เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องแต่งโวหารจินตนาการในช่วงต้น ผสม ผูกโยงเรื่องขึ้นมาจากข้อมูลต่างๆ ทั้งรูปภาพและชื่อต่างๆ ผูกกันแล้วบรรยายเป็นเรื่องเป็นราว ตามจินตนาการณ์ที่มีอารมณ์ร่วมการเป็นนักเขียนสมัครเล่นเผยแผ่เพื่อความบันเทิงในทางธรรม จึงจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จก็ควรวางใจยกไว้ เอาแต่สาระกับความบันเทิง

  

                                   ข้าขอน้อมเศียรมอบกลาบ                ตรงพระบาทแห่งพุทธองค์

                                   จะกล่าวถึงโพธิสัตว์ที่มั่นคง            ที่ดำรงอยู่ในพุทธศาน

                                   ได้ปฏิบัติตามธรรมพุทธองค์           แล้วประสงค์บอกกล่าวเล่าขาน

                                   เพื่อก่อเกิดศรัทธาตามกาล               เป็นธรรมทานตามที่ควร

 

      กาลเมื่อสมัยพุทธันดรก่อนหน้าของภัทรกัปปัจจุบันนี้  ได้บังเกิดมีพราหมณ์  เจ้าบ้านใหญ่  เป็นที่รู้จักของใครๆ  เพราะมีเมตตาและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ปกครองลูกบ้านอย่างสงบสุข   ให้ทานแก่ผู้คนและสัตว์ทั้งหลายเป็นประจำ  มีพราหมณี ที่แสนดีเป็นคู่ครอง     

       ก็ในกาลนั้นก็บังเกิดมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น  ทรงมีพระนามว่า พระกัสสปะพุทธเจ้า  พระนามพร้อมพระธรรมคำสั่งสอนได้กระจายไกล  ถึงหมู่บ้านที่เจ้าบ้านใหญ่ ดูแลอยู่   เมื่อรู้ว่าบังเกิดมีพระพุทธเจ้า พราหมณ์เจ้าบ้านใหญ่ ก็บังเกิดศรัทธาแค่เพียงได้ยินแค่พระนามของพระพุทธเจ้าเท่านั้น 

        ก็พอดีในกาลนั้นพระพุทธเจ้าทรงได้ดำเนินโปรดเวไนยสัตว์  ผ่านทางหมู่บ้านของพราหมณ์เจ้าบ้านใหญ่ เพราะความศรัทธาที่มีอยู่แล้วจึงได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ และนิมนตร์ให้พุทธองค์ พร้อมทั้งหมู่สงฆ์พักในหมู่บ้านตน เพื่อให้ตนและชาวบ้านทั้งหลายได้ฟังธรรมและสร้างบุญกุศล  พระพุทธเจ้าก็ตรงตอบรับโดยดุษฎี 

         พราหมณ์เจ้าบ้านใหญ่ก็ ประกาศให้ลูกบ้านจัดเตรียมที่พักและของไทยทานให้พร้อม เพื่อรับรองให้เพียงพอกับพระพุทธเจ้าและเหล่าภิกษุ   ก็เป็นอันว่าพราหมณ์และพราหมณีพร้อมทั้งชาวบ้านทั้งหลาย ต่างได้ทำบุญถวายสังฆทานแก่พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระสาวก และได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์ ตลอดเวลาทั้ง 7 วัน ยังความปีติและศรัทธาแก่พราหมณ์เจ้าบ้านเป็นอย่างยิ่ง

        ในเพลวันที่ 7 หลังจากพระกัสสปะพุทธเจ้าและเหล่าพระสาวก ฉันภัตตาหารเสร็จ  พระพุทธเจ้าก็ทรงเทศนา ซึ่งพราหมณ์และพราหมณีเจ้าบ้าน นั่งฟังธรรมอยู่เบื้องหน้าพระพุทธองค์   เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเทศนาจบ  แล้วพระพุทธองค์ทรงลุกขึ้นเพื่อจะนำเหล่าพระสาวกจากไป  แล้วพระพุทธเจ้าทรงชี้พระกรไปยัง พราหมณ์เจ้าบ้านที่นั่งพนมมือไหว้อยู่ใกล้กับพราหมณี

