เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องแต่งโวหารจินตนาการในช่วงต้น ผสม
ผูกโยงเรื่องขึ้นมาจากข้อมูลต่างๆ ทั้งรูปภาพและชื่อต่างๆ
ผูกกันแล้วบรรยายเป็นเรื่องเป็นราว
ตามจินตนาการณ์ที่มีอารมณ์ร่วมการเป็นนักเขียนสมัครเล่นเผยแผ่เพื่อความบันเทิงในทางธรรม
จึงจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จก็ควรวางใจยกไว้ เอาแต่สาระกับความบันเทิง
ข้าขอน้อมเศียรมอบกลาบ
ตรงพระบาทแห่งพุทธองค์
จะกล่าวถึงโพธิสัตว์ที่มั่นคง
ที่ดำรงอยู่ในพุทธศาน
ได้ปฏิบัติตามธรรมพุทธองค์
แล้วประสงค์บอกกล่าวเล่าขาน
เพื่อก่อเกิดศรัทธาตามกาล
เป็นธรรมทานตามที่ควร
กาลเมื่อสมัยพุทธันดรก่อนหน้าของภัทรกัปปัจจุบันนี้ ได้บังเกิดมีพราหมณ์ เจ้าบ้านใหญ่ เป็นที่รู้จักของใครๆ เพราะมีเมตตาและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
ปกครองลูกบ้านอย่างสงบสุข
ให้ทานแก่ผู้คนและสัตว์ทั้งหลายเป็นประจำ มีพราหมณี ที่แสนดีเป็นคู่ครอง
ก็ในกาลนั้นก็บังเกิดมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ทรงมีพระนามว่า พระกัสสปะพุทธเจ้า พระนามพร้อมพระธรรมคำสั่งสอนได้กระจายไกล ถึงหมู่บ้านที่เจ้าบ้านใหญ่ ดูแลอยู่ เมื่อรู้ว่าบังเกิดมีพระพุทธเจ้า
พราหมณ์เจ้าบ้านใหญ่
ก็บังเกิดศรัทธาแค่เพียงได้ยินแค่พระนามของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
ก็พอดีในกาลนั้นพระพุทธเจ้าทรงได้ดำเนินโปรดเวไนยสัตว์ ผ่านทางหมู่บ้านของพราหมณ์เจ้าบ้านใหญ่
เพราะความศรัทธาที่มีอยู่แล้วจึงได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ และนิมนตร์ให้พุทธองค์
พร้อมทั้งหมู่สงฆ์พักในหมู่บ้านตน
เพื่อให้ตนและชาวบ้านทั้งหลายได้ฟังธรรมและสร้างบุญกุศล พระพุทธเจ้าก็ตรงตอบรับโดยดุษฎี
พราหมณ์เจ้าบ้านใหญ่ก็ ประกาศให้ลูกบ้านจัดเตรียมที่พักและของไทยทานให้พร้อม
เพื่อรับรองให้เพียงพอกับพระพุทธเจ้าและเหล่าภิกษุ
ก็เป็นอันว่าพราหมณ์และพราหมณีพร้อมทั้งชาวบ้านทั้งหลาย
ต่างได้ทำบุญถวายสังฆทานแก่พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระสาวก และได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์
ตลอดเวลาทั้ง 7 วัน ยังความปีติและศรัทธาแก่พราหมณ์เจ้าบ้านเป็นอย่างยิ่ง
