ลด "มิจฉาทิฏฐิ" ความเห็นผิด ได้ด้วยการหมั่นอบรมสอนจิตของเรา
ให้เห็นถูก ให้เป็น สัมมาทิฏฐิ
ซึ่งเป็นหมวดของ ปัญญา__ต้องสร้างจึงเกิด ต้องสอนจิตให้เห็นถูก
คือ ให้เห็นความจริงว่าทุกๆอย่างเป็นธรรมชาติ เรา เขา
ก็เป็นธรรมชาติ เป็นเพียงธรรมธาตุที่อยู่ในกฏของ ความไม่เที่ยง,
ทุกข์, อนัตตาทั้งสิ้น เป็นเพียงธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นเท่านั้นจริงๆ
เท่านั้นจริงๆค่ะ ต้องขยันหมั่นเพียรสอนอบรมจิตเห็นความจริงของสัจจธรรม
และจิตจะมีความละเอียดขึ้นเรื่อยๆ จะเห็นจริงขึ้นเรื่อยๆค่ะ
( ขอให้ทำเถอะค่ะ แล้วคุณจะเห็นผล จิตฐิขอรับรอง
และ ขอให้กำลังใจเพื่อนๆว่า ลองทำกันจริงๆจังๆ แล้วจิตคุณจะไม่ไปแบกของที่ทำให้คุณหนัก
หรือ ทุกข์อีก เพราะมันเห็นความจริงแล้ว มันเห็น ทุกข์
โทษ ภัย ของการยึดนั้นๆแล้ว มันจะค่อยๆคลายความยึดไปเรื่อยๆค่ะ
)
อย่าไปหวังผลว่าต้องลดทิฏฐิได้ทันที หรือ เมื่อนั้นเมื่อนี้
เพราะเมื่อเหตุถูกก็ต้องรอวาระปัจจัยพร้อม หน้าที่ของเราคือหมั่นอบรมจิตไปเรื่อยๆ
เมื่อคุณสอนจิตจนจิตเห็นจริง ยอมรับได้จริงๆในจุดที่ติดนั้นๆ
ความ ลดลงของทิฏฐิ
จะเป็นผลที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเอง เมื่อคุณกลับไปเจอสิ่งเดิมที่เคยทำให้คุณทุกข์
คุณจะรู้แจ้งได้ในจิตว่าความทุกข์ณ.จุดนั้นได้เบาบางกว่าเดิม หรือ ไม่เกิดขึ้น
นี่คือผลที่คุณจะได้รับ
เราควรจะฝึกจิตของเราให้เป็น ผ้าขี้ริ้วชั้นดี
เช็ดถูได้ทุกที่ ทุกเวลา
ไม่จำกัดเฉพาะกิจ,บุคคล แต่ที่ครูบาอาจารย์ท่านเห็นที่เราทำนั้น
คือยอมเป็นกันเพียง"ผ้าขี้ริ้วอนามัย"
คือยอมเป็นงานๆไป
ยอมเป็นคนๆไป นั้น ยังใช้ไม่ได้
ต้องคอยหมั่นอบรม หมั่นฝึก
ให้เราเป็นผ้าขี้ริ้วชั้นดีให้ได้
ต้องมีความนอบน้อมถ่อมตน ต้องฝึกให้..
"ยอมแพ้เป็น" ยอมแพ้ต่อผู้อื่น
แต่ ชนะกิเลส ชนะใจของตนเองนี้
ยิ่งไม่วิเศษหรอกหรือค่ะ
ที่เขียนทั้งหมดนี้คือสอนตัวเองค่ะ
รู้จักความจริงอย่างหนึ่งคือ เราเท่านั้นที่จะสอนจิตเราได้
ไม่มีใครสอนอบรมจิตของผู้อื่นได้เลย จิตดิฉันนั้นมันโง่มานานเช่นกัน
มันยอมให้กิเลสหลอกมาตลอดและก็หลงเชื่อมาตลอด แม้แต่ปัจจุบันซึ่งพอที่จะเข้าใจการทำงานของกิเลสมันบ้างแล้วก็ตาม
ก็ยังไม่วายถูกมันน๊อคอยู่เสมอๆ แต่ก็นำข้อมูลเหล่านั้นมาฝึกจิตให้มีความเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ยอมแพ้ไอ้เจ้าตัวกิเลสมันง่ายๆเหมือนก่อนอีกแล้ว จะขอฟาดฟันกับกิเลสมันจนถึงที่สุด...