       แล้วทรงตรัสด้วยสุระเสียงอันจัดเจนว่า  “ต่อไปในอนาคตภายภาคหน้าพราหมณ์เจ้าบ้านผู้นี้ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเหมือนดั่ง คถาคด ” 

 

                         

                หมายเหตุ ภาพนี้เป็นภาพในวัดประเทศอินเดีย ที่ผู้วาดเจตนาวาดเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันที่ทรงยืนพร้อมกับเหล่าภิกษุสงฆ์กำลังให้พรหรือแสดงธรรมให้กับเหล่าพราหมณ์ที่นั่งอยู่  โดยเสมือนพระพุทธองค์ทรงทอดพระเนตรไปยังพราหมณ์ผู้หนึ่งที่มีพราหมณีนั่งอยู่ใกล้  ข้าพเจ้าจึงเอาภาพนี้เป็นแบบ สมมุติว่าเป็นเหตุการณ์พอจะใกล้เคียงกันได้ โดยตกแต่งลบรอยตำหนิและส่วนที่ไม่ต้องการของภาพบางส่วนออก

 

       หลังจากพระกัสสปะพุทธเจ้าทรง พุทธพยากรณ์แล้ว พระพุทธองค์ก็ดำเนินจากไปพร้อมเหล่าพระสาวก ไปยังทิศอื่น

 

       พราหมณ์เจ้าบ้านเกิดศรัทธาต่อพระพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง  เมื่อกาลเวลาผ่านไปไม่นานก็ได้ออกบวชในพุทธศาสนา จนมรณภาพ แล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนดุสิตสวรรค์    หลังจากนั้นก็เกิดตายวนเวียนในวัฏสงสารต่อไปหลายๆ พระชาติ  จวบจนเกือบถึงก่อนพุทธกาลในปัจจุบัน ก็ได้เกิดเป็น  เทวดาบนชั้นดุสิตมีวิมานเป็นของตนมีบริวารหลายพันองค์เกือบหมื่น ได้ชื่อว่าเป็นเทพที่มียศ  มีนามว่า โชตมัตตะเทพบุตร  

 

            ดุสิตสวรรค์ในขณะนั้น  ก็เกิดมีมหาโพธิสัตว์บังเกิดอยู่นามว่า พระเสตุเกตุเทพบุตร มีเทพบริวารมากมายนักดำรงอยู่ก่อนแล้ว  เหล่าเทพทั้งหลายต่างศรัทธาในพระองค์   แม้กระทั้งโชตมัตตะเทพบุตรผู้เกิดมาในภายหลังก็ศรัทธาต่อพระองค์  เพราะมีการเล่าขานกันในหมู่เทพทั้งหลายว่า พระเสตุเกตุเทพบุตรนี้จะได้จุติจากสวรรค์ ไปเกิดบนโลกมนุษย์แล้วจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแม้นมั่น

           แต่ท่านโชตมัตตะ ประสงค์จะลงไปสร้างบารมี จึงทำการอธิมุต ลงไปเกิดเป็นมนุษย์ โดยมีได้บอกผู้ใด ทั้งที่วิมานและเหล่าเทพบริวารก็ยังอยู่เหมือนดังเดิม เมื่อลงไปเกิดเป็นมนุษย์ก็ได้สร้างบารมีที่เป็นบุญก็มี และได้ทำบาปกรรมก็มี ด้วยความเป็นใหญ่ จึงทำอกุศลกรรมทั้งทำร้ายและริดลอนสิทธิ์ผู้อื่น มีอายุขัยประมาณ 100 ปี จึงตกอบายภูมิ ขณะที่ตกอยู่ในอบายภูมิ ไม่กี่ปี  แต่ในขณะนั้นท่านพระเสตุเกตุเทพบุตรดำรงอยู่ในดุสิตสวรรค์จนเต็มอายุขัยแล้ว  ก็มีการประชุมกันของเหล่าเทพและพระพรหมต่างๆ ทั่วทั้งสากลจักรวาล ต่างก็มาเชิญชวนให้พระมหาโพธิสัตว์พระเสตุเกตุเทพบุตร เสด็จจุติ เพื่อลงไปเกิดบนมนุษย์โลก จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า  ที่จะพึงมีขึ้นในโลก

