ล้อธรรมตามพระพุทธทาส
ผมไม่เคยเห็นตัวจริงของพระพุทธทาสเลย ได้ฟังแต่เสียง
ได้แต่อ่าน ได้เห็นแต่รูปภาพ แต่ธรรมของท่านสกิดใจได้อย่างดี
เมื่อฟังต้องกำหนดกรรมฐานตามไปเกือบทุกครั้ง ดังนั้นผมจึงเอาธรรมที่ท่านล้อมาล้อต่อ
อาจจะเอามะพร้าวมาขายสวน
เพราะทุกท่านอาจได้อ่านอาจได้ฟังมาแล้ว ผมไม่ได้อ่านหนั้งสือของท่านพุทธทาสมาเกือบ
3 ปีแล้ว
และตอนนี้ไม่มีข้อมูลหรือหนังสืออยู่ในมือเลย จึงจะล้อตามความหมาย
แต่ข้อความอาจคลาดเคลื่อนกันบ้าง ต้องขอภัยด้วย
ล้อธรรม 1
คนเราชอบแส่หาเรื่องทำเรื่องไม่เป็นเรื่องให้เป็นเรื่อง
ทำเรื่องที่เป็นประโยชน์ให้เป็นเรื่องไม่เป็นเรื่อง
ให้ตัวเองต้องทุกข์ร้อนเล่น เหมือนเอาไม้สั้นไปรันขี้
ขี้จะต้องกระเด็นเหม็มติดมือจนได้
ล้อธรรม 2
การดำรงณ์จิตไว้อย่างไม่ถูกต้อง
เสมือนมีศตรูคู่อาฆาตคอยจองทำลายล้างอยู่ตรอดเวลาและในที่สุดต้องกลายเป็นคนบ้า
(บ้าจริงๆ กับบ้ากู)
การดำรงณ์จิตไว้อย่างถูกต้อง เสมือนมีญาติมีมิตรคอยช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา
มีความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม
ถึงที่สุดคือนิพพาน
ล้อธรรม 3
การปฏิบัติธรรมเปรียบเหมือนการหัดถีบจักรยาน
ไม่มีใครในโลกนี้เกิดมาแล้วถีบจักรยานเป็นได้ทันที่
และไม่มีใครในโลกบอกแต่วิธีถีบจักรยาน ทำให้ผู้รับทราบถีบได้เป็นในทันที
มันต้องคอยฝึกด้วยตนเอง
ตามที่เขาบอกเขาแนะพอเข้าใจ แต่พอทำจริงทำไม่ได้เสียนี้
มันต้องค่อยฝึกประคองรถจักรยานไม่ให้ล้ม
ต้องฝึกไถรถจักรยานไปข้างหน้าโดยใช้เท้ายันพื้นไปด้วยตัวเอง
ถึงแม้จะมีคนคอยช่วยพยุงรถให้อยู่
แต่พอคนช่วยพยุงป่ลอยมือ ก็กลับล้มเหมือนเดิม ดังนั้นไม่มีผู้วิเศษท่านใดที่จะจับให้ถีบจักรยานได้ทันที่โดยไม่ต้องฝึก
หรือไม่มีผู้วิเศษท่านใดจับผู้ศึกษาธรรม ถึงมรรคผลนิพพานได้ทันที่โดยไม่ต้องปฏิบัติ
เช่นเดียวกับการหัดถีบจักรยาน
ล้อธรรม 4
อธรรมมโน (ตามความเข้าใจของผม)ถ้าไม่มีผู้รู้อธิบายคำนี้
คำคำนี้กลายเป็นคำไม่ดี เป็นอธรรมเป็นธรรมฝ่ายชั่ว
ความจริงแล้วเป็นการล้อธรรม ในความมายของการฝึกจิต
คือไม่ว่าสิ่งดีหรือไม่ดี
เข้ามาทำจิตให้หวั่นไหวไม่ตั้งมั่นหรือไม่สงบ ปฏิเสธหรือปัดทิ้งทั้งหมด
เป็นการฝึกจิตเป็นสมาธิ
ไม่ใช่ฝึกวาจาหรือฝึกปัญญา
ล้อธรรม 5 (เป็นความเข้าใจของกระผม)
ไม่ใช่ตัวกู-ของกู เป็นการล้อความคิดล้อความเห็นให้เห็นถูกตามไตรลักษณ์
ไม่ใช่บอกว่าไม่มีกู หรือเข้าใจว่าไม่มีกู
แล้วกูจะไม่ทุกข์ มันเพียงแต่ทุกข์น้อยลงหรือไม่ทุกข์เลยในเหตุการณ์นั้นในช่วงนั้น
แต่ถ้าไม่มีตัวกู-ของกู จริงๆ
ก็คือพระอรหันต์ เพระตัวกู-ของกู กลายเป็นสูญญตา
ธรรม 1
ต้องฝึกสติให้รวดเร็วกว่าสายฟ้าแลบ
ไม่เช่นนั้นไม่ทันกับกิเสล แล้วเอาธรรมมาใช้ไม่ทันการ (ท้ายนี้ผมเสริมเอง)
กิเลสมันไปถึงใหนแล้วก็ไม่รู้ แต่กูเต็มไปหมด
ธรรม 2 (เข้าใจในความหมาย
เพราะได้ฟังท่านกล่าวมานานแล้วในการปฏิบัติธรรมทำนองนี้)
ปัญญาจริงๆ ของการปฏิบัติธรรมเมื่อถึงที่สุด
ไม่ต้องคิดไม่ต้องนึกเพราะถ้ายังคิดยังนึกอยู่มันหยาบไป รู้ รู้ รู้ ให้สุด
รู้
แล้วปัญญาจริงจะบังเกิดเอง
* ผมล้อธรรมบ้าง จะว่าผมเป็นอึ่งอ่างจะพองตัวให้เท่าวัวผมก็น้อมรับอย่างเต็มใจ
เพราะถึงเวลาผมก็ตายเอง
ธรรมเสวนามีเพื่อสกิดใจหาใช่เพื่อสะใจ
บางท่านสกิดตรงบางท่านสกิดอ้อมก็เพื่อน้อมเข้าสู่ธรรม
(อย่าถือโทษโกรธกันเลย)
ขัดแย้งในความคิดย่อมไม่ถูกใจกันบ้าง
ขัดแย้งในความคิดต้องผิดใจกันหรือ?
ขัดแย้งในความคิดต้องฆ่าฟันกันด้วยหรือ?
ความคิดนั้นเปราะบางเปลียนกันได้ แล้วจะถือสากันทำไม่?
(กรณีนี้เป็นกล่าวเพียงความคิด ไม่ใช่ไปเปลียนแปรงธรรมบัญญัติเพื่อบัญญัติให้เป็นไปตามความคิดของตนเอง)