สั่งเครื่องให้ทำการพิมพ์

ลานธรรมเสวนา > ชีวิตกับธรรมะ
กระทู้ 27224 หลักฐานทางประวัติศาสตร์ เกี่ยวกับ"จตุคามรามเทพ" ( http://larndham.net/index.php?showtopic=27224 )

 




ในตำนานชินกาลมาลีปกรณ์ และตำนานพระพุทธสิหิงค์ ปรากฎพระนามเทพ2องค์นี้ ในข้อความตอนที่พระร่วงสนทนากับกษัตริยนครศรี เรื่องพระพุทธสิหิงค์ที่ลังกา พระร่วงถามว่า ทำไงถึงจะเอามาได้ พระเจ้านครศรีธรรมราชว่า"ไปเอามาไม่ได้ ลังกามีเทพ4องค์ คือ ขัตตุคามเทพ รามเทพ สุมนเทพ ลักขณเทพ"

*********

The facts behind the Jatukam Ramathep talisman nonsense
  

In the past month or so, several articles have appeared in the Thai and English media concerning the phenomenal popularity of a magical talisman, promising instant wealth to those who wear one.


The talisman features a divine being called Jatukam Ramathep, unknown in Buddhist or Hindu sacred literature. He seems to be the invention of a confused imagination, and most intelligent commentators condemn this new cult as indicating a corruption of both Buddhist morality and Thai animistic spirituality.


In order to understand the problem, we need to get the god's name right:


Jatukam Ramathep is the Thai pronunciation of the Pali Catugamaramadeva, meaning God Rama of the Four Villages. This is near nonsense as no ancient literature, Buddhist or Hindu, connects Rama to "Four Villages". Thus the name seems to have been created out of thin air.


However, the talisman is connected in the popular imagination to the Great Stupa of Nakhon Si Thammarat. According to respectable tradition preserved in an ancient document (see Wyatt, DK, "The Crystal Sands: The Chronicles of Nagara Sri Dharmmaraja", Cornell) the relics enshrined in the Great Stupa there came from Sri Lanka and the stupa was established with the assistance of traders from Sri Lanka, where Buddhism has always been protected by Hindu gods.


(The evidence is in the Mahavamsa and in folk religion to this day.)


Here is the evidence as far as I have been able to trace it from credible physical and documentary sources:


At the Great Stupa at Nakhon Si Thammarat, the stairs leading up to the circumambulatory terminate in a narrow stage with four images of gods. To the extreme left and right are two gods in brick and plaster with no attributes. However inscribed stone plaques (in apparently old lettering) announce that they are Lord Khattugama and Lord Ramadeva.


The door in the centre consists of two wooden leaves each carved with a deity in high relief. One is obviously Vishnu with his disc and conch, but he also holds a bow, indicating that he is the Rama incarnation.


The other deity has four visible faces and so has been identified as Brahma, but he holds weapons (unlike Brahma who holds sacrificial implements).


If one counts the invisible faces (at the back of the relief) one gets six. The six faces and the weapons indicate the god Skanda (known in Sri Lanka as Kataragama) who has six faces and holds all weapons as Commander of the Heavenly Forces.


A 16th century Pali chronicle (see Penth, H Jinakalamali Index, Pali Text Soc, 1994) tells the following tale: the King of Sukhothai had heard of the fame of a Buddha image in Sri Lanka and he desired to acquire it. He sent an emissary to the king of Nakhon Si Thammarat, who reported that Sri Lanka was invincible as it was protected by four gods, namely Khattugama, Rama, Lakkhana and Sumana.


In Sri Lanka, today, popular tradition claims that the island is protected by four great deities, among whom are Kataragama (Khattugama in Pali) and Rama under the tittle Upulvan (the Blue God or Vishnu) but as he holds a bow we must suppose he is the Rama incarnation.


All this information may seem confusing to those unfamiliar with Hindu-Buddhist mythology and iconography, but from this respectable evidence we may construct a credible history.


In the late 12th century Sri Lankan Theravada Buddhism became established in mainland Southeast Asia together with its relics, footprints, Bodhi trees, texts and protective deities.


These were most faithfully recorded and remembered at Nakhon Si Thammarat. However in modern times, tradition has been forgotten. People lack knowledge of the texts to which I have referred. As a result they have confused the two guardian deities, Khattugama and Ramadeva, and conflated and corrupted their names, producing Jatukam Ramathep, a single deity without a historical background.


But who can blame the Thais?


I am reminded of a tale told (I think) by Evelyn Waugh. In Italy he once visited an obscure church that housed a splendid old woodcarving of St George on horseback killing the dragon. It was festooned with scraps of paper bearing prayers for wealth, health and success.


Waugh remonstrated with the parish priest about this gross idolatry.


The priest ruefully agreed and added that when the cultural authorities removed St George for restoration, leaving the horse, his parishioners wanted to attach their petitions to its tail and mane. "My flock don't worship St George," said the priest, "they worship the horse!"


In like manner, it seems, many Thai Buddhists have forgotten the Buddha, his liberating teachings and the relics of his person, and instead devote themselves to a protective deity, and a spurious one at that.


Several distinguished Thai scholars have proposed that the Jatukam Ramathep phenomenon indicates a failure of Buddhism. I would prefer to avoid this conclusion as religions do not fail unless they become fossilised and obsolete (like classical paganism).


Rather, societies fail to remember and live up to the admirable principles of their religions.


Indeed societies tend to pervert and demean their inherited wisdom.


In the case of the Jatukam Ramathep talisman here in Thailand, we have a society that counts greed and gain as the highest good, and an educational system that fails to provide access to Asian cultures. Nor does it make available to the public our most important historical texts.


If many Thais had read the relevant parts of the chronicles that I have quoted, then a nonsense deity like  Jatukam Ramathep would never have been conceived.

------------------------------------------------


NB: With kind permission of The Nation this article is taken from The Nation, May 15, 2007, p. 9A.
 
Keywords : Jatukam, Buddhism, Hinduism, Michael Wright

----------

ความนำ

    
ปัจจุบัน พระเครื่อง"จตุคามรามเทพ"เป็นที่นิยมของคนจำนวนมาก แต่เป็นปริศนาเพราะ
1.
ชื่อ"จตุคามรามเทพ"ไม่เคยปรากฏในคัมภีร์หรือตำนานใด ๆ ไม่ว่าของพุทธหรือพราหมณ์
2.
จตุคามรามเทพ แปลว่า พระรามสี่บ้าน ซึ่งฟังแล้วประหลาด พระรามมีเรื่องเกี่ยวกับ"สี่บ้าน"ที่ไหน

---------

หมวดที่ 1 ผู้ศรัทธาเชื่อว่า จตุคามรามเทพ คือเทพารักษ์องค์พระบรมธาตุนครฯ

หมวดที่ 2 ตามตำนานพระธาตุนครฯ(ตำนานหาดทรายแก้ว) มีความว่า"พระธาตุนครฯ นั้นเดิมมาจากลังกา โดยลังกาสนองคุณที่ได้พระทันตธาตุจากนครฯ ต่อมาในพุทธศตวรรษที่ 18 หลังเมืองนครฯร้างหึงมานานเพราะโรคห่า มีการขุดค้นพระธาตุกลับคืนมาแล้วสร้างพระสถูปครอบ ทั้งนี้ด้วยความร่วมมือของพระเจ้าลังกา พระภิกษุลังกา และพ่อค้าลังกา(พลิติ-พลิมุย)

หมวดที่ 3 จากหลักฐานตำนานนครฯ รวมกับหลักฐานอื่น ๆ พออนุมานได้ว่า ราวพุทธศตวรรษที่18 พุทธลังกาวงศ์ประดิษฐานที่อุษาคเนย์พร้อมพระไตรปิฎก พระพุทธบาท ต้นศรีมหาโพธิ์ และเทพารักษ์จากลังกา"

หมวดที่ 4 ที่วิหารพระม้า วัดพระบรมธาตุนครฯ ที่หัวบันไดมีลานแคบ ซ้าย-ขวามีรุปปั้น ไม่มีลักษณะเฉพาะ ตรงกลางเป็นประตูไม้เข้าสู่ลานประทักษิณ บนขวาสลักเป็นรูปพระวิษณุ ทรงจักรเป็นอาวุธประจำ และกำหนดให้ถือธนูกับลูกศร คือรามาวตาร
    
ส่วนประตูบานซ้าย สลักเป็นรูปพระพรหม 4 หน้า แต่ถืออาวุธผิดพระพรหม(พระพรหมส่วนมากถือคัมภีร์พระเวท ดอกบัว อักษมาลา(ประคำ) หม้อน้ำ ทัพพี) ถ้านับหน้าที่มองไม่เห็น(อยู่หลังรูปนูน)ก็เป็น6หน้า เป็น6เศียร เทพ 6 เศียร คือพระขันทกุมาร หรือพระสกันทะ

หมวดที่ 5 ในผนังยอกบันไดในวิหารพระม้ามีแผ่นศิลาจารึกสมัยอยุธยา คือ"เท้าขัตตุคาม"และ"เท้ารามเทพ" แสดงว่ามีเทพ2องค์ แต่ไม่ทราบว่าหมายถึงรูปปั้น หรือเทพที่ประตู

หมวดที่ 7 จากหลักฐานลังกา ถึงทุกวันนี้ ชาวพุทธในลังกาถือว่าเกาะนั้นมีเทพครองอยู่ 4 องค์ ตรงกับตำนานไทย500ปีที่แล้ว(เพี้ยนเพียง1ชื่อ) เทพารักษ์ทั้ง4ของลังกา มีดังนี้

1.
ขัตตุคามเทพ ตรงกับ Kataragama Deva มีนกยูงเป็นพาหนะ มี6หน้า 12กร ปางปกติเป็นรูปเทพบุตร อยู่ในรูปของกุมาร เป็นน้องชายพระพิฆเนศ ชาวสิงหลเรียกท่านว่า ขัตตคาม(ขัตตุคาม)/Kataragama(กฎรคาม) เพราะศาลใหญ่ของท่านอยู่ในป่าชื่อ"กฎรคาม"

2.
รามเทพ ลังกาเรียก"อุบลวรรณ" หมายถึงพระวิษณุปางรามาวตาร มีธนูและลูกศรเป็นอาวุธ ศาลอยู่ที่แหลมDondra ทางใต้สุดของเกาะ

3.
สุมนเทพ องค์นี้ไม่ตรงกับเทพองค์ใดของฮินดู แต่คล้าย"ผีพื้นเมือง"มากกว่า ตำนานมหาวงศ์ว่าท่านอาราธนาพระพุทธเจ้าประทานพระเกศธาตุที่ประดืษฐานในมเหยงคณ์มหาสถูป และประทับรอยพระบาทที่เขาสุมนกูฏ ศาลของท่านอยู่ที่เมืองรัตนปุระ(ratnapura) ตีนเขาพระพุทธบาท(ศรีปทะ หรือศรีบาท)

4.
นาถเทพ คือพระอวโลกิเตศวร ชาวลังกาเรียกพระอวโลกิเตศวรว่า"นาถเทพ"คนจีนเรียก"กวนอิม" มีศาลอยู่ที่เมืองแคนดี(Kandy)

***************

โปรดพิจารณาด้วยครับ

http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K5535599/K5535599.html
เอาไปอ่านต่อครับ

ตอบโดย: เหงามาก 19 ก.ค. 50 - 18:17

 


อ้างอิง (เหงามาก @ 19 ก.ค. 50 - 18:17)
หมวดที่ 2 ตามตำนานพระธาตุนครฯ(ตำนานหาดทรายแก้ว) มีความว่า"พระธาตุนครฯ นั้นเดิมมาจากลังกา โดยลังกาสนองคุณที่ได้พระทันตธาตุจากนครฯ ต่อมาในพุทธศตวรรษที่ 18 หลังเมืองนครฯร้างหึงมานานเพราะโรคห่า มีการขุดค้นพระธาตุกลับคืนมาแล้วสร้างพระสถูปครอบ ทั้งนี้ด้วยความร่วมมือของพระเจ้าลังกา พระภิกษุลังกา และพ่อค้าลังกา(พลิติ-พลิมุย)

 
(เหงามาก @ 19 ก.ค. 50 - 18:17)

         
ถ้าตามตำนานกล่าวไว้ มีพระเจ้าลังกา พระภิกษุลังกา และพ่อค้าลังกา แล้วเท่าที่ทราบมาจากแหล่งหนังสือที่นำมาลงด้วย บอกว่า มีช่างจากลังกามาช่วยทำด้วย
         
ดังนั้นศิลป สถาปัตยกรรมต่าง ๆ ก็ควรนำแบบอย่างมาจากลังกาด้วย ที่นี้ก็ต้องไปดูว่า แบบเจดีย์พระมหาธาตุ สถูปต่าง ๆ นั้น ในนครศรีธรรมราชนั้น มีศิลปร่วมสมัยเดียวกับลังกาก่อนยุค พุทธศตวรรษ 18 หรือไม่ด้วย เพราะขนาดทั้งพ่อค้า และช่างลังกามาด้วย ย่อมนำวิธีการสร้าง และศิลป สถาปัตยกรรมก็น่าจะมีแบบลังกาด้วยมากพอควรครับ
         
เป็นข้อสังเกตให้พิจารณาครับ
         
คงต้องให้ผู้มีความรู้ด้านศิลป สถาปัตยกรรม ทั้งที่ลังกาและนครศรีธรรมราชดูจึงทราบได้ครับ  

ตอบโดย: โชติปาละ 19 ก.ค. 50 - 20:38

 


ลืมหมวดที่6

หมวดที่ 6 ในตำนานพระพุทธสิงห์(สิหลพุทธรูปนิทาน)และตำนานชินกาลมาลีปกรณ์ ต่างมีความว่า"ครั้งหนึ่งพระร่วงสุโขทัยได้ยินกิตติศัพท์พระพุทธรูปในลังกาว่าศักดิ์สิทธิ์นักหนาจึงอยากได้มา พระองค์จึงส่งทูตไปทาบทามพระเจ้านครศรีฯ ว่าทำอย่างไรจะบุกลังกา? พระเจ้าเมืองนครศรีตอบว่า"จะเอาเมืองลังกาบ่มิได้เพราะลังกามีเทพารักษ์ถึง4องค์ คือ ขัตตุคามเทวราช รามเทวราช ลักขณเทวราช และสุมนเทวราช""

ผนวกกับหลักฐาน(หมวดที่5)กับเอกสารหลักฐาน(หมวดที่6) เป็นที่น่าสงสัยว่า เทวรูป4องค์ที่ยอดบันไดวิหารพระม้า ตรงกับเทพารักลังกา4องค์ในตำนาน"

ตอบโดย: เหงามาก 20 ก.ค. 50 - 12:17

 


1.
รูปปั้นที่ยอดบันได้ทางขึ้นประทักษิณรอบองค์พระมหาธาตุในวิหารพระทรงม้า มี 2 องค์ ซ้ายกับขวา พื้นด้านหน้ารูปปั้น 2 องค์ มีป้ายจารึกว่า"เท้าขัตตุคาม" และ"เท้ารามเทพ" ขณะที่เทวรูปอื่นไม่ได้ระบุชื่อ แสดงว่ามีความพิเศษมากกว่าเทวรูปอื่น ๆ คือเป็นเทพเฝ้าพระมหาธาตุฯ และเทวรูป 2 องค์ ไม่น่าเกี่ยวอะไรกับหลักเมืองด้วย เพราะผนังเหนือบันไดด้านขวา(ของผู้ขึ้นบันได) มีรูปเทพ4กร(ตรงข้ามกับอีกฟากที่เป็นรูปพระพุทธบาทจำลอง) รูปนี้ถือกันมาว่าเป็นเทพประจำเมือง หรือเทพหลักเมือง แต่กลับไม่มีผู้สนใจถึงกับนำไปเป็นเทพหลักเมืองที่เพิ่งสร้าง และก็ลืมท่านไปเลย ส่วยเทพทวารบาล 2 องค์ที่บานประตูสู่ลานประทักษิณ สลักเป็นรูปพระพรหม(จริง ๆ คือพระขันทกุมาร)กับพระวิษณุ และมีคนคิดว่าเป็นจตุคาม-รามเทพ และรูปที่เสาหลักเมือง ได้แบบมาจากเทพที่บานประตู ถือว่าเป็นจตุคามรามเทพรึเปล่า???

2.
ในเอกสาร"โองการลุยเพลิง"ในกฎหมายตรา3ดวง บัญญัติปี 1899 (อาจมีการแก้ไขภายหลัง) ตอนอัญเชิญเทพมาเป็นพยานในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ทั้ง 2 ฝ่าย เป็นกาพน์ฉบัง 16 ความว่า
    "
อีกทัง(ทั้ง)พระกาลพระกุลี.......พระขัตุคามี
พระรามเทพชาญไชย"
    
พระขัตุคามี-พระรามเทพ เป็นชื่อรูปปั้น 2 องค์ ตามข้อ 1

3.
จากเอกสาร"ชินกาลมาลีปกรณ์"เรื่องพระพุทธสิหิงค์ กล่าวว่า(ขอกล่าวแบบภาษาง่าย ๆ นะครับ)"...พระเจ้าหล่อพระสีหลปฏิมา(พระพุทธสิหิงค์) เสร็จเมือปีพ.ศ.700 และทำการบูชาสืบมา ถึงปีพ.ศ.1800 กษัตริย์สุโขทัยอยากเห็นทะเล ได้ยกทหารหลายตามเสด็จ จนถึงเมืองนครศรีฯ พระเจ้าศรีธรรมราชออกมาต้อนรับ เล่าเรื่องพระพุทธสิหิงค์ให้กษัตริย์สุโขทัยฟัง และกษัตริย์สุโขทัยถามว่า ไปที่ลังกาได้ไหม? กษัตริย์นครศรีฯตอบว่า ไม่ได้ เพราะมีเทวดา 4 องค์ คือ พระสุมนเทพ พระรามเทพ พระลักขณเทพ พระขัตตคามเทพ มีฤทธิ์มาก คอยรักษาเมืองลังกา..." สุดท้ายลังกามองพระพุทธสิหิงค์ให้สุโขทัยเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์
    
พระราม(บาลีว่า ราม) คือพระราม(ข้อ2) และคือเท้า(ท้าว)รามเทพ(ข้อ1) นั่นเอง ส่วนพระขัตตคาม เพี้ยนเป็นพระขัตุคามี(ข้อ2) และกลายเป็นขัตตุคาม(ข้อ1)
    
น่าสังเกตอย่างหนึ่ง คือผู้แต่งชินกาลฯว่าพระขัตตคามกับพระราม เป็นรักษาเมืองลังกา ไม่ได้รักษาพระบรมธาตุตามข้อ 1 กล่าวไว้
4.
นิทานพระพุทธสิหิงค์(ฉบับพ.ศ.2506) ปริเฉทที่ 3 นิทานพระพุทธสิหิงค์เสด็จมาถึงชมพูทวีป กล่าวว่า"มีเทพ 4 ตน คือ สุมนเทพ กามเทพผู้มีฤทธิ์มาก รามเทพ ลักษณเทพ คุ้มครองพระพุทธสิหิงค์ทุกเมื่อ..."

