รวมเหตุการณ์ที่ทำให้ตั้งมั่นในพุทธภูมิ

                            เกิดสิ่งที่พิสดารพันลึก                         เกินสามัญสำนึกนั้นมากหลาย

                   จริงหรือเท็จ เท็จหรือจริงกลับกลาย        ไม่ได้หมายสร้างขึ้นเพราะเราอยาก

                    สิ่งต่าง ต่างก็เกิดขึ้นมาเอง                         ใจก็เกรง กลัวหลงไปมาก

                    ด้วยเหตุพิสดารนั้นยังลาก                          เกิดมากมายหลากหลายเกินคาดคิด.

             จึงปลงจิตปลงใจแล้วแต่เกิด                แต่ไม่เตลิดเกินไปหลงนิมิต

                    ไม่ปรุงแต่งจนก่อเกิดเห็นผิด         ด้วยดำรงจิตอยู่กับปัจจุบัน  

                    ไม่นำจิตไปผลักไสหรือยึดมั่น                   และไม่รั้นเกิดทุกข์เพราะเท่าทัน

                     มีสติปัญญาเป็นประกัน                              สิ่งที่เกิดนั้นก็เป็นเช่นนั้นเอง. 

            เมื่อสิ่งนี้มี  สิ่งนี้จึงมี             จะชั่วดีก็ตามเหตุที่บรรเลง 

             สิ่งที่เกิดก็เกิดขึ้นมาเอง                              เพียงบรรเลงตามเหตุเท่านั้นเอย.

       เหตุการณ์ที่ 1 เป็นเหตุการณ์ครั้งแรกในชีวิต     เพราะการเวียนทำกรรมฐานอย่างเอาเป็นเอาตายจนมีประสบการณ์มากมายเหตุการณ์ต่างๆ เริ่มคลาย คำอธิฐานตอนเรียนอยู่ปี 3 พร้อมทั้งถือศีล 8 เริ่มให้ผลทั้งที่ลืมไปแล้วเพราะมัวแต่ทำวิปัสสนากรรมฐานเพื่อละกิเลสอย่างเดียว คำอธิฐานเริ่มให้ผลดังนี้ข้าพเจ้าทำวิปัสสนากรรมฐานมานถึง 4-5 ปี เสี่ยงชีวิตเพื่อปฏิบัติหลายครั้งสมาธิต่างๆ วิปัสสนาญาณต่างๆ ก็สัมผัสมามากวนเวียนอยู่อย่างนั้น บวกกับการทรมานทางร่างกาย และศีลของตนเองก็ยังด่างพล้อยอยู่จึงตั้งใจทำวิปัสสนากรรมฐานด้วยความเพียรอย่างติดต่อกัน ถ้ายังละกิเลสไม่ได้ หรือยังมีความทุกข์อยู่ในจิต จะไม่ย่อมผ่อนความเพียรลงมา พอถึงวันที่ 5 หรือ 6 ขณะที่ทำกรรมฐานจนหลับไปลงภวังค์พักใหญ่ ก็เปลี่ยนมาเป็นความฝันว่า "ขณะนั้นข้าพเจ้าเป็นพระอยู่ได้มีโต๊ะและพระรูปอื่นๆ นั่งรอบโต๊ะบนโต๊ะมีแก้วน้ำซึ่งมีน้ำอยู่เกือบเต็มแก้ว แล้วพระต่างๆ ได้พูดทำนองว่า ถ้าผู้ใดได้ดื่มน้ำที่อยู่ในแก้วศีลก็จะบริสุทธิ์ ข้าพเจ้าก็จึงหยิบแก้วน้ำนั้นมาดื่มพอดื่มหมดแก้ว พระต่างๆ ก็หัวเราะกันใหญ่ว่าข้าพเจ้าได้ดื่มเหล้าไปแล้ว ข้าพเจ้ามีความเสียใจอย่างยิ่งจึ่งวิ่งเข้ากุฏิตนเองบิดห้องมืด  กดอารมณ์ตนเองจนนิ่งลึกลงไปๆ จนกลายเป็นสมาธิที่ลึกเพียงจุดเดียวเฉยนิ่งอยู่อย่างนั้น จากจุดสมาธินิ่งลึกๆ จิตเกิดไหวตัวพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับตะโกนออกมาจากสมาธิลึกๆ ว่า "ข้าอยากเป็นพระพุทธเจ้า" อย่างสุดกำลังขึ้นจากก้นบึงของจิต แล้วจิตรวมตัวเป็นจุดแสงสว่างเท่าดาวประกายพรึกที่เคยได้มาจากนั้นจุดแสงสว่างเริ่มแขวงหมุนเป็นเลข 8 คล้ายเครื่องหมาย อินฟินีตี่ ในสัญญาลักษณ์ทางวิทยาศาสตร์ แขว่งแบบห่างๆ แล้วเคลื่อนที่เร็วขึ้น กระชับขึ้นๆ หลายๆ 10 รอบ จนแน่นแล้วจึงระเบิดเสียงดังสนั่นออกมาพร้อมกับรู้สึกตัวทันที่"
       