           แต่ท่านโชตมัตตะเทพบุตร กลับเสวยกรรมอยู่ในอบายภูมิ   เมื่อพระมหาโพธิสัตว์พระเสตุเกตุเทพบุตร ตรวจสอบปัจจัยต่างๆ พร้อมแล้ว ก็จุติลงไปเกิดบนมนุษย์โลก   แต่วิบากกรรมของท่านโชตมัตถะนั้นหาได้ส่งผลยาวนาน จะหลุดพ้นแล้วเกิดเป็นนก จะได้พบกับเจ้าชายช่วยชีวิตไว้ และให้คติธรรรม สามารถเข้าใจธรรม เกิดศรัทธา หลังจากนั้นดำเนินชีวิตเป็นนกอีกไม่กี่ปีก็ตายจากภพเดรัชฉานนั้น แล้วจะกลับเกิดเป็น โชตมัตตะเทพบุตรดังเดิม โดยเหล่าเทพบริวารหาได้ทราบไหมว่า เจ้าวิมานแห่งตนนั้นได้หายไปจากวิมานเป็นเวลา ครึ่งวัน ของสวรรค์ชั้นดุสิต หลังจากนั้นก็จะได้ลงมาเฝ้าพระพุทธเจ้าอีกครั้งในนาม โชตมัตถะเทพบุตร เกิดศรัทธาอย่างล้นพ้น จึงดำรงตนเหมือนดังเพศภิกษุ อยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต

 

           กล่าวถึงพระเสตุเกตุเทพบุตร เมื่อเหล่าเทวดาทั้ง หมื่นโลกธาตุ อันเชิญ พระมหาสัตว์พระเสตุเกตุเทพบุตรจุติลงไปเกิดบนโลกมนุษย์ เพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จนมหาโพธิสัตว์พระเสตุเกตุเทพบุตรทรงจุติ ก็ปรากฏมีแสงสว่างสะไหวไปทั่วสากลโลก พร้อมทั้งพระนางมหามายาเทวี มเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะเจ้าเมืองกรุงกบิลพัสดุ์ อยู่ในราชวงค์โคตมะ ทรงพระสุบิน เห็นช้างเผือกลอยจากฝากฟ้ามาหาพระนาง แล้วพระนางทรงตั้งพระครรภ์

 

                        

 

      เมื่อมหาโพธิสัตว์อยู่ในพระครรภ์ 10 เดือนพระนางมหามายาเทวีออกเดินทางเพื่อจะไปคลอดพระครรภ์ที่เมืองเทวทหะซึ่งเป็นเมืองพระราชบิดาของพระนาง แต่ระหว่างทางก็ทรงประสูติกาล ที่สวนลุมพินีวัน อยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์กับเมืองเทวะทหะ

 

                           

 

        พระนางมหามายาเทวีทรงประสูติพระมหาโพธิสัตว์ในท่ายืนมือขวาจับกิ่งไม้  เมื่อมหาโพธิสัตว์คลอดออกมาก็ทรงยืนอยู่โดยมีดอกบัวผุดขึ้นมารับพระบาททั้งสอง พร้อมทั้งปรากฏแสงสว่างสะไหวไปทั่วทั้งสากลโลก  ด้วยแสงสว่างสะไหวนั้นสัตว์ต่างๆ สามารถมองเห็นซึ่งกันและกันอย่างชัดเจน คือมนุษย์สามารถเห็นเทวดา เห็นพระพรหม เห็นสัตว์อบายภูมิโดยทั่ว    แล้วพระมหาสัตว์ก็ทรงเปล่งพระสุระเสียงทำนองว่า “เราเป็นเอกของโลก” แล้วทรงพระดำเนิน(เดิน)ไปได้ถึง 7 ก้าว โดยแต่ละย่างก้าวก็จะมีดอกบัวผุดขึ้นมารับถึง 7 ดอก  แล้วทรงยืนสงบนิ่งอยู่ หลังจากนั้นแม่นมก็อุ้มพระกุมารมหาโพธิสัตว์ไปดูแล