รามเทพ(บาลีว่า ราโม และ รามเทโว) คือพระราม และคือเท้ารามเทพนั่นเอง แต่ขัตตคาม หรือขัตตุคาม กลายเป็น กามเทพผู้มีฤทธิ์มาก(กามเทโว มหิทฺธิโก และ กามเทโว เตชวนฺโต) และชื่อกามเทพเป็นชื่อที่ผู้แต่งชินกาลฯข้องใจในความหมาย จึงแปลงเป็น"ขัตตคาม" เปลี่ยนจากเทพแห่งความรักเป็นเจ้าแห่งหมู่บ้านกษัตริย์(ขตฺต+คาม) ขัตตะ แปลว่า กษัตริย์(กฺษตฺร) แปลว่า กษัตริย์ คาม แปลว่า หมู่บ้าน
    
นิทานพระพุทธสิหิงค์ หรือสิหิงคนิทาน แต่งโดยพระโพธิรังสี พระชาวเชียงใหม่ แต่งเป็นภาษาบาลี เมื่อพ.ศ.1945-1985 ส่วนชินกาลฯ แต่งโดยพระรัตนปัญญาเถระ พระชาวเชียงใหม่ เป็นภาษาบาลี เมื่อพ.ศ.2060-2071 ถ้าเทียบกัน เห็นว่าเรื่องพระพุทธสิหิงค์ในชินกาลฯ อาศัยข้อมูลจากนิทานพระพุทธสิหิงค์ และไม่ได้คัดลอกทั้งหมด แค่สรุปสั้น ๆ และแก้ไขบางคำเท่านั้น
  
ที่น่าสังเกตคือผู้แต่งนิทานพระพุทธฯ ให้พระกามเทพกับพระรามเทพรักษาพระพุทธสิหิงค์ ไม่ใช่รักษาเกาะลังกา
  
แต่ไทยในอดีตรู้จักชินกาลฯก่อนนิทานพระพุทธฯ จึงรู้จักเทพ 2 องค์ คือพระขัตตุคาม-รามเทพ ไม่ใช่กามเทพ-รามเทพแบบในนิทานพระพุทธฯ

พระขัตตุคาม-รามเทพเป็นเทวดารักษาพระพุทธสิหิงค์ในบริบทของลังกา ไทยรับมาเป็นเทวดารักษาพระมหาธาตุ น่าแปลกใจว่าทำไมรับมาแค่ 2 องค์ และมีการนำชื่อของท่านคือ"พระจตุคาม-รามเทพ"ไปเรียกเทพหลักเมือง และไม่ทราบว่าขัตตุคาม เพี้ยนมาเป็น"จตุคาม"ได้ไง แต่มีคนเล่าว่าขุนพันธรักษ์ฯออกชื่อนี้ครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ.2528 และยกท่านเป็นพระเทวราชโพธิสัตว์ เป็นพระอวโลกิเตศวรแบบมหายาน(ที่หนังสือจตุคามหลายเล่มอ้างอิง เป็นที่มาของ"เทวราชโพธิสัตว์ โดยการเอาพระอวโลกิเตศวรมาอ้าง") และเป็นอะไรอีกมากมายในอนาคต

    
อย่างไรก็ตามกราควรตระหนักว่า พระขัตตุคาม-รามเทพเป็นเทวดาฝ่ายพุทธ และไม่ใช่พระโพธิสัตว์แบบมหายานหรือเทพฝ่ายฮินดู ดังนั้นการนับถือบูชาควรเป็นแบบพุทธเถรวาท  ถือว่าเป็นเทพรักษาสิ่งสำคัญในพระพุทธศาสนา เทวดาเหล่านี้ต้องปฏิบัติธรรมอีกมาก ไม่ควรยกขึ้นเสมอพระรัตนตรัย หรือมากกว่าพระรัตนตรัย การขอความช่วยเหลือและอำนวยโชคลาภจากท่านย่อมเป็นไปตามกฎแห่งกรรม ไม่ใช่"ขอไหว้-ได้รับ"เรื่อยเปื่อยไป หรืออวดสรรพคุณทำนองว่า"มรึงมีgooแล้วไม่จน" แบบพิสูจนืไม่ได้ และไม่ควีรนำท่านไปแปลงเป็นพุทธมหายานหรือพราหมณ์ฮินดูโดยไม่รู้ที่มาที่ไปอย่างที่ได้กระทำกันทุกวันนี้







ที่มา:นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับวันที่ 11 มิ.ย.50
เขียนโดย:เหงามาก
เอื้อเฟื้อข้อมูล:กำธร เลี้ยงสัจธรรม

ตอบโดย: เหงามาก 20 ก.ค. 50 - 12:33

 


"
จตุคามรามเทพ"ไม่เคยปรากฏในเอกสารโบราณดังกล่าวมาแล้ว "ราม" ก็คือพระรามซึ่งเป็นส่วนประกอบของชื่อกษัตริย์หลายองค์ในโลก มอญ-ไทย แต่"รามเทพ"น่าจะหมายถึงพระรามในรามายณะ
ส่วน"จตุคาม"แปลว่า "สี่บ้าน" พระนามรวมหมายความว่า"พระรามสี่บ้าน"ที่ไม่เคยปรากฏในตำนานประวัติศาสตร์หรือเทพปกรณัม ไม่ว่าเป็นฝ่ายพุทธหรือฝ่ายฮินดู จึงอธิบายไม่ได้และเป็นที่น่าสงสัย
เป็นไปได้หรือไม่ว่าคำ"จตุคาม"เพี้ยนมาจากคำอื่นที่คนไม่ถนัด บาลี สันสกฤต จำมาผิดๆ.

หลักฐานชิ้นที่1
จากตำนานพระธาตุนครศรีธรรมราช(ที่มีต้นฉบับเก่าแก่ เคยพิมพ์เผยแพร่และใคร ๆ อ้างอิงได้) เราทราบว่า พระธาตุนครศรีธรรมราชมีความผูกพันธ์กับลังกาอย่างใกล้ชิด เช่น "พลิติและพลิมุ่ย สองเศรษฐีชาวลังกาได้รับคำสั่งจากพระเจ้ากรุงลังกาให้มาช่วยสร้างพระบรมธาตุที่เมืองนคร แต่เดินทางถึงช้าจึงสร้างวิหารนี้ขึ้น"(วิหารนี้หมายถึงวิหารพระม้า)
ในบทสัมภาษณ์(ข่าวสด 7 มี.ค.2550) น.พ.บัญชา พงษ์พานิช อธิบายเรื่องเทพรักษาพระธาตุว่า"โดยที่ยอดบันไดเป็นคู่ของท้าวขัตตุคามและท้าวรามเทพ นั่งพิทักษ์อยู่"เทพปูนปั้นที่นั่งชันเข่าสองข้างหัวบันไดจะเป็น ท้าวขัตตุคาม และ ท้าวรามเทพ ตามที่เชื่อกันนั้น ยังไม่มีหลักฐานโบราณรองรับ แต่เทวรูปสลักนูนบานประตูไม้ทางเข้าลานประทักษิณยังเป็นปริศนาที่น่าสนใจ
บานหนึ่งมีรูปพระนารายณ์ทรงจักรและธนู ซึ่งสมควรเป็น รามเทพ จริง แต่อีกบานหนึ่งเป็นใคร? ใคร ๆ มักนับพระพักตร์ที่มองเห็นเป็นสี่แล้วสรุปว่าเป็น พระพรหม แต่ท่านถือเทพาวุธ(ค้อน?หอก?) ผิดพระพรหม แต่ตรงขันทกุมาร(สกันทะ)ที่นับถือว่าเป็นเทวเสนาบดี ยิ่งกว่านั้น หากนับพระพักตร์ที่มองไม่เห็น(เพราะอยู่ด้านหลังรูปนูน)ก็เป็นหกเศียร ตรงกับขันทกุมารที่เป็นลูกบุญธรรมแม่นมทั้งหกในนักษัตรกฤตติกา(ดาวลูกไก่ 6 ดวง)
เทวรูปองค์ใหนในวิหารพระม้าจะเป็น ท้าวขัตตุคาม และ ท้าวรามเทพ ยังไม่เป็นที่ตกลง แต่ที่สรุปได้ก็คือ
1.
สองชื่อนี้หมายถึงเทพสององค์ จะเหมาเป็นองค์เดียวไม่ได้
2.
หลังฐานดังกล่าวน่าจะรับรองความสัมพันธ์ระหว่างพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช กับศรีลังกา และ
3.
ชวนให้สงสัยว่าชื่อ ขัตตุคาม และ รามเทพ ต่างสืบทอดมาจากเอกสารโบราณฉบับใด กันแน่ เรื่องนี้นำไปสู่หลักฐานชิ้นที่สอง

หลักฐานชิ้นที่ 2
ในเรื่องนี้ท่านอาจารย์จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ แนะนำให้ผมกลับไปอ่าน ตำราพระพุทธสิหิงค์(สิงหลพุทธรูปนิทาน) และตำนาน ชินกาลมาลีปกรณ์ ทั้งสองฉบับมีความว่า "ครั้งหนึ่งพระร่วงสุโขทัยได้ยินกิตติศัพท์พระพุทธรูปในลังกาว่าศักดิ์สิทธิ์นัก จึงได้ส่งทูตไปเจรจาพระเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ว่าทำอย่างไร ถึงจะได้มา พระยานครฯตอบว่า ไปเอามาบ่มิได้ เพราะลังกามีเทพารักษ์สี่องค์ (จตุเทวรักขา) คือ พระราม พระลักษณ์ สุมนเทพ และขัตตุคามเทพ" เทพเหล่านี้คือใคร?

ปัจจุบันนี้ พระราม ยังสถิตย์อยู่ที่เมืองเทพนคร (Dondra, Srilunka)ครองภาคตะวันตกเฉียงใต้ พระนาม"อุบลวรรณ", พระลักษณ์ หายไป มีพิเภก (Vibhishana) มาขึ้นครองแทนที่วัดกัลยาณีสีมา กรุงโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา, สุมนเทพ ยังครองสุมนกูฏ(เขาพระพุทธบาทกลางเกาะ), ส่วน ขัตตคามเทพ ได้แก่ ขันทกุมาร (บุตรพระอิศวร น้องชายพระพิฆเนศ) ที่สถิตอยู่ที่กฏรคาม (Kataragama) ในภาคตะวันออกเฉียงใต้ ขันทกุมาร ได้ชื่อในลังกาตามที่สถิต Kataragama ซึ่งเขียนเป็นบาลีว่า ขัตตุคาม แล้วคนที่ไม่ถนัดภาษาย่อมดัดแปลงเป็น จตุคาม ตามใจนึกคิดโดยไม่นึกถึงความหมายหรือหลักภาษา

ความสรุป
ว่าโดยสรุป"จตุคามรามเทพ"แต่เดิมน่าจะเป็นเทพฮินดูสององค์ที่ชาวลังกานับถือว่า เป็นเทพรักษาพระพุทธศาสนา ต่อมาเมื่อชาวนครศรีธรรมราช รับพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์เข้ามา เทพทั้งสองก็ตามมาด้วยในฐานะเทพารักษ์พระบรมธาตุนครศรีธรรมราช
ต่อมาในสมัยหลังนี้ ความทรงจำทางประวัติศาสตร์เสื่อมสูญและเอกสารโบราณถูกลืมหรือถูกอำพราง บรรดาผู้มีศรัทธาบางคนจึงรู้สึกแปลกแยกหมดที่พึ่ง แล้วขวนขวายสร้างที่พึ่งขึ้นมาใหม่โดยผนวกชื่อ"ขัตตุคามเทพ" กับ "รามเทพ" แล้วอุปโลกน์เทพองค์ใหม่ชื่อ"จตุคามรามเทพ"ขึ้นมาจากความว่างเปล่าโดยไม่มีหลักฐานใด ๆ รองรับ.

ความส่งท้าย
ในเรื่องนี้เห็นจะโทษใครไม่ได้ คนที่คิด จตุคามรามเทพ ขึ้นมาคงจะเป็นคนอนาถาทางการศึกษา ไม่รู้ประวัติศาสตร์ เข้าไม่ถึงเอกสารโบราณ และขาดออกจากหลักพุทธศาสนาขนานแท้ จนหลงงมงายกับเครื่องอัปมงคลชนิดที่เรียกกันว่า "เงินไหลเข้ามา"
แต่ในที่สุดผมได้แต่โทษระบบสังคมและการศึกษาที่ผูกวัฒนธรรมและความรู้ดี ๆ ไว้เป็นสมบัติเฉพาะของชนชั้นผู้ดี แล้วทิ้งประชาชนจำนวนมากเป็นอนาถาให้งมงาย ขวนขวายหาที่พึ่งกับผีสางเทวดาที่ไม่มี (และไม่เคยมี)ในโลกแห่งความเป็นจริง

ไมเคิล ไรท

ตอบโดย: เหงามาก 20 ก.ค. 50 - 12:37

 



http://gotoknow.org/blog/sangtien/76503

การไม่ทำความชั่วทั้งปวง ๑   การบำเพ็ญแต่ความดี ๑
การทำจิตให้ผ่องใส ๑   นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย    

อ้างอิง
ความส่งท้าย
ในเรื่องนี้เห็นจะโทษใครไม่ได้ คนที่คิด จตุคามรามเทพ ขึ้นมาคงจะเป็นคนอนาถาทางการศึกษา ไม่รู้ประวัติศาสตร์ เข้าไม่ถึงเอกสารโบราณ และขาดออกจากหลักพุทธศาสนาขนานแท้ จนหลงงมงายกับเครื่องอัปมงคลชนิดที่เรียกกันว่า "เงินไหลเข้ามา"
แต่ในที่สุดผมได้แต่โทษระบบสังคมและการศึกษาที่ผูกวัฒนธรรมและความรู้ดี ๆ ไว้เป็นสมบัติเฉพาะของชนชั้นผู้ดี แล้วทิ้งประชาชนจำนวนมากเป็นอนาถาให้งมงาย ขวนขวายหาที่พึ่งกับผีสางเทวดาที่ไม่มี (และไม่เคยมี)ในโลกแห่งความเป็นจริง

ไมเคิล ไรท

ผมคิดว่า อาจจะเป็นการสรุปที่ง่ายเกินไป สำหรับนักวิชาการฝรั่งที่จะใช้ความรู้โบราณคดีและศิลปวัฒนธรรมทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (จากพื้นฐานทางวัฒนธรรมและศาสนาตะวันตกต่างถิ่น)ของตนมาชี้นำความคิดระดับนานาชาติ ในการวิจารณ์ปราชญ์ทางพุทธศาสนาท้องถิ่น(ถ้าผมจำไม่ผิดคือขุนพันธรักษ์ราชเดช   ผู้ตั้งชื่อเทวราชจตุคามรามเทพ)แง่ลบเช่นนี้

และอาจจะเป็นการเปิดช่องทางให้เกิดการแอบแฝงชี้นำในการแบ่งแยกชนชั้นทางการนับถือศาสนาพุทธของไทยขึ้น (อย่างที่เกิดขึ้นในเกาหลีใต้จนจัดตัวของพวกเขาเองโดยไม่รู้ตัว แยกออกจากศาสนาพุทธถึง30%(กลายเป็นตัวเลขของผู้ไม่มีศาสนา) ) ทั้งๆที่(จะพลิกวิกฤตให้)เป็นโอกาสชี้นำให้ผู้ที่ศรัทธาจำนวนมากในเทวดาโพธิสัตว์(ที่เป็นพุทธศาสนิกชน   )เข้ามาปฏิบัติธรรมตั้งแต่ระดับเบื้องตนคืออนุบุพพิกถา ทำนุบำรุงศาสนวัตถุ ศาสนสถานให้ฝูงชนเข้าถึงได้ด้วยสัมผัสหยาบเบื้องต้นคืออินทรีย์6และมั่นคงในพระรัตนตรัย    จนสามารถปฏิบัติลุถึงธรรมขั้นสูงอันเกษมได้ เกิดศรัทธาและเข้าใจในองค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามากยิ่งขึ้น   อย่างน่ากระเทือนใจและแปลกใจต่อเพื่อนผู้นอกศาสนา    

เทวดาโพธิสัตว์องค์นี้ยอมแม้กระทั่งด้วยความครอบครองคุณธรรมขั้นหยาบในความร่ำรวยระดับกระทบGDPประเทศไทย  อุดมด้วยฤทธิ์เดชปาฏิหาริย์อย่างเห็นได้ชัดขนาดกระเทือนฝูงชนผู้ยังแสวงหาเสพย์ธรรมหยาบ(จำนวนทั่วประเทศให้หันมาศรัทธา ) กลับวางตัวลงนั่งราบ เฝ้ารักษาคุ้มครองความปลอดภัยต่อ พระบรมสารีริกธาตุขององค์พระผู้ทรงพระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ และพระปัญญาธิคุณ หาประมาณมิได้ สัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ชินวรญาณ    

มาช่วยกันตามความถนัดสามารถ เช่นพระเทวราชโพธิสัตว์ผู้นอบน้อมต่อองค์พระสัพพัญญูเจ้า(หรือให้ดียิ่งกว่า ) มาปฏิบัติบูชา(เริ่มได้แม้แต่การปฏิบัติในบุญกิริยาวัตถุ10)องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เผยแผ่ชี้นำธรรมะขององค์พระสัมมาศาสดาจารย์ ตามขั้นตอนของพระพุทธองค์ ให้บุคคลชนทั้งหลายพ้นจากทุกข์ประกอบด้วยปัญญาพาตนเข้านิพพาน เป็นตัวอย่างแก่โลกเทอญ
     
ผิดพลั้งพลาดไปขออภัยขมาด้วยครับ    

ตอบโดย: มุ่งเต็มใจ 20 ก.ค. 50 - 16:15

 


    
คุณ เหงามาก  ผมเคยบอกคุณแล้วว่า อย่าโยง จตุคามรามเทพ  ไปยังที่อื่น แม้กระทั้ง มหายาน อินดู หรือพราหมณ์

     
เพราะโดยพื้นฐานของคุณ เหงามาก ศัรทธาในมหายาน และศึกษาพวกเทพต่างๆ ในตำรามาก อย่าเอาหลักฐานนั้นไปปนเปื้อนกับความเชื่อของชาวบ้านเขาเลยครับ  คนในนครเขาเชื่อว่า จตุคามรามเทพ ก็คือ เจ้าเมื่องเก่า หรือเจ้าผู้ปกครองในอนาบริเวณนั้น  แล้วคุณจะโยงหลักฐานเกินจากความเชื่อของคนท้องถินไปทำไม?  กลายเป็นองค์อาวตานของเทพองค์โน้นองค์นี้มั่วไปหมด

     
แม้แต่ชื่อ จตุคามรามเทพ ก็พึ่งหลุดจากปากของขุนพันธ์ เมื่อปี 2528 ก็ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์  แล้วคุณเหงามาก  จะโยงไปยัง มหายานบ้าง ไปยังลังกาบ้าง ไปยังเทพอินดูบ้าง เพื่ออะไร?
     
