสด็จเข้าเฝ้าพระสุคตเจ้าแล้ว ทูลสอบถามปัญหา
           
เหล่านั้น พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์เป็นอย่างเดียวกันกับที่ดิฉัน
           
วิสัชนาแล้ว พระพิชิตมารผู้อุดมกว่านรชน ทรงพอพระทัยใน
           
คุณสมบัตินั้น จึงทรงตั้งดิฉันไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะว่า เป็นผู้เลิศ
           
กว่าบรรดาภิกษุณีที่มีปัญญามาก ดิฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ...
           
พระพุทธศาสนาดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว.
     
ทราบว่า ท่านพระเขมาภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
                      
จบเขมาเถริยาปทาน.
                    
อุบลวรรณาเถริยาปทานที่ ๙
                
ว่าด้วยบุพจริยาของพระอุบลวรรณาเถรี
      [
๑๕๙] พระอุบลวรรณาภิกษุณีถึงความสำเร็จแห่งฤทธิ์ ถวายบังคมพระ-
           
ยุคลบาทของพระศาสดาแล้วทูลว่า ข้าแต่พระมหามุนีหม่อมฉันข้าม
           
พ้นชาติ สงสารได้แล้วบรรลุถึงอจลบท หมดสิ้นสรรพทุกข์แล้ว
           
ขอประชุมชนผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และพวกชนที่หม่อมฉัน
           
ได้ทำความผิดให้ จงอดโทษให้หม่อมฉันเฉพาะพระพักตร์ พระ-
           
พิชิตมาร ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันขอกราบทูลว่า เมื่อ
           
หม่อมฉันท่องเที่ยวอยู่ในสงสาร ถ้ามีความผิดพลาดขอพระองค์ได้
           
ทรงโปรดประทานโทษแก่หม่อมฉันเถิด.
     
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
           
ดูกรอุบลวรรณา ผู้ทำตามคำสอนของเราท่านจงแสดงฤทธิ์ตัดความ
           
สงสัยแห่งบริษัทสี่ในวันนี้เถิด.
     
พระอุบลวรรณาเถรีกราบทูลว่า
           
ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก มีปัญญาทรงไว้ซึ่งความรุ่งเรือง
           
หม่อมฉันเป็นธิดาแห่งพระองค์มีกรรมที่ทำยากมากมีกรรมที่ทำแสน
           
ยากทำไว้แล้ว ข้าแต่พระมหาวีระผู้มีจักษุหม่อมฉันมีนามว่าอุบล
           
วรรณา เพราะมีสีกายเหมือนสีดอกอุบล เป็นธิดาแห่งพระองค์
           
ขอถวายบังคมพระบาทยุคล พระราหุลเถระและหม่อมฉัน เกิดใน
           
สมภพเดียวกันมากหลายร้อยชาติ เป็นผู้มีฉันทจิตเสมอกัน มีความ
           
เกิดร่วมสมภพร่วมชาติกัน ในภพนี้ซึ่งเป็นภพหลังก็มีนามเหมือน
           
กันทั้งคู่ พระราหุลเถระผู้เป็นโอรส หม่อมฉันมีนามว่าอุบลวรรณา
           
เป็นธิดา ข้าแต่พระวีรเจ้า ขอเชิญทอดพระเนตรฤทธิ์ของหม่อมฉัน
           
เถิด หม่อมฉันจะแสดงกำลังถวายพระศาสดา พระอุบลวรรณาเถรี
           
เหยียดมือไปวักเอาน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ มาใส่ไว้ในฝ่ามือเหมือน
           
เด็กลงเล่นน้ำมันที่อยู่ในฝ่ามือเหยียดฝ่ามือไปพลิกแผ่นดินแล้ว เอา
           
มาใส่ไว้บนฝ่ามือเหมือนเด็กหนุ่มฉุดปลาเค้า ฉะนั้น เอาฝ่ามือปิด
           
ครอบจักรวาลแล้ว ยังเม็ดฝนสีต่างๆ ให้ตกลง ณ เบื้องบนบ่อยๆ
           
เอาแผ่นดินทำเป็นครก เอาเม็ดกรวดทำเป็นข้าวเปลือก เอาภูเขา
           
สิเนรุทำเป็นสาก แล้วซ้อมอยู่ เหมือนเด็กหญิงซ้อมข้าว ฉะนั้น
           
ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระจักษุหม่อมฉันมีนามว่าอุบลวรรณา เป็นธิดา
           