ในเพลวันที่ 7 หลังจากพระกัสสปะพุทธเจ้าและเหล่าพระสาวก
ฉันภัตตาหารเสร็จ
พระพุทธเจ้าก็ทรงเทศนา ซึ่งพราหมณ์และพราหมณีเจ้าบ้าน
นั่งฟังธรรมอยู่เบื้องหน้าพระพุทธองค์
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเทศนาจบ
แล้วพระพุทธองค์ทรงลุกขึ้นเพื่อจะนำเหล่าพระสาวกจากไป แล้วพระพุทธเจ้าทรงชี้พระกรไปยัง
พราหมณ์เจ้าบ้านที่นั่งพนมมือไหว้อยู่ใกล้กับพราหมณี
แล้วทรงตรัสด้วยสุระเสียงอันจัดเจนว่า ต่อไปในอนาคตภายภาคหน้าพราหมณ์เจ้าบ้านผู้นี้
จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเหมือนดั่ง คถาคด
หมายเหตุ
ภาพนี้เป็นภาพในวัดประเทศอินเดีย
ที่ผู้วาดเจตนาวาดเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันที่ทรงยืนพร้อมกับเหล่าภิกษุสงฆ์กำลังให้พรหรือแสดงธรรมให้กับเหล่าพราหมณ์ที่นั่งอยู่
โดยเสมือนพระพุทธองค์ทรงทอดพระเนตรไปยังพราหมณ์ผู้หนึ่งที่มีพราหมณีนั่งอยู่ใกล้ ข้าพเจ้าจึงเอาภาพนี้เป็นแบบ
สมมุติว่าเป็นเหตุการณ์พอจะใกล้เคียงกันได้
โดยตกแต่งลบรอยตำหนิและส่วนที่ไม่ต้องการของภาพบางส่วนออก
หลังจากพระกัสสปะพุทธเจ้าทรง พุทธพยากรณ์แล้ว พระพุทธองค์ก็ดำเนินจากไปพร้อมเหล่าพระสาวก
ไปยังทิศอื่น
พราหมณ์เจ้าบ้านเกิดศรัทธาต่อพระพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อกาลเวลาผ่านไปไม่นานก็ได้ออกบวชในพุทธศาสนา จนมรณภาพ
แล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนดุสิตสวรรค์ หลังจากนั้นก็เกิดตายวนเวียนในวัฏสงสารต่อไปหลายๆ
พระชาติ
จวบจนเกือบถึงก่อนพุทธกาลในปัจจุบัน ก็ได้เกิดเป็น
เทวดาบนชั้นดุสิตมีวิมานเป็นของตนมีบริวารหลายพันองค์เกือบหมื่น
ได้ชื่อว่าเป็นเทพที่มียศ มีนามว่า
โชตมัตตะเทพบุตร
ดุสิตสวรรค์ในขณะนั้น
ก็เกิดมีมหาโพธิสัตว์บังเกิดอยู่นามว่า พระเสตุเกตุเทพบุตร มีเทพบริวารมากมายนักดำรงอยู่ก่อนแล้ว เหล่าเทพทั้งหลายต่างศรัทธาในพระองค์
แม้กระทั้งโชตมัตตะเทพบุตรผู้เกิดมาในภายหลังก็ศรัทธาต่อพระองค์ เพราะมีการเล่าขานกันในหมู่เทพทั้งหลายว่า
พระเสตุเกตุเทพบุตรนี้จะได้จุติจากสวรรค์
ไปเกิดบนโลกมนุษย์แล้วจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแม้นมั่น
