ความต่างกัน ของวิปัสสนาล้วนๆ กับ สมถะวิปัสสนา ?                                          กลับหน้าแรก 
 
 
 
 เนื้อความ : 
ความต่างกัน ของวิปัสสนาล้วนๆ กับ สมถะวิปัสสนา ? 
         กระทู้นี้ เป็นกระทู้ที่เสี่ยงต่อความเข้าใจผิดได้ แต่ก็พยายามเสนอตามประสบการณ์ และตามปัญญาที่มี  ผมขอตั้ง สติปะฐาน  
4 ไว้ก่อน และการแยกรูป+ แยกนาน และแยกนาม+ แยกนาม เพื่อง่ายต่อการอธิบาย 
        กาย       แยกเป็น รูป + นาม ได้อย่างชัดเจน รูป คือร่างกาย หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายที่ปรากฏชัด  นาม  
คือสภาวะธรรม ที่ รู้ร่างกายหรือส่วนหนึ่งส่วนไดของร่ายกายที่ปรากฏชัด 
         เวทนา   แยกเป็น  นาม + นาม ได้อย่างชัดเจน  นามตัวแรก คือ เวทนา ที่เป็น เช่น เจ็บ หรือทุกข์เวทนา  
หรือสุขเวทนา หรือ เฉย  นามตัวที่สองคือ สภาวะธรรมที่รู้ เวทนานั้นๆ ที่เด่นชัด 
         จิต         แยกเป็น 2 ประเภท  1. นาน + นาม  2. ถ้าจิต สร้างรูปขึ้นมา ก็ แยก รูป+นามได้อย่างชัดเจน   ประเภทที่ 1  
นามตัวแรก เช่น จิตสงบ หรือ จิตฟุ้งซ่าน  หรือ จิตยินดี  หรือจิตมีราคะ หรือ จิตมีโมหะ หรือ จิตมีโทสะ ฯลฯ   นามตัวที่ 2  
คือสภาวะธรรมที่รู้ จิต นั้นๆ ที่เด่นชัด  ประเภทที่ 2 เมื่อจิต สร้างรูป นิมิต นั้นและคือรูป และสภาวะธรรมที่รู้ภาพนั้น เป็นนาม 
         ธรรม  แยกเป็น นาม + นาม ได้อย่างชัดเจน  นามตัวแรกได้แก่สิ่งที่นึก สิ่งที่คิด สิ่งที่ดำริ สิ่งที่จิตนาการ นามตัวที่ 2  
คือ สภาวะธรรม ที่รู้ สิ่งเหล่านั้นที่เด่นชัด 