แห่งพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ มีความชำนาญในอภิญญาทั้งหลาย
           
เป็นผู้ทำตามคำสอนของพระองค์ จักแผลงฤทธิ์ต่างๆ ถวายแด่
           
พระองค์ผู้เป็นนายกของโลก ประกาศนามและโคตรแล้วขอถวาย
           
บังคมพระยุคลบาท ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันเป็นผู้มีความ
           
ชำนาญในฤทธิ์ ในทิพโสตธาตุ และในเจโตปริยญาณ รู้ปุพเพนิ-
           
วาสญาณ ชำระทิพจักษุบริสุทธิ์อาสวะทั้งปวงหมดสิ้นแล้ว บัดนี้
           
ภพใหม่ไม่มีอีก หม่อมฉันมีญาณในอรรถะ ธรรมะ นิรุติและปฏิภาณ
           
กว้างขวาง หมดจดตามสภาพแห่งพระองค์ ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
           
ข้าแต่พระมหามุนี อธิการเป็นอันมาก ที่หม่อมฉันแสดงแล้วใน
           
พระพิชิตมารผู้ประเสริฐทั้งหลายในปางก่อน โดยความพินาศไปแห่ง
           
มัจฉริยะที่สู้รบกันเพื่อประโยชน์แก่พระองค์ ข้าแต่พระมหามุนีผู้มี
           
ความเพียรมาก ขอพระองค์จงทรงระลึกถึงกุศลกรรมเก่าของหม่อม
           
ฉัน และบุญที่หม่อมฉันสั่งสมไว้เพื่อประโยชน์แก่พระองค์ ข้าแต่
           
พระมหาวีรเจ้าเมื่อพระองค์ทรงละเว้นอนาจารในสถานที่ไม่ควรอบรม
           
พระญาณ ให้แก่กล้าอยู่ชีวิตอันสูงสุดหม่อมฉันสละแล้ว เพื่อ
           
ประโยชน์แก่พระองค์ข้าแต่พระมหามุนี พระองค์ได้ประทานชีวิตแก่
           
หม่อมฉันหลายหมื่นโกฏิกัป แม้หม่อมฉันก็บริจาคชีวิตของหม่อมฉัน
           
เพื่อประโยชน์แก่พระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้มีฤทธิ์มิได้มีสิ่งอะไรเปรียบ
           
ปาน มีพระวิริยะก้าวหน้าในกาลนั้นหม่อมฉันอัศจรรย์ใจทุกอย่าง ประ
           
นมกรอัญชลีด้วยเศียรกล้า ได้ทูลว่า กรณียกิจนี้หม่อมฉันได้ทำแล้ว
           
ในกัปที่แสนแต่ภัทรกัปนี้ ครั้งนั้น หม่อมฉันเป็นนางนาคกัญญา
           
มีนามว่าวิมลา คณะนาคสมมติว่า เป็นผู้ดีกว่าพวกนาคกัญญามหา-
           
นาคราชนามว่ามโหรคะ เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา นิมนต์พระ
           
พุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระผู้มีเดชมาก พร้อมด้วยพระสาวก
           
ตกแต่งมณฑปอันสำเร็จด้วยรัตนะบัลลังก์สำเร็จด้วยรัตนะ โปรย
           
ทรายรัตนะ เครื่องอุปโภคสำเร็จด้วยรัตนะ และมรรคาก็ประดับด้วย
           
ธงรัตนะ ต้อนรับพระสัมพุทธเจ้า ประโคมด้วยดนตรีหลายชนิด
           
พระสัมพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลก ทรงแผ่ไปด้วยบริษัท ๔ ประทับ
           