      
ผมไม่เห็นประโยชน์อันใดเลย มีแต่ทำให้พุทธเถรวาทแบบไทยๆ ปนเปื้อนและพอกไปด้วยเทพต่างๆ มากมายแบบมหายาน แบบอินดู คุณเหงามาก ชอบหรือ? หรือคุณศรัทธาให้เป็นแบบที่คุณต้องการ คือให้มีเทพมากๆ แบบมหายาน?

        
เพียงแค่มี จตุคามรามเทพ เพียงอย่างเดียวปรากฏขึ้นมาก็ทำให้พุทธศาสนาเถรวาทแบบไทยๆ ปั่นปวนน่าดูแล้ว แล้วคุณและนักวิชาการต่างๆ ต้องการให้เทพต่างๆ จากมหายาน อินดู เดินพาเรดเข้ามาทำให้พุทธเถรวาทแบบไทยๆ ให้มากกว่านี้อีกหรือ?

       
พอเถอะ คุณเหงามาก


     

ตอบโดย: Vicha 20 ก.ค. 50 - 16:38

 


คุณไมเคิล คนนี้ดีไม่ดีอาจเป็นคนเดียวกับอดีตเพื่อนร่วมงานของคุณแม่ของชิริน
ถ้าเป็นคนเดียวกัน ก็ไม่แปลก ดูแนวการเขียนแล้วแสบมาก ขอบใจที่ว่าคนไทยแบบนี้
จริงอยู่ที่จุดขายของการสร้างวัตถุมงคลองค์จตุคามรามเทพฯนั้น คือการ บนได้ไหว้รับ ซึ่งทำเอาหลายๆ คนงมงาย และหลงไป แทนที่จะพึ่งตัวเอง...
แต่การที่จะบอกว่าไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หรือหาหลักฐานไม่พบ เป็นการอุปโลกโดยคนที่ไม่ได้ศีกษาประวัติศาสตร์มาก่อน รู้สึกจะแรงไป แล้วก็อาจจะไม่ถูก
ยกตัวอย่าง เจ้าแม่กวนอิมก็แล้วกัน
ในวิชา Arts of China ที่ชิรินเคยเรียนสมัยปริญญาตรีนั้น บอกไว้ว่า พุทธทางฝ่ายมหายาน อยากให้มี Goddess of Mercy แต่การจะมี Mercy หรือเมตตาให้ได้มากนั้น น่าจะเป็นเพศหญิง (เพราะจีนอคิดว่าเพศชายไม่ได้จะให้ความเมตตาได้เท่าเพศหญิง) ทางฝ่ายจีนจึงเปลี่ยนเพศของพระโพธิสัตว์ให้เป็นหญิง เป็นเจ้าแม่กวนอิมในปัจจุบัน

อ่านๆ ดูแล้วคุณไมเคิลคงไม่เชื่อว่ามีเทวดา (ใครพิสูจน์ได้บ้างว่ามี)
แต่ชิรินเชื่อ (ความคิดเห็น และประสบการณ์ส่วนตัว)
แต่จะมีเทวดาชื่อ จตุคามรามเทพ หรือเปล่า ชิรินตอบไม่ได้
แล้วเทวดาช่วยเราได้แค่ไหน ก็คงอยู่ในขอบข่ายของกรรมดีและไม่ดีที่เราสร้าง
ที่สำคัญกว่าให้เทวดาช่วย คือ สร้างบุญบารมี ให้ตัวเอง
ในหนังสือ อิทธิปาฎิหารย์เทวดาของท่าน ป.อ.ปยุตโต (ขออภัยหากเขียนชื่อหนังสือหรือชื่อผู้เขียนผิด) ชิรินจำได้ว่า ท่านบอกว่า มนุษย์ควรทำหน้าที่มนุษย์ให้ดีที่สุด ส่วนเทวดาที่ดีก็มีหน้าที่ช่วยมนุษย์ โดยที่มนุษย์ไม่ต้องเรียกร้อง

แล้ว ชิรินคิดอย่างไรกับองค์จตุคามรามเทพ
ชิรินขอกราบเทวดาองค์นี้ ที่ได้ช่วยเศรษฐกิจไทยให้ดีขึ้น ทั้ง
1.
อุตสาหกรรม กรอบ ทอง เงิน
2.
อุตสาหกรรม เลี่ยมพลาสติกกันน้ำ
3.
อุตสาหกรรม สร้อยห้อยพระ
ฯลฯ
และอยากบอกพวกฝรั่งทั้งหลาย ว่า ที่คนไทยห้อยคอออกมานอกเสื้อเป็นรูปกลมๆ น่ะ
คือ the REAL Ministry of Finance+Bank of Thailand Governor
เพราะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง

และอยากจะบอกคุณไมเคิลที่เธอคิดว่าเธอเก่ง+ฉลาด ว่าการบูชาเทพ กับพุทธศาสนาน่ะ คนละเรื่องอยู่แล้ว แยกแยะหน่อย
และคนไม่มีกินน่ะ เขายังไม่เข้าถึงพระธรรมหรอก เขาเข้าหาอะไรเข้าปากท้องก่อน

และคนที่อยากถึงพระนิพพาน ที่เป็นจุดมุ่งหมายของชาวพุทธ ไม่ได้หมายความว่าจะปฏิเสธเครื่องยึดเหนี่ยวไปทุกคน
จริงอยู่ว่าธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม แต่การแขวนพระพุทธ หรือ พระสงฆ์ ก็เป็นเครื่องเตือนสติ หรือการมีพระพุทธรูปในบ้านเพื่อกราบไว้ ก็เพื่อระลึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์
ส่วนการบูชาเทวดาเช่น การถวายเครื่องสังเวยแก่ศาลพระภูมิ หรือการจะบูชาองค์จตุคามรามเทพ ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ตราบใดที่เราก็ยังมีพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะ
องค์จตุคามรามเทพจะมีจริงหรือไม่ก็ไม่แปลก สำหรับคนที่เชื่อว่าเทวดามีจริง
ท่านอาจเป็นเทวดาที่มีฤทธิ์มาก หรือเป็นเทวดาที่กำลังอยู่บนเส้นทางของพระโพธิสัตว์ก็ได้ใครจะรู้
ที่คุณไมเคิลไม่รู้น่าจะมีอีกเยอะ แต่คนไทยรู้
คนไทยยอมรับ(โดยไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์) ว่าหลวงปู่ทวด อยู่บนเส้นทางของพระโพธิสัตว์ และเสด็จพ่อร.5 ก็เช่นกัน
คนไทยรู้ได้ไงหรือ ก็คนมีดีที่ฝรั่งไม่มีก็แล้วกัน
 

ตอบโดย: ชิริน 20 ก.ค. 50 - 17:09

 


ไม่ได้โยงครับ

แต่เป็นเทพฮินดูมาตั้งนานแล้ว

แล้วเทพชื่อพระราม กับพระขันทกุมาร มีองค์เดียวเท่านั้น คือเป็นบุตรพระศิวะ ส่วนพระราม คือนารายณ์อวตาร

------------------

งั้นคุณวิชา เคยอ่านเรื่องพระธาตุนครศรีธรรมราชป่าว.........ชาวลังกาเป็นคนสร้างครับ

แล้วจะมีเทพจากลังกา ก็ไม่แปลกหรอก

*************

แต่ตำนานไทยมีปัญหา ตรงพระนาถเทพอะ พระนาถเทพคือเทพประจำเมืองแคนดี แต่สมัยสุโขทัย ล้านนา และตอนที่มีลังกาวงศ์ เมืองแคนดีไม่มีใครรู้จัก เป็นป่า พระนาถเทพจึงไม่เลื่องลือเท่าไร..........

พระลักขณเทพไม่มีใครทราบว่าเป็นเทพองค์ไหน แต่บังเอิญจารึกทมิฬในลังกา เรียกเจ้าสุมนกูฎว่า"ลักษมัณ" ลักษมัน มาจากคำเต็ม ๆ ว่า"พุทธปาทลัญจสุมน" ชาวลังกาออกเสียง ลัญจ ว่า ลัส สุมน ออกเสียงว่า สะมัน อ่านว่า ลัส-สะมัน เพี้ยนเป็น ลักษมัณ(น้องพระราม)

************

พอดีไม่ได้เชื่อขุนพันธ์อะครับ แต่หลักฐานเก่ากว่าสมัยขุนพันธ์มันมีอยู่อะคับ หลักฐานขุนพันธ์จึงตกไป

ตอบโดย: เหงามาก 20 ก.ค. 50 - 18:03

 


   
เอาแหละครับ เมื่อผมเขียนกระทุ้ง คุณเหงามาก แล้วต่อไปผมจะอธิบาย  ให้ทราบว่าผมคิดเป็นอย่างไร  ดังนี้

    
ความเชื่อความศรัทธาของชาวพุทธเถรวาทไทยๆ ที่ผมเห็นจะอยู่เป็นกรอบเพี่ยงจุดใดจุดหนึ่งจะไม่ขยายในเชิ่งจินตนาการไปมากมาย
      
เช่นหลวงปูหลวงพ่อต่างๆ ที่ทานมีชื่อเสียง ท่านก็จะได้รับความศรัทธาจากประชาชน ในฐานะเป็นหลวงปูหลวงพ่อ ในฐานะนั้นๆ  จะไม่มีการโยงไปยังอดีดชาติว่าท่านต้องอาวตานมาจากเทพองค์ไหนยิ่งใหญ่อย่างไร  ชาวพุทธเถราวาทไทย จะศรัทธาในคุณธรรมของท่านที่ปรากฏอยู่
      
ผมจะยกตัวอย่าง หลวงปูทวด   คนเขาก็ศรัทธาในความเป็นหลวงปูทวด ในคุณธรรมของหลวงปูทวน ไม่ใช่ว่าท่านต้องอาวตานมาจากเทพองค์โน้นองค์นี้ที่สำคัญในตำนานเลย   เช่นเดียวกับหลวงพ่อโต หรือครูบาอาจารย์ต่าง ๆ  และเมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว ท่านจะไปเป็นเทพยิ่งใหญ่เพียงใหน ก็จะไม่มีการกล่าวถึงในนามใหม่  นี้แหละความเป็นพุทธเถรวาทแบบไทยๆ อย่างหนึ่ง  คือศรัทธาหรือเชื่อในรูปธรรม หรือนามธรรมที่เกิดขึ้นให้เห็นถึงคุณธรรม แล้วอยู่ในฐานะแค่นั้นไม่ขยายจินตนาการต่อไปเหมือนลัทธิอื่น
       

        
ที่นี้มาถึงเรื่อง จตุคามรามเทพ    เริ่มแรกคนนครเชื่อศรัทธาในฐานะเจ้าเมื่องเก่าเป็นพุทธเถรวาทที่บูรณะองค์พระธาตุเจดีย์ที่นคร แล้วสวรรคตไป หรือมรณภาพไป เกิดเป็นเทพก็ยังปกป้องดูแลรักษาองค์พระเจดีย์อยู่ และคอยช่วยหรือประชาชนในนคร  ประชาชนเขาต่างเชื่อและศรัทธากันตรงจุดนี้
       
แต่ด้วยความเป็นเทพที่มีฤทธิมากมีบริวารมาก(คิดเอา) เพราะกระแสกระจายไปแรงมากทำให้ดังและเป็นที่นิยมทั้วประเทศ และขณะนี้ก็กำลังกระจายไปต่างประเทศบ้างแล้ว

       
ดั้งนั้นท่านเป็นเจ้าเมืองเก่าเป็นพุทธเถรวาท และเป็นเทวดาแบบเถรวาท ผมจึงขอให้คงอยู่แค่คุณสมบัติในกรอบที่เป็นคุณธรรมของท่านแค่นี้นะครับ  อย่าไปโยงเรื่องอื่นเข้ามาอีกเลยนะครับ แค่นี้ชาวพุทธเรา ก็สับสนกันในเรื่องการเชื่อการศรัทธาจะแย่อยู่แล้ว

       
ผมจึงขอให้เป็นการเชื่อเป็นการศรัทธาแบบชาวพุทธเถรวาทแบบไทยๆ นะครับ  ไม่เช่นนั้นเถรวาทแบบไทยๆ เมื่อนานไปจะล้มหายไปได้โดยง่ายนะครับ




    
 

ตอบโดย: Vicha 20 ก.ค. 50 - 18:12

 


ที่นี้มาถึงเรื่อง จตุคามรามเทพ    เริ่มแรกคนนครเชื่อศรัทธาในฐานะเจ้าเมื่องเก่าเป็นพุทธเถรวาทที่บูรณะองค์พระธาตุเจดีย์ที่นคร แล้วสวรรคตไป หรือมรณภาพไป เกิดเป็นเทพก็ยังปกป้องดูแลรักษาองค์พระเจดีย์อยู่ และคอยช่วยหรือประชาชนในนคร  ประชาชนเขาต่างเชื่อและศรัทธากันตรงจุดนี้
^
^
เทพเฝ้าองค์ไหนครับ เพราะหน้าประตูทางขึ้นในภาพบนสุด มีเทพถึง4องค์ ช่วยบอกหน่อยว่าองค์ไหนคือจตุคามรามเทพ

และมีแผ่นจารึกว่า เท้าขัตตุคาม และ เท้ารามเทพ

ตอบโดย: เหงามาก 20 ก.ค. 50 - 18:24

 


   
ขอโทษนะครับ ที่ผมขอพูดตรงๆ  ท่าทางคุณเหงามาก จะสับสนในความเชื่อความศรัทธาของตัวเองแล้วครับว่า  จะเชื่อศรัทธา ในคุณธรรมหรือรูปธรรมที่ปรากฏแบบเถรวาท หรือจะเชื่อหรื่อศรัทธาในการเชื่อมโยงหลักฐานะตามจินตนาการดี แต่ด้วยพื้นฐานะที่คุณเชื่อหรือศรัทธาเทพแบบมหายานหรืออินดูตามจินตนาการมาก คุณจึงเอียงไปทางนั้นมาก โดยคุณไม่รู้ตัวว่า คุณกำลังสร้างกระแสที่เป็นอันตรายต่อพุทธเถรวาทแบบไทยๆ อยู่นะครับ

  

ตอบโดย: Vicha 20 ก.ค. 50 - 18:24

 


   
ถามกลับนะครับ
    
แล้ว จตุคามรามเทพ    ก็ไม่ใช่ชื่อ  ขัตตุคาม   หรือ รามเทพ นี้ครับ  หลุดจากปากของขุนพันธ์แล้วคุณไปเชื่อมโยงได้อย่างไร?