           เข้าสู่หัวข้อสำคัญ 
           วิปัสสนาล้วนๆ(ปัญญาวิมุต)  เป็นการฝึกสติเป็นหลัก หนักไปทางการสร้างสติ รู้ที่ กาย หรือกายานุปัสสนา  
ดังนั้นประตูแรก ของผู้ฝึกวิปัสสนาล้วนๆ ที่เข้าสู่วิปัสสนาญาณ ส่วนมาก จะเป็นการภาวนากาย แยกรูป แยกนาม  เป็นส่วนมาก  
เพราะมากไปด้วยการพิจารณากายานุปัสสนา หรือสิ่งที่เป็น รูปที่บังเกิด กับ ตา หู จมูก ลิ้น และผัสสะที่เกิดกับกาย(ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น  
รส)  แต่ฐานอื่น ได้แก่เวทนา จิต ธรรม  ก็มีกำหนด แต่เมื่อสงบแล้วก็กลับมาตั้งอยู่ที่ กายเป็นหลัก ดังนั้นผู้ปฏิบัตวิปัสสนาล้วนๆ  พอพูดถึง  
นามรูปปริเฉทญาณ การแยกรูปแยกนั้น  ก็จะเข้าใจแจ่มชัดทันที่ เป็นไปตาม วิปัสสนาญาณ 16 
            สมถะวิปัสสนา(เตโชวิมุต)  เป็นการฝึกสมาธิเป็นหลักก่อน หนักไปทางการสร้างสมาธิ จึงไม่ค่อยให้ความสนใจ กาย  
แต่มุ่งเน้นไปที่ สมาธิ ทางใจ เป็นอุปจาระสมาธิ  และเข้าสู่ อัปปะนาสมาธิ (ฌาน) ดังนั้นสิ่งที่ปรากฏชัด คือ เวทนา (ปีตะ สุข) จิต  
(ความสงบ) ส่วนที่บังเกิดทาง ตา หู ลิ้น และผัสสะกับกาย นั้นเบาบางมากเพราะไม่สนใจมาก ถึงแม้จะออกจากสมาธิแล้ว  
ก็ยังทรงอารมณ์อยู่ที่ ใจเป็นส่วนมาก ดังนั้นเมื่อพูดถึง นามรูปปริเฉทญาณ (แยกรูป แยกนาม) ก็จะมีความคลุมเครือ แต่ถ้ากล่าวว่า  
แยกนาม  แยกนาม ก็จะมีความเข้าใจในทันที่ คือ ว่านี้ เป็น เวทนา หรือ จิต เป็นนามตัวแรก  และสภาวะธรรมที่ รู้ ก็เป็นนามตัวที่สอง  
ถ้าพิจารณาแยกได้อย่างนี้ จริงๆ ก็คือนามรูปปริเฉทญาณ นั้นเอง แต่เป็นการแยกนาม แยกนาม 
            ดังนั้น ตรงนี้ญาณ(นามรูปปริเฉทญาณ) สำหรับผู้ปฏิบัติ สมถะวิปัสสนา และผู้ที่ปฏิบัติ วิปัสสนาล้วนๆ  
มีฐานแตกต่างกันดังนั้นในญาณเบื้องต้น 1 2  3  การทำความเข้าใจ ให้ตรงกันคงสับสนกันบ้าง เพราะความชัดเจนในกาย  
กับความชัดเจนในใจ หรือ จิต นั้นย่อมเห็นต่างกันอยู่แล้ว แต่การเกิดวิปัสสนุกิเลสทั้ง 10  ในญาณ 3 จะคล้ายกัน แต่ผู้ปฏิบัติ  
สมถะวิปัสสนาจะมีความชัดเจนรุนแรงมากกว่า  ดั้นนั้นผู้ที่ฝึกสมถะวิปัสสนา ต้องอาศัยที่สงบวิเวกจริง เพื่อไม่ให้อารมณ์กรรมฐานเคลื่อน  
เพราะถ้ายังไม่ชำนาญในวิปัสสนาญาณ ขึ้นๆ ลงๆ และไปค้างญาณอยู่ ก็จะประสบกับทุกข์เวทนา เสียเป็นส่วนมาก ถ้าขาดสติ และปัญญา  
พิจารณาโดยรอบครอบ จะทำให้จิตใจผันผวนได้ง่าย และสำหรับผู้ปฏิบัติวิปัสสนาล้วน  
ก็เกิดได้เหมือนกันถ้ามีสมาธิและความเพียรมากเกินปกติ 
            ส่วนญาณที่มีความเห็นตรงกันอย่างชัดเจนคือ ญาณ ที่ 4 อุทยัพยญาณ เห็นการเกิดดับอย่างชัดเจน คือเมื่อกำหนด นาม  
หรือ กำหนดรูป (รูปนิมิต หรือรูปที่เกิดจากผัสสะ รูปที่เกิดจากผัสสะ เช่นตาเห็นรูป จะได้ว่า รูปที่ปรากฏกับจักขุประสาท นั้นเป็นรูป  
สภาวะรู้ในรูปนั้นเป็นนาม หรือ เสียงที่เกิดจากกระทบของโสตะประสาท นั้นเป็นรูป สภาวะรู้เสียงนั้น เป็นนาม) จะเห็นการดับ  
หรือการตัดขาด หรือ การเปลียนแปลงทันที่ต่อหน้าต่อตา กล่าวได้ว่า เกิด- ดับ  ตามตัวอักษรอย่างไม่ต้องบรรยาย ไม่ต้องสาธยายเลย  
เพราะปรากฏจริง 
            ส่วนญาณ ที่ 5 6 7 เป็นสภาวะอารมณ์ล้วนๆ หรือปรมัตอารมณ์ จะไม่ขอกล่าวถึง 
            ส่วนญาณ ที่เป็นปรมัตรอารมณ์ ที่เหมือนกันคือ ญาณที่  8 นิพพิทาญาณ ญานเบื่อหน่ายในรูป นาม  
หรือในความเป็นตัวเป็นตนที่บังเกิดขึ้นเพราะการกำหนดภาวนา  
ไม่ใช้การคิดหรือการจินตนาการให้เบื่อหน่ายเพราะจะอยู่ในเขตญาณเบื้องต้น คือ 2 หรือ 3 
              ผมตั้งกระทู้นี้เพื่อให้ผู้ปฏิบัติจริง หรือรู้จริงพิจารณา และสอบสวนดู เพราะไม่ประสงค์ให้ผู้ปฏิบัติ วิปัสสนาล้วน  
และผู้ที่ปฏิบัติสมถะวิปัสสนา เห็นต่างกันในญาณเบื้องต้น และไม่เข้าใจกันตังแต่เริ่มแรก ทั้งที่ปฏิบัติตามแนวสติปะฐาน 4 เหมือนกัน 
             ความต่างกัน อีกอย่าง คือ วิปัสสนาล้วนๆ การกำหนด คือการภาวนาตามสภาพที่เป็นจริง  สมถะวิปัสสนา การกำหนด คือ  
การกำหนดรู้ ตามสภาพที่เป็นจริง 
             แต่การวางใจในการกำหนดนั้นเหมือนกัน คือ ไม่ปรงแต่งในอาการหรือรูปนามที่กำหนด วางใจเป็นกลาง  
แล้วจะเห็นความเป็นจริงของไตรลักษณ์ ทั้งสิ่งที่ถูกรู้ และสภาวะที่รู้ แจ่มชัดขึ้นๆ 
จนวางละกิเลสเป็นที่สุด  

