ผมขอแสดงความคิดเห็นไว้จะได้เปรียบเทียบกับท่านอื่น
> อัตตาอยู่ตรงใหน ?
อัตตาอยู่ตรงที่ มีตัวกู-ของกู เกิดขึ้น
เกิดขึ้นที่ไหน เวลาไหน ก็มีอัตตาในใจเรา
อยู่ที่นั่น เวลานั้น คนส่วนใหญ่ก็มีกันตลอดเวลา
ไม่ว่าจะทำอะไร นี่ตัวกู นี่ไม่ใช่กู
นี่รถกู เมียกู ลูกกู กระทู้กู ความเห็นกู
ฯลฯ
ทิฏฐิความเห็น นี่ตัวกู/นั่นไม่ใช่ตัวกู
นี่ของของกู/นั่นไม่ใช่ของของกู ความเห็น
ทิฏฐิอันนี้(อัตตานุทิฏฐิ) ปุถุชนจะมีอยู่ตลอดเวลา
แฝงไปกับการกระทำต่างๆ
ความคิดความเห็น ความเชื่อ การตัดสินใจต่างๆโดยไม่รู้ตัวเสมอ
> ศึกษาความรู้ตามตำราไม่พอหรือ? ฝึกสมาธิอย่างเดียวไม่พอหรือ?
อาจพอ/อาจไม่พอ ขึ้นกับศักยภาพในการตรัสรู้ภายในตัวท่านเอง
ว่ามีมากน้อย
หรือพร้อมเพียงใด ในสมัยพุทธกาลจะเห็นว่ามีอยู่มากกรณี
บางท่านเป็นนายพราน
ผิดศีลข้อ ๑ ทุกวัน ไม่น่าจะได้เรียนรู้หนังสืออะไรมากมาย
สมาธิก็คงไม่ได้ฝึกอะไร
นอกจากสมาธิตามธรรมชาติ พระพุทธเจ้าท่านไปโปรดครั้งเดียวก็สำเร็จเป็นพระ
โสดาบันได้
> 1. อัตตา(อวิชา,ความยึดมั่นถือมั่น)อยู่ตรงใหน
?
อัตตามีอยู่ได้ เพราะอวิชชา(ความไม่รู้)
ความไม่รู้ทำให้เกิดความยึดมั่นถือมั่นว่ามี
อัตตาตัวตน มีตัวกู-ของกู (คำถามนี้ตอบแล้วข้างบน)
> 2. เราเกิดมาเราไม่รู้ใช่ไหมว่าเรามีอัตตา ดังนั้นอัตตาไม่ใช่อยู่ที่ความรู้สึกหรือ
> ความคิดอย่างเดียวจะต้องอยู่เลยกว่านั้นใช่หรือไม่
หรือมีคำตอบอื่นที่ดีกว่านี้?
เป็นธรรมชาติเป็นปกติของสิ่งมีชีวิตต่างๆที่จะมีสิ่งนี้อยู่ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว
เป็นเรื่องของทิฏฐิความเห็น ไม่ใช่เพียงแค่ความรู้สึกนึกคิดธรรมดา
อัตตาแสดง
ออกผ่านทางความรู้สึกนึกคิดและการกระทำต่างๆไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม
> 3. ความนึกคิดการวิเดราะห์ แบบที่เราศึกษาทางโลก(วิชาการทางโลก
> รวมทั้งปรัชญาและจิตวิทยา) สามารถเข้าไปรู้เห็นอัตตาตัวนี้ได้หรือ
?
> สมมุติถ้ารู้และเข้าใจอัตตาตัวนี้แล้วจะปล่อยวางได้อย่างไร?