แต่ท่านโชตมัตตะ ประสงค์จะลงไปสร้างบารมี จึงทำการอธิมุต ลงไปเกิดเป็นมนุษย์ โดยมีได้บอกผู้ใด ทั้งที่วิมานและเหล่าเทพบริวารก็ยังอยู่เหมือนดังเดิม
เมื่อลงไปเกิดเป็นมนุษย์ก็ได้สร้างบารมีที่เป็นบุญก็มี และได้ทำบาปกรรมก็มี ด้วยความเป็นใหญ่ จึงทำอกุศลกรรมทั้งทำร้ายและริดลอนสิทธิ์ผู้อื่น มีอายุขัยประมาณ 100 ปี จึงตกอบายภูมิ
ขณะที่ตกอยู่ในอบายภูมิ ไม่กี่ปี แต่ในขณะนั้นท่านพระเสตุเกตุเทพบุตรดำรงอยู่ในดุสิตสวรรค์จนเต็มอายุขัยแล้ว ก็มีการประชุมกันของเหล่าเทพและพระพรหมต่างๆ
ทั่วทั้งสากลจักรวาล ต่างก็มาเชิญชวนให้พระมหาโพธิสัตว์พระเสตุเกตุเทพบุตร เสด็จจุติ
เพื่อลงไปเกิดบนมนุษย์โลก จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ที่จะพึงมีขึ้นในโลก
แต่ท่านโชตมัตตะเทพบุตร กลับเสวยกรรมอยู่ในอบายภูมิ เมื่อพระมหาโพธิสัตว์พระเสตุเกตุเทพบุตร ตรวจสอบปัจจัยต่างๆ
พร้อมแล้ว ก็จุติลงไปเกิดบนมนุษย์โลก
แต่วิบากกรรมของท่านโชตมัตถะนั้นหาได้ส่งผลยาวนาน จะหลุดพ้นแล้วเกิดเป็นนก จะได้พบกับเจ้าชายช่วยชีวิตไว้ และให้คติธรรรม สามารถเข้าใจธรรม เกิดศรัทธา หลังจากนั้นดำเนินชีวิตเป็นนกอีกไม่กี่ปีก็ตายจากภพเดรัชฉานนั้น แล้วจะกลับเกิดเป็น โชตมัตตะเทพบุตรดังเดิม โดยเหล่าเทพบริวารหาได้ทราบไหมว่า
เจ้าวิมานแห่งตนนั้นได้หายไปจากวิมานเป็นเวลา ครึ่งวัน ของสวรรค์ชั้นดุสิต หลังจากนั้นก็จะได้ลงมาเฝ้าพระพุทธเจ้าอีกครั้งในนาม โชตมัตถะเทพบุตร เกิดศรัทธาอย่างล้นพ้น จึงดำรงตนเหมือนดังเพศภิกษุ อยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต
กล่าวถึงพระเสตุเกตุเทพบุตร เมื่อเหล่าเทวดาทั้ง หมื่นโลกธาตุ อันเชิญ พระมหาสัตว์พระเสตุเกตุเทพบุตรจุติลงไปเกิดบนโลกมนุษย์
เพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จนมหาโพธิสัตว์พระเสตุเกตุเทพบุตรทรงจุติ ก็ปรากฏมีแสงสว่างสะไหวไปทั่วสากลโลก
พร้อมทั้งพระนางมหามายาเทวี มเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะเจ้าเมืองกรุงกบิลพัสดุ์ อยู่ในราชวงค์โคตมะ ทรงพระสุบิน เห็นช้างเผือกลอยจากฝากฟ้ามาหาพระนาง
แล้วพระนางทรงตั้งพระครรภ์
เมื่อมหาโพธิสัตว์อยู่ในพระครรภ์