ข้าพเจ้าไม่เคยเลยที่ตั้งความปรารถนา ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าอย่างตั้งใจตั้งแต่เกิดมาจนถึงปัจจุบันนี้ แต่สิ่งนี้เกิดขึ้นนั้นทำให้ข้าพเจ้าต้องมาทบทวนตัวเองใหม่ แล้วเริ่มคลายวิปัสสนากรรมฐานลงมาเพียงแต่ทรงอารมณ์ไว้ กิเลสในการยึดมั่นในพุทธภูมิมีมากขึ้นทุกวัน ทั้งที่ข้าพเจ้าไม่เชื่อใจตัวเองพยายามปรามห้ามตัวเองบ่อยๆ เป็นเวลาเกือบ 2 เดือน แต่ความปรารถนานั้นมากจนชนะในจิตใจข้าพเจ้าๆ จึงต้องไปอธิฐานว่า "จะสร้างบารมีให้สมบูรณ์มากที่สุดเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า" ต่อหน้าพระธาตุเจดีย์ หลังจากนั้นใช้เวลานานหลายเดือนจึงคลายอารมณ์เป็นปกติ และสิ่งที่ไม่ใช่คน(อาจจะเป็นเทวดาหรืออะไร ไม่ทราบ) มาสัมผัสกับ บุคคลรอบข้าง และยืนยันว่าข้าพเจ้าปรารถนาอย่างนั้นมาจริงความทุกข์ในวิปัสสนาญาณก็น้อยลงเรียกได้ว่าสบายขึ้น เพราะข้าพเจ้าผ่อนการปฏิบัติลง หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้ขอร้องให้อาจารย์ ดูชาติของข้าพเจ้าในอดีตว่าเคยได้รับพยากรณ์จากพระพุทธ์เจ้าองค์ก่อนแล้วหรือยังอาจารย์ได้ปฏิเสธและให้ไปดูเอง
    - 1.
เริ่มทดสอบตัวเองโดยเข้าสมาธิภาวนาถามตนเองว่า "ไดรับการพยากรณ์จากพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ แล้วหรือยัง" จนบังเกิดเป็นนิมิต รูปมือกาง 5 นิ้วแล้วกำมือตรงหน้า" ซึ่งในขณะนั้นข้าพเจ้าไม่สามารถตีความหมายได้ แต่รู้ว่าเสมือนกรรมกำหนดไว้แล้ว
    -  2.
ทำการทดสอบตนเองอีกครั้งโดยการเข้าสมาธิภาวนาถามตนเองว่า "ได้รับพยากรณ์แล้วหรือไม่?" จนบังเกิดเป็นนิมิต ในที่มืดแล้วมีประตูเปิดออกเป็นทางสว่าง ซึ่งในขณะนั้นข้าพเจ้าไม่สามารถตีความหมายได้ แต่รู้ว่าเสมือนทางเปิดให้แล้ว
    -  3.
ด้วยความที่เรียนจบมาทางวิทยาศาสตร์ นิสัยของการพิสูจน์เพื่อให้ถึงที่สุดจึงมีอยู่มากวันต่อมาได้ทดลองกับเพื่อนคนหนึ่งที่ไม่ค่อยเชื่อ และไม่ทราบเรื่องนี้อย่างแท้จริงแต่ร่วมทำกรรมฐานกันมา ทดลองให้สื่อกับเทพเทวดาที่มายืนยัน ทั้งที่เพื่อนคนนี้ไม่เคยรู้และไม่เคยทำมาก่อนโดยให้เขานอนราบลงไม่ต้องพูดอะไร ทำใจให้สงบนิ่งอย่างเดียว  แล้วข้าพเจ้ากับเพื่อนอีกคนที่เคยลองทำมาแล้วโดยบังเอิญ(ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าเอาความคิดนี้มาจากไหนแต่เมื่อลองทำดูเกิดปฏิกิริยา ผิดจากธรรมดาทั่วไป) ทำการไหว้พระและพูดธรรมดาอันเชิญเทพเทวดาให้ท่านได้มายืนยัน โดยกำหนดกติกาขึ้นมาเองว่าเมื่อข้าพเจ้ากับเพื่อนอีกคนถาม ถ้าเป็นความจริงให้ผงกศรีษะ  ถ้าไม่จริงให้ส่ายศรีษะ เมื่อสิ้นสุดการทดลองและได้สนทนากับเพื่อนคนใหม่ที่สื่อสัมผัส เขาบอกว่ามันผงกศรีษะและส่ายหน้าเองในแต่ละคำถาม โดยที่เขาไม่ได้สั่งและไม่ได้คิด เพียงแต่มีสติทำใจให้เป็นกลางนิ่งอย่างเดียว  แต่เมื่อถึงตอนที่ถามว่าข้าพเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ใช่ไหม? เขาก็ลองพยายามแกรงและผืนคอตัวเองไม่ให้ผงกศรีษะ(ตามประสาเพื่อนที่ไม่คอยเชื่อและลองกันเล่น) แต่เหมือนโดนบังคับให้ผงกจนได้  พอถึงคำถามที่ว่า  ข้าพเจ้าได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้ามาแล้วใช่ไหมเพื่อนบอกว่าครั้งนี้พยายามเกร็งเต็มที่ไม่ให้ส่ายหรือผงกศรีษะเป็นอันขาด ผืนจนคอนี้เมื่อยไปหมด แต่ในที่สุดต้องผงกศรีษะจนได้ต้านไว้ไม่อยู่  ส่วนในคำถามอื่นๆ เขาปล่อยให้เป็นไปเอง เพราะเป็นคำถามธรรมดา ทำให้เพื่อนคนนี้แปลกใจไม่ใช่เล่น (หลังจากนี้ไป เป็นเวลา 1 ปี สามารถฝึกการสื่อสัมผัสโดยการพูดคุยกันได้ตามปกติ ไม่ต้องให้นอนแล้วส่ายหรือผงกศรีษะอีกต่อไป)
       
ข้าพเจ้าขอร้องอาจารย์อยู่เป็นเวลาเกือบ 6 เดือน และเพื่อนของข้าพเจ้า (ที่ศรัทธาอาจารย์จริงตั้งแต่เริ่มเข้าทำกรรมฐาน) ได้พูดสนับสนุนให้อาจารย์ฟังว่า "ดูให้เขาเถอะ ได้หรือไม่ได้คอยว่ากันอีกทีไม่ได้เสียหายอะไร" อาจารย์ก็ตอบตกลงและพูดว่า"ที่อาจารย์ดูให้ เธออย่าปักใจเชื่อ เพราะการพยากรณ์ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าพยากรณ์แล้วจะเป็นจริง 100%  ที่อาจารย์ดูให้จะได้หรือไม่ได้เธออย่าเสียใจถึงตอนนี้ข้าพเจ้าเพิ่งนึกออกว่าตัวเองเคยอธิฐานเมื่อ 5-6 ปี ทั้งที่ลืมไปแล้ว ตอนเรียนมาหาวิทยาลัยปีที 2 และ 3 จึงได้บอกกับอาจารย์ว่าข้าพเจ้าได้เคยอธิฐานว่า "ไม่ทราบว่าสร้างบารมีอะไรมา ถ้าสร้างมาเกิน 2 ใน 3 ก็จะสร้างต่อ ถ้าน้อยกว่าก็ขอยกเลิกและขอให้ได้เจอกับพระอนาคามีหรือพระอรหันต์ ที่มีอภิญญาช่วยบอกให้ทราบด้วย" เป็นเวลาประมาณ 1 ปี และถือศีล 8 อยู่ทั้งปี ก่อนที่จะเข้าทำวิปัสสนากรรมฐานที่คณะ 5 วัดมหาธาตุ  อาจารย์พูดว่า "ต้องมีอภิญญาหรือ?" ข้าพเจ้าพูดเสริมว่า "สามารถระลึกชาติของผู้อื่นได้ก็พอ" อาจารย์จึงบอกให้ข้าพเจ้านั่งสมาธิ ส่วนข้าพเจ้าคิดว่าอาจารย์ดูไม่น่าเกี่ยวกับข้าพเจ้าจึงนั่งหลับตาคิดถึงการเตรียมตัวติวให้นักศึกษาไปเรื่อยๆ  สักประเดี๋ยวเดี่ยวข้าพเจ้าได้ยินอาจารย์พูดว่า "เซียม ! เธอทำใจให้สงบหน่อย อาจารย์ดูไม่เห็น" ข้าพเจ้าลืมตาขึ้นและแปลกใจว่าอาจารย์รู้ว่าข้าพเจ้าใจไม่สงบจริงแล้วอาจารย์ได้อธิบายให้ฟังว่า "ถ้าเธอทำใจไม่สงบอาจารย์ดูเธอไม่เห็นมันมัวๆ เพราะอาจารย์ต้องดูผ่านเธอ และก็อย่าภาวนาอะไรเพราะถ้าภาวนาอาจารย์ก็จะเห็นแสงสว่างอย่างเดียว"
      
หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ตั้งใจนั่งอย่างดี(แต่สักพักหนึ่งบังเกิดคล้ายนิมิตขึ้นมาเองไม่ชัดเจนนักเหมือนมีผู้ที่เป็นอมตะผู้หนึ่ง ลอยอยู่กลางอากาศไกลออกไปได้ชี้เป็นลำแสงตรงมาที่หน้าผากของข้าพเจ้าทำนองว่าข้าพเจ้าจะเป็นอมตะเหมือนกับเขา คล้ายนิยายการ์ตูนที่ได้อ่านผ่านสายตามาจึงไม่กล้าที่จะบอกกับใครในเวลานั้นแม้แต่อาจารย์หรือเพื่อน) อาจารย์ก็นั่งสมาธิดูเป็นเวลาพักใหญ่ประมาณ 10 นาทีกว่าหรือมากกว่านั้น แล้วอาจารย์ออกจากสมาธิพูดว่า "อือ! น่าปีติๆ" ข้าพเจ้าลืมตาขึ้นดูอาจารย์ ขณะนั้นอาจารย์กำลังลูบและชี้ที่แขนของอาจารย์ แล้วพูดต่อไปว่า "ดูสิ ขนของอาจารย์ลุก คนสมัยก่อนตัวโตมากจริงๆ เธอนะได้รับพยากรณ์แน่นอนแล้ว" ข้าพเจ้าจึงถามอาจารย์ว่า "อาจารย์ไปเห็นอะไร? พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันหรือเปล่า?" อาจารย์อธิบายว่า "อาจารย์ได้ดูให้เธอย้อนจนถึงพระพุทธเจ้าองค์ก่อน   ซึ่งคนสมัยก่อนตัวใหญ่โตมากเห็นเธอกับแฟนของเธอเป็นฆารวาส กำลังทำบุญกับพระพุทธเจ้าแล้วพระพุทธเจ้าทรงเทศนาให้ฟัง หลังจากนั้นก็จะเดินกลับ ได้ชี้ไปที่เธอ และกล่าวในทำนองที่ว่าเธอจะได้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอนในอนาคต แล้วเดินจากไป" ข้าพเจ้าถามอาจารย์ว่า "อาจารย์เห็นชัดเจนไหม?" อาจารย์ตอบว่า "เห็นเหมือนกับตาเห็น ชัดเจนเหมือนดูทีวีสี"
       
การที่อาจารย์ดูให้อย่างนี้ ทำให้ข้าพเจ้ามีปีติมาก และมีความยึดมั่นเพิ่มขึ้นไปอีกแต่ก็มีความสงสัยลังเลตามวิสัยของนักวิทยาศาสตร์ที่เรียนมาทางวิทยาศาสตร์ หลายวันผ่านมาทำให้ข้าพเจ้าสงสัยว่าอีกเมื่อใหร่ตนจึงจะถึงจุดที่มุ่งหวัง  ด้วยความยากทราบมากขึ้นเรื่อยๆ จึงได้ขอร้องอาจารย์ว่าให้ช่วยดูให้ด้วย ส่วนอาจารย์ก็บอกว่าขอให้อาจารย์พร้อมกว่านี้หน่อย  เวลาผ่านไปเกือบเดือน และมีอยู่ครั้งหนึ่งอาจารย์ได้เดินทางไปทางเชียงใหม่เพียงท่านเดียว ทิ้งการสอนกรรมฐานไว้ข้างหลัง โดยไม่บอกชวนผู้ใดเป็นเวลา 7 วัน แม้ข้าพเจ้าเองได้ทราบตอนที่อาจารย์กลับมาแล้ว เพื่อนข้าพเจ้าที่ทำกรรมฐานอยู่บอกข้าพเจ้าว่าอาจารย์กลับมาหน้าตาท่านบวม เพราะอยู่ในอากาศหนาวหลายวัน หลังจากนั้นอาจารย์บอกข้าพเจ้าว่าท่านไปฝึกสมาธิในถ้ำทางเชียงใหม่มา  และอาจารย์ได้กล่าวกับข้าพเจ้าว่า "เดียวนี้สมาธิอาจารย์ใสจริงๆข้าพเจ้าจึงเข้าใจทันทีว่าที่อาจารย์ไปเชียงใหม่เพราะสาเหตุมาจากข้าพเจ้า
       
ถ้ามองถึงฐานะของข้าพเจ้าในช่วงนั้นจนเอามากๆ และไม่เคยให้ทรัพย์สินเงินทองแก่อาจารย์ คืออาจารย์ไม่เคยได้อะไรจากข้าพเจ้าเลย  นอกจากข้าพเจ้าปฏิบัติกรรมฐานกับท่านมาเป็นเวลาหลายปีบวกกับความศรัทธาในช่วงหลังและความจริงใจของข้าพเจ้า หลังจากนั้นอาจารย์ก็บอกกับข้าพเจ้าว่าอาจารย์พร้อมที่จะดูให้ ครั้งนี้ข้าพเจ้าถามว่า "จะให้ผมนั่งสมาธิไหม?" อาจารย์ตอบว่า "ไม่ต้อง" หลังจากนั้นอาจารย์เข้าสมาธิดูเป็นเวลานานพอใช้ แล้วก็ออกจากสมาธิ กล่าวกับข้าพเจ้าว่า "เซียม! เธออีกนานมากนะ" ข้าพเจ้าจึงถามว่า "แล้วอาจารย์ได้เห็นตอนที่ผมได้บรรลุไหม?" อาจารย์ตอบ "อาจารย์ดูไปไม่ถึงแต่เธอแน่นอนแล้วไม่ต้องสงสัย" ข้าพเจ้าจึงพูดทำนองว่ามีบุคคลร่วมยุคกับข้าพเจ้าที่จะ บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าอาจารย์กล่าวว่า ".6 ท่านแน่นอนแล้ว" ข้าพเจ้าจึงถามว่า "ท่านได้รับพยากรณ์แล้วหรือ?" อาจารย์ตอบว่า "ได้รับพยากรณ์แล้ว" ข้าพเจ้าจึงถามต่อไปว่า "ท่านบรรลุก่อนผมใช่ไหมครับ?" อาจารย์ตอบ "ใช่ แต่เธออีกนานมากนะ" หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็มีความสงสัยว่าไม่เคยมีข่าวว่า ร.6 ท่านปารถนาพุทธภูมิ ทำให้ข้าพเจ้าต้องทำการค้นคว้าเรื่องของ ร.6 ว่ามีสักครั้งไหมที่ร.6 ท่านเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ที่แสดงว่าท่านปารถนาพุทธภูมิ ตามหอสมุดต่างๆ จนได้ทราบว่า ร.6 ท่านเคยได้ทำศิลาจารึกทำนอง ที่ว่าท่านได้ปรารถนาพุทธภูมิ ประเภทศรัทธาพุทธเจ้าไว้ที่วัดแห่งหนึ่ง อ่านเจอจากหนังสือเรื่องบารมี ถ้าข้าพเจ้าจำไม่ผิด
       
หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ยังทำกรรมฐานต่อเรื่อยๆ ยามบังเกิดสมาธิ ข้าพเจ้าก็ถามอาจารย์และโมเมว่าอาจจะเป็นมรรคผลนิพพานจนอาจารย์ตอบให้ฟังว่า"ถ้าอารมณ์ที่ส่งมาให้อาจารย์ฟังเป็นอารมณ์ผลนิพพานของจริงอาจารย์ต้องตอบว่าจริงแต่เมื่อไม่จริงจะให้อาจารย์บอกว่าจริงได้อย่างไร อีกอย่างถ้าเธอบรรลุถึงนิพพานเธอต้องเป็นพระพุทธเจ้า แต่ในสมัยหนึ่งจะมีพระพุทธเจ้า 2 องค์พร้อมกันไม่ได้ เธออย่าสงสัยอะไรอีกเลย" อาจารย์พูดย่ำเรื่องการอย่าสงสัยของข้าพเจ้าหลายครั้งเหมือนจะรู้ว่าข้าพเจ้าต้องสงสัยแน่ในอนาคต
          ต่อมาภายหลังเมื่อเอานิมิตนั้นมาเขียนโปรแกรมบนคอมพิวเตอร์ กำหนดเป็นจุดวิ่งเป็นวงกลมสีเหลือง แทนที่จุดสมาธิ ที่เป็นจุดใสสีเหลืองในนิมิตวิ่งเป็นเลข 8 เหมือนเครื่องหมายอินฟินิตี้ โดยวงกลม 1 รอบแทนเลข 8 หรืออินฟินิติ้ 1 รอบ โดยใช้นิ้วสัมผัสหรือกดปุมคีย์บอร์ดเป็นตัวกำหนดความถี่ของวงกลมแต่ละรอบ เพราะในนิมิตนั้นจุดสมาธิที่สว่างจะเริ่มวิ่งเป็นเลข 8 ขนาดใหญ่ก่อนเมื่อครบรอบก็จะวิ่งเร็วขึ้นเครื่องหมายเลย 8 หรืออินฟินิตี้ก็กระชับเล็กลงมาตามรอบที่จุดสมาธิวิ่ง ดังนั้นจุดสมาธิก็จะวิ่งเร่งขึ้นตามความถี่ที่มากขึ้นตามรอบเลข 8 ที่เล็กลงจนถึงที่สุดก็ระเบิดออกมารับรู้ภาวะปกติ ดังนั้นในโปรแกรมก็กำหนดให้วงกลมที่เป็นแสงสีเหลืองเล็กลงตามความถีที่กดปุมคีย์บอร์ด และมีโปรแกรมนับจำนวนรอบแสดงเป็นตัวเลขให้ทราบเมื่อสิ้นสุดขบวนการ เมื่อใช้สัญญาเก่านึกถึงความถี่ในนิมิตที่ผ่านมากดปุมคีย์บอร์ด เทียบกับวงกลมที่ปรากฏบนจอคอมพิวเตอร์ ผลปรากฏออกมา อยู่ที่ 38 รอบ 39 รอบ 40 รอบ 41 รอบ 42 รอบ ซึ่งจะอยู่ในช่วงนี้เป็นส่วนมาก เมื่อทำการเฉลียออกมาก็ตกอยู่ที่ 40 รอบ ก็คือ 40 อินฟินิติ้ หรือ 40 อสงไขย

                 เหตุการณ์ที่ 2 นิมิตรู้ว่ายังมีพระนิยตโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ตรัสรู้ก่อนจึงจะถึงสมัยของตนเอง
       เมื่อทำการพิสูจน์ล้างความปรารถนาที่ปรากฏในความรู้สึกและจิตสำนึก ว่าตนเองปรารถนาหรือยากเป็นพุทธเจ้าจนหมดสิ้นแล้ว จนครบ 10 ปีแล้ว คือจาก พ.2530 ถึง พ.2540 ซึ่งในช่วงปี พ.ศ. 2537 ได้บังเกิดสมาธิ สติปัญญาที่ละเอียดขึ้น ที่เกิดจากการที่ได้เพียรกำหนดกรรมฐานติดต่อกันเป็นเวลา 1 ปี ไม่มีว่างเว้น ถ้าจะกล่าวก็คือปัญญาปรมัตบารมีทางธรรมนั้นสมบูรณ์ ตามฐานะแล้ว และความคิดหรือจิตไประลึกว่า เราเป็นนิยตโพธิสัตว์ เราจะเป็นพุทธเจ้า ไม่มีผลให้เกิดความหวั่นไหว ไม่มีผลที่เกิดปีติให้หวั่นไหว ดังนั้นความรู้สึกในจิตสามัญสำนึกว่าเราเป็นนิยตโพธิสัตว์ เราจะเป็นพุทธเจ้า ก็เสมือนหมดไปไม่ปรากฏ
        และได้เอ่ยปากบอกกับเหล่าโอปาติกะที่มาสื่อสัมผัส ว่าไม่มีความปรารถนาเหลืออยู่ในความนึกคิดแล้ว เสมือนไม่ปรารถนาแล้ว เหล่าโอปาติกะที่มาสื่อสัมผัส ทั้งหมดไม่มีผู้ใดเชื่อ  มีบางท่านท้าให้ไปอธิษฐานยกเลิกการปรารถนาต่อพระพุทธรูปหรือเจดีย์ศักสิทธิ์ แต่ใจเห็นว่าไม่น่าจะมีสาระแกนสารจึงไม่ได้ไป และไม่สนใจ จึงไม่มีความนึกคิดที่จะไปอธิษฐานยกเลิก เพราะใจที่เห็นอยู่มันไม่มีแล้ว จะไปอธิษฐานทำไม่อีก
          แต่ความจริงนั้นหาได้หยุดอยู่เพียงแค่นี้ เมื่อสิ่งนั้นยังเป็นจริงอยู่กรรมก็จะต้องกำหนดให้ความจริงนั้นดำเนินต่อไป เมื่อพ่อข้าพเจ้าเสีย(ตาย)ไปประมาณ 1 เดือน ก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาส สนทนากับพระอาจารย์กรรมฐานรูปหนึ่ง และได้เล่าเรื่องประสบการณ์ที่ผ่านมาให้ท่านวินิสัย ท่านก็วินิสัยว่า เรื่องที่ผ่านมาทั้งหมดนั้นเห็นจริงแต่อาจไม่เป็นจริง และท่านให้เหตุผลว่าเพราะคนที่มีสมาธิ จะปรากฏภาพต่างๆ ได้มากมาย ข้าพเจ้าก็ยอมรับในการวินิสัยของท่าน เพราะในขณะนั้นข้าพเจ้าไม่มีความปรารถนาปรากฏขึ้นในใจ แต่มีข้อขัดแย้งในจิตใจลึกๆ ว่า อาจารย์กรรมฐานผู้นั้น รู้เห็นจริงจากปัญญาญาณของท่าน หรือวิเคราะห์ประเมินเอาจากประสบการณ์การได้ยินได้ฟังเท่านั้นหาได้เกิดจากญาณปัญญาไม่ เมื่อกลับบ้านข้าพเจ้าก็กำหนดกรรมฐานตามปกติ แต่เนื่องจากความขัดแย้งในเรื่องญาณของพระกรรมฐานผู้นั้นในจิตลึกๆ นี้และทำให้จิตใจข้าพเจ้าหวั่นไหวเมื่อเข้าสมาธิ จิตก็จะเอาข้อกังขานี้มาดูวิเคราะห์ในสมาธิลึกๆ อีกที เมื่อจิตเศร้าหมองตัดสิ้นใจอะไรไม่ได้ จิตก็หาทางออกเองโดยพิจารณาไปว่า
         -
ไม่ว่าสิ่งใดที่ว่าแกร่งดังหินผา แข็งแกร่งดังเหล็กเพชร หรือเข็มแข็งยิ่งกว่าสิ่งใด ย่อมมีการสลายหรือเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อโดนพายุของกาลเวลาพัดผ่านได้อยู่ เป็นธรรมดาของทุกสิ่งที่ยังตกอยู่ในวัฏฏะสงสาร แต่ทุกอย่างก็เป็นไปตามลำดับของเหตุปัจจัยของสมมุติสัจจะ จะไปปฏิเสธหรือย่อมรับตามอำนาจใจอันมีโมหะ ที่ยังไม่รู้จริงย่อมยังไม่ได้
            -อาจจะเป็นไปได้การภาวนา ไตรลักษณ์ อันได้แก่ อนัตตา โดยมีตัวเองเป็นที่ตั้ง หรือภาวนา อนิจจัง โดยมีตัวเองเป็นที่ตั้ง ก็อาจทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน โดยไม่ย่อมรับ ในสิ่งที่เกินวิสัยที่ตัวเองกระทำได้ หรือไม่รู้จริงหรือผิดแปลกไปจากสิ่งที่ตนเองเห็นและเข้าใจ แล้วสรุปรวมว่าไม่แน่นอนตามกฎไตรลักษณ์ หรือปฏิเสธในสิ่งนั้น เพราะเกินวิสัยที่จะทราบได้ นี้ละหนอจิตใจที่ยังมีโมหะของข้าพเจ้า น่าเวทนาอย่างยิ่ง
       