ตอบโดย: Vicha 20 ก.ค. 50 - 18:27

 


งั้นจตุคามรามเทพ ที่มาจากขุนพันธ์ ก็โกหก"fake"นะคับ

ตอบโดย: เหงามาก 20 ก.ค. 50 - 20:11

 


   
ความจริงในช่วง เสาร์-อาทิตย์ ก็ได้เข้ามาดูกระทู้นี้หลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่มีโอกาสแสดงความคิดเห็นได้ เพราะแอบๆ ขอแฟนและลูกดู  แค่แอบๆ ดูก็โดนไปหลายดอก ว่า "เร็ว ๆ หน่อย จะทำงาน/ทำการบ้าน/เล่นเกม(เจ้าภีม)" โน้ตบุคส์ก็ดันมาเสีย

   
มาเข้าเรื่องของคุณเหงามาก  ที่คุณเสนอล่าสุดว่า

    อ้างอิง
งั้นจตุคามรามเทพ ที่มาจากขุนพันธ์ ก็โกหก"fake"นะคับ


  
และจากข้อความของคุณ ไม่เคิล ไรท

อ้างอิง
ความส่งท้าย
     ในเรื่องนี้เห็นจะโทษใครไม่ได้ คนที่คิด จตุคามรามเทพ ขึ้นมาคงจะเป็นคนอนาถาทางการศึกษา ไม่รู้ประวัติศาสตร์ เข้าไม่ถึงเอกสารโบราณ และขาดออกจากหลักพุทธศาสนาขนานแท้ จนหลงงมงายกับเครื่องอัปมงคลชนิดที่เรียกกันว่า "เงินไหลเข้ามา"
แต่ในที่สุดผมได้แต่โทษระบบสังคมและการศึกษาที่ผูกวัฒนธรรมและความรู้ดี ๆ ไว้เป็นสมบัติเฉพาะของชนชั้นผู้ดี แล้วทิ้งประชาชนจำนวนมากเป็นอนาถาให้งมงาย ขวนขวายหาที่พึ่งกับผีสางเทวดาที่ไม่มี (และไม่เคยมี)ในโลกแห่งความเป็นจริง

  ไมเคิล ไรท



    
แม้นักวิชาการทางประวัติศาสตร์ของเทพเทวดา จะวิจารณ์ออกมาในแนวนี้  ผมก็หาได้รู้สึกอะไรนะครับเพราะผมก็หาได้ศรัทธาจตุคามรามเทพ
     
แต่ผมเห็นว่าความคิดเห็นเหล่านั้นตั้งอยู่บนฐานข้อมูลความเห็นของท่านเหล่านั้นหรือนักวิชาการประวัติศาสตร์ทางเทพเทวดาฝ่ายเดียว  โดยไม่มีข้อมูลของชาวบ้านที่เขาเชื่อหรือศรัทธามาเกี่ยวข้องเลย  แล้วกล่าวคำตำหนิที่รุนแรงต่อชาวบ้าน และขุนพันธ์ออกไป

   
ต่อไปผมจะแสดงความคิดเห็นของผมให้พิจารณาในอีกมุมหนึ่ง   ความเชื่อความศรัทธา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง เมื่อเกิดกระแสขึ้นแล้วและกระจายกันจนไม่มีความเป็นเจ้าของหรือผูกขาด  เรียกว่าเป็นกระแสล้วนๆ   อยู่ด้วยกระแส  ถ้าเราและนักวิชาการไปชี้นำไปสู่ เทพอื่นๆ ทางอินดู พราหมณ์ หรือมหายาน  ถ้ากระแสเกิดไหลไปทางนั้น จนชาวบ้านเบียงเบนความเชื่อไปตามนั้น สร้างเทพอินดู มามากมายเป็นการะแสใหม่ แล้วคุณเหงามากๆ หรือ คุณไมเคิล ไร จะรับผิดชอบอย่างไร?

   
แค่ขุนพันธ์ ก่อให้เกิดจตุคามรามเทพ  คุณเหงามาก ก็ว่า ขุนพันธ์  โกหกหลอกลวง คุณไมเคิล ไรท์ ก็ว่าตามที่อ้างอิง

   
สิ่งที่คุณเหงามาก หรือ คุณไมเคิล ไรท์ หรือนักวิชาการทางประวัติศาสตร์นำไปสู่ เทพอินดู หรือพราหมณ์ หรือมหายาน นั้นแหละเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากนะครับ เพราะถ้าเกิดกระแสความเชื่อของชาวบ้านไหลไปยังประเด็นนั้นขึ้นมา  พุทธศาสนาเถรวาทแบบไทยๆ ก็จะคลอนแคลนจนน่ากลัวมาก  เพราะคุณเหงามาก หรือคุณไมเคิล ไรท์ นักวิชาการยอมรับเทพหรือเทวดาที่มาจากตำนาน   (ต่อไปอีกไม่นานปี ด้วยกระแสที่นักวิชาการชี้นำและย่อมรับในเทพตามตำรา ก็จะเกิดภาวะกระแสอย่างนั้นขึ้นจริงมาได้)

    
หมายเหตุ แค่คุณปัญญา นิรันกุล  สร้างกระแสของ พระพิฑเนตร ขึ้นมาซึ่งเป็นเทพอินดูชัดๆ   ให้ชาวบ้านเช่าไปบูชา เกิดกระแสมามากมายอย่างล้นหลาม โฆษณาอย่างมากมาย แต่ดีที่จำกัดจำนวนจึงหยุดไปได้ และมีจตุคามรามเทพเป็นตัวยับยั่ง ไม่เห็นนักวิชาการตอบโต้เรื่องการสร้างและโฆษณาพระพิฑเนตรเลยครับ หรือยอมรับตามประวัติของเทพแบบสืบทอดตามตำรา   นี้ก็เป็นอันตรายอย่างหนึ่งของพุทธเถรวาทโดยตรงเลยครับ


    

ตอบโดย: Vicha 23 ก.ค. 50 - 09:42

 


ต่อไปผมก็แสดงความคิดเห็นกับท่าน พอแล้ว นะครับ

    
เราควรลดกระแส การโฆษณา หรือการกล่าวเรื่องอิทธิหรืออภินิหารของ จตุคามรามเทพ ได้แล้วนะครับ  จะเป็นการดีที่สุด ต่อความศรัทธาของผู้คนต่อ พระรัตณตรัย ครับ

    
ซึ่งความจริงแล้วพระภิกษุ ไม่ควรสร้างกระแส หรือโฆษณา เรื่อง จตุคามรามเทพ เป็นดีที่สุดครับ


 

ตอบโดย: Vicha 23 ก.ค. 50 - 09:54

 


อ้างอิง
งั้นจตุคามรามเทพ ที่มาจากขุนพันธ์ ก็โกหก"fake"นะคับ

ก็จริงอะ จตุคามมาจากไหนไม่รู้ ไม่มีในเอกสารโบราณที่ไหน มีแต่"ขัตตุคาม รามเทพ"

-------

แล้วคนเข้าใจผิด ๆ ว่า จตุคามคือพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช แล้วผมก็ไม่ทราบว่าท่านเป็นกษัตริย์เมืองไหน ศรีวิชัย หรือตามพรลิงค์(นครศรีธรรมราช) แต่ตามพรลิงค์เป็นเถรวาท ศรีวิชัยเป็นมหายาน

แล้วศรีวิชัย ไม่มีเมืองหลวงที่ชื่อว่านครศรีธรรมราชอย่างที่อ้างในหนังสือจตุคามบางเล่ม

--------

บางทีคนเชื่อว่าท่านคือกษัตริย์สร้างบุโรพุทโธ..........แต่บุโรพุทโธ สร้างตามคติวัชรยาน ก็ไม่เห็นมีจตุคามแรมาเกี่ยวข้อง

ตอบโดย: เหงามาก 24 ก.ค. 50 - 07:52

 


ผมสนทนากับคุณ เหงามากต่อ นะครับ

       
ก็ จตุคามรามเทพ เกิดจากผู้ที่นับถือพุทธเถรวาทที่บิดเบี้ยวไป ในปัจจุบันครับแต่ก็ยังอยู่ในพุทธศาสนาเถรวาทนะครับ
   
ในส่วนของความเชื่อชาวนคร  ก็คือเจ้าผู้ครองเมืองนครที่รักษาพระธาตุ บำรุงพุทธศาสนาในนครศรีธรรมราชครับ  เขาเชื่อกันอย่างนั้น

       
ส่วนการปรุงแต่งในภายหลังเกิดจากผู้สร้างจตุคามรุ่นหลังนั้น ชี้ปลุกกระแสไห้เป็นไปไกลเลยเถิดครับ  โน้นบุโรพุทโธบ้าง อาณาศรีวิชัยบ้าง นครวัดนครธมบ้าง พระนารายณ์อวตานบ้าง  พระอวเกศวรโพธิสัตว์บ้าง
       
ส่วนนักวิชาการ ก็พยายามเชื่อมโยงสู่เทพอื่น ต่อไปยังลังกา มหายาน และคุณเหงามาก นำไปสู่อินดูเต็มรูปแบบ อันตรายครับ  ถ้าเมื่อไหรเกิดกระแสไหลไปทางนั้นก็จะลุกพรึบขึ้นมาแล้วดับได้ยาก  ประวัติจะไปซ่ำรอยในอินเดีย แต่ก็คงไม่รุ่นแรงขนาดนั้น

       
กระแสของพระพิฆเนศ เกิดขึ้นอย่างรุ่นแรงให้เห็นแล้วไม่ใช่หรือ?  แต่มีการหยุดสร้างในจำนวนจำกัด
       
แต่กระแสนี้อาจพุ้งขึ้นมาอีกก็อาจเป็นได้ ด้วยการชี้นำหรือรองรับทางวิชาการประวัติศาสตร์ เกี่ยวกับเทพเจ้าตามตำนาน  เพราะเมื่อมีการสร้างขึ้นมาแล้วจะไม่มีการต้านจากนักวิชาการ เพราะหลักฐานตำรามีจริง ก็จะมีแต่ชาวพุทธเถรวาทนี้แหละนั่งตาปริบ มองดูความเสื่อมถอยของพุทธเถรวาท

  
 

ตอบโดย: Vicha 24 ก.ค. 50 - 09:27

 


ที่มา:นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับวันที่ 11 มิ.ย.50

บอกไปแล้ว และเคยโพสในพันทิปแล้วด้วยครับ
http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K5546170/K5546170.html
http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K5535599/K5535599.html

อ้างอิงไว้แล้ว........ข้อมูลอยู่ในกระทู้ ถ้ากระทู้ไม่ขึ้น ลองค้นในคลังกระทู้เก่าในห้องสมุดดู แล้วหาคนโพสชื่อ"เมื่อไรจะหายเหงา"นะคับ

ผมก็คือล็อกอิน"เมื่อไรจะหายเหงา"



**********

ทำไมเหรอครับ จตุคามเป็นเทพฮินดูมันเสียหายตรงไหน???

-----------

ขอย้ำนะคับ จตุคาม(ขัตตุคาม) รามเทพ คือเทพ2ใน4เทพรักษาเกาะลังกา

ตอบโดย: เหงามาก 24 ก.ค. 50 - 10:52

 


อ้างอิง
ทำไมเหรอครับ จตุคามเป็นเทพฮินดูมันเสียหายตรงไหน???


 
จากอ้างอิง นับว่าที่ผ่านๆ มาผมมองทิศทางแนวคิดของคุณ เหงามาก ไม่ผิดเลยครับ


    
และในเกาะลังกานั้น ศาสนาพุทธที่เข้าไปครั้งแรกในสมัยของพระเจ้าอโศก ก็เป็นพุทธเถรวาท  ตั้งแต่ต้น(ไม่ได้แยกเป็นมหายาน)  และความเป็นเถรวาทของลังกานั้นมีมาตลอด แม้จะมีอิทธิพลของมหายานเข้ามาบ้างแต่ก็ยังเป็น เถรวาทอยู่ หาได้แยกเป็น หินยานหรือมหายานอย่างชัดเจน

      
ดังนั้นเทพที่เฝ้าประตู หรือประตูเมืองหรือเกาะ ที่เป็นในแนวพุทธในเกาะลังกา  ก็คือเทพของพุทธศาสนาหรือนับถือพุทธศาสนานี้แหละครับ ตามความเชื่อของคนพุทธในยุคนั้นในสมัยนั้นๆ   แต่ศีลปะนั้นย่อมมีการลอกเลียนหรือถ่ายทอดกันได้  แต่จุดเริ่มของความเชื่อความศรัทธานั้นมันคนละเรื่องกัน
       
       
จะเอามายำกันมั่วแบบเทพอย่างในประเทศอินเดีย นั้นเป็นคนละพื้นฐานกัน  และการยำการมั่วของเทพต่างๆ ในประเทศอินเดียก็เป็นบทเรียน  เมื่อล้มสลาย  พุทธศาสนาไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้เลยเป็นเวลาหลายร้อยปี  หวังว่านักวิชาการชาวพุทธเถรวาทคงไม่หลงทิศทางนะครับ

 

ตอบโดย: Vicha 24 ก.ค. 50 - 11:33

 


    
ออ... มีข้อให้สังเกต ว่าในเกาะลังกา  ไม่ว่าประเทศจะวุ่นวายหรือสับสน จนพุทธศาสนา ไม่ได้รับการถนุบำรง  แต่พุทธศาสนาไม่เคยหายอย่างหมดสิ้นไปจากเกาะลังกา และยังคงความเป็นเถรวาทอยู่มา สองพันกว่าปีมาแล้ว
     
เทพเฝ้าเกาะลังกา หรือเทพเฝ้าประตู ก็ยังเป็นเทพในพุทธศาสนาตามความเชื่อของชาวพุทธในเกาะลังกา  เพียงแต่มีการถ่ายทอดทางศีลปะมาเท่านั้น

      

ตอบโดย: Vicha 24 ก.ค. 50 - 11:42

 


o
มาถึงตรงนี้ขออวดรู้กะเขาบ้าง  จริงๆฟังเขามาอีกที  มาเล่าต่อนี้อาจะไม่ครบ ขาดตกบกพร่องก็กราบขออภัยผู้ศรัทธาฮินดูนะครับ

o
ท่านว่า  เทพทั้งหลายเป็นผู้สร้างโลก  แล้วก็สร้างสัตว์มากมาย  จนกระทั่งมาถึงมนุษย์  ตามคำบอกเล่าเขาว่า  มนุษย์เป็นความผิดพลาดของพระพรหม์   เนื่องจากพรหม์ไปทะเลาะกับฤษี(จำชื่อไม่ได้)  ฤษีตนนั้นเป็นผู้มีวาจาสิทธิเปล่งวาจาปรามาทพระพรหม์ว่าเป็นผู้มีกิเลสตันหา  ขอให้เจอมาตุคามคนไหนก็แล้วแต่ให้มีใจปฏิพัฒน์รักใคร  แล้วเผอิญบุตรีของพระพรหมกระมังที่มาเจอเข้า   ทำให้เกิดเป็นมนุษย์  ซึ่งเป็นเทพไม่ได้เพราะผิดจารีต  เลยต้องกลายเป็นสัตว์ชั้นต่ำมาอุบัติบนโลก   เป็นที่เหยียดหยามของเหล่าเทพ  ต้องคำสาปมากมายให้ทนทุกข์ทรมารจากกิเลสทั้งสามไม่ว่างเว้น  ต้องไปเซ่นสังเวยกรรมในนรก   แต่กระนั้นก็ตาม  มนุษย์ก็ถือว่าเป็นนเลือดเนื้อเชื้อไขของเทพเช่นกัน   จึงมีบางส่วนที่แอบลงมาช่วย  ก็มีทั้ง พระพรหมเอง พระแม่ธรณีย์  นาเมขลา  รามสูรย์ ราหู เยอะแยะแล้วแต่เขาจะว่ากันนะ  ผมจำไม่หวาดไม่ไหว  สรุปก็คือมาช่วย   แล้วมาช่วยนี้ก็เห็นมีหนทางเดียว   คือให้เข้าสู่นิพพาน(เอ้ามาอ้างแล้วนะ)   เพราะถ้าขึ้นไปแค่พรหมนี้จะถูกไล่กลับลงมา   แต่ถ้าเป็นอรูปพรหมนี้กเหมือนอิสระ   แต่ท่านว่าไม่ใช่(เพื่อให้กลืนพุทธ)  จึงบอกว่าต้องเข้าสู่นิพพาน   แล้วก็เริ่มกล่าวว่าพระตถาคตนั้นมีเหตุให้เกิดมาเป็นผู้นำพาเหล่าสัตว์พ้นทุกสู่นิพพานก็ด้วยองค์การอวตารในคติของพราห์มไปประการฉะนี้

o
ยังมีอีกนิดนะ  ตรงไปเทศไทยนี้ก็เป็นการอวตาลลงมาฝังเส้นพระเจ้า(เส้นผม) ไว้ที่พระธาตุไชยยา(หรืออะไรไม่รู้  แถบๆอีสาน  ตามตำนาน)  เพื่อให้ไทยเป็นที่เจริญของพุทธในหลังกึ่งพุทธกาล  หลังจากจะล่มสลายจากแหล่งกำเหนิดในกึ่งพุทธกาล  ก็เพื่อให้ตรงคำทำนายของพุทธคติ   ที่จะให้มีพระโพธิสัตว์และพระเถระรวมกันสองพระองค์มาแก้ไขสถานะการณ์ความเสื่อมเพื่อให้พระพุทธศาสนายังเจริญได้อีก 2500 ปี เพื่อให้ครบ 5000 ปีตามคำทำนาย  ณ เบื้องทิศตะวันออก

o
เรื่องเขาเล่ามาก็มีประกาฉะนี้  เรื่องจริงๆที่เขาพูดกันคงต้องให้ผู้ใฝ่รู้มาโพสสัมทับ

o !?  
อะไรกันนักกันหนาหนอ   จริงๆมีคริสต์ และอิสลามคติที่มีการกลมกลืนอีกนะ  แต่ไม่เล่าละ  คือกัน

ตอบโดย: เอกวีร์ 24 ก.ค. 50 - 11:59

 


   
คุณเอกวีร์  .....   มั่วยิ่งกว่า คุณเหงามากเสียอีก   เสนอความคิดเห็นตามความรู้สึกโดยการขาดการพิจารณาเท่านั้น   ผมขอโทษนะครับที่พิมพ์ข้อความให้ทราบตรงๆ

 

ตอบโดย: Vicha 24 ก.ค. 50 - 12:05

 


o
ผมเล่าตามที่เขาเล่ามานะครับ  ก็ให้เห็นความมั่วอย่างที่ท่านว่านั้นแหละ  ไม่ได้มีเจตนาเป็นอื่น

o
เราไม่เคยสงสัยในพระนิพพาน   คงพอเข้าใจคำกล่าวนี้บ้างไม่มากก็น้อยนะ

o
ท่านอย่าใจร้อนเกินไป

ตอบโดย: เอกวีร์ 24 ก.ค. 50 - 12:10

 