 

       ดูสถานที่ลุมพินีวันปัจจุบันเป็นดังนี้

 

                     

 

                       ข้อมูล ลุมพีนีวัน  ปัจจุบันเรียกว่า รุมมินเด อำเภอไพราว่า ประเทศเนปาล ห่างจากพรมแดนอินเดียวราว 23 กิโลเมตร สิ่งที่พบคือซากวัดเก่าแก่ สระน้ำที่พระนางมหามายาเทวีทรงสนาน รูปปั้นหินอ่อนตอนพระนางประสูติพระราชโอรส และเสาหินที่พระเจ้าอโศกมหาราชจารึกไว้ว่า เป็นสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า

 

         เมื่อครบเจ็ดวันพระราชกุมารมหาโพธิสัตว์ถูกขนานนามว่า เจ้าชายสิทธัทตะ และพระนางสิริมหามายาก็สวรรคต  โดยมีพระนางประชาบดีโคตรมี ซึ่งเป็นน้องของพระนางสิริมหามายามาเป็นแม่นมแทน  เมื่อเจริญวัยพระชนมายุ 16 ชันษาก็ได้ราชสมรสกับพระนางยโสธรา   และเมื่อพระชนมายุ 29 พรรษา เจ้าชายสิทธัทตะ ก็ทางเห็นมหาภูติทั้ง 4  คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ในเวลาใกล้เคียงกัน และได้เห็นนักบวชโดยที่พระองค์ไม่เคยเห็นมาก่อนในช่วงเจริญวัย เพราะทรงอยู่แต่ในพระราชวัง ทั้ง 3 หลังที่พระเจ้าสุทโธทนะ สร้างไว้ให้ เพราะกันไม่ให้เจ้าชายสิทธัทตะออกบวช ตามที่ฤาษีหรือนักพรตทำนายไว้   ส่วนการเห็นการเกิดนั้น พระองค์ทรงเห็นพระราชโอรสของพระองค์เองประสูติ แล้วทรงตั้งพระนามว่า ราหุล  แปลว่า บ่วงผูกมัด  แล้วเจ้าชายสิทธัทตะก็ทรงตัดสินใจทรงออกบวชในคืนนั้น ที่พระราชโอรสราหุลทรงประสูติ  โดยแอบหนีไปกับ นายฉันนะ เจ้าชายสิทธัทตะทรงม้ากันทกะไป ในก่อนรุ่งสางของคืนนั้น  แต่เมื่อเดินทางออกประตูเมือง พญามารที่เป็นราชาเทพฝ่ายมารบนสวรรค์ชั้น 6 (ปรมิน) เข้ามาห้าม โดยบอกทำนองว่า  “พระองค์จะทรงออกบวชให้ทรมานกายมีแต่ความทุกข์ไปทำไม?  เพราะพระองค์จะได้เสด็จเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ในอีกเจ็ดวันเบื้องหน้า”

     พระมหาโพธิสัตว์ตอบไปทำนองว่า  “ท่านอย่าเป็นมารขว้างเราเลย  เราตั้งใจอย่างมั่นคงแล้วจะออกบวชหาโมกธรรมให้สำเร็จ ท่านจงหลีกทางไปเถิด”

    พญามารจึงหลีกไป พระมหาโพธิสัตว์สิทธัทตะก็เสด็จเดินทางต่อ  เมื่อถึงริมแม่น้ำเจ้าชายสิทธัทตะ ทรงสละม้าพร้อมทั้งนายฉันนะ แล้วพระองค์ทรงปลงพระเกศา และเอาเครื่องแต่งกายให้กับนายฉันนะไป  ส่วนม้ากันทกะเป็นม้าทรงของเจ้าชายสิทธัทตะทั้งแต่ตัวเล็กๆ รักผูกพันกับเจ้าชายสิทธัทตะเป็นอันมาก เมื่อเห็นว่าจะต้องจาก จากเจ้านายจึงเสียใจและตายลง ได้ไปเกิดเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์ ชื่อ โฆษณเทพบุตร     