> ในเมื่อไม่เคยฝึกสติปัญญาไปเห็นจริงๆ
ปัจจุบันท่านรู้ว่าอากาศมีอยู่ได้อย่างไร
จากการศึกษาวิชาการทางโลกที่ผ่านมา
ท่านก็รู้ได้ว่าอัตตามีอยู่ จากการศึกษาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างเดียวกัน
นักวิทยาศาสตร์ในอดีตรู้ได้ว่าอากาศมีอยู่
ก็เพราะค้นพบความเป็นสูญญากาศ
พระพุทธเจ้ารู้ได้ว่าอัตตามีอยู่ชัดเจน
ก็เพราะท่านค้นพบความปราศจากอัตตา
ท่านจะรู้ซึ้งเข้าใจถึงความมีอยู่ของอากาศได้เป็นอย่างดียิ่งโดยไม่มีใครต้องบอก
กล่าวเพียงแต่ท่านเข้าไปอยู่ในสภาวะที่เป็นสูญญากาศไม่กี่นาที
รู้จักภัยของการ
ไม่มีอากาศจึงรู้จักคุณของอากาศดียิ่ง
ผู้ที่เข้าถึงความปราศจากอัตตาตัวตนเพียงไม่กี่นาที
ย่อมเข้าใจถึงทุกข์ภัยและโทษ
ของอัตตาตัวตนว่ามีอยู่อย่างไร รู้จักความปราศจากอัตตาตัวตน
จึงเห็นโทษภัย
ของการมีอัตตาได้แจ่มชัด เห็นโทษของความวุ่นวายเผาลนจากกิเลสแจ่มชัด
เพราะเข้าถึงความสงบเย็นของนิพพาน
ฯลฯ
การศึกษาแบบวิชาการทางโลก จะช่วยให้เรารู้เห็นอัตตาตัวตนนี้ได้ในระดับสมมติ
แม้ว่าไม่ใช่ของจริงแต่ก็ดีกว่าผู้ที่ไม่ได้ศึกษาเลย
ช่วยลดการแสดงออกของอัตตา
ทางกายและวาจาได้ ช่วยลดการเบียดเบียนและการสร้างอกุศลกรรมได้มาก
งดเบียดเบียน งดสร้างอกุศลกรรม สร้างแต่กุศลกรรม
ย่อมใกล้ต่อมรรคผล
นิพพาน ภาวะปราศจากอัตตาจริง คือทำให้ใกล้ต่อการรู้เห็นอัตตาจริงด้วย
ผู้ที่จะรู้เห็นอัตตาจริง ต้องเป็นผู้ที่รู้เห็นภาวะปราศจากอัตตา
เมื่อรู้จักภาวะที่
ปราศจากอัตตาจึงทำให้ปล่อยวางอัตตาได้
สติปัญญาแบบทางโลกแม้ไม่ช่วย
ให้รู้จักอัตตาจริงได้ แต่ก็ช่วยทำให้ใกล้เป็นทางเพื่อนรู้จักอัตตาได้ทางหนึ่ง
> 4. ทำไม่พระพุทธทาสกล่าวว่า ต้องมีสติรวดเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าแลบจึงจะทันกับกิเลส
> ไม่เช่นนั้นเอาธรรม มาใช้ไม่ทันการ สติตัวนี้คือความนึกคิด
หรือการวิเคราะห์วิจาร
> หรือการใช้สติพิจารณากำหนดรู้สติปฏาน 4 เนื่องๆ
เป็นปัจจุบันอารมณ์
> หรือทั้งหมดที่กล่าวมาไม่ถูกต้อง ?
จิตเกิดดับได้เร็วกว่าสายฟ้าแลบ การพัฒนาสติให้รวดเร็วเพื่อให้ทันกับกิเลสที่เกิด
ขึ้นจึงเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก (เป็นวิธีการที่ทำได้ยาก-ต้องคิดว่าตัวเองเก่งแน่จริง
จึงเลือกวิธีการนี้ได้) ในทางปฏิบัติจึงค่อยๆใช้วิธีการล้อมให้แคบเข้า
ไม่ปล่อย
กิเลสหรืออกุศลจิตเกิดอยู่นาน ไม่ให้อาหารมัน
ไม่ปล่อยให้มันเติบโต ทำให้มันลด
ความถี่ในการแสดงออก ด้วยการเจริญสติปัฏฐาน
๔ เนืองๆ เมื่อไหร่ที่อาหาร
คืออวิชชาหมด เมื่อนั้นกิเลสก็เกิดขึ้นไม่ได้
ตั้งอยู่ไม่ได้
> 6. ทำไม่พระพุทธเจ้าจึงสั่งสอนให้ รักษาศิล ฝึกสมาธิ
ฝึกปัญญา
> โดยใช้สติพิจารณาในสติปฏาน 4 จึงเกิดปัญญา(นิพพาน)
แทนที่พระองค์จะสอนว่า
> ให้เธอไปนั่งคิด นั่งปรุงแต่งอารมณ์ความคิด
> หรือวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาจากหลายแหล่งเพื่อหาข้อสรุป
> แล้วเกิดปัญญาเหมือนกับวิชาการทางโลก
สติปัฏฐาน ๔ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นการล้อมกรอบกิเลส
ทำให้แคบ ทำให้ลดน้อย
ปัญญาจากการพิจารณาเห็นความจริงเป็นเครื่องตัดไม่ให้กิเลสเกิดขึ้นหรือตั้งอยู่ได้
สมาธิเป็นกำลัง/ช่วยสนับสนุนให้เกิดปัญญายิ่งๆขึ้นไป
การคิดปรุงแต่งอารมณ์ไม่ถือว่าเป็นปัญญาหรือเครื่องทำให้เกิดปัญญา
แต่การ
พิจารณาไตร่ตรอง วิเคราะห์ จำแนก
แยกแยะ เป็นวิธีการให้เกิดปัญญา ซึ่งไม่
แตกต่างกันในข้อนี้ไม่ว่าจะเป็นปัญญาทางโลกหรือทางธรรม