สวัสดีครับพอดีมีcopyเก็บไว้น่าจะตอบคำถาม
ในข้อ 1 ได้นะครับ
วิปัสสนูปกิเลสมี 10 ประการ คือ
1.โอภาส ได้แก่ วิปัสสโนภาส เห็นแสงสว่าง บางทีเห็นห้องปฏิบัติสว่างไปหมด
บางทีเห็นแสงสว่างไปจนสุดสายตา
2.ญาณ ได้แก่ วิปัสสนาญาณ เกิดปัญญาในการบำเพ็ญวิปัสสนา
กำหนดรูป-นาม ได้คล่องแคล่วว่องไว อย่างประหลาด ผิดกว่าแต่ก่อนที่เคยกำหนดยากลำบาก
ถ้ามนสิการไม่ดีอาจคิดว่า กัมมัฏฐานนี้ง่ายไป ถ้าตนเป็นอาจารย์ จะต้องให้กัมมัฏฐานที่รัดกุมกว่านี้
มีการดูถูกอาจารย์เกิดขึ้น เพราะเกิดปัญญามากมาย
3.ปีติ ได้แก่ วิปัสสนาปีติ มีอยู่ 5 ประการ
1.ขุททกาปีติ
คือ มีอาการเยือกเย็น ขนลุกซู่ซ่าตามตัว ตามศรีษะ
2.ขณิกาปีติ
คือ มีอาการคัน เหมือนมดไต่ ไรคลาน ตามหน้า ตามตัว
3.โอกกันติกาปีติ
คือ มีอาการตัวโยก ตัวโคลงเคลง หมุน คลื่นไส้ อาเจียน
4.อุพเภงคาปีติ
คือ มีอาการเหมือนจะลอย หรือลอยขึ้นได้จริงๆ ตัวเบา
5.ผรณาปีติ
คือ มีอาการเย็นซาบซ่า หรือร้อนวูบ เสียวตามร่างกาย
1.ปัสสัทธิ ได้แก่ วิปัสสนาปัสสัทธิ เกิดความสบายกาย
และใจ รู้สึกเย็นไปทั่วร่าง ตัวเบา ไม่หนัก ไม่แข็งกระด้าง
อ่อนสลวย ทุกขเวทนาไม่มีเลย แม้ใจก็เช่นเดียวกัน เป็นจิตสงบ จิตเบา จิตอ่อน
และจิตตรง
เป็นความสงบอย่างยิ่ง เสวยความยินดีอย่างที่มนุษย์ธรรมดาสามัญไม่เคยพบ
2.สุข ได้แก่ วิปัสสนาสุข คือ สุขที่เกิดขึ้นในวิปัสสนา
สุขชนิดนี้เป็นสุขที่ละเอียดประณีตเป็นอย่างยิ่ง
ซึมซาบไปตลอดทั้วร่างกายอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน เป็นสุขท่วมท้นหัวใจ เป็นสุขที่ประเสริฐ
กว่าความสุขธรรมดาที่มนุษย์พบเห็น
3.อธิโมกข ได้แก่ ศรัทธา เกิดความศรัทธาขึ้นมากมาย
เป็นศรัทธาที่มีกำลังมาก เช่น คิดอยากให้คนที่รัก พ่อ แม่ อาจารย์
เข้ามาปฏิบัติเหมือนตน แม้กระทั่งคนที่ตายไปยังคิด พอนึกถึงวิปัสสนาจารย์ผู้ให้กัมมัฏฐาน
ก็เกิดศรัทธานึกถึงบุญคุณอาจารย์ที่ช่วยสอนกัมมัฏฐาน ถ้าเป็นบรรพชิต ก็คิดวางแผนว่าจะตั้ง
สำนักวิปัสสนาขึ้น แล้วตนจะเป็นวิปัสสนาจารย์สั่งสอนให้คนทั่วไปรู้จักวิปัสสนา
ทั้งนี้เป็นเพราะ
คิดเพลินไป ด้วยศรัทธาอันแรงกล้า ลืมการตั้งสติกำหนด ทำให้ กัมมัฏฐานรั่ว
ปล่อยให้มี ตัณหา
มานะ ทิฏฐิ เข้ามาทำให้เกิดความล้าช้าต่อ มรรค ผล แต่ก็ถือว่าเป็นของดี เพราะเป็นศรัทธาที่
เกิดขึ้นในขณะที่จิตบริสุทธิ์ผุดผ่อง ซึ่งคนธรรมดาจะเกิดศรัทธาขนาดนี้ไม่ได้
4.ปัคคหะ ได้แก่ วิริยะ เกิดขยันขึ้นผิดปกติ พยายามในการปฏิบัติอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ผิดจากแต่ก่อนมาก
5.อุปัฏฐาน ได้แก่ สติ เกิดมีสติดีขึ้นมาอย่างอัศจรรย์
ทำให้กำหนดได้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งที่เคยกำหนดได้ยาก