        เมื่อพระโพธิสัตว์สิทธัทตะเปลี่ยนเป็นผู้ออกบวช ก็เสด็จข้ามแม่น้ำไปอีกฝังหนึ่ง ไปทางกรุงราชคฤห์  เพื่อจะไปยังตำบลอุรุเวลา ที่เป็นแหล่งที่มีฤาษีและนักบวชบำเพ็ญพรตอยู่  เมื่อผ่านกรุงราชคฤห์ก็ได้เจอกับพระเจ้าพิมพิสาร  ซึ่งอยู่ในวัยที่ไม่ต่างกับพระมหาโพธิสัตว์มากนัก ก็คืออยู่ในวัยหนุ่มใหญ่(35-39 พรรษา) พระเจ้าพิมพิสารศรัทธาในปฏิปทาของพระมหาโพธิสัตว์ เมื่อได้สนทนากัน ก็ทรงตรัสบอกกับพระมหาโพธิสัตว์ทำนองว่า “เมื่อพระองค์ได้บรรลุตรัสรู้ธรรมแล้ว โปรดนำมาบอกแนะนำให้หม่อมฉัน เพื่อจะได้แจ้งเห็นธรรมนั้นด้วย”

        พระมหาโพธิสัตว์ทรงรับคำนั้น แล้วจากไปเพื่อแสวงหาสัจจะธรรม  แล้วพระมหาโพธิสัตว์ก็ไปศึกษากับท่านอาฬารดาบส อยู่พักหนึ่ง จนหมดความรู้ของท่านอาฬารดาบส จนได้สมาบัติ 7 แต่ก็ยังไม่บรรลุสัจจะธรรมที่แท้จริง พระบรมโพธิสัตว์ลาจากสำนักของอาฬารดาบส  แล้วพระมหาโพธิสัตว์ก็ไปศึกษากับอุทกดาบส อยู่พักหนึ่ง ก็ถึงสมาบัติ 8 ก็หมดความรู้ของอุทกดาบส แต่ก็ยังไม่บรรลุสัจจะธรรมที่แท้จริง พระมหาโพธิสัตว์จึงลาจากสำนักอุทกดาบส  แล้วพระมหาโพธิสัตว์ก็ทรงดำริทำนองว่า “คงหามีมนุษย์ผู้ใดในโลกที่บรรลุถึงสัจจะธรรมที่แท้จริง ดังนั้นพระองค์ต้องเพียรแสวงหาด้วยกำลังของพระองค์เองตามลำพัง”

        และในขณะนั้นเบญจวัคคีทั้ง 5 นำโดยท่านอัญญาโกนตัญยะ ที่ได้เคยทำนายพระมหาโพธิสัตว์ตอนประสูติกาลใหม่ๆ ทำนองว่า “พระมหาโพธิสัตว์กุมารจะต้องออกบวชและจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน”  ได้ชักชวนกันครบ 5 ท่านเพื่อไปดูแลพระมหาโพธิสัตว์ที่ทรงแสวงหาโพธิญาณ และก็ได้มาปรนนิบัติแก่พระมหาโพธิสัตว์ ตั้งแต่นั้น

 

         พระมหาโพธิสัตว์เมื่อได้ผ่านการศึกษามาแล้วถึง สองสำนักและได้ปฏิบัติตามลำพังแล้วก็ยังไม่สามารถตรัสรู้สัจจะธรรมได้ จึงดำริถึงทางสุดโต่ง คือการทรมานตนให้ถึงที่สุดเพื่อการตรัสรู้สัจจะธรรม ซึ่งเบญจวัคคีทั้ง 5 ก็เห็นดีด้วย   ทั้งแต่นั้นมาพระมหาโพธิสัตว์ก็บำเพ็ญพรตแบบทรมานตนที่ละแบบๆ  ลวงเลยเวลามา 5 ปี ก็หาทรงได้ตรัสรู้สัจจะธรรม  จึงทรงตัดสินใจที่จะลดอาหารให้ถึงที่สุด จนร่างกายของพระเหลือหนังที่หุ้มกระดู  ดังภาพตัวอย่าง