นั่งบนอาสนะอันประเสริฐในภพนาคราชมโหรคะ นาคราชได้ถวาย
           
ข้าวน้ำ และขาทนียโภชนียาหารอย่างดีๆ มีค่ามาก แต่พระผู้มี
           
พระภาคผู้มีบริวารมาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น ครั้น
           
เสวยเสร็จ ทรงล้างบาตรด้วยดีแล้ว ได้ทรงทำกิจคือการอนุโมทนา
           
นางนาคกัญญาผู้มีฤทธิ์มาก เห็นพระสัพพัญญู มีรัศมีเปล่งปลั่ง มี
           
ยศมาก มีจิตเลื่อมใสมีใจเคารพในพระศาสดา ในขณะนั้น พระ-
           
พุทธเจ้าผู้มีความเพียรมาก พระนามว่าปทุมุตระทรงทราบวาระจิต
           
ของหม่อมฉันแล้ว ทรงแสดงภิกษุณีรูปหนึ่งด้วยฤทธิ์ ภิกษุณีนั้น
           
คล่องแคล่ว แสดงฤทธิ์เป็นอเนก หม่อมฉันเกิดปีติปราโมทย์ได้
           
ทูลถามพระศาสดาว่า หม่อมฉันได้เห็นฤทธิ์ทั้งหลายที่ภิกษุณีรูปนี้
           
แสดงแล้ว ข้าแต่พระธีรเจ้า ภิกษุณีนั้นเป็นผู้คล่องแคล่วดีด้วย
           
ฤทธิ์เพราะเหตุไร.
     
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นตรัสตอบว่า
           
ภิกษุณีนั้นเป็นโอรสธิดาเกิดแต่ปากเรา มีฤทธิ์มาก ทำตาม
           
อนุศาสนีของเรา เป็นผู้คล่องแคล่วดีด้วยฤทธิ์.
           
หม่อมฉันได้สดับพระพุทธพจน์แล้ว มีความยินดีได้ทูลว่า แม้
           
หม่อมฉันก็ขอเป็นผู้คล่องแคล่วดีด้วยฤทธิ์ เหมือนภิกษุณีองค์นั้น
           
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นนายก หม่อมฉันเบิกบานโสมนัสมีใจอุดมถึงที่
           
แล้ว ขอให้ได้เป็นเช่นภิกษุณีนี้ในอนาคตกาล หม่อมฉันตกแต่ง
           
บัลลังก์อันงามด้วยแก้วมณีและมณฑปอันผุดผ่องแล้ว ทูลอัญเชิญ
           
พระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลก พร้อมด้วยพระสงฆ์ ให้เสวย
           
และฉัน อิ่มหนำสำราญ ด้วยข้าวและน้ำ แล้วได้บูชาพระพุทธเจ้า
           
ด้วยดอกอุบลอันเป็นดอกไม้อย่างดี ที่พวกนาคเรียกกันในสมัยนั้น
           
ว่าดอกอรุณ โดยตั้งความปรารถนาว่า ขอให้สีตัวของเราจงเป็น
           
เช่นกับสีดอกอุบลนี้ ด้วยบุญกรรมที่ทำไว้ดีแล้วนั้นและด้วยการตั้ง
           
เจตน์จำนงไว้ หม่อมฉันละร่างกายมนุษย์แล้วได้ไปสู่สวรรค์ชั้น
           
ดาวดึงส์ จุติจากนั้นแล้วมาเกิดในมนุษย์ ได้ถวายบิณฑบาต พร้อม
           
ด้วยดอกอุบลเป็นอันมากแก่พระสยัมภู ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้
           
พระพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี มีพระเนตรงาม มีพระญาณจักษุใน
           
ธรรม เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ครั้งนั้นหม่อมฉันเป็นธิดาของเศรษฐีใน
           
เมืองพาราณสีอันอุดม ได้นิมนต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นนายก
           
ของโลก พร้อมด้วยพระสงฆ์ ถวายมหาทานและบูชาพระพุทธเจ้า
           
นั้นด้วยดอกอุบลเป็นอันมากแล้ว ได้ปรารถนาให้มีผิวพรรณงาม
           
เหมือนดอกอุบล ในภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้ามีพระนามว่ากัสสปะ
           
ผู้เป็นพงศ์พันธุ์แห่งพราหมณ์ มีบริวารยศมากประเสริฐกว่าพวก
           
บัณฑิต เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ครั้นนั้น พระเจ้ากาสีพระนามว่ากิกี
           
ในเมืองพาราณสี อันอุดมเป็นอิสระกว่าชนทั้งหลาย เป็นอุปัฏฐาก
           
ของพระพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ หม่อมฉันเป็นธิดาคนที่
           