งั้นจตุคามที่บูชา คงเป็นเทพหลักเมืองนครศรีธรรมราชมั้งคับ

เพราะที่หน้าพระธาตุเขียนว่า ขัตตุคาม-รามเทพ

**************

ขัตตุคาม คือพระขันทกุมาร ยังไงก็เป็นเทพฮินดู

*********

คติเทพ4องค์ ของลังกามีหลายตำนานนะ แต่ทุกตำนานตรงกันคือ มีเทพ2องค์ชื่อ ขัตตุคาม กับรามเทพ และสุมนเทพ องค์ที่4 บางทีก็เป็นพระนาถเทพ พระลักขณเทพ บางทีก็ว่าพิเภก.......หลายตำนาน แต่ตรงกันคือ ขัตตุคาม-รามเทพ

***********

-
ขัตตุคาม(พระขันทกุมาร) มีศาลอยู่ที่เมืองกฎรคาม(เขียนเปนบาลีว่า ขัตตคาม เพี้ยนเป็น ขัตตุคาม) เป็นชื่อสถานที่
-
รามเทพ หรือพระวิษณุ มีศาลอยู่ที่เมืองdondra
-
สุมนเทพ อยู่ที่เขาสุมนกูฏ เมืองรัตนปุระ
-
นาถเทพ อยู่ที่เมืองแคนดี

ตอบโดย: เหงามาก 24 ก.ค. 50 - 12:29

 


   
เมื่อคุณเหงามาก ยังเห็นเป็นเช่นนี้ผมคงไม่ไปยุ่งกับความคิดของคุณเหงามากแล้วนะครับ

   
เพราะที่คุณเสนอมานั้นก็เป็นความคิดเห็น(ความคิดเห็นที่  50) ที่คุณที่เชื่อมโยง เรื่องต่างๆ หยิบโน้นผสมนี้ สนับสนุนให้เป็นไปตามความคิดเห็นของคุณเองครับ

 

ตอบโดย: Vicha 24 ก.ค. 50 - 13:25

 


จะเสนอข้อมูลไม่ว่าหรอกคับ

แต่อีกฝ่ายควรนำเสนอข้อมูลมาบ้าง และขอข้อมูลแบบยาว ๆ ด้วยนะครับ ไม่ใช่4-5บรรทัดจบ แล้วไม่สรุปอะไรเลย

ตอบโดย: เหงามาก 24 ก.ค. 50 - 14:28

 


    
เสนอข้อมูล ให้คุณเหงามาก เปิดทีวี ดูคืนนี้  รายการ ตัวจริง ชัดเจน  ทาง TITV  น่าจะได้ข้อมูลจากคนพื้นที่ แท้จริง ให้คุณเหงามากได้วิเคราะห์ นะครับ

     
และคำว่า จตุคาม    กับคำว่า ขัตตุคาม   การออกเสียงก็คนละอย่างห่างกันมากพอควรกัน  ระหว่าง จตุ  กับ ขัตตุ

      
แต่คำว่า จตุ กับคำว่า จาตุ    จะมีการออกเสียงที่คลายกันหรือเหมือนกัน

      
ซึ่ง จตุ สามารถแผลงมาจากคำว่า  ชั้นจาตุ  หรือ เทวดาชั้นจตุ (ออกเสียงให้สั้นลงสมกับคำพูดภาษาภาคใต้ )

       
เทวดาชั้นจาตุ หรือ จตุ  มีชื่อเต็มๆ คือ  จาตุมหาราชิกา   ก็คือเทดาชั้นแรกของเทพเจ้าทั้ง 4 ที่ปกครองคนละทิศ   ดังนั้นเทพเทวดาตั้งแต่ชั้นต่ำจากรุกขเทวดาจนถึงอากาศเทวดา ที่อยู่ในชั้นนี้ต่างก็สำคัญว่า ท่านเป็น เทพชั้นจาตุ  หรือ เรียกสั้นๆ ว่า จตุเทพ

        
ดังนั้นการตั้งชื่อหรือสมมุติชื่อว่า จตุคามรามเทพ  จึงไม่ไปเกี่ยวอะไรกับ อินดูเลยครับ  ชื่อตัวแรกก็บอกให้ทราบอยู่แล้วว่า เป็นเทพแบบพุทธ  คือ จาตุ หรือ จตุ  หรือเทวดาชั้นจาตุ(จตุ)

        
ส่วนเรื่องของเกาะลังกานั้น ผมได้อ่านประวัติประเทศลังกา ทั้งแต่พระเจ้าแผ่นดินองค์แรก(น่าจะ 20 ปีมาแล้ว) ที่รับพุทธศาสนาเข้าไป ประมาณ สองพันกว่าปีมาแล้ว  น่าจะมีอยู่ในห้องสมุด ชื่อเรือง ประวัติพระเจ้าแผ่นดินลังกา  ถ้าผมจำไม่ผิด จนถึงพระเจ้าแผ่นดินองค์สุดท้าย เมื่ออังกฤษเข้าครอบครอง   ทุกๆ พระองค์ต่างก็ตั้งอยู่ในพุทธศาสนาเถรวาทมาตลอด ส่วนศิลปะนั้นได้รับการถายทอดมาทางอินเดีย  ดังนั้นรูปแบบการก่อสร้างจึงมีความคล้ายกัน แต่จุดเริ่มของความเชือและความศรัทธา นั้นคนละอย่างกัน

         
เหมือนดังเช่น ประเทศไทยเอารูปแบบการก่อสร้างบ้านเรือนแบบฝรังมา แต่คนไทยนั้นอยู่ ไม่ใช่ฝรั่งอยู่
         
ดังนั้น ศิลปะเหมือนกันคล้ายกันแต่เทพพุทธนั้นอยู่ไม่ใช่ เทพอินดูอยู่

  
ผมได้เสนอแหล่งข้อมูลให้ทราบตามต้องการ ถึงแม้จะสั้นหน่อย แต่คุณเหงามาก สามารถไปดูได้ในคืนนี้  หรือไปหาหนังสื่อ ประวัติพระเจ้าแผ่นดินลังกา ทั้งหมด

    
และเรื่องการ แผลงคำ จตุ ว่า มาจาก ขัตตุ   ขอทีนะครับ การใช้ลิ้นเพื่อออกเสียงมันต่างกันมากเลยครับ    ถ้าแผลง จตุ มาจาก จาตุ  น่าจะใกล้เคียงกว่านะครับ




 

     

ตอบโดย: Vicha 24 ก.ค. 50 - 15:08

 


จตุคามไม่มีในเอกสารที่ไหนมาก่อน

พบแต่คำว่า ขัตุคาม รามเทพ เช่น

อีกทั้งพระกาลพระกุลี.........พระขัตุคามี
พระรามเทพชาญไชย

แล้วจตุคามที่มาจากปากขุนพันธ์ ท่านบอกว่าจตุคามเฝ้าพระธาตุด้วยรึเปล่าคับ??? ถ้าไม่ใช่ก็ตีความส่งเดช ถ้าขุนพันธ์บอกว่าเฝ้าพระธาตุ




นั่นสิ แล้วทำไมขัตตุคาม(จตุคาม)ต้องเขียนคู่กับ"รามเทพ"ด้วยล่ะ
คงไม่บังเอิญขนาดนี้นะคับ

ขัตตุคาม-รามเทพ กับ จตุคาม-รามเทพ

ยังไงก็เทพ2องค์ชุด ๆ

คุณบอกว่าขัตตุคามมาเป็นจตุคามไม่ได้

ช่วยอธิบาย"รามเทพ"ด้วยนะ เพราะเอกสารทุกฉบับ ถ้าสังเกตดี ๆ ขัตตุคามคู่กับ รามเทพ ทุกครั้ง


แล้วรายการตัวจริงชัดเจน มากี่โมงคับ................

ตอบโดย: เหงามาก 24 ก.ค. 50 - 16:19

 


คืนนี้ประมาณ 20.30-21.30    หรืออาจจะเป็นรายกายอื่นถัดจากนั้น แต่จะมีในคืนนี้

   
ผมก็เคยบอกแล้วว่า จตุคามรามเทพ ไม่เคยมีชื่อนี้ในตำราเล่มไหนมาก่อน เกิดจากคนทรงและขุนพันธ์  ซึ่งทางฝ่ายญาติขุนพันธ์ และทนายความฝ่ายขุนพันธ์ก็บอกให้ทราบอย่างชัดเจนแล้ว  ข้อมูลตรงนี้น่าจะเป็นหลักฐานได้แล้วนะครับ

    
และรูปปั้น ขัตตุคาม กับ รามเทพ  ก็เป็นศีลปะที่เลียนแบบถ่ายกันทอดมา และเมื่อตั้งอยู่เจดีย์พระธาตุนครศรีธรรมราช  ความเชื่อของผู้คนก็เชื่อศรัทธาแบบเทพฝ่ายพุทธศาสนา ไม่ได้ไปเกี่ยวอะไรกับอินดู

     
ผมเคยบอกแล้วว่าเราสร้างบ้านแบบฝรั่งแต่คนไทยอยู่
      
หรือ มีชายคนหนึ่งชื่อ พิชิต   และมีอีกคนหนึ่งชื่อ ชัย     แล้วมีครอบครัวหนึ่งคลอดลูกผู้ชายคนหนึ่ง แล้วตั้งชื่อว่า พิชิตชัย     ทั้งที่เด็กชายพิชิตชัย ก็ไม่ใช่ นายพิชิต และนายชัย  แถมอาจจะไม่ใช่เป็นญาติอะไรกันเลยก็ได้

      
แต่นี้ชื่อ จตุคามรามเทพ  ก็ต่างกันแล้ว กับ ขัตตุคาม และรามเทพ  แล้วทำไมต้องโยงความคิดไปแบบเดียวที่คุณเหงามากคิดแบบเดียวหรือ?

      
ทั้งที่ ชื่อ จตุคามรามเทพ เกิดจากคนทรงและขุนพันธ์

   
คุณเหงามาก ว่าเขา โกหก หลอกลวง แล้ว ยังพยายามโยงสิ่งที่เขาทำให้เกิดขึ้นด้วยความเชื่อศรัทธา ให้เป็นอินดูตามที่คุณคิดอีก ผมก็ไม่รู้ว่าคุณคิดกันอย่างไร?  และเป็นแบบไหน?  (เป็นคำถามที่ผม งง ในตรรกะของคุณนะครับ)

    
       
 

ตอบโดย: Vicha 24 ก.ค. 50 - 17:02

 


ในคำอธิบายของฝรั่งที่อธิบาย รูปทวารบาลที่ถ้ำ หรือที่อื่น ๆ

เขาเรียกจตุคามบ้านเราว่า  jataka
คือ ชาตกะ หรือ ชาดก  ฟัง ๆ ดูก็เหมือน จตุคามได้เหมือนกัน

ชาตะกะ - จตุคาม

มีพระบอกว่าจตุคามมาจาก จตุโลกบาล
รามเทพมาจาก เทพที่ดูแลอาราม
ไม่รู้หรอกครับว่ายังไง ก็พูด ๆ ตามท่านไป
 

ตอบโดย: พอแล้ว 24 ก.ค. 50 - 17:03

 


คุณวิชาลืมบานประตูที่วิหารพระม้าแล้วหรอ ว่ารูปที่บานประตูมีเทพ2องค์ และเทพนั่ง2องค์
เทพที่ประตู เป็นรูปพระนารายณ์ มี2หน้า(หน้าพระรามกับพระนารายณ์) แต่มือซ้ายล่างถือธนูและลูกศรเป็นอาวุธ
เทพองค์ไหนมีธนู สังข์ จักร เป็นของประจำองค์ครับ???????

-----

เทพด้านซ้าย มี4หน้า ถ้านับหน้าด้านหลังก็เป็น6หน้า
เทพองค์ไหนมี6หน้าครับ??? ช่วยตอบด้วย



จตุคามที่สร้างอะ ได้แบบมาจากเทพที่บานประตูนี่เอง
 

ตอบโดย: เหงามาก 24 ก.ค. 50 - 17:47

 


ศัพท์ว่า "จตุคามรามเทพ" และ "ขัตตุคามรามเทพ"

จตุคามรามเทพศัพท์เดิมมาจากคำว่า ขัตตุคามรามเทพหรือขตฺตุคามรามเทโว

แยกศัพท์เป็น ขตฺตุ + คาม+ราม+ เทวะ ทั้งหมดเป็นศัพท์สมาส

ขตฺตุ แปลว่า ผู้เฝ้าประตู นายประตู นายสารถี

คามะ แปลว่า บ้าน หมู่บ้าน ที่อยู่

รามะ แปลว่า ความยินดี ความรื่นรม ฯลฯ

เทวะ หมายเอา ทั้งเทวดา และเทวธิดา(คนดี)และพระพรหม

แปลโดยอรรถ ว่า เทวดาผู้อารักขาบ้าน(เจดีย์พระบรมธาตุ)และเป็นเทวดาที่นำมาซึ่งความสุข ความรื่นรม สบายใจ(นำมาซึ่งความเจริญซึ่งวัตถุและสภาพจิตใจด้วย)

ต่อมาจากคำว่าขัตตุคามรามเทพกลายมาเป็นจตุคามรามเทพ ซึ่งแปลเป็นโดยพยัญชนะ ว่า ๔ บ้าน เทพผู้น่ายินดี แต่ถ้าแปลเป็นสำนวนให้ฟังง่าย ว่า เทพผู้ดูแล๔มุมเมือง หรือ ๔ ทิศของบ้าน (เจดีย์ )คงจะผิดไม่มาก

ใครมีความคิดนอกจากนี้ช่วยเสนอหน่อยครับ ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้กัน
http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K5528690/K5528690.html

ตอบโดย: คเวสโก 24 ก.ค. 50 - 20:20

 


เห็นในไอทีวีแว๊บ ๆ เมื่อกี้ในรายการตัวจริงชัดเจน สงสัยว่าใครไประเบิดเขางูทิ้งเสียล่ะ ด้วยเหตุผลใด น่าเศร้าใจจริง ๆ

ตอบโดย: cygnus 24 ก.ค. 50 - 21:11

 


ตอบ คุณเหงามาก  ในความคิดเห็นที่ 58  ส่วนที่ 1

      
บานประตูทั้งสองที่คุณเหงามากอ้างนั้น  เป็นบานประตูที่ทำขึ้นมาใหม่  เพราะของจริงโดนไฟไหม้ ประมาณปีสองพันสามร้อยกว่ามาแล้ว  ซึ่งคุณเล็ก ลูกขุนพันธ์  ได้กล่าวไว้ในทางรายกาย ตัวจริง-ชัดเจน และยื่นยันไม่ได้ว่าเหมือนกับของเก่าหรือเปล่า?

      
ผมบอกคุณเหงามาก แล้วว่า ศีลปะนั้นมีการลอกเรียน หรือถ่ายทอดกันได้
    
ก็เพื่อให้ดูสวยสดงดงาม หรือมีความยิ่งใหญ่ เพื่อบูชาหรือศรัทธา ต่อพระธาตุเจดีย์ที่บรรจุพระธาตุของพระพุทธเจ้า

 
ส่วนที่ 2 จากคำถาม

    
เทพด้านซ้าย มี4หน้า ถ้านับหน้าด้านหลังก็เป็น6หน้า
    
เทพองค์ไหนมี6หน้าครับ??? ช่วยตอบด้วย

   
ตอบ ส่วนที่ 2  เทพนั้นไม่ใช่มีแต่ในอินดูหรือพราหมณ์ หรือมหายาน ในพุทธเถรวาทก็มีมากมาย  ทั้งพระอินทร์ พระพรหม จะจำแลงเป็นกีหน้าก็ได้  จะแลงแปลงตนเป็นยักษ์ก็มี ซึ่งมีอยู่ในพระตรัยปิฎก  ไม่ใช่พอกล่าวถึงเทพแล้วต้องเป็น อินดู หรือ พราหมณ์ หรือมหายาน

    
 

ตอบโดย: Vicha 25 ก.ค. 50 - 08:52

 


  
ผมต้องขอโทษ ท่านคเวสโก (ทราบว่าท่านเป็นพระภิกษุ)  ที่ผมจะกล่าวให้ทราบดังนี้

  
ตอนนี้นักวิชาการทางประวัติศาสตร์เทพ และผู้ที่เอาชื่อมาสมาสกันเพื่อให้ได้ข้อมูลดังที่ตนเองคิดตามหลักฐาน  กำลังติดเบ็ด แล้วหลงทิศทาง  ของปราชญ์ชาวบ้านอย่างท่านขุนพันธ์ที่เชียวชาญทั้งทางสังคม คาถาอาคม วัฒนธรรมตำนาน และไตรปิฎกตามใบลานของพุทธศาสนา อย่างเต็มๆ  แม้กระทั้งผมต้องเข้ามาพัวพันด้วย ซึ่งขุนพันธ์ทำให้เกิดผลมากมายได้อย่างน่าแปลกประหลาด

    
เรามาดูเจตจำนงของขุนพันธ์ก่อนดีกว่า ก่อนที่จะเข้าไปสู่เรื่องชื่อ "จตุความรามเทพ"
   
ข้อมูลจากปากของคุณเล็ก ลูกขุนพันธ์ ผมสรุปเป็นข้อๆ ดังนี้
      1.
ขุนพันธ์ต้องการให้คนสนใจและศรัทธาพุทธศาสนามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเปลือก
      2.
ขุนพันธ์ต้องการให้คนศึกษาพุทธศาสนามากอย่างชาวพุทธ ตามแบบพุทธไทยๆไม่ใช่เชื่อตามตำราฝรั่ง
      3.
ขุนพันธ์เห็นว่าพุทธศาสนาไม่สามารถยืนอยู่ด้วยแก่นอย่างเดียวต้องสร้างเปลือกกระพี่ให้แข็งแรงด้วยจึงอยู่ได้นาน