ทำให้ข้าพเจ้าเหมือนยืนอยู่บนทาง 3 แพร่ง จะไปยึดปรารถนาพุทธภูมิก็ไม่ใช่ จะไปเชื่อพระกรรมฐานที่วินิจัยตอนนี้ก็ไม่ใช่แล้ว และจะเชื่อจิตใจที่นึกคิดว่าตนเองไม่ปรารถนาพุทธภูมิก็ไม่ใช่ หลังจากนั้นข้าพเจ้าสลัดความรู้สึกนี้ออกไป เพราะมีภารกิจในการทำงานตามหน้าที่
            ต่อมาอีก 10 กว่าวัน ก็บังเกิดมีเหตุการณ์ ที่ผิดจากความคาดหมายของข้าพเจ้าอย่างสิ้นเชิง เมื่อ วันที่ 4 ตุลาคม พ.2541 ทำให้ข้าพเจ้าต้องมาพิจารณาเหตุการณ์นั้นอยู่อีก 2 วัน จึงได้ข้อสรุป เหตุการณ์วันที่ 4 ตุลาคม พ.2541 มีดังนี้           เพื่อให้บิดาที่ตายไปแล้วซึ่งได้มาสื่อสัมผัสกับภรรยาและได้ทราบว่ากำลังจะไปเกิดเป็นอสุรกายในเวลานั้น เพราะบิดานั้นทำบุญเพียงน้อยนิด แต่ทำกรรมเล็กๆ น้อยๆ มาตลอด ถึงแม้อุทิศส่วนบุญที่ทำมาแล้วให้ก็ยังไม่ดีขึ้น และใจข้าพเจ้าวางเฉยและถอยความเชื่อในการสื่อสัมผัสไปเกือบ 5 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538  แต่อยู่ๆ ได้มีเทวดาอารักษ์ได้แทรกมาสื่อสัมผัสมาบอกว่า
         "
ให้ท่านลองใช้สัจจะบารมีที่ได้ปรารถนาพุทธภูมิเผื่อจะช่วยได้"
    ข้าพเจ้าก็พูดตอบไปว่า "เดียวนี้ข้าพเจ้าปรารถนาแต่นิพพาน ไม่สนใจพุทธภูมิ"
     เทวดาอารักษ์ก็กล่าวว่า "เวลาพ่อของท่านมีน้อยแล้วจะไปจุติเป็นอสุรกายอยู่แล้ว ถ้าไม่รีบช่วยตอนนี้ก็จะไม่ทันการ"
    
โดยที่ใจข้าพเจ้าขณะนั้นปรารถนาแต่นิพพานเพียงอย่างเดียว โดยไม่สนใจในพุทธภูมิ เมื่อเกิดสถานการณ์ดังกล่าวข้างบน ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า "เอาก็ลองดูไม่ได้เสียหายอะไร และใจของข้าพเจ้าขณะนี้ ไม่ได้ติดใจในเรื่องพุทธภูมิ เพียงแต่พูดธรรมดาเผื่อมีประโยชน์ต่อพ่อที่ตายไปแล้วบ้าง"
        จึงพนมมือแบบไม่เชื่อมั่นและกล่าวอย่างธรรมดาๆ แบบไม่เชื่อมั่นว่า "ด้วยสัจจะบารมี ถ้าข้าพเจ้าปารถนาในพุทธภูมิ" (แต่ในใจลึกๆ สะกิดคิดขึ้นมาว่า ถ้าให้พ่อพ้นทุกข์แม้เราจะทุกข์เพราะปรารถนาพุทธภูมิก็ต้องยอม) กล่าวถึงนี้และใจลึกๆ สะกิดไม่ทันจบประโยค จิตเสมือนกดตัวเองหรือโดนกดให้นิ่งรวมตัวกันเป็นจุดแน่นนิ่งอยู่กลางลำตัวอย่างนั้น ไม่สามารถกล่าวอะไรต่อไปได้แม้พยายามจะพูด บังเกิดปีติมากมายจนสั่นสะท้านไปตั้งตัวตั้งใจจนน้ำตาไหลซึม และบิดาที่มาสื่อสัมผัสกับภรรยา บังเกิดปีติอย่างมากมายทำให้ภรรยาที่สื่อสัมผัสอยู่สั่นสะท้านเป็นเวลาพักใหญ่
        มันเป็นไปเองอยู่เหนือความคาดหมายของข้าพเจ้าโดยสิ้นเชิงตั้งตัวไม่ทัน แล้วความปรารถนาพุทธภูมิที่เป็นอนุสัยลึกๆ ใต้จิตสำนึกค่อยๆ แผ่ขึ้นมาเต็มทั้งจิตใจ แล้วค่อยกล่าววาจาอุทิศส่วนบุญให้กับบิดา ที่ตายไปแล้วได้ แต่ปีติยังคงอยู่
         ซึ่งเป็นสิ่งพิสูจน์ว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา 5 ปี ความปรารถนาพุทธภูมินั้นเป็นอนุสัยสงบนิ่งอยู่ภายในไม่แสดงให้ปรากฏ แม้แต่ความนึกคิดที่วางความปรารถนาทิ้งไปแล้ว หรือกำลังของสมาธิ หรือกำลังของวิปัสสนา ที่กำจัดความปรารถนานี้ออกจากความรู้สึกนึกคิดไปแล้ว ก็ไม่สามารถถอนรากถอนโคนความปรารถนานี้ไปได้เลย จะปรากฏเหตุการณ์ออกมานอกเหนือความคาดหมาย
            สรุปเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็มีแต่ปัญญาเห็นว่าเป็นเช่นนั้นเอง ปีติหยาบต่างๆ ความหวั่นไหวต่างๆ ว่าเราเป็นหรือไม่เป็นโพธิสัตว์ หรือเราจะเป็นหรือจะไม่เป็นพุทธเจ้าก็โดนกวาดออกไปจากจิตสำนึก ใจก็สงบสบายดำรงตนอยู่อย่างปกติสุข เพราะเป็นเช่นนั้นเอง อิทัปปัจยตา เมื่อเหตุนี้มี สิ่งนั้นจึงมี เมื่อเหตุนี้ดับ(ไม่มี) สิ่งนั้นจึงไม่มี(ดับ)
       