สองของท้าวเธอ มีนามปรากฏว่าสมณคุตตา ได้ฟังพระธรรมของ
           
พระพิชิตมารผู้เลิศแล้ว พอใจบรรพชา แต่พระชนกนาถมิได้ทรง
           
อนุญาตให้พวกหม่อมฉัน เมื่อต้องอยู่ในอาคารสถาน ในครั้งนั้น
           
พวกหม่อมฉันผู้เป็นราชกัญญา ตั้งอยู่ในความสุขมิได้เกียจคร้าน
           
ประพฤติพรหมจรรย์ตั้งแต่เป็นกุมารีอยู่สองหมื่นปี ราชธิดาทั้ง ๗
           
พระองค์ คือ นางสมณี ๑ นางสมณคุตตา ๑ นางภิกขุณี ๑ นาง
           
ภิกขุทาสิกา ๑ นางธรรมา ๑ นางสุธรรมา ๑ และนางสังฆทาสี
           
เป็นที่ ๗ เป็นผู้ยินดีพอใจในการบำรุงพระพุทธเจ้า ได้มาเป็น
           
หม่อมฉัน เป็นพระเขมาเถริผู้มีปัญญา เป็นพระปฏาจาราเถรี เป็น
           
พระกิสาโคตมี เป็นพราธรรมทินนาเถรีและเป็นวิสาขาอุบาสิกาคน
           
ที่ ๗ ด้วยบุญกรรมที่ทำไว้ดีนั้น และด้วยการตั้งเจตน์จำนงไว้
           
หม่อมฉันละร่างกายมนุษย์แล้ว ได้ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์จุติจาก
           
นั้นแล้วมาเกิดในสกุลใหญ่ในพวกมนุษย์ ได้ถวายผ้าอย่างดีมีสี
           
เหลือง เนื้อเกลี้ยง แก่พระอรหันต์องค์หนึ่งเคลื่อนจากอัตภาพ
           
นั้นแล้ว ไปเกิดในสกุลพราหมณ์ในเมืองอริฏฐะ เป็นธิดาของ
           
พราหมณ์ชื่อติริฏิวัจฉะ มีชื่อว่าอุมมาทันตีมีรูปงามเป็นที่จูงใจให้
           
ยินดี เคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้วไปเกิดในสกุลหนึ่งซึ่งไม่มีความ
           
ในชนบท เป็นผู้ขวนขวายเฝ้าไร่ข้าวสาลี ในครั้งนั้น หม่อมฉัน
           
ได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ได้ถวายข้าวตอกห้าร้อยดอกกับ
           
ดอกปทุม ปรารถนาให้มีบุตร ๕๐๐ คน เมื่อมีบุตรเท่านั้นแล้ว
           
ได้ถวายน้ำผึ้งแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า เคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้
           
เกิดในป่าที่มีสระบัว ได้เป็นพระมเหสีของพระเจ้ากาสีเป็นที่ทรง
           
สักการะโปรดปาน มีพระราชโอรสครบ ๕๐๐ องค์ เมื่อพระราชบุตร
           
เหล่านั้นทรงเจริญวัยแล้วไปทรงเล่นน้ำ ทรงเห็นดอกบัวเข้าแล้ว
           
ต่างก็นำมาเฉพาะองค์ละดอก หม่อมฉันนั้นไม่มีดอกบัว เพราะ
           
พระราชบุตรเหล่านั้นเก็บเสีย ก็มีความโศก เคลื่อนจากอัตภาพนั้น
           
แล้ว ไปเกิดในหมู่บ้านข้างภูเขาอิสิคิลิ เมื่อพวกบุตรของหม่อมฉัน
           
รู้ธรรมของพระปัจเจกของพระพุทธเจ้าแล้ว นำยาคูไปถวาย บุตร
           
๘ คน ได้บวชเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ไปสู่บ้านเพื่อภิกษา ใน
           
ขณะนั้น หม่อมฉันเห็นเข้าแล้วระลึกได้ มีขีรธาราพล่านออกเพราะ
           
ความรักบุตร หม่อมฉันมีความเลื่อมใส ได้ถวายยาคูด้วยมือของ
           
ตนแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น หม่อมฉันจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว
           
ไปเกิดในนันทวันในภพดาวดึงส์ ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉัน
           