     
ผมจำเป็นต้องอ้างคุณเล็ก ซึ่งตอนนี้อายุประมาณ 50 ปีแล้ว  ดังนั้นเหตุการณ์เมื่อปี 2528 ที่เริ่มจุดประกายเรื่อง จตุคาม ก็อายุประมาณ 30 ปี  เป็นวัยที่รับรู้ข้อมูลต่างๆ ได้อย่างดี จากพ่อตัวเองซึ่งมีอายุ ประมาณ 80 ปี ทั้งคำพูดและกิจวัตรต่างๆ

   
ผมจะยกข้อมูลการสัมพาทย์ ที่คุณจอม ถามคุณ เล็ก เท่านั้นนะครับ ส่วนของคุณหมอ ที่เป็นนักวิชาการท้องถิ่น กันออกไปก่อนนะครับ  ข้อมูลจากปากคุณเล็ก เรื่องต้นเรื่องของ จตุคามรามเทพ ที่ผมสรุปได้ดังนี้

    
การสัมพาทย์ครั้งแรกเมื่อคุณจอมถามถึงที่มา ของจตุคามรามเทพ เกิดขึ้นเมื่อตอนตั้งศาลหลักเมือง ประมาณปี 2530 เป็นอย่างไร
     
คุณเล็กก็พูดทำนองว่า  ในวันทำพิธีตั้งศาลหลักเมืองก็มีคนทรงเข้าทรงแล้วทำพิธี แล้วกล่าวว่า ท่านเป็น ท้าวจตุคามรามเทพ
     
แต่คุณหมอดึงตัดบทออกไปเสียก่อนเข้าสู่เรื่องรูปปั้นทั้ง 2 ที่มีหลักฐาน ตามแบบนักวิชาการที่ต้องอาศัยหลักฐานรองรับ ........ (ผมจะข้ามไปนะครับ)

     
และการสัมพาทย์ของคุณเล็กส่วนที่ 2 นี้แหละถือว่าเป็นส่วนที่สำคัญของเรื่อง จตุคามรามเทพ เรื่องที่ผมสรุปที่คุณเล็กเล่าทำนองนี้
     
เมื่อคราวที่ทางส่วนกลางตั้งให้ท่านขุนพันธ์ เป็นประธานในพิธีตั้งศาลหลักเมืองของชาวนคร (การตั้งประธานต้องตั้งก่อนเป็นเวลาหลายเดือน  ไม่ใช่ว่าตั้งแล้วทำกันในวันนั้นเลย) ขุนพันธ์กับคนทรง ซึ่งทำการเข้าทรง ผู้ที่มาเข้าทรงในวันนั้น เป็นขุนทั้งสองท่าน แต่เป็นเทพที่ไม่เคยรู้จัก  ขุนพันธ์เห็นว่าจะตั้งให้เป็นเทพประจำหลักเมือง แต่เป็นเทพที่ไม่มีชื่อไม่เป็นที่รู้จัก นั้นไม่ได้และไม่เป็นศักษ์ศรีที่ดี  ขุนพันธ์ต้องกลับไปคิดไปตรองชื่อเทพขึ้นมา (ขุนพันธ์เชียวชาญทางคาถาอาคม มีสมาธิระดับหนึ่ง การสัมผัสกับโอปาติกะย่อมไม่ใช่เป็นเรื่องที่ยากนัก)  จึงได้ชื่อ จตุคามรามเทพ ขึ้นมา

     
เมื่อรวมส่วนที่ 1 กับส่วนที่ 2 แล้ว ชื่อ จตุคามรามเทพ เป็นเชื่อที่ขุนพันธ์มีเจตนาตั้งขึ้นจริง  และเมื่อวันทำพิธีตั้งศาลหลักเมืองนั้น คนทรงก็ทรง ท้าวจตุคามรามเทพ ปรากฏให้ทราบกันจริงๆ  (แต่จะเป็นเรื่องของจริงหรือไม่? ผมไม่สามารถรับรองได้)

   
     
ต่อไปผมวิเคราะห์นะครับ  เมื่อรวมเจตจำนง ตอนแรกของขุนพันธ์ที่ผมเสนอ และส่วนที่ 1 กับส่วนที่ 2  คำว่า  "จตุ"  ที่อยู่ข้างหน้า ขุนพันธ์ตั้งขึ้น(หรือโอปาติกะ ทำให้เกิด)อย่างแน่นอน ไม่ได้แปลงมาจาก  "ขัตตุ"  เลย
     
เพราะขุนพันธ์ศึกษาพุทธศาสนา และเชียวชาญทางคาถาอาคม  จะไม่รู้จักชื่อ ท้าวจตุโลกบาล หรือ เทพชั้นแรก เรียกว่า เทพชั้นจตุ นั้นย่อมเป็นไปไม่ได้

      
ดังนั้น คำว่า จตุ เป็นคำที่ขุนพันธ์หรือสิ่งที่ร่วมกับขุ่นพันธ์ ตั้งใจตั้งขึ้นตรงๆ หาได้แผงมาจากขัตตุ  เพื่อเป็นเทพที่ พิทักรักษาเมืองนครและพระธาตุเจดีย์  ซึ่งเทพที่เกี่ยวพันธ์กับมนุษย์ มีอิทธิกับมนุษย์สูงในพุทธศาสนาก็คือเทพ ชั้นจาตุ หรือ จตุ

      
คำว่า "จตุ" จึงเป็นคำที่อิง กับพุทธศาสนาอย่างไทยๆ  ตามเจตนาของขุนพันธ์  เพราะเมื่อศึกษาก็มีอยู่ในตาราพุทธศาสนาไทย

        
ส่วนตามความเข้าใจหรือความรู้สึกหรือที่ผมรู้  ชื่อ "จตุคามรามเทพ" เป็นชื่อที่อุปโลก ขึ้นมานะครับ

         
ท่านผู้อ่านต้องใช้กาลามสูตรแล้วครับ


      
สำหรับหมอ ผู้ที่เป็นนักวิชาการท้องถิ่น  ท่านอ้างตำราก็ลงอยู่ในพุทธศาสนา  ไม่ได้ชี้นำไปเรื่องของอินดู  แต่อ้างชื่อเทพอินดูเข้ามาเกี่ยวข้องครับ
      
อึม... เทพพุทธเถรวาท มีทั้งเยอะแยะ เพียงแต่ลอกเรียนทางศิลปะมาเท่านั้น นะครับ
     
ในพุทธศาสนาเถรวาทนั้นเทพใหม่อุบัติขึ้นมาก ดังในพระไตรปิฎก ผู้ที่ถึงพระรัตนตรัย เมื่อมรณภาพ หรือตาย ไปเกิดเป็นเทพเทวดากันอย่างมากมาย มีชื่อมากมายนับไม่ถ้วน  ทำไมต้องไปอ้างชื่อของเทพอื่นๆ ในตำราด้วยละครับ

          
อ้อ....   พุทธศาสนา  หนาไปด้วยเปลือกจริงๆ    เห็นมีคนจะตั้งเทพขึ้นมาใหม่อีกหรือซึ่งมีอยู่ในมหายาน และเข้าทางมหายาน  ไม่รู้จะผิดเพี้ยนกันไปถึงไหน  กระแส การชี้นำไปทางมหายานและอินดูมันแรงจริงๆ ของผู้ที่ไม่รู้.


 

 
 

ตอบโดย: Vicha 25 ก.ค. 50 - 10:28

 



พระพรหม พระพิฆเนศ พระขันทกุมาร พระศิวะ พระวิษณุ เป็นเทพชั้นผู้ใหญ่ของศาสนาฮินดู เอามาเปรียบกับพระอินทร์ได้เหรอครับ???

แล้วยักษ์แปลงตนเป็นเทพชั้นสูงขนาดนี้ ยักษ์บารมีสูงขนาดนี้ พระอินทร์บารมีสูงขนาดนี้เหรอครับ????????????? ที่สามารถแปลงร่างเป็นพระศิวะ พระพรหม พระวิษณุได้อะ

---------------



ศิลปะมีการลอกเลียนกันได้

ใช่ครับ

พระธาตุนครศรีธรรมราช กษัตริย์ลังกาสั่งให้สร้างขึ้น แล้วตอนที่สร้าง ไม่มีอะไรบันทึกเอาไว้เหรอครับ??? ว่าตรงนี้สลักแบบนี้ ตรงนั้นสลักแบบนั้น


แล้วไม่ได้มีแค่บานประตู มีรูปเทพนั่งอีก2องค์ รวมเป็น4องค์(ขัตตุคาม??? รามเทพ??? สุมนเทพ??? ลักขณเทพ???)


ก็ให้มันรู้ไป ว่าแค่เทพเฝ้าประตู ขอย้ำว่าเทพเฝ้าประตู มีบารมีมากถึงขนาดมีศาลใหญ่โตเท่าพระอุโบสถ คงไม่ใช่เทพธรรมดาแบบพระภูมิเจ้าที่นะ เพราะนั่งบนดอกบัวบอกถึงความเป็นเทพชั้นสูง แล้วมีบารมีมากมายที่ประทานพรได้ทุกคนที่เดินผ่านไปผ่านมา ให้รวยทั้งชาติ รวยทั้งโคตร รวยไม่มีเหตุผล..........หน้าที่ประทานความร่ำรวย เป็นหน้าที่ของท้าวกุเวร เทพแห่งความร่ำรวย และพบหลักฐานเก่าแก่ ที่บุโรพุทโธ ก็มีรูปท้าวกุเวร ประทานความร่ำรวยแก่ผู้มานมัสการศาสนสถาน และคติท้าวกุเวรเฝ้าสถูป เป็นอิทธิพลของวัชรยานที่เข้ามาที่อาณาจักรทะเลใต้


พระอวโลกิเตศวรปางประทานความร่ำรวย ก็นั่งท่านี้เหมือนกัน มียกขาข้างนึง ขาอีกข้างห้อยลง มีดอกบัวรองรับพระบาท เป็นลักษณะของพระโพธิสัตว์แบบวัชรยาน ต้องห้อยเท้าขวาเท่านั้น.......


ศึกษาประวัติจตุคาม ต้องศึกษาให้ลึกไปถึงประวัติศาสตร์ศาสนา แต่ไม่ใช่เรื่องขัตตุคาม รามเทพ แต่เป็นเรื่องคติความเชื่อ เรื่องเทพเฝ้าศาสนาสถาน และความเชื่อเรื่องเทพเจ้าสมัยนั้น เช่น ท้าวกุเวรเฝ้าสถูป

ตอบโดย: เหงามาก 25 ก.ค. 50 – 10:40

 


   น่าเสียดาย จริง ๆ  ที่คุณเหงามาก ไปศึกษาหลักฐานทางอื่น เทพลัทธิอื่นๆ   คงไม่ได้ศึกษาพระไตรปิฏกในเถรวาทเลย  เข้าใจผิดในตำราเทพอื่นๆ มาปนกับพุทธเถรวาท

    
ผมจะยกพระสูตร เกี่ยวกับเทพเทวดาในพระไตรปิฏก ของเถรวาทให้ดู  ซึ่งเก็บรักษากันมายาวนาน สองพันกว่าปี

                             ๗. มหาสมัยสูตร (๒๐)
                              
เรื่องเทวดามากด้วยกัน
          [
๒๓๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
  
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ป่ามหาวัน เขตพระนครกบิล  พัสดุ์ ในสักก
ชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประมาณ ๕๐๐ รูป ล้วน  เป็นพระอรหันต์ ก็พวกเทวดาจาก
โลกธาตุทั้ง ๑๐ ประชุมกันมาก เพื่อทัศนา   พระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ ฯ
  
ครั้งนั้น เทวดาชั้นสุทธาวาส ๔ องค์ ได้มีความดำริว่า พระผู้มีพระภาค   พระองค์นี้แล
ประทับอยู่ ณ ป่ามหาวัน เขตพระนครกบิลพัสดุ์ ในสักกชนบท   พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่
ประมาณ ๕๐๐ รูป ล้วนเป็นพระอรหันต์ ก็พวก   เทวดาจากโลกธาตุทั้ง ๑๐ ประชุมกันมาก เพื่อ
ทัศนาพระผู้มีพระภาคและภิกษุ   สงฆ์ ไฉนหนอ แม้พวกเราก็ควรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่
ประทับ ครั้นแล้ว  พึงกล่าวคาถาเฉพาะองค์ละคาถา ในสำนักพระผู้มีพระภาค ลำดับนั้น
เทวดา  พวกนั้น หายไป ณ เทวโลกชั้นสุทธาวาสแล้วมาปรากฏเบื้องพระพักตร์พระผู้มี พระภาค
เหมือนบุรุษมีกำลังเหยียดแขนที่คู้ออก หรือคู้แขนที่เหยียดออกเข้า   ฉะนั้น เทวดาพวก
นั้นถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วน ข้างหนึ่ง เทวดาองค์หนึ่งได้กล่าวคาถา
นี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า
          [
๒๓๖] การประชุมใหญ่ในป่าใหญ่ หมู่เทวดามาประชุมกันแล้วพวกเรา
พากันมาสู่ธรรมสมัยนี้ เพื่อได้เห็นหมู่ท่านผู้ชนะมาร ฯ
          [
๒๓๗] ลำดับนั้น เทวดาอีกองค์หนึ่ง ได้กล่าวคาถานี้ ในสำนักพระผู้มี
พระภาคว่า
ภิกษุทั้งหลายในที่ประชุมนั้น มั่นคง กระทำจิตของตนๆ ให้ ตรง บัณฑิต
ทั้งหลาย ย่อมรักษาอินทรีย์ เหมือนสารถีถือบังเหียนขับม้า ฉะนั้น ฯ
          [
๒๓๘] ลำดับนั้น เทวดาอีกองค์หนึ่ง ได้กล่าวคาถานี้ ในสำนัก พระผู้มีพระภาคว่า
ภิกษุเหล่านั้น ตัดกิเลสดุจตะปู ตัดกิเลสดุจลิ่มสลัก ถอน กิเลสดุจ
เสาเขื่อนได้แล้ว เป็นผู้ไม่หวั่นไหว หมดจด ปราศ จากมลทิน เที่ยวไป
ท่านเป็นหมู่นาคหนุ่ม อันพระผู้มีพระภาค ผู้มีจักษุทรงฝึกดีแล้ว ฯ
          [
๒๓๙] ลำดับนั้น เทวดาอีกองค์หนึ่ง ได้กล่าวคาถานี้ ในสำนัก  พระผู้มีพระภาคว่า
ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ถึงพระพุทธเจ้าว่า เป็นสรณะ เขาจัก ไม่ไป
อบายภูมิ ละกายมนุษย์แล้ว จักยังเทวกายให้บริบูรณ์ ฯ
                                        
ชื่อของหมู่เทวดา
          [
๒๔๐] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายแล้วตรัสว่า  ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย พวกเทวดาในโลกธาตุทั้ง ๑๐ ประชุมกันมาก เพื่อทัศนา   ตถาคตและภิกษุสงฆ์ พวก
เทวดาประมาณเท่านี้แหละได้ประชุมกัน เพื่อทัศนา  พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่ง
ได้มีแล้วในอดีตกาล เหมือนที่ ประชุมกันเพื่อทัศนาเราในบัดนี้ พวกเทวดาประมาณเท่านี้แหละ
จักประชุมกันเพื่อ  ทัศนาพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจักมีในอนาคตกาล เหมือนที่ประชุมกัน
 