เมื่อเวลาผ่านไปเกือบปี ก็นึกถึงเรื่องที่พระอาจารย์ดูอนาคตไปไม่ถึงในสมัยที่ข้าพเจ้าบรรลุ ดังนั้นข้าพเจ้าน่าจะเข้าสมาธิดูว่าพระโพธิสัตว์ผู้ที่ จะบรรลุก่อนข้าพเจ้ามีกี่ท่าน

        ครั้งที่ 1 จึงอธิษฐานแล้วเข้าสมาธิ จนทิ้งความรู้สึกทางกายและความนึกคิดจนหมด เหลือแต่ใจที่รู้สึกอยู่ บังเกิดภาพนิมิตขึ้นมาเป็นผู้ชายกายสีเหลืองอ่อนท่านแรกกายใหญ่ ท่านที่สองกายเล็กครึ่งหนึ่งของท่านแรก และเสมือนท่านทั้งสองเคลื่อนหรือวิ่งเรียงตามลำดับเข้ามาหาจิตที่รู้ โดยท่านที่มีกายใหญ่ผ่านแวบหายไปก่อนแล้วท่านที่มีกายเล็กกว่าวิ่งเข้ามาแล้วแวบหายไป หลังจากนั้นจิตก็ถอนสู่ภาวะปกติ

      ครั้งที่ 2 วันต่อมา และครั้งที่ 3 วันต่อมา เพราะปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าไม่คอยปักใจเชื่ออะไรง่ายๆ จะต้อพิสูจน์ซ้ำหลายครั้ง แม้แต่การได้สมาธิในครั้งแรก เมื่อถอนออกมาเป็นปกติต้องทรงอารมณ์นั้นเข้าไปทางเดิมอีกครั้งหรือสองครั้งในช่วงเวลานั้น จึงจะปล่อยผ่านไป เช่นเดียวกันในการอธิษฐานดูครั้งที่ 2 นั้นจิตเกิดอ่อนกำลังหรือเบลอไปเสียก่อนไม่บังเกิดนิมิตแล้วถอนออกมา วันที่ 3 ครั้งที่ 3 จิตพอจะบังเกิดนิมิตแต่เพราะเกิดไปจดจองภาพที่จะเกิดนิมิตมาก จึงไม่เป็นนิมิตที่บังเกิดขึ้นเองตามญาณที่ควรจะเป็น แล้วถอนออกจากสมาธิ เป็นอันว่าล้มเหลวทั้ง 2 ครั้ง การดูนิมิตนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย พระอาจารย์จึงสอนย้ำเรื่อง การฉลาดในนิมิตและฉลาดในญาณที่ปรากฏนิมิต

       ครั้งที่ 4 วันต่อมา ก็อธิษฐานเข้าสมาธิอีก เมื่อทิ้งความรู้สึกทางกายทิ้งความรู้สึกนึกคิดเหลือแต่จิตที่รู้ ก็บังเกิดเป็นนิมิตพระพุทธรูปเล็กคล้ายพระเครื่องสีฟ้าใส่มีรัศมีกระจายออกมาทรงอยู่พักใหญ่ แล้วพลิกหายไปเป็นนิมิตธรรมดาเป็นผู้ชายกายสีเหลืองอ่อนยืนกอดอกอยู่ นิมิตนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่มีการเคลื่อนไหว หลังจากนั้นก็ถอนออกจากสมาธิ หมายเหตุ การปรากฏของนิมิตมีอยู่สองช่วง ขอเรียกว่าช่วงนิมิตตื้น กับช่วงนิมิตลึก ช่วงนิมิตตื้นได้แก่พอเข้าสมาธิยังไม่ทันทิ้งความรู้สึกทางกายทั้งหมดนิมิตก็ปรากฏให้ทราบแล้ว นิมิตลึกได้แก่เข้าสมาธิทิ้งความรู้สึกทางกายและความรู้สึกนึกคิดเหลือแต่ใจรู้อย่างเดียวนิมิตก็ปรากฏขึ้น

      นิมิตรู้ว่านับจากกัปนี้ไปเป็นเวลายาวนานมากเกินกำลังของผู้มีอภิญญาจะไปรู้เห็นสมัยตรัสรู้ได้คือประมาณแปดแสนกัป
      
นิมิตนี้เป็นผลพ่วงจากการเข้าสมาธิเพื่อดูว่ายังมีพระโพธิสัตว์กี่พระองค์ที่ตรัสรู้ก่อนข้าพเจ้า เมื่อกำหนดสมาธิมาหลายวันและกำหนดดูอยู่ สี่-ห้า วันซึ่งพอจะได้คำตอบแล้ว จึงเข้าสมาธิโดยไม่ได้อธิฐานอะไรแต่ใจนั้นเจตนาประสงค์จะรู้ความเป็นไปในอนาคต แบบไม่ได้มุ่งหวัง เมื่อเข้าสมาธิปับทิ้งความรู้สึกทางกายและความนึกคิดแล้วเหลือแต่รู้อย่างเดียว ตัวรู้เริ่มวิ่งไปข้างหน้าพร้อมกับเห็นนิมิตเหมือนรถสองคันวิ่งแยกออกไปทางขาวติดๆ กันในแยกเดียวกันนั้น แต่จิตที่รู้นั้นหาได้วิ่งตามไปในแยกนั้นไม่ กลับวิ่งตรงต่อไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ววิ่งอยู่อย่างนั้นเป็นเวลายาวนานจนหมดกำลังถอนออกมารับรู้กาย ได้ยินเสียงภายนอกแวบหนึ่งแต่ใจนั้นประสงค์เข้าสมาธิต่อโดยไม่ได้คิดอะไร ก็ลงสู่จุดเดิมคือทิ้งความรู้สึกทางกายและความคิดเหลือแต่จิตรู้อย่างเดียว ที่วิ่งต่อไปเบื้องหน้า วิ่งไปได้อีกพักใหญ่ ก็ปรากฏนิมิตคล้ายรถคันหนึ่งเบื้องหน้าวิ่งแยกออกไปทางแยกขวาเพียงคันเดียว แต่จิตที่รู้นั้นหาได้วิ่งไปตามแยกนั้นกลับวิ่งตรงไปเบื้องหน้าได้สักพักหนึ่งแล้วจิตเหมือนโดนบล็อกให้เลี้ยวเข้าทางแยกซ้ายทันที ไม่สามารถพุ่งตรงต่อไปได้ เมื่อเลี้ยวเข้าแยกแล้วจิตก็จะโดนบล็อกนิ่งอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ ก็ถอนออกมารับรู้ทั้งตัว