ท่องเที่ยวไปในภพน้อยภพใหญ่ได้เสวยสุขและทุกข์และบริจาคชีวิต
           
เพื่อประโยชน์แก่พราหมณ์ หม่อมฉันมีทุกข์ก็มาก มีสมบัติ
           
ก็มากดังที่กราบทูลมานี้ ในภพหลังสุดที่ถึงแล้วนี้ หม่อมฉัน
           
เกิดในสกุลเศรษฐีทรัพย์มากประกอบด้วยสุขสมบัติ มีความรุ่งเรือง
           
ด้วยรัตนะต่างๆ มั่งคั่งด้วยกามสุขทั้งปวงในพระนครสาวัตถีเป็นผู้ที่
           
ประชุมชนสักการะบูชานับถือยำเกรง ประกอบด้วยรูปสมบัติ อัน
           
พหุชนในสกุลทั้งหลายสักการะและปรารถนาอย่างยิ่ง เพราะรูปสิริ
           
และโภคสมบัติ พวกเศรษฐีบุตรหลายร้อยต่างมุ่งหมายกัน หม่อมฉัน
           
ละเรือนออกบวช ยังไม่ถึงกึ่งเดือนก็ได้บรรลุจตุสัจจธรรม หม่อมฉัน
           
นิรมิตรถเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสด้วยฤทธิ์แล้ว ขอถวายบังคมพระ-
           
ยุคลบาทของพระพุทธเจ้าผู้เป็นพระโลกนาถมีพระสิริ.
 
มารกล่าวกะหม่อมฉันว่า
           
ท่านเข้ามาสู่กอไม้ที่มีดอกแย้มบานดี ยืนอยู่โคนต้นรังผู้เดียว
           
มิได้มีใครเป็นเพื่อน ท่านผู้โง่เขลาท่านไม่กลัวพวกนักเลงหรือ.
 
หม่อมฉันกล่าวว่า
           
พวกนักเลงตั้งแสนคนมาในที่นี้เหมือนกับท่าน ก็ไม่ทำให้ขนของ
           
เราหวั่นไหว ดูกรมาร ท่านผู้เดียวจักทำอะไรเราได้.
           
เรานี้จักหายไปเสีย หรือว่าเข้าไปในท้องท่าน ท่านจักไม่เห็นเราแม้
           
ยืนอยู่ที่ระหว่างคิ้วท่าน เรามีความชำนาญในจิตเจริญอิทธิบาทดีแล้ว
           
พ้นจากสรรพกิเลสเครื่องผูกทั้งปวงแล้วดูกรมารผู้มีอายุ เรามิได้กลัว
           
ท่าน กามทั้งหลายเปรียบด้วยหอกและหลาว แม้ขันธ์ทั้งหลายก็
           
คล้ายกองไฟ ท่านกล่าวถึงความยินดีในกาม บัดนี้ เราไม่มีความ
           
ยินดีในกาม ความเพลินในอารมณ์ทั้งปวง เรากำจัดแล้ว กองมืดเรา
           
ทำลายแล้ว ดูกรมารผู้ลามก ท่านจงรู้อย่างนี้ ท่านจงหายไปเถิด
           
พระพิชิตมารผู้เป็นนายกชั้นพิเศษ ทรงพอพระทัยในคุณสมบัตินั้น
           
จึงทรงตั้งดิฉันไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะในหมู่บริษัทว่า อุบลวรรณา
           
ภิกษุณีเป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุณีที่มีฤทธิ์ ดิฉันบำรุงพระบรมศาสดา
           
แล้ว ทำพระพุทธศาสนาเสร็จแล้ว ปลงภาระอันหนักลงแล้ว
           
ปลงภาระอันหนักลงแล้ว ถอนตัณหาที่นำไปสู่ภพหมดแล้ว ดิฉัน
           
บรรลุถึงประโยชน์ คือ ธรรมเป็นที่สิ้นสังโยชน์ทั้งปวง ที่กุลบุตร
           
ทั้งหลายออกบวชเป็นบรรพชิตต้องการนั้นแล้ว พวกทายกน้อมเข้า
           
มาซึ่งจีวร บิณฑบาตเสนาสนะและเภสัชปัจจัย โดยขณะหนึ่งมาก
           
หลายพัน.
 
ทราบว่า ท่านพระอุบลวรรณาภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
                    
จบอุบลวรรณาเถริยาปทาน.
                    