 

                                                

 

           การอดอาหารทรมานของพระมหาโพธิสัตว์เป็นดังนี้    จากที่รับประทานปกติ ในวันต่อมาก็ลดลงทีละส่วนจนใช้เวลาเป็นเดือนๆ สุดท้ายก็ลดอาหารลงเหลือเท่าเมล็ดถั่ว  ร่างกายนั้นผ่ายผอมเหลือเพียงหนังติดกระดูกชี่โครงเห็นกระดูชี่โครงทุกชิ้น ส่วนช่องท้องนั้นผนังท้องปุ่มเข้าไปข้างในจนเกือบติดกับกระดูสันหลัง  พระองค์ทรงมึนวิงเวียนพระเกศา เป็นระยะๆ ก็ยังไม่สามารถตรัสรู้โมกธรรมได้  เมื่อพระมหาโพธิสัตว์เอามือลูบแขนของพระองค์ ก็จะมีขนหลุดออกมาติดฝ่ามือของพระองค์  แล้วพระองค์ทรงดำริทำนองว่า        

       “เราได้ทรมานกายมาถึง 6 ปี  และด้วยการอดอาหารนี้ก็เสมือนกับจะทำให้ชีวิตจะหาไม่  แต่ก็ยังไม่สามารถบรรลุโมกธรรมสัจจะธรรมเลย”

       พอดีกับขณะนั้น ก็ทรงได้ยินเสียงดีดพิณอันไพเราะ ทำเกิดมีสติสัมปัญยะและพิจารณาทำนองว่า  “เปรียบเสมือนดังสายพิณ ถ้าขึงสายพิณตึงเกินไปเวลาดีดเสียงก็ไม่ไฟเราะและสายพิณก็ขาดได้ง่าย   เช่นเดียวกันถ้าขึงสายพิณหย่อนเกินไปเวลาดีดก็ไม่เกิดเสียงหรือเสียงไม่ไพเราะ  ดังนั้นการขึงสายพิณต้องขึงด้วยความพอดี ไม่ตึงเกินไปและหย่อนเกินไปก็สามารถดีดได้เสียงที่ไพเราะ  เช่นเดียวกับกับการแสวงหาโมกธรรม ก็ควรจะดำเนินการปฏิบัติด้วยทางสายกลาง หรือมัฌชิมาปฏิปทา จึงจะแสวงหาโมกธรรมได้โดยง่าย”

         เมื่อพระมหาโพธิสัตว์พิจารณาได้ดังนี้ พระองค์ก็ทรงเสวยอาหารเพิ่มขึ้นตามลำดับ เพื่อให้ร่างกายฟื้นสมบูรณ์ขึ้น เมื่อร่างกายพอสมบูรณ์ขึ้น    ฝ่ายเบญจวัคคีทั้ง 5 เมื่อเห็นเจ้าชายสิทธัทตะ ล้มเลิกในการทรมานตนในการแสวงหาโมกธรรม  ก็คิดไปว่าเจ้าชายสิทธัทตะจะทรงยกเลิกในการแสวงหาโมกธรรม  และเลิกการออกบวช เพื่อกลับไปครองราชย์สมบัติแน่  จึงได้ลาและหลีกจากเจ้าชายสิทธัทตะไป  ปล่อยให้พระองค์อยู่เพียงผู้เดียวตามลำพัง 

             

        เรื่องต่อไปก็จะเป็นเรื่องที่พระบรมโพธิสัตว์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า  ซึ่งได้มีลิงค์อยู่แล้วในหน้าหลักของเว็บ เล่าเรื่องพระพุทธเจ้า  ซึ่งเป็นเหตุการณ์ต่อจากเนื้อเรื่องที่กล่าวด้านบน

         ดูสถานที่พระบรมโพธิสัตว์ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าที่ต้นมหาโพธิ์   ในสภาพปัจจุบันดังนี้...