           วิเคราะห์นิมิต นับว่านิมิตนี้เป็นนิมิตที่แปลกมาก แต่ตามที่สังเกตมานิมิตที่ปรากฏในสมาธิจริงๆ นั้น อยู่นอกเหนือความคาดหมายหรืออุปาทานอย่างสิ้นเชิง คืออยู่เหนือความคาดคิดและความรู้สึกว่าจะออกมารูปแบบอย่างไร แล้วความรู้หรือญาณจะติดตามมาภายหลังจากนิมิตนั้นในทันที หรือภายหลังหรือเมื่อเหตุการณ์จริงปรากฏดังที่นิมิตนั้น ได้บอกก็ทำให้ผู้ได้รับนิมิตนี้ทราบทันที่ว่า นิมิตได้ปรากฏให้ทราบก่อนหน้านั้นแล้ว มาเข้าเรื่องนิมิตที่ปรากฏด้านบนก่อน ข้าพเจ้าวินิฉัยได้ดังนี้ เป็นนิมิตที่บอกให้ทราบ ณ. ปัจจุบันแล้ววิ่งไปในอนาคตอันยาวไกลมากๆ ใน ณ ปัจจุบันนี้พระศรีศากยะมุนีนั้นยังปรากฏอยู่ เสมือนรถคันแรกที่วิ่งไปทางแยกขวา และต่อไปในอนาคตใกล้กันจากนี้ไป ก็จะบังเกิดยุคของพระศรีอริยะเมตรัย เหมือนรถคนที่สองที่วิ่งตามไปในแยกเดียวกันหรือกัปเดียวกัน ซึ่งก็คือกัปปัจจุบันนี้ หลังจากนั้นต่อไปในอนาคตอีกนานแสนนานจนสุดกำลังของสมาธิข้าพเจ้าก็หาได้ปรากฏมีพระพุทธเจ้า จนสมาธิถอนออกมาแล้วจึงเข้าสมาธิไปใหม่ แล้ววิ่งต่อไปในอนาคตอีกนานก็บังเกิดพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นกัปที่ปรากฏมีพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียว ดังนิมิตเห็นรถคันเดียววิ่งออกไปแยกทางขวา แล้วต่อไปในอนาคตอีกสักพักก็จะถึงสมัยของข้าพเจ้า นิมิตนี้ไปคล้องจองกับสองเหตุการณ์คือ

            เหตุการณ์ที่ 1 ไปคล้องจองกับเมื่อสมัยปี พ.2528-29 เมื่อคราวขอร้องให้พระอาจารย์ดูไปในอนาคตว่าข้าพเจ้าจะบรรลุเมื่อไร? ซึ่งพระอาจารย์ได้ดูไว้ให้ แล้วกล่าวว่าอีกนานมากๆ อาจารย์ดูไปไม่ถึง แต่เธอนี้แน่นอนแล้วไม่ต้องสงสัย

           เหตุการณ์ที่ 2 เมื่อประมาณเดือน พฤษภาคม 2542 ขณะเมื่อข้าพเจ้าไหว้พระสวดมนตร์เสร็จ และไหว้รูปพระอาจารย์ ใจเกิดนึกถึงเรื่องต่างๆ ต่อหน้ารูปพระอาจารย์ว่า กรณีปัญหาวัดธรรมกายข้าพเจ้าจะทำอะไรได้ไหม? และความปารถนาพุทธภูมิถึงความเป็นจริง อีกยาวนานกี่มหากัปกันแน่ ? ซึ่งขณะนั้นภรรยาข้าพเจ้านั่งกรรมฐานอยู่คนละห้องกับข้าพเจ้า เหมือนมีอะไรดลจิตภรรยาข้าพเจ้า ให้มากำหนดกรรมฐานในห้องที่ข้าพเจ้าไหว้พระ ภรรยาทำสมาธิให้สูงที่สุดอยู่เป็นเวลานาน ซึ่งขณะนั้นบังเกิดฟ้าฝ่าอย่างแรง แล้วเกิดฝนตกและไฟฟ้าในหมู่บ้านก็ดับ ข้าพเจ้าก็ออกจากห้องไปหาเทียนอยู่เป็นเวลานานเพราะมืดไปหมด จึงเอาเทียนมาจุดที่หน้าโต๊ะหมู่บนห้อง ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่าภรรยาข้าพเจ้านั่งสมาธินานผิดปกติ ไม่สะดุ้งแม้แต่เสียงฟ้าฝ่า ตามวิสัยของเขา ไม่ทราบแม้กระทั้งไฟดับ โดยที่ภรรยาบอกข้าพเจ้าในภายหลังว่า ในตอนแรกไม่มีเจตนาสื่อสัมผัสกับผู้ใด เมื่อเข้าสมาธิลึกที่สุดและถอยออกมา ภาพพระอาจารย์ก็ปรากฏขึ้นมาในสมาธิ จึงขอสื่อสัมผัสกับพระอาจารย์ พระอาจารย์ได้มาสื่อสัมผัสทางจิตกับภรรยา แล้วก็มาพูดเตือนข้าพเจ้าว่าอย่าไปยุ่งเรื่องปัญหาวัดธรรมกาย เพราะจะทำให้เศร้าหมองและทุกข์ใจเสียเปล่าไม่เป็นผลดีต่อข้าพเจ้า และธรรมดาพระพุทธศาสนาเมื่อดำเนินมาถึงเวลานี้ย่อมเสื่อมถอยลงบ้าง แต่พระสังฆราชพระองค์ได้ทำหน้าที่ของท่านต่อพระพุทธศาสนาได้อย่างดีแล้ว และก่อนที่ท่านจะมรณภาพ(สวรรคต) ท่านจะทำหน้าที่สำคัญครั้งใหญ่อีกครั้ง ซึ่งตามเจตนาของข้าพเจ้านั้น เรื่องปัญหาวัดพระธรรมกายนั้น ข้าพเจ้าจะเพียงแต่ติดตามข่าวอย่างห่างๆ เพียงแต่แนะนำให้บุคคลทั่วไปให้ทราบว่าธรรมของพระพุทธเจ้าคืออะไร? หาได้โจมตีวัดธรรมกาย และเนื่องเพราะกรรมของวัดธรรมกายที่สังสมมาสมบูรณ์ที่จะส่งผลแล้ว จะต้องล้มหรือไม่ก็ตาม แต่ข้อขัดแย้งและปัญหาที่เกิดขึ้น ทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจในธรรมที่แท้จริง ของพระพุทธเจ้าแล้ว ตามปกตินั้นภรรยาจะสื่อสัมผัสกับพระอาจารย์นั้นยาก และน้อยครั้งที่จะสื่อกับท่าน เพราะจะต้องทำสมาธิให้สูงที่สุดจึงจะสื่อสัมผัสได้ เมื่อมีโอกาสดังนี้ ข้าพเจ้าจึงถามปัญหาที่ท่านยังตอบข้าพเจ้าไม่ได้สมบูรณ์ เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ว่า "เวลาอีกนานเท่าไรข้าพเจ้าจึงจะได้ตรัสรู้" อาจารย์ที่ได้มาสื่อสัมผัสท่านบอกว่า อีกนานแสนนานมากเธอ แต่สิ่งที่อาจารย์ดูให้เธอ และได้พูดไว้ตอนเป็นมนุษย์นั้นเป็นสัจจะธรรมเป็นความจริง เธอไม่ต้องสงสัย หลังจากนั้นข้าพเจ้าจึงถามลุกต่อไปว่า เวลานานแสนนานนั้นถึงแสนมหากัปหรือเปล่า อาจารย์กล่าวว่า มากกว่านั้น ข้าพเจ้าจึงถามต่อว่า ถึงห้าแสนมหากัปหรือเปล่า อาจารย์กล่าวว่า มากกว่านั้น ข้าพเจ้าจึงถามต่ออีกว่า อย่างนั้นก็ถึง ล้านมหากัป อาจารย์กล่าวว่าน้อยกว่านั้น ข้าพเจ้าเลยถามจำนวนไล่ลงมา เป็น เก้าแสนมหากัป แล้วลงมา แปดแสนมหากัป อาจารย์ก็ตอบว่า ใช่ประมาณ แปดแสนมหากัป จากนี้ไป ซึ่งมันนานแสนนานมากอาจารย์ดูไปไม่ถึง แต่จากการดูที่เธอได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ที่ผ่านมาทำให้ทราบว่า ประมาณอีกแปดแสนมหากัป ข้าพเจ้าถามอาจารย์เพียงแค่นี้ไม่มีอะไรถามต่อ ท่านจึงให้พร แล้วยุติการสื่อสัมผัส