ปฏาจาราเถริยาปทานที่ ๑๐
                
ว่าด้วยบุพจริยาของพระปฏาจาราเถรี
      [
๑๖๐] ในกัปที่หนึ่งแสนแต่ภัทรกัปนี้ พระพิชิตมารผู้นายกของโลกพระนาม
           
ว่าปทุมุตระ ทรงรู้จบธรรมทั้งปวง เสด็จอุบัติขึ้นแล้วครั้งนั้น ดิฉัน
           
เกิดในตระกูลเศรษฐี อันมีความรุ่งเรืองด้วยรัตนะต่างๆ ในเมือง
           
หงสวดี เป็นผู้เพียบพร้อมด้วยความสุขเป็นอันมาก ดิฉันเข้าไปเฝ้า
           
พระมหาวีรเจ้าพระองค์นั้นแล้วได้ฟังพระธรรมเทศนา มีความเลื่อม
           
ใสอันเกิดในพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นได้ถึงพระองค์เป็นสรณะ ครั้ง
           
นั้น พระผู้มีพระภาคทรงสรรเสริญภิกษุณีองค์หนึ่ง ผู้มีความละอาย
           
คงที่คล่องแคล่วในกิจที่ควรและกิจที่ไม่ควร ว่าเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณี
           
ทั้งหลายฝ่ายทรงวินัย ดิฉันมีจิตยินดีปรารถนาตำแหน่งนั้น จึงนิมนต์
           
พระทศพลผู้เป็นนายกพร้อมด้วยพระสงฆ์ให้เสวยและฉันตลอด
           
สัปดาห์หนึ่ง ถวายบาตรและจีวรแล้วซบศีรษะลงแทบพระบาท
           
แล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระธีรมุนีผู้นายกของโลก ภิกษุณีองค์ใด
           
พระองค์ทรงสรรเสริญในตำแหน่งอันประเสริฐกว่าภิกษุณีสงฆ์นี้ ถ้า
           
ตำแหน่งนั้นมะสำเร็จแก่หม่อมฉัน หม่อมฉันจักเป็นเช่นภิกษุณี
           
องค์นั้น ครั้งนั้น พระศาสดาได้ตรัสกะดิฉันว่า นางผู้เจริญ อย่าง
           
กลัวเลย จงเบาใจเถิด ท่านจักได้ตำแหน่งนั้นตามใจปรารถนาใน
           
อนาคตกาล ในกัปที่หนึ่งแสนแต่กัปนี้ พระศาสดาพระนามว่าโคดม
           
มีสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ท่าน
           
ผู้เจริญนี้ จักได้เป็นภิกษุณีธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น
           
เป็นโอรสอันธรรมนิรมิต เป็นสาวิกาของพระศาสดา มีนามว่า
           
ปฏาจารา ครั้งนั้น ดิฉันยินดีมีจิตประกอบด้วยเมตตา บำรุงพระ-
           
พุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลกกับพระสงฆ์จนตลอดชีวิต ด้วย
           
กุศลกรรมที่ได้ทำไว้แล้วนั้น และด้วยการตั้งเจตน์จำนงไว้ ดิฉัน
           
ละร่างกายมนุษย์แล้ว ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในภัทรกัปนี้ พระ
           
พุทธเจ้าพระนามว่ากัสสป ผู้เป็นพงศ์พันธุ์ แห่งพราหมณ์ มีบริวาร
           
ยศมากประเสริฐกว่าพวกบัณฑิต เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ครั้งนั้น พระเจ้า
           
กาสีพระนามว่ากิกีผู้เป็นใหญ่กว่านรชน ในพระนครพาราณสีอันอุดม
           
ทรงเป็นอุปัฏฐากของพระศาสดาผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ดิฉันเป็น
           
พระธิดาคนที่สามของท้าวเธอมีนามปรากฏว่าภิกษุณี ได้ฟังธรรมของ
           
พระพิชิตมารผู้เลิศแล้ว พอใจบรรพชา ... ด้วยกุศลกรรมที่ได้ทำไว้
           
แล้วนั้น และด้วยการตั้งเจตน์จำนงไว้ดิฉันละร่างกายมนุษย์แล้วได้
           
ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในภพหลัง บัดนี้ ดิฉันเกิดในสกุลเศรษฐี
           