หรือต้องขืนใจกำหนด บัดนี้กำหนดอย่างคล่องแคล่ว เพราะว่าสติตั้งมั่น ไม่โยก
ไม่คลอน ไม่หวั่นไหว
ไม่เผลอ ถ้ามนสิการไม่ดี อาจทำให้คิดว่าตนพบธรรมวิเศษเข้าแล้ว
6. อุเปกขา ได้แก่ วิปัสสนุเปกขา เกิดความวางเฉยในสังขารอารมณ์ทั้งปวง
ไม่ยินดียินร้ายต่อทุกสิ่ง เหมือนคนไม่มีกิเลส
ไม่สะดุ้งสะเทือนต่ออารมณ์ทุกชนิด เป็นอุเปกขาที่มีกำลังแรงกล้า แม้จะมีอารมณ์ใดมากระทบก็ไม่หวั่นไหว
วางเฉยได้ทุกประการ จนตนเองก็แปลกใจ ถ้ามีมนสิการไม่ดี ก็อาจเข้าใจผิดคิดว่า
ตนเป็นอรหันต์แล้ว
หมดกิเลสแล้ว ได้มรรคผลนิพพาน รวมความว่า อุเปกขานี้เป็นของดี แต่ถ้ามนสิการไม่ดี
มีตัณหา
มานะ ทิฏฐิ เข้าแทรก ก็จะกลายเป็นวิปัสสนูปกิเลสไปเลย
7. นิกันติ ได้แก่ วิปัสสนานิกันติ คือ ความใคร่
ความต้องการ ยินดี ติดใจ ชอบใจในคุณพิเศษ ทั้ง 9 ประการ
คือตั้งแต่ โอภาส จนถึง อุเปกขา
วิปัสสนูปกิเลสทั้ง
10 ประการนี้ ย่อมเกิดขึ้นแก่โยคีผู้ปฏิบัติทุกคน เมื่อบรรลุถึงอุทยัพพยญานอย่างอ่อน
ฉะนั้น พอถึงระยะนี้วิปัสสนาจารย์ พึงคอยตักเตือน
คอยให้สติอย่าให้โยคี หลงผิดอยู่ในวิปัสสนูปกิเลสเป็นอันขาด
มีอีกอย่างหนึ่งคือ วิปัสสนูปกิเลสบางข้อมีสภาวะคล้ายๆ
กับโคตรภูญาณ มรรคญาณ ผลญาณ ความคล้ายกันนี้เป็นเหตุ
ให้เข้าใจผิด ต้องสอบสวนลำดับญาณให้ถูกต้อง ว่าจะต้องผ่านญาณใดก่อน
หลัง อย่าด่วนตัดสินใจง่ายๆ
รวมความว่าญาณที่
4 คือ อุทยัพพยญาณ นี้มีวิปัสสนูปกิเลสเกิดขึ้นอย่างประหลาดมหัศจรรย์ โยคีมากคน
ก็พูดมากอย่างตามอาการต่างๆ ของวิปัสสนูปกิเลส
แต่ข้อสำคัญต้องให้ได้ลักขณะ คือ รูป-นาม เกิดดับเร็วๆ ก็เป็นอันว่า
ใช่อุทยัพพยญาณแน่นอน
วิปัสสนูปกิเลสตั้งแต่ 1-9 เรียกว่า อุปกิเลส เพราะเป็นที่อาศัยของ
ตัณหา มานะ ทิฏฐิ ทั้ง 9 ประการนี้ ตัวจริงแท้ๆ
ไม่ได้เป็นอกุศลเลย แต่ตัวสุดท้าย นิกันติ เป็น
อุปกิเลสด้วย ทั้งเป็นที่อาศัยของอุปกิเลสด้วย เป็นที่อาศัยของอกุศล 3 ตัว
คือ ตัณหา มานะ ทิฏฐิ รวมกับอุปกิเลส 10 ประการ
เป็นทั้งสิ้น 30 ตัว(3x10)
ตั้งแต่ 1-9 เป็นกุศลแท้ เพราะเกิดขึ้นได้ต้องใช้ความเพียรปฏิบัติวิปัสสนามาไม่น้อย
แต่ที่มามีสภาพเป็นอุปกิเลส
เพราะเมื่อเกิดขึ้นแล้ว อกุศล 3 ตัวคือ ตัณหา มานะ
ทิฏฐิ คอยหาโอกาสแทรกเข้ามาทำให้เป็นของเสีย แต่พอผ่าน
ญาณนี้ไปแล้ว ตัณหา มานะ ทิฏฐิจากไปแล้วธรรมทั้ง
9 ประการก็จะกลับเป็นของดีตามเดิม และดีวิเศษเสียด้วย
เพราะเป็น โพชฌงค์ คือ องค์คุณสำคัญ ของเหตุให้ได้
มรรค ผล ส่วนข้อสุดท้าย คือ นิกันติ นั้นเป็นตัวอกุศล
เป็นอุปกิเลสแท้ อย่างไม่ตัองสงสัย
-------------------------------------------------------------------------------------------