            นิมิตรู้ว่านับจากปัจจุบันเป็นต้นไปสามารถสร้างบารมีเพื่อ อายุขัยประมาณสี่หมืนปีสมัยตรัสรู้ มีชนม์ชีพเต็มอายุขัย และพระพุทธศาสนาตกทอดเป็นเวลายาวนาน

          มูลเหตุของนิมิตนี้เกิดขึ้นเพราะเมื่อไปศึกษา อายุขัยของพระพุทธเจ้าในอดีต ตั้งแต่เมื่อ 4 อสงไขยกับเศษ 100,000 กัปจนถึงปัจจุบันและเห็นว่า พระศรีศากยะมุนีพุทธเจ้าในปัจจุปันมีอายุขัยน้อยคือแค่ 100 ปี และศรัทธาพุทธเจ้าในกัปนี้ที่บังเกิดขึ้นแล้วในอดีตไดแก่ พระกกุสันธพุทธเจ้า มีอายุขัย 40,000 ปี พระโกนาคมพุทธเจ้า มีอายุขัย 30,000 ปี พระกัสสปพุทธเจ้ามีอายุขัย 20,000 ปี และข้าพเจ้าก็ทราบว่าข้าพเจ้าได้สร้างบารมีมาประเภทศรัทธา ซึ่งต้องมีอายุขัยในสมัยตรัสรู้ไม่ต่าง กับพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์นี้ แล้วพระอาจารย์ที่ได้มาสื่อสัมผัส ข้าพเจ้าจึงถามว่า ในสมัยที่ข้าพเจ้าบรรลุนั้น มีอายุขัยในสมัยนั้นเท่ากับพระศรีอริยะเมตตรัยคือ 80,000 ปีหรือไม่? พระอาจารย์บอกว่า ณ ปัจจุบันนี้บารมีเรื่องอายุขัยของข้าพเจ้ามีเพียงแค่ 1 ใน 4 ของพระศรีอริยะเมตตรัยเท่านั้น ซึ่งก็คือ 20,000 ปี ข้าพเจ้าจึงถามว่า ดังนั้นในสมัยของพระศรีอริยะเมตตรัยจะสร้างบารมีเพื่ออายุขัยเพิ่มขึ้นได้มากเท่าไร? พระอาจารย์กล่าวว่า อย่างมากก็ได้แค่ ครึ่งหนึ่งของอายุขัย ณ ฐานปัจจุบัน แล้วต่อมาภายหลังข้าพเจ้าก็มาปรุงแต่งต่อว่า น่าจะมีอายุขัยมากกว่านี้ และที่สำคัญคือพระพุทธศาสนาต้องตกทอดต่อกันไปเป็นเวลายาวนาน ประโยชน์จึงจะตกอยู่กับสัตว์ทั้งหลายได้มาก เวลาที่เพียรสร้างบารมีมาก็ไม่เสียเปล่า แต่คิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไร? แล้วพระอนาคามีพรหมก็มาเตือนสติว่า ให้ใช้อธิษฐานบารมี ข้าพเจ้าจึงคิดขึ้นมาได้ว่าจริงสิ ! คำอธิษฐานเป็นเหมือนโปรแกรมที่เราวางไว้ แล้วกรรมก็ผลักดันทำให้เดินไปตามทางนั้น ความวิตกของข้าพเจ้าก็หมดไปเปราะหนึ่ง หลังจากนั้นในคำวันหนึ่งจิตก็ปรุงแต่งต่อไปอีกว่ามีเวลาเหลืออยู่เพียงไม่มากนัก แล้วจะสร้างบารมีได้มากสักเท่าไร? แต่เนื่องจากข้าพเจ้าสามารถตัดความกังวนของจิตได้ง่าย จึงเป็นคนที่หลับได้ง่าย ถึงแม้ก่อนหน้านั้นจะปรุงแต่งมากมายก็ตาม หลับไปเหมือนตัดสวิทไปอย่างนั้น เมื่อใกล้รุ่งภาพนิมิตก็บังเกิดขึ้นในความฝัน ว่าข้าพเจ้ายืนอยู่คนเดียวมองขึ้นไปเบื้องบน เห็นทางเดินของพระพุทธเจ้าอยู่เบื้องบนสูงจากที่ตัวเองยืนอยู่มากๆ ใจก็อยากให้ตัวเองอยู่สูงถึงทางนั้นแต่ก็เอือมไปไม่ได้ จึงกระโดดขึ้นไปด้วยกำลังที่มี เหาะลอยไปเหมือนกับมีกำลังภายในสูงถึงจุดหนึ่ง ก็