ที่มั่งคั่งเจริญ มีทรัพย์มากในพระนครสาวัตถี เมื่อใด ดิฉันเจริญวัย
           
เป็นสาวตกอยู่ในอำนาจวิตก พบบุรุษชาวชนบทผู้หนึ่งแล้วได้ไป
           
กับเขา ดิฉันคลอดบุตรคนหนึ่ง มีท้องบุตรคนที่สอง เมื่อนั้น
           
ดิฉันปรารถนาว่า จะไปเยี่ยมมารดาบิดา ครั้งนั้น ดิฉันมิได้บอกสามี
           
เมื่อสามีของดิฉันเข้าไปป่า ดิฉันคนเดียวออกจากเรือน จะไปยัง
           
พระนครสาวัตถีอันอุดม ภายหลังสามีของดิฉันมาตามทันที่หนทาง
           
เวลานั้น ลมกรรมชวาตอันทำให้เจ็บปวดเหลือทนเกิดขึ้นแก่ดิฉัน
           
ทั้งมหาเมฆก็เกิดขึ้นในเวลาที่ดิฉันจะคลอด สามีไปหาที่กำบังก็ถูกงู
           
กัดตาย เวลานั้นดิฉันมีทุกข์ที่จะคลอด หมดที่พึ่ง เป็นคนกำพร้า
           
เดินไปเห็นแม่น้ำน้อยแห่งหนึ่ง ซึ่งมีน้ำเต็มเป็นที่อยู่แห่งสัตว์น้ำ
           
อุ้มบุตรน้อยข้ามไป ที่ฝั่งข้างโน้นคนเดียว ให้บุตรน้อยดื่มนมแล้ว
           
ประสงค์จะให้บุตรคนใหญ่ข้าม จึงกลับมา เหยี่ยวตัวหนึ่ง เฉี่ยว
           
บุตรน้อยที่ร้องจ้าไปเสียแล้ว บุตรคนใหญ่ก็ถูกกระแสน้ำพัดไป
           
ดิฉันนั้นมากไปด้วยความโศกเดินไปยังพระนครสาวัตถี ได้ยินข่าวว่า
           
มารดาบิดาและพี่ชายของตนตายเสียแล้ว เวลานั้น ดิฉันแน่นไป
           
ด้วยความโศกเปี่ยมไปด้วยความโศกมาก ได้กล่าวว่า บุตรสองคน
           
ตายเสียแล้ว สามีของเราก็ตายเสียในป่า มารดาบิดาและพี่ชาย
           
ของเรา ก็ถูกเผาที่เชิงตะกอนเดียวกัน ครั้งนั้น ดิฉันทั้งซูบผอม
           
ทั้งผิวเหลือง ไม่มีที่พึ่ง ตรอมใจทุกวัน เมื่อเดินไปข้างนี้ข้างนั้นได้
           
เห็นพระผู้มีพระภาค ผู้เป็นสารถีฝึกนรชน ขณะนั้น พระศาสดา
           
ได้ตรัสกะดิฉันว่า ท่านอย่าโศรกเศร้าถึงบุตรเลยจงเบาใจเถิด จง
           
แสวงหาตนของท่านเถิดเดือดร้อนไปไม่มีประโยชน์อะไรเลย บุตร
           
ธิดา ญาติและพวกพ้องไม่ป้องกันคนผู้ถึงที่ตายได้เลย ความป้อง
           
กันไม่มีในญาติทั้งหลาย ดิฉันได้ฟังพระพุทธพจน์นั้นแล้ว ได้บรรลุ
           
ถึงปฐมผล บวชแล้วไม่นานก็ได้บรรลุอรหัตผล เป็นผู้มีความ
           
ชำนาญในฤทธิ์และทิพโสตธาตุ รู้ปรจิตตวิชา เป็นผู้ปฏิบัติตามคำ
           
สอนของพระพุทธเจ้ารู้ปุพพนิวาสญาณชำระทิพยจักษุให้บริสุทธิ์ ทำ
           
อาสวะทั้งปวงให้สิ้นไปแล้ว เป็นผู้บริสุทธิ์หมดมลทินด้วยดี ในกาล
           
นั้น ดิฉันศึกษาพระวินัยทั้งปวงในสำนักพระบรมศาสดา ผู้ทรง
           
เห็นธรรมทั้งปวงและกล่าวพระวินัยทั้งมวลกว้างขวางได้ตามจริง
           
พระพิชิตมารทรงพอพระทัยในคุณสมบัตินั้น จึงทรงตั้งดิฉันไว้ใน
           
ตำแหน่งเอตทัคคะว่าปฏาจาราภิกษุณีผู้เดียวเลิศกว่าพวกภิกษุณีฝ่ายที่
           
ทรงพระวินัย ...
     
ทราบว่า ท่านพระปฏาจาราภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
                    
จบปฏาจาราเถริยาปทาน.
           
ยังมีอีกมาท่าน เป็นร้อยร้อย   แต่ตัดมาเพียงแค่นี้ให้อ่านเล่น

            กลับที่เดิมกด <= บนเมนูด้านบน          จบตอน กลับหน้าแรก 100