10 เดือนพระนางมหามายาเทวีออกเดินทางเพื่อจะไปคลอดพระครรภ์ที่เมืองเทวทหะซึ่งเป็นเมืองพระราชบิดาของพระนาง
แต่ระหว่างทางก็ทรงประสูติกาล ที่สวนลุมพินีวัน
อยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์กับเมืองเทวะทหะ
พระนางมหามายาเทวีทรงประสูติพระมหาโพธิสัตว์ในท่ายืนมือขวาจับกิ่งไม้
เมื่อมหาโพธิสัตว์คลอดออกมาก็ทรงยืนอยู่โดยมีดอกบัวผุดขึ้นมารับพระบาททั้งสอง
พร้อมทั้งปรากฏแสงสว่างสะไหวไปทั่วทั้งสากลโลก ด้วยแสงสว่างสะไหวนั้นสัตว์ต่างๆ
สามารถมองเห็นซึ่งกันและกันอย่างชัดเจน คือมนุษย์สามารถเห็นเทวดา เห็นพระพรหม
เห็นสัตว์อบายภูมิโดยทั่ว
แล้วพระมหาสัตว์ก็ทรงเปล่งพระสุระเสียงทำนองว่า เราเป็นเอกของโลก แล้วทรงพระดำเนิน(เดิน)ไปได้ถึง 7 ก้าว
โดยแต่ละย่างก้าวก็จะมีดอกบัวผุดขึ้นมารับถึง 7 ดอก แล้วทรงยืนสงบนิ่งอยู่ หลังจากนั้นแม่นมก็อุ้มพระกุมารมหาโพธิสัตว์ไปดูแล
ดูสถานที่ลุมพินีวันปัจจุบันเป็นดังนี้
ข้อมูล ลุมพีนีวัน ปัจจุบันเรียกว่า รุมมินเด อำเภอไพราว่า
ประเทศเนปาล ห่างจากพรมแดนอินเดียวราว
เมื่อครบเจ็ดวันพระราชกุมารมหาโพธิสัตว์ถูกขนานนามว่า เจ้าชายสิทธัทตะ และพระนางสิริมหามายาก็สวรรคต โดยมีพระนางประชาบดีโคตรมี
ซึ่งเป็นน้องของพระนางสิริมหามายามาเป็นแม่นมแทน เมื่อเจริญวัยพระชนมายุ 16
ชันษาก็ได้ราชสมรสกับพระนางยโสธรา
และเมื่อพระชนมายุ 29 พรรษา เจ้าชายสิทธัทตะ
ก็ทางเห็นมหาภูติทั้ง 4 คือ เกิด แก่
เจ็บ ตาย ในเวลาใกล้เคียงกัน และได้เห็นนักบวชโดยที่พระองค์ไม่เคยเห็นมาก่อนในช่วงเจริญวัย
เพราะทรงอยู่แต่ในพระราชวัง ทั้ง 3 หลังที่พระเจ้าสุทโธทนะ
สร้างไว้ให้ เพราะกันไม่ให้เจ้าชายสิทธัทตะออกบวช
ตามที่ฤาษีหรือนักพรตทำนายไว้ ส่วนการเห็นการเกิดนั้น
พระองค์ทรงเห็นพระราชโอรสของพระองค์เองประสูติ แล้วทรงตั้งพระนามว่า ราหุล แปลว่า
บ่วงผูกมัด แล้วเจ้าชายสิทธัทตะก็ทรงตัดสินใจทรงออกบวชในคืนนั้น ที่พระราชโอรสราหุลทรงประสูติ
โดยแอบหนีไปกับ นายฉันนะ เจ้าชายสิทธัทตะทรงม้ากันทกะไป ในก่อนรุ่งสางของคืนนั้น แต่เมื่อเดินทางออกประตูเมือง
พญามารที่เป็นราชาเทพฝ่ายมารบนสวรรค์ชั้น 6 (ปรมิน)
เข้ามาห้าม โดยบอกทำนองว่า พระองค์จะทรงออกบวชให้ทรมานกายมีแต่ความทุกข์ไปทำไม?
เพราะพระองค์จะได้เสด็จเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ในอีกเจ็ดวันเบื้องหน้า
พระมหาโพธิสัตว์ตอบไปทำนองว่า ท่านอย่าเป็นมารขว้างเราเลย เราตั้งใจอย่างมั่นคงแล้วจะออกบวชหาโมกธรรมให้สำเร็จ
ท่านจงหลีกทางไปเถิด
พญามารจึงหลีกไป พระมหาโพธิสัตว์สิทธัทตะก็เสด็จเดินทางต่อ เมื่อถึงริมแม่น้ำเจ้าชายสิทธัทตะ ทรงสละม้าพร้อมทั้งนายฉันนะ
แล้วพระองค์ทรงปลงพระเกศา และเอาเครื่องแต่งกายให้กับนายฉันนะไป ส่วนม้ากันทกะเป็นม้าทรงของเจ้าชายสิทธัทตะทั้งแต่ตัวเล็กๆ รักผูกพันกับเจ้าชายสิทธัทตะเป็นอันมาก เมื่อเห็นว่าจะต้องจาก
จากเจ้านายจึงเสียใจและตายลง ได้ไปเกิดเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์ ชื่อ โฆษณเทพบุตร
เมื่อพระโพธิสัตว์สิทธัทตะเปลี่ยนเป็นผู้ออกบวช
ก็เสด็จข้ามแม่น้ำไปอีกฝังหนึ่ง ไปทางกรุงราชคฤห์ เพื่อจะไปยังตำบลอุรุเวลา
ที่เป็นแหล่งที่มีฤาษีและนักบวชบำเพ็ญพรตอยู่ เมื่อผ่านกรุงราชคฤห์ก็ได้เจอกับพระเจ้าพิมพิสาร
ซึ่งอยู่ในวัยที่ไม่ต่างกับพระมหาโพธิสัตว์มากนัก
ก็คืออยู่ในวัยหนุ่มใหญ่(35-39 พรรษา) พระเจ้าพิมพิสารศรัทธาในปฏิปทาของพระมหาโพธิสัตว์
เมื่อได้สนทนากัน ก็ทรงตรัสบอกกับพระมหาโพธิสัตว์ทำนองว่า เมื่อพระองค์ได้บรรลุตรัสรู้ธรรมแล้ว
โปรดนำมาบอกแนะนำให้หม่อมฉัน เพื่อจะได้แจ้งเห็นธรรมนั้นด้วย
พระมหาโพธิสัตว์ทรงรับคำนั้น แล้วจากไปเพื่อแสวงหาสัจจะธรรม แล้วพระมหาโพธิสัตว์ก็ไปศึกษากับท่านอาฬารดาบส อยู่พักหนึ่ง
จนหมดความรู้ของท่านอาฬารดาบส จนได้สมาบัติ 7
แต่ก็ยังไม่บรรลุสัจจะธรรมที่แท้จริง พระบรมโพธิสัตว์ลาจากสำนักของอาฬารดาบส
แล้วพระมหาโพธิสัตว์ก็ไปศึกษากับอุทกดาบส อยู่พักหนึ่ง ก็ถึงสมาบัติ 8
ก็หมดความรู้ของอุทกดาบส แต่ก็ยังไม่บรรลุสัจจะธรรมที่แท้จริง
พระมหาโพธิสัตว์จึงลาจากสำนักอุทกดาบส
แล้วพระมหาโพธิสัตว์ก็ทรงดำริทำนองว่า คงหามีมนุษย์ผู้ใดในโลกที่บรรลุถึงสัจจะธรรมที่แท้จริง
ดังนั้นพระองค์ต้องเพียรแสวงหาด้วยกำลังของพระองค์เองตามลำพัง
และในขณะนั้นเบญจวัคคีทั้ง 5 นำโดยท่านอัญญาโกนตัญยะ
ที่ได้เคยทำนายพระมหาโพธิสัตว์ตอนประสูติกาลใหม่ๆ ทำนองว่า พระมหาโพธิสัตว์กุมารจะต้องออกบวชและจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน ได้ชักชวนกันครบ
5 ท่านเพื่อไปดูแลพระมหาโพธิสัตว์ที่ทรงแสวงหาโพธิญาณ และก็ได้มาปรนนิบัติแก่พระมหาโพธิสัตว์
ตั้งแต่นั้น
พระมหาโพธิสัตว์เมื่อได้ผ่านการศึกษามาแล้วถึง
สองสำนักและได้ปฏิบัติตามลำพังแล้วก็ยังไม่สามารถตรัสรู้สัจจะธรรมได้
จึงดำริถึงทางสุดโต่ง คือการทรมานตนให้ถึงที่สุดเพื่อการตรัสรู้สัจจะธรรม ซึ่งเบญจวัคคีทั้ง 5 ก็เห็นดีด้วย
ทั้งแต่นั้นมาพระมหาโพธิสัตว์ก็บำเพ็ญพรตแบบทรมานตนที่ละแบบๆ ลวงเลยเวลามา 5 ปี
ก็หาทรงได้ตรัสรู้สัจจะธรรม
จึงทรงตัดสินใจที่จะลดอาหารให้ถึงที่สุด
จนร่างกายของพระเหลือหนังที่หุ้มกระดู
ดังภาพตัวอย่าง
การอดอาหารทรมานของพระมหาโพธิสัตว์เป็นดังนี้ จากที่รับประทานปกติ
ในวันต่อมาก็ลดลงทีละส่วนจนใช้เวลาเป็นเดือนๆ
สุดท้ายก็ลดอาหารลงเหลือเท่าเมล็ดถั่ว
ร่างกายนั้นผ่ายผอมเหลือเพียงหนังติดกระดูกชี่โครงเห็นกระดูชี่โครงทุกชิ้น
ส่วนช่องท้องนั้นผนังท้องปุ่มเข้าไปข้างในจนเกือบติดกับกระดูสันหลัง พระองค์ทรงมึนวิงเวียนพระเกศา เป็นระยะๆ
ก็ยังไม่สามารถตรัสรู้โมกธรรมได้
เมื่อพระมหาโพธิสัตว์เอามือลูบแขนของพระองค์
ก็จะมีขนหลุดออกมาติดฝ่ามือของพระองค์
แล้วพระองค์ทรงดำริทำนองว่า
เราได้ทรมานกายมาถึง 6 ปี
และด้วยการอดอาหารนี้ก็เสมือนกับจะทำให้ชีวิตจะหาไม่
แต่ก็ยังไม่สามารถบรรลุโมกธรรมสัจจะธรรมเลย
พอดีกับขณะนั้น ก็ทรงได้ยินเสียงดีดพิณอันไพเราะ ทำเกิดมีสติสัมปัญยะและพิจารณาทำนองว่า เปรียบเสมือนดังสายพิณ
ถ้าขึงสายพิณตึงเกินไปเวลาดีดเสียงก็ไม่ไฟเราะและสายพิณก็ขาดได้ง่าย เช่นเดียวกันถ้าขึงสายพิณหย่อนเกินไปเวลาดีดก็ไม่เกิดเสียงหรือเสียงไม่ไพเราะ ดังนั้นการขึงสายพิณต้องขึงด้วยความพอดี
ไม่ตึงเกินไปและหย่อนเกินไปก็สามารถดีดได้เสียงที่ไพเราะ เช่นเดียวกับกับการแสวงหาโมกธรรม ก็ควรจะดำเนินการปฏิบัติด้วยทางสายกลาง
หรือมัฌชิมาปฏิปทา จึงจะแสวงหาโมกธรรมได้โดยง่าย
เมื่อพระมหาโพธิสัตว์พิจารณาได้ดังนี้
พระองค์ก็ทรงเสวยอาหารเพิ่มขึ้นตามลำดับ เพื่อให้ร่างกายฟื้นสมบูรณ์ขึ้น
เมื่อร่างกายพอสมบูรณ์ขึ้น
ฝ่ายเบญจวัคคีทั้ง 5 เมื่อเห็นเจ้าชายสิทธัทตะ ล้มเลิกในการทรมานตนในการแสวงหาโมกธรรม ก็คิดไปว่าเจ้าชายสิทธัทตะจะทรงยกเลิกในการแสวงหาโมกธรรม และเลิกการออกบวช
เพื่อกลับไปครองราชย์สมบัติแน่
จึงได้ลาและหลีกจากเจ้าชายสิทธัทตะไป
ปล่อยให้พระองค์อยู่เพียงผู้เดียวตามลำพัง
เรื่องต่อไปก็จะเป็นเรื่องที่พระบรมโพธิสัตว์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งได้มีลิงค์อยู่แล้วในหน้าหลักของเว็บ เล่าเรื่องพระพุทธเจ้า
ซึ่งเป็นเหตุการณ์ต่อจากเนื้อเรื่องที่กล่าวด้านบน
ดูสถานที่พระบรมโพธิสัตว์ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าที่ต้นมหาโพธิ์ ในสภาพปัจจุบันดังนี้...