เพื่อทัศนาเราในบัดนี้ เราจักบอกนามพวกเทวดา เราจักระบุนามพวกเทวดา   เราจักแสดงนาม
พวกเทวดา พวกเธอจงฟังเรื่องนั้น จงใส่ใจให้ดี เรา  จักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระ
ภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัส  พระคาถานี้ว่า
          [
๒๔๑] เราจักร้อยกรองโศลก ภุมมเทวดาอาศัยอยู่ ณ ที่ใด  พวกภิกษุก็
อาศัยที่นั้น ภิกษุพวกใดอาศัยซอกเขา ส่งตนไปแล้ว   มีจิตตั้งมั่น ภิกษุ
พวกนั้น เป็นอันมาก เร้นอยู่ เหมือนราชสีห์   ครอบงำความขนพองสยอง
เกล้าเสียได้ มีใจผุดผ่อง เป็นผู้ หมดจด ใสสะอาด ไม่ขุ่นมัว พระ
ศาสดาทรงทราบภิกษุประมาณ ๕๐๐ เศษ ที่อยู่ ณ ป่ามหาวัน เขตพระนคร
กบิล   พัสดุ์ แต่นั้นจึงตรัสเรียกสาวกผู้ยินดีในพระศาสนา ตรัสว่า ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย หมู่เทวดามุ่งมากันแล้ว พวกเธอจงรู้จักหมู่เทวดานั้น ภิกษุ
เหล่านั้นสดับรับสั่งของพระพุทธเจ้าแล้ว ได้  กระทำความเพียร ญาณเป็น
เครื่องเห็นพวกอมนุษย์ ได้ปรากฏแก่  ภิกษุเหล่านั้น ภิกษุบางพวก ได้
เห็นอมนุษย์ร้อยหนึ่ง บางพวก  ได้เห็นอมนุษย์พันหนึ่ง บางพวกได้เห็น
อมนุษย์เจ็ดหมื่น บาง   พวกได้เห็นอมนุษย์หนึ่งแสน บางพวกได้เห็นไม่มี
ที่สุด  อมนุษย์ได้แผ่ไปทั่วทิศ พระศาสดาผู้มีพระจักษุ ทรงใคร่ครวญ
ทราบเหตุนั้นสิ้นแล้ว แต่นั้น จึงตรัสเรียกสาวกผู้ยินดีใน พระศาสนา
ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย หมู่เทวดามุ่งมากันแล้ว  พวกเธอจงรู้จักหมู่
เทวดานั้น เราจักบอกพวกเธอด้วยวาจา ตามลำดับ ยักษ์เจ็ดพันเป็นภุมม
เทวดาอาศัยอยู่ในพระนคร กบิลพัสดุ์ มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ
ยินดี มุ่งมายัง  ป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ ยักษ์หกพันอยู่ที่เขาเหมวตา
มี  รัศมีต่างๆ กัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็น
ที่ประชุมของภิกษุ ยักษ์สามพันอยู่ที่เขา สาตาคีรี มีรัศมีต่างๆ กัน มีฤทธิ์
มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ   ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ
ยักษ์เหล่านั้นรวม เป็นหนึ่งหมื่นหกพัน มีรัศมีต่างๆ กัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ
มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ ยักษ์   ห้าร้อย
อยู่ที่เขาเวสสามิตตะ มีรัศมีต่างๆ กัน มีฤทธิ์ มี  อานุภาพ มีรัศมี มียศ
ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุม   ของภิกษุ ยักษ์ชื่อกุมภีระอยู่ในพระนคร
ราชคฤห์ เขาเวปุลละ  เป็นที่อยู่ของยักษ์นั้น ยักษ์แสนเศษแวดล้อมยักษ์
ชื่อกุมภีระ นั้น ยักษ์ชื่อกุมภีระอยู่ในพระนครราชคฤห์แม้นั้น ก็ได้มายัง
ป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ ฯ
  [
๒๔๒] ท้าวธตรัฏฐ อยู่ด้านทิศบูรพา ปกครองทิศนั้นเป็นอธิบดีของพวกคนธรรพ์
เธอเป็นมหาราช มียศ แม้บุตรของเธอก็มาก มีนามว่า อินท มีกำลังมาก
มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี   มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของ
ภิกษุ ท้าววิรุฬหกอยู่ด้านทิศทักษิณ ปกครองทิศนั้นเป็นอธิบดีของพวก
กุมภัณฑ์   เธอเป็นมหาราช มียศ แม้บุตรของเธอก็มาก มีนามว่า อินท
มีกำลังมาก มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายัง  ป่าอันเป็นที่
ประชุมของภิกษุ ท้าววิรูปักษ์ อยู่ด้านทิศปัจจิม ปก  ครองทิศนั้นเป็น
อธิบดีของพวกนาค เธอเป็นมหาราช มียศ  แม้บุตรของเธอก็มาก มีนามว่า
อินท มีกำลังมาก มีฤทธิ์ มี   อานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่า
อันเป็นที่ประชุมของภิกษุ   ท้าวกุเวรอยู่ด้านทิศอุดร ปกครองทิศนั้น
เป็นอธิบดีของพวก  ยักษ์ เธอเป็นมหาราช มียศ แม้บุตรของเธอก็มาก
มีนามว่าอินท มีกำลังมาก มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี
มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ ท้าวธตรัฏฐเป็นใหญ่ทิศ บูรพา ท้าว
วิรุฬหก เป็นใหญ่ทิศทักษิณ ท้าววิรูปักษ์เป็นใหญ่  ทิศปัจจิม ท้าวกุเวร
เป็นใหญ่ทิศอุดร ท้าวมหาราชทั้ง ๔ นั้น   ยังทิศทั้ง ๔ โดยรอบให้รุ่งเรือง
 
ได้ยืนอยู่แล้วในป่าเขตพระ นครกบิลพัสดุ์
                                        
ท้าวโลกบาลทั้ง  ๔
  [
๒๔๓] พวกบ่าวของท้าวมหาราชทั้ง ๔ นั้น มีมายา ล่อลวง โอ้อวด เจ้าเล่ห์ มา
ด้วยกัน มีชื่อคือกุเฏณฑุเวเฏณฑุ ๑  วิฏวิฏฏะจันทนะ ๑
กามเสฏฐะ ๑ กินนุฆัณฑุ ๑  นิฆัณฑุ ๑ และท้าวเทวราชทั้งหลายผู้มีนาม
ว่าปนาทะ ๑ โอป   มัญญะ ๑ เทพสารถีมีนามว่า มาตลิจิตตเสนะ ผู้คน
ธรรพ์ ๑   นโฬราชะ ๑ ชโนสภะปัญจสิขะติมพรู ๑ สุริยวัจฉสา
เทพธิดา ๑ มาทั้งนั้น ราชาและคนธรรพ์พวกนั้น และพวกอื่น   กับเทวราช
ทั้งหลายยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุอนึ่งเหล่านาคที่อยู่ใน
สระชื่อนภสะบ้าง อยู่ในเมืองเวสาลีบ้าง พร้อมด้วยนาคบริษัทเหล่าตัจฉกะ
กัมพลนาค  และอัสสตรนาคก็มา  นาคผู้อยู่ในท่า ชื่อปายาคะ กับ
ญาติ ก็มา นาคผู้อยู่ใน  แม่น้ำยมุนา เกิดในสกุลธตรัฏฐ ผู้มียศ ก็มา
เอราวัณเทพบุตรผู้เป็นช้างใหญ่ แม้นั้นก็มายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ ฯ
 [
๒๔๔] ปักษีทวิชาติผู้เป็นทิพย์ มีนัยน์ตาบริสุทธิ์ นำนาคราชไปได้  โดยพลันนั้น
มาโดยทางอากาศถึงท่ามกลางป่า ชื่อของปักษีนั้นว่า จิตรสุบรรณ ใน
เวลานั้น นาคราชทั้งหลาย ไม่ได้มีความ  กลัว พระพุทธเจ้าได้ทรงกระทำ
ให้ปลอดภัยจากครุฑ นาคกับ ครุฑเจรจากัน ด้วยวาจาอันไพเราะ กระทำ
พระพุทธเจ้าให้เป็นสรณะ  พวกอสูรอาศัยสมุทรอยู่ อันท้าววชิรหันถ์รบ
ชนะแล้ว เป็นพี่น้องของท้าววาสพ มีฤทธิ์ มียศ เหล่านี้คือพวก  กาล
กัญชอสูร มีกายใหญ่น่ากลัวก็มา พวกทานเวฆสอสูรก็มา เวปจิตติอสูร
สุจิตติอสูร ปหาราทอสูร และนมุจีพระยามารก็มาด้วยกัน บุตรของ
พลิอสูรหนึ่งร้อย มีชื่อว่าไพโรจน์ทั้งหมดผูกสอดเครื่องเสนาอันมีกำลัง
เข้าไปใกล้อสุรินทราหู แล้วกล่าว ว่า ดูกรท่านผู้เจริญ บัดนี้ เป็นสมัยที่
จะประชุมกัน ดังนี้แล้ว   เข้าไปยังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ ฯ
                                                  
เทวนิกาย ๖๐
[
๒๔๕] ในเวลานั้น เทวดาทั้งหลาย ชื่ออาโป ชื่อปฐวี ชื่อเตโช ชื่อวาโย  ได้
พากันมาแล้ว เทวดา ชื่อวรุณะ ชื่อวารุณะ ชื่อโสมะ ชื่อยสสะ
ก็มาด้วยกัน เทวดาผู้บังเกิดในหมู่เทวดาด้วยเมตตาและกรุณาฌาน เป็นผู้
มียศ ก็มา หมู่เทวดา ๑๐ เหล่านี้เป็น ๑๐ พวก ทั้งหมดล้วนมีรัศมีต่าง ๆ
กัน  มีฤทธิ์ มีอานุภาพ  มีรัศมี  มียศ  ยินดี   มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุม
ของภิกษุ เทวดา ชื่อเวณฑู ชื่อสหลี  ชื่ออสมา ชื่อยมะ ทั้งสองพวก
ก็มา เทวดาผู้อาศัยพระจันทร์  กระทำพระจันทร์ไว้ในเบื้องหน้าก็มา เทวดา
ผู้อาศัยพระอาทิตย์  กระทำพระอาทิตย์ไว้ในเบื้องหน้าก็มา เทวดากระทำ
นักษัตรไว้ใน  เบื้องหน้าก็มา มันทพลาหกเทวดาก็มา แม้ท้าวสักกปุรินท
ทวาสวะ ซึ่งประเสริฐกว่าสุเทวดาทั้งหลายก็เสด็จมา หมู่เทวดา ๑๐
เหล่านี้ เป็น ๑๐ พวก ทั้งหมดล้วนมีรัศมีต่างๆ กัน มีฤทธิ์มีอานุภาพ
มีรัศมี ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ  อนึ่งเทวดาชื่อสหภู
ผู้รุ่งเรืองดุจเปลวไฟก็มา เทวดาชื่ออริฏฐกะ  ชื่อโรชะ มีรัศมีดังสีดอก
ผักตบก็มา เทวดาชื่อวรุณะ ชื่อสหธรรมชื่ออัจจุตะ ชื่ออเนชกะ ชื่อ
สุเลยยะ ชื่อรุจิระก็มา เทวดา  ชื่อวาสวเนสีก็มา หมู่เทวดา ๑๐ เหล่านี้
เป็น ๑๐ พวก ทั้งหมด ล้วนมีรัศมีต่างๆ กัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี
มียศ ยินดี มุ่ง  มายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ เทวดาชื่อสมานะ ชื่อ
มหาสมานะ ชื่อมานุสะ ชื่อมานุสุตตมะ ชื่อขิฑฑาปทูสิกะ ก็มา  เทวดา
ชื่อมโนปทูสิกะก็มา อนึ่ง เทวดาชื่อหริ เทวดาชื่อโลหิต วาสี ชื่อปารคะ
ชื่อมหาปารคะ ผู้มียศ ก็มา หมู่เทวดา ๑๐ เหล่านี้   เป็น ๑๐ พวก
ทั้งหมดล้วนมีรัศมีต่างๆ กัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ  มีรัศมี มียศ ยินดี
มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ เทวดา  ชื่อสุกกะ ชื่อกรุมหะ ชื่อ
อรุณะ ชื่อเวฆนสะก็มาด้วยกันเทวดาชื่อโอทาตคัยหะ ผู้เป็นหัวหน้า
เทวดาชื่อวิจักขณะ ก็มา  เทวดาชื่อสทามัตตะ ชื่อหารคชะ และชื่อมิสสกะ
ผู้มียศ ก็มา  ปชุนนเทวบุตร ซึ่งคำรามให้ฝนตกทั่วทิศก็มา หมู่เทวดา
๑๐   เหล่านี้ เป็น ๑๐ พวก ทั้งหมดล้วนมีรัศมีต่างๆ กัน มีฤทธิ์   มี
อานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ
เทวดาชื่อเขมิยะ เทวดาชั้นดุสิต เทวดาชั้นยามะ  และเทวดาชื่อกัฏฐกะ
มียศ เทวดาชื่อลัมพิตกะ ชื่อลามเสฏฐะ   ชื่อโชตินามะ ชื่ออาสา และ
เทวดาชั้นนิมมานรดีก็มา อนึ่ง  เทวดาชั้นปรนิมมิตะก็มา หมู่เทวดา ๑๐
เหล่านี้ เป็น ๑๐ พวก  ทั้งหมดล้วนมีรัศมีต่างๆ กัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ
มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ หมู่เทวดา ๖๐
เหล่านี้  ทั้งหมดล้วนมีรัศมีต่างๆ กัน มาแล้วโดยกำหนดชื่อ และ  เทวดา
เหล่าอื่นผู้เช่นกัน มาพร้อมกันด้วยคิดว่า เราทั้งหลายจัก   เห็นพระนาค
ผู้ปราศจากชาติ ไม่มีกิเลสดุจตะปู มีโอฆะอัน  ข้ามแล้ว ไม่มีอาสวะ
ข้ามพ้นโอฆะ ผู้ล่วงความยึดถือได้แล้ว   ดุจพระจันทร์พ้นจากเมฆฉะนั้น. ฯ
                                                            
พรหมนิกาย
[
๒๔๖] สุพรหมและปรมัตตพรหม ซึ่งเป็นบุตรของพระพุทธเจ้าผู้มี ฤทธิ์ ก็มาด้วย
สนังกุมารพรหม และติสสพรหมแม้นั้น   ก็มายังป่าอันเป็นที่ประชุมของ
ภิกษุ ท้าวมหาพรหมย่อมปกครอง   พรหมโลกพันหนึ่ง ท้าวมหาพรหมนั้น
บังเกิดแล้วในพรหมโลก มีอานุภาพ มีกายใหญ่โต มียศ ก็มา พรหม
๑๐ พวก ผู้เป็น อิสระในพวกพรหมพันหนึ่ง มีอำนาจเป็นไปเฉพาะองค์
ละอย่างก็มา มหาพรหมชื่อหาริตะ อันบริวารแวดล้อมแล้ว มาในท่าม
กลางพรหมเหล่านั้น มารเสนา ได้เห็นพวกเทวดา พร้อมทั้ง พระอินทร์
พระพรหมทั้งหมดนั้น ผู้มุ่งมา ก็มาด้วย แล้วกล่าวว่าท่านจงดูความ
เขลาของมาร พระยามารกล่าวว่า พวกท่านจงมาจับ  เทวดาเหล่านี้ผูกไว้
ความผูกด้วยราคะ จงมีแก่ท่านทั้งหลาย   พวกท่านจงล้อมไว้โดยรอบ อย่า
ปล่อยใครๆ ไป พระยามารบัง คับเสนามารในที่ประชุมนั้นดังนี้แล้ว
เอาฝ่ามือตบแผ่นดิน กระทำเสียงน่ากลัว เหมือนเมฆยังฝนให้ตก คำราม
อยู่ พร้อมทั้ง   ฟ้าแลบ ฉะนั้น เวลานั้น พระยามารนั้นไม่อาจยังใครให้
เป็นไป   ในอำนาจได้ โกรธจัด กลับไปแล้ว พระศาสดาผู้มีพระจักษุทรง
พิจารณาทราบเหตุนั้นทั้งหมด แต่นั้น จึงตรัสเรียกสาวกผู้ ยินดีในพระ
ศาสนาตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย มารเสนามาแล้ว   พวกเธอจงรู้จักเขา
ภิกษุเหล่านั้นสดับพระดำรัสสอนของพระ  พุทธเจ้าแล้ว ได้กระทำความ
เพียร ม          ารและเสนามารหลีกไป  จากภิกษุผู้ปราศจากราคะ ไม่ยังแม้ขน
ของท่านให้ไหว (พระยามารกล่าวสรรเสริญว่า) พวกสาวกของพระองค์
ทั้งหมดชนะ  สงครามแล้ว ล่วงความกลัวได้แล้ว มียศปรากฏในหมู่ชน
บันเทิงอยู่กับด้วยพระอริยเจ้า ผู้เกิดแล้วในพระศาสนา ดังนี้แล. ฯ

                       
จบมหาสมัยสูตร ที่ ๗

***********************************

      ยังมีข้อมูลของผู้ที่ไปเกิดเป็นพระพรหม เป็นเทพเทวดาผู้มเหศักษ์มากมาย เช่น เทพที่อดีตชาติคือพระเจ้าพิมพิสาร  เทพอดีดชาติคือ ท่านอานาธิบาตเศรษฐิ ฯลฯ พระพรหมที่อดีตชาติเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา หรือพระอริยะ ที่กล่าวถึงยังมีอีกมากมาย จนไม่รู้จะนับถือกันอย่างไร
     
    
แต่มีสิ่งที่ควรนับถือ หรือถึงที่พึ่งเป็นสารณะ หรือศรัทธาสูงสุดของเทพ และมนุษย์ทั้งหลาย ก็คือ พระรัตนตรัย  (พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์)

 

ตอบโดย: Vicha 25 ก.ค. 50 - 11:27

 


ท่านจะไปเกิดเป็นอะไรก็ช่างเถอะ.....
หรือปีหน้า นครศรีธรรมราชจัดพิธีแห่องค์จตุคาม และสรงน้ำจตุคามรอบเมือง???????

ตอบโดย: เหงามาก 25 ก.ค. 50 – 11:39

 


คุณเหงามาก  กำลังขาดเหตุและผลแล้วนะครับ...


   
จตุคามรามเทพ  เกิดขึ้นเพราะความบิดเบี้ยว ของความเชื่อความศรัทธา ที่มีกระแสแรงมากๆ  และมากมาย เสียด้วย

      
ที่ผมเป็นห่วงไม่ใช่เรื่องคนที่ไม่ได้ศึกษาพุทธศาสนามาอย่างดี แล้วไปศรัทธา องค์จตุคามรามเทพ อย่างมากมาย  เพราะอย่างไรก็ยังอยู่ในวงพุทธศาสนาเถรวาท

      
ที่เป็นหว่งคือ การชี้นำเรื่อง "จตุคามรามเทพ"  ไปสู่มหายาน  หรืออินดู ปนยำเรื่องเทพกันมั่ว แล้วเข้าสูยุคพุทธศาสนาเถรวาทในประเทศไทยเสื่อมอย่างรวดเร็ว  จนล้มสลายได้เหมือนดังในประเทศอินเดีย


   

ตอบโดย: Vicha 25 ก.ค. 50 - 11:55

 


คุณวิชารู้จักคำว่า เทวราชโพธิสัตว์รึเปล่า.........อย่าบอกนะว่าองค์เดียวกับจตุคามรามเทพอะ

ที่อ้างว่ามี5องค์ มาจากพระพุทธเจ้า5องค์ของมหายาน.........ก็ไม่รู้ว่าเทวราชโพธิสัตว์องค์ไหน


**********

รู้จักพุทธนิกายวัชรยานรึเปล่า

ยุควัชรยาน เป็นยุคที่คำสอนเปลี่ยนแปลงมากที่สุด เกิดขึ้นมาเพื่อกลืนกินศาสนาพราหมณ์ของฮินดู ในขณะที่พราหมณ์เอาหลักธรรมพุทธไปใช้ในศาสนาพราหมณ์ ในขณะเดียวกับ พุทธก็เอาคติฮินดูมาใช้กับพุทธ และเอานิกายตันตระมาใช้ และในขณะเดียวกัน พุทะก็สร้างรูปเคารพเทพเจ้าปางดุ และเหยียบเทพเจ้าองค์สำคัญของฮินดู เหยียบพาหนะของเทพฮินดู...............