           เอาบทความ(กลอนที่ไม่ค่อยสัมผัส) ที่เขียนไว้เมื่อปี 39 40  มาให้อ่าน 

     ผู้ที่ผิดศีลปาราชิกทั้งหลาย            แต่แฝงกายอยู่ในหมู่สงฆ์ 
จงฟังข้าเถอะจะปลดปลง                 ลดทุกข์ลงจากใจได้มากมาย 
จงปรับเพศเปลี่ยนเป็นปะขาว         หรือกลับกลายเป็นฆารวาสก็ไม่สาย 
ประการเเรกคือใจสบาย                   เพราะคลายเครียดคลายทุกข์ในดงพระ 
ประการสองช่วยผ่อนคลาย             ยามตายจากทำความดีย่อมมีสุข 
ประการสามนิพพานมิบิดกั่น          ถ้ามุ่งมั่นปฏิบัติธรรมไม่ถ้อถอย 
ก็อาจถึงธรรมมีปัญญา                      ละอัตตาความยึดมั่นแล้วปล่อย 
สำรอกกิเลสให้หมดร่องรอย          ไม่ต้องรอคอยกรรมส่งดั่งเป็นอยู่  

       เข้าใจจริงในธรรมที่กล่าวสอน     จะสะท้อนเป็นปีติให้สดใส 
แต่อย่ายึดติดผู้สอนจนคลั่งไคล            เพราะจะไกลจากธรรมอันแท้จริง 
เพียงปฏิบัติตามมิให้ผิด                        ใช้สติปัญญาพิจารณาทุกสิ่ง 
เข้าถึงธรรมเป็นธรรมจริงจริง             จะไม่หลงวิ่งยึดติดตัวตนบุคคล  

   ธรรมควรน้อมนำมาเป็นหลัก                ไม่จมปลักเชื่อในตัวบุคคล 
ถึงกล่าวธรรมแต่หลอกลวงไม่หลงกล    ไม่นำตนไปบำเรอผู้กล่าวธรรม 
ผู้มีธรรมสอนธรรมด้วยใจแน่                    มิเห็นแก่ลาภยศที่น้อมนำ 
เพราะรู้เข้าใจในผลของกรรม                  ที่จะทำให้เศร้าหมองมิถึงที่สุด

 จากคุณ : Vicha [ 27 ต.ค. 2543 / 20:30:54 น. ]  
     [ IP Address : 203.151.36.3 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 1 : (ต๊ะ) 
สาธุครับ
 จากคุณ : ต๊ะ [ 28 ต.ค. 2543 / 17:39:20 น. ]  
     [ IP Address : 203.148.177.101 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 2 : (listener) 
สาธุ ขอบคุณครับ
 จากคุณ : listener [ 28 ต.ค. 2543 / 20:13:56 น. ]  
     [ IP Address : 203.149.42.60 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 3 : (thesky) 
ขอบคุณมากค่ะ  
สาธุ.
 จากคุณ : thesky [ 30 ต.ค. 2543 / 11:01:48 น. ]  
     [ IP Address : 203.149.38.161 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 4 : (ขอม) 
เตโชวิมุติ -> เจโตวิมุติ หรือเปล่าครับ
 จากคุณ : ขอม [ 31 ต.ค. 2543 / 19:03:12 น. ]  
     [ IP Address : 155.198.17.122 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 5 : (Vicha) 
ขอบคุณ คุณขอม มากครับ ผมพิมพ์ผิด
 จากคุณ : Vicha [ 31 ต.ค. 2543 / 22:07:44 น. ]  
     [ IP Address : 203.151.36.3 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 6 : (Namiaki Ryu) 
          อยากจะกล่าวเรียนเสริมคุณ Vicha ว่าการที่คุณ Vicha ได้กรุณาชี้แนะนั้นนับว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐอย่างแท้จริง แต่อย่างไรก็ดีก็อยากจะเรียนบอกผู้ใฝ่ในธรรมท่านอื่นด้วยว่าไม่ว่าจะดำเนินการปฎิบัติมาในลักษณะไหนแต่สภาพธรรมที่ปรากฎย่อมเหมือนกันอย่างแน่ชัดไม่มีทางที่จะต่างกันเป็นแน่นอน ทั้งนี้การปฎิบัติดังกล่าวก็ย่อมต้องอาศัยปริยัติเป็นตัวบ่งชี้ด้วย
 จากคุณ : Namiaki Ryu [ 6 พ.ย. 2543 / 15:34:37 น. ]  
     [ IP Address : 203.155.227.188 ] 
 

จบกระทู้บริบูรณ์

 กลับหน้าแรก