เอาเทพฮินดูมานับถือร่วมกับพุทธไม่น่าเกลียดหรอก

แต่การที่เอาเทพฮินดู แล้วเอาคติพระโพธิสัตว์ไปยัดเยียด มันทุเรศมาก ๆ แค่มานั่งเฝ้าประตู ก็เป็นพระโพธิสัตว์ได้.........แปลกดีครับ

ตอบโดย: เหงามาก 25 ก.ค. 50 - 14:00

 


 
ขอโทษนะคะที่ต้องขอขัดจังหวะการสนทนาของทั้งอสงท่าน เผอิญได้ไปค้นมาอย่างนึงเกี่ยวกับการเป็นเทวโพธิสัตย์ของท่าน  ลองอ่านกันเอาเองดีกว่านะคะ  ผิดถูกประการใดขออภัยมาด้วยนะที่นี้ค่ะ


ประวัติจตุคามรามเทพ

     
ตรรกวิทยาของชาวชวากะ ที่เรียกว่า จตุคามศาสตร์ เชื่อกันว่า นางพญาจันทรา นางพญาพื้นเมือง ทะเลใต้ ราชินีผู้สูงศักดิ์ขององค์ราชันราตะ หรือ พระสุริยะเทพ ซึ่งรวบรวมดินแดนในคาบสมุทรทองคำเข้าเป็นจักรวรรดิ์เดียวกันในพุทธศตวรรษ ที่ 7 พระราชมารดาของเจ้าชายรามเทพ บรรลุธรรม สำเร็จตรรกศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ ทรงอิทธิฤทธิ์บังคับคลื่นลมร้ายให้สงบได้ชาวทะเลทั้งหลายกราบไหว้รำลึกถึง เมื่อออกกลางทะเล เรียกกันว่า แม่ย่านาง ชาวศรีวิชัยให้ความเคารพนับถือเทิดทูน ฉายานามว่า เจ้าแม่อยู่หัว

     
เจ้าชายรามเทพได้ศึกษาเล่าเรียนวิชา จตุคามศาสตร์ จากพระราชมารดาจนเจนจบ แล้วทรงเรียนรู้หลักสัจธรรมทางพุทธศาสนาเลื่อมใสศรัทธานิกายมหายานอย่างแรงกล้า มุ่งหน้าสร้างบารมี หวังตรัสรู้เป็นพระโพธิสัตว์ ตั้งปณิธานแน่วแน่ที่จะประกาศธรรมให้มั่นคง ทั่วดินแดนสุวรรณภูมิ ทรงอุตสาหะบากบั่นสร้างราชนาวีตามตรรกศาสตร์มหายาน ที่สามารถแล่นฝ่าคลื่นลมได้รวดเร็วและปลอดภัยบรรทุก กำลังพลและสัมภาระได้ มากมายมหาศาลเยือนถึงน่านน้ำใด หลักศาสนา ศิลปอารยะธรรมประดิษฐานมั่นคง ณ ดินแดนนั้น จนเหล่าราชครูต่างถวาย นามาภิไธยราชฐานันดร ว่า องค์ ราชันจตุคามรามเทพ

     
เมื่อพระศรีมหาราชชาวชวากะได้ประกาศสัจธรรมทั่ว สุวรรณทวีปแล้วจึงได้สร้าง มหาสถูป เจดีย์ขึ้นที่หาดทรายแก้วและในปลายพุทธศตวรรษที่ 8

     
องค์ราชันจตุคามรามเทพทรงมานะพยายามจนบรรลุธรรมจนบรรลุโพธิญาณ จักรวาลพรหมโพธิสัตว์ ประกอบด้วย บุญฤทธิ์ อิทธิฤทธ อภินิหาร สยบฟ้า สยบดินได้ตามปรารถนา วาจาเป็นประกาศิตเหนือมวลชีวิตทั้งหลาย ทรงศักดานุภาพเหมือน ดังพระอาทิตย์และ พระจันทร์ สมญานามตาม ศาสตร์จันทรภาณุ สาปแช่งศัตรูผู้ใดจะถึงกาลวินาศ จนเลื่องลือไปทั่วทวีป ได้รับการถวายนามยกย่องว่า พญาพังพกาฬ

     
การประกาศชัยชนะที่เด็ดขาดเหนือสุวรรณทวีปและหมู่เกาะทะเลใต้นี้เปรียบได้กับมหาราชในชมภูทวีป ดังนั้น พญาโหราบรมครูช่างชาวชวากะ ได้จำลองรูปมหาบุรุษเป็น อนุสรณ์ ตามอุดมคติศิลปศาสตร์ศรีวิชัย เรียกว่า ร่างแปลงธรรม รูปสมมุติแห่ง เทวราชที่มีตัวตนอยู่จริงในโลกมนุษย์ ทรงเครื่องราชขัติยาภรณ์ สี่กร สองเศียร พรั่งพร้อมด้วยเทพศาสตราวุธ เพื่อปกป้องอาณาจักรและพุทธจักร เพื่อเป็นคติธรรมและศิลปะกรรม ประดิษฐานในทุกหนแห่งในอาณาจักรทะเลใต้ ลูกหลานราชวงศ์ไศเลนทร์ในชั้นหลังได้ถ่ายทอดศิลปะศาสตร์แปลงร่างธรรมเป็น นารายณ์บรรทมสินธุ์บ้าง อวตารปราบอสูรบ้าง ตามค่านิยมของท้อง

อ้างอิงจาก http://www.tpa.or.th/writer/

 

ตอบโดย: you4lucky 25 ก.ค. 50 - 14:28

 


รู้สึก กระแสจตุคามรามเทพ เริ่มทำให้ความเชื่อของพุทธศาสนิกชนหันเหผิดเพี้ยนไปมาก ในส่วนของเทวดาที่เฝ้ารักษาพระบรมธาตุเมืองนครสององค์นั้น มีมานานแล้ว สมัยเด็กๆ ผมไปสักการะขึ้นไปห่มผ้าให้พระบรมธาตุ ผมไม่เห็นว่าท่านจะมีคนไปสักการะบูชามากมายเหมือนสมัยนี้

ตอนแรกที่ได้ยินเรื่องของจตุคามรามเทพ คือ มันเนื่องมาจาก ขุนพันธ์ ต้องการสร้างศาลหลักเมืองนครแห่งใหม่ ข้อมูลของจตุคามรามเทพก็มาจากคนทรงโดยตรง ซึ่งก็ทราบว่าท่านเป็นเคยกษัตริย์สมัยศรีวิชัยมาเกิดเป็นเทวดารักษาพระพุทธศาสนา ดูแลปกปักษ์รักษาเมืองนครศรีธรรมราชและหัวเมืองปักษ์ใต้ ดังนั้นการตั้งศาลหลักเมืองจึงเกี่ยวเนื่องกับท่าน สมัยตั้งศาลหลักเมืองแรกๆท่านก็ไม่ได้รับความนิยมแบบในปัจจุบัน แต่ได้รับความนิยมในหมู่คนนครศรีธรรมราชในฐานะท่านเป็นเทวดาประจำเมืองเท่านั้น

เมืองสงขลาเองก็มีเทวดาประจำเมือง มีคนทรงทำนายทายทักดวงเมืองเช่นกัน เพียงแต่เทวดาประจำเมืองสงขลาไม่ได้โด่งดังเท่าเมืองนครฯ

ท้าวจตุคามท่านจะมาดังจริงๆ และ เป็นที่รู้จักของคนไทยทั้งประเทศ ก็สมัยที่สนธิ ลิ้มทองกุล พูดถึงท่านบ่อยๆ ในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ก็ถือว่าเป็นการเปิดตัว จตุคามรามเทพ ต่อ มวลชนจำนวนมากเป็นครั้งแรก หลังจากนั้น กระแสของจตุคามรามเทพก็เผยแผ่ไปทั่วทุกภาคส่วนของสังคมไทย

นักวิชาการทางประวัติศาสตร์ เริ่มเสาะหาที่มาของจตุคามรามเทพ พระสงฆ์ หมอไสยฯ ที่ชอบปลุกเสกของพวกนี้ ก็เริ่มมีตาทิพย์บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ของจตุคามรามเทพ ด้วยความหลากหลาย บ้างก็ว่าเป็นเทพที่มีคติเกี่ยวกับศาสนาพราหมณ์ บ้างก็ว่าท่านคือเทวดาที่เฝ้าพระบรมธาตุเมืองนคร

คือ ตอนนี้ ตำนานของท่านบิดเบือนออกไปมาก มีความพยายามโยงท่านไปเกี่ยวข้องกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์และตำนานต่างๆ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่มีท่าน ก็ไม่ได้มีใครพูดถึง

ดังนั้นผมคิดว่า ใครจะคิดอย่างไรก็คิดไปเถอะ เทวดาก็ยังเป็นเทวดาท่านก็ทำหน้าที่ของท่าน เราเป็นพุทธศาสนิกชนเราก็ทำหน้าที่ของเรา ทั้งเทวดาและมนุษย์มีหน้าที่รักษาพระพุทธศาสนาเหมือนกัน เพียงแต่กระแสในปัจจุบันมันเป็นเรื่องของปลุกสร้างความโลภ เป็นเรื่องของพุทธพานิชย์ที่พระสงฆ์ในแต่ละวัดพยายามเกาะกระแสความนิยมของเทวดาองค์นี้ คนบูชาแทบไม่ได้คิดจะปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาเลย มีแต่ความคิดโลภเพียงอย่างเดียว ว่าอยากรวยและอยากมั่งมีเท่านั้นเอง

และเพื่อเป็นการหยุดกระแสดังกล่าวไม่ให้แพร่เข้ามาในลานธรรมเสวนาและทำลายพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท คิดว่าคงมีประกาศที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แจ้งให้สมาชิกทราบอีกครั้ง

ตอบโดย: อนุตตริยะ 25 ก.ค. 50 - 14:46

 


ตอบคุณเหงามาก  ผมคงไม่ได้ไปศึกษามหายาน หรืออินดู

     
เทวราชโพธิสัตว์จะเป็นองค์เดียวกับ จตุคามรามเทพหรือเปล่าผมก็หาได้สนใจ ครับ

     
และที่สนทนากันผมต้องการข้อมูลที่ถูกปรากฏขึ้นใกล้เคียงจริงๆ  ดังในรายการ ตัวจริง-ชัดเจน นั้นแหละเป็นข้อมูลจริงๆ ของลูกชายขุนพันธ์ที่อยู่ในเหตุการณ์ วิเคราะห์กันตามข้อมูลใกล้เคียงความจริง จะไม่ได้ไถลไปไกลเกินไป

       
คำว่าพระโพธิสัตว์  ของพุทธศาสนาเถรวาท  อย่าว่าแต่เป็นเพียงคนเฝ้าประตูเลย  ในชาดกในพระไตรปิฎก พระโพธิสัตว์อดีดชาติของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ยังเคยเป็นนักกายกรรมแสดงตามชุมชน เป็นอาชิพก็มี
       
ยังเคยเป็น รุกขเทวดาผู้ด้อยศักษ์มีวิมานอยู่บนยอดหญ้า ได้ไปช่วยเหลือรุกขเทวดาที่มีศักษ์ใหญ่มีวิมานบนต้นไม้ใหญ่มากก็มี
       
ยังเคยเกิดเป็น สัตว์เช่นกระต่ายก็มี
       
ยังเคยเกิดเป็นคน จันฑาล ก็มี  ฯลฯ

      
มีให้ศึกษาในพุทธศาสนาเถรวาทมากมาย  ทำไมต้องเอาเทพอินดู หรือมหายานปนอินดูมายำ เพื่ออันใดเล่า....

 

ตอบโดย: Vicha 25 ก.ค. 50 - 15:04

 


เรียนท่านvicha

คเวสโกเป็นโยม เป็นฆราวาสผู้ครองเรือนครับ ชื่อจริง "นายวิชัย"

ขัตตุคาม และ จตุคาม คเวสโกแปลตามศัพท์พื้นความรู้มหาเปรียญเดิม

เมื่อคืนคเวสโกก็ดูครับ ขุนพันธ์ท่านเป็นนักปราชญ์ เข้าใจ เข้าถึงวิถีชีวิตของคนไทย มองไกลไปข้างหน้า ทำอย่างไรจะรักษาพระพุทธศาสนาไว้

เป็นนักล่อ นักชน มีลูกล่อ ลูกเล่นที่สำคัญมีวิธีการจัดการจัดที่น่าทึ่ง  ที่จะแปรเปลี่ยน ศรัทธาที่เป็นรูปธรรม ให้เป็นศรัทธาที่เป็นนามธรรม

มีอยู่บทสัมภาษณ์หนึ่งคุณหมอถามว่า คุณพ่ออายุ 104 ปีแล้ว ท่านต้องการอะไร ท่านตอบว่า "เราต้องการนิพพาน"



 

ตอบโดย: คเวสโก 25 ก.ค. 50 - 15:09

 


ประวัติจตุคามรามเทพ

     
ตรรกวิทยาของชาวชวากะ ที่เรียกว่า จตุคามศาสตร์ เชื่อกันว่า นางพญาจันทรา นางพญาพื้นเมือง ทะเลใต้ ราชินีผู้สูงศักดิ์ขององค์ราชันราตะ หรือ พระสุริยะเทพ ซึ่งรวบรวมดินแดนในคาบสมุทรทองคำเข้าเป็นจักรวรรดิ์เดียวกันในพุทธศตวรรษ ที่ 7 พระราชมารดาของเจ้าชายรามเทพ บรรลุธรรม สำเร็จตรรกศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ ทรงอิทธิฤทธิ์บังคับคลื่นลมร้ายให้สงบได้ชาวทะเลทั้งหลายกราบไหว้รำลึกถึง เมื่อออกกลางทะเล เรียกกันว่า แม่ย่านาง ชาวศรีวิชัยให้ความเคารพนับถือเทิดทูน ฉายานามว่า เจ้าแม่อยู่หัว

     
เจ้าชายรามเทพได้ศึกษาเล่าเรียนวิชา จตุคามศาสตร์ จากพระราชมารดาจนเจนจบ แล้วทรงเรียนรู้หลักสัจธรรมทางพุทธศาสนาเลื่อมใสศรัทธานิกายมหายานอย่างแรงกล้า มุ่งหน้าสร้างบารมี หวังตรัสรู้เป็นพระโพธิสัตว์ ตั้งปณิธานแน่วแน่ที่จะประกาศธรรมให้มั่นคง ทั่วดินแดนสุวรรณภูมิ ทรงอุตสาหะบากบั่นสร้างราชนาวีตามตรรกศาสตร์มหายาน ที่สามารถแล่นฝ่าคลื่นลมได้รวดเร็วและปลอดภัยบรรทุก กำลังพลและสัมภาระได้ มากมายมหาศาลเยือนถึงน่านน้ำใด หลักศาสนา ศิลปอารยะธรรมประดิษฐานมั่นคง ณ ดินแดนนั้น จนเหล่าราชครูต่างถวาย นามาภิไธยราชฐานันดร ว่า องค์ ราชันจตุคามรามเทพ

     
เมื่อพระศรีมหาราชชาวชวากะได้ประกาศสัจธรรมทั่ว สุวรรณทวีปแล้วจึงได้สร้าง มหาสถูป เจดีย์ขึ้นที่หาดทรายแก้วและในปลายพุทธศตวรรษที่ 8

     
องค์ราชันจตุคามรามเทพทรงมานะพยายามจนบรรลุธรรมจนบรรลุโพธิญาณ จักรวาลพรหมโพธิสัตว์ ประกอบด้วย บุญฤทธิ์ อิทธิฤทธ อภินิหาร สยบฟ้า สยบดินได้ตามปรารถนา วาจาเป็นประกาศิตเหนือมวลชีวิตทั้งหลาย ทรงศักดานุภาพเหมือน ดังพระอาทิตย์และ พระจันทร์ สมญานามตาม ศาสตร์จันทรภาณุ สาปแช่งศัตรูผู้ใดจะถึงกาลวินาศ จนเลื่องลือไปทั่วทวีป ได้รับการถวายนามยกย่องว่า พญาพังพกาฬ

     
การประกาศชัยชนะที่เด็ดขาดเหนือสุวรรณทวีปและหมู่เกาะทะเลใต้นี้เปรียบได้กับมหาราชในชมภูทวีป ดังนั้น พญาโหราบรมครูช่างชาวชวากะ ได้จำลองรูปมหาบุรุษเป็น อนุสรณ์ ตามอุดมคติศิลปศาสตร์ศรีวิชัย เรียกว่า ร่างแปลงธรรม รูปสมมุติแห่ง เทวราชที่มีตัวตนอยู่จริงในโลกมนุษย์ ทรงเครื่องราชขัติยาภรณ์ สี่กร สองเศียร พรั่งพร้อมด้วยเทพศาสตราวุธ เพื่อปกป้องอาณาจักรและพุทธจักร เพื่อเป็นคติธรรมและศิลปะกรรม ประดิษฐานในทุกหนแห่งในอาณาจักรทะเลใต้ ลูกหลานราชวงศ์ไศเลนทร์ในชั้นหลังได้ถ่ายทอดศิลปะศาสตร์แปลงร่างธรรมเป็น นารายณ์บรรทมสินธุ์บ้าง อวตารปราบอสูรบ้าง ตามค่านิยมของท้อง
^
^
พุทธศตวรรษที่8 ยังไม่มีศรีวิชัยครับ

เทวราชที่มีตัวตนอยู่จริงในโลกมนุษย์ ทรงเครื่องราชขัติยาภรณ์ สี่กร สองเศียร พรั่งพร้อมด้วยเทพ.........หมายถึงเทพที่บ้านประตูขวาหรอคับ

ลูกหลานราชวงศ์ไศเลนทร์ในชั้นหลังได้ถ่ายทอดศิลปะศาสตร์แปลงร่างธรรมเป็น นารายณ์บรรทมสินธุ์บ้าง อวตารปราบอสูรบ้าง..........มั่วมาก ๆ

ตอบโดย: เหงามาก 25 ก.ค. 50 - 15:19

 

 

ลานธรรมเสวนา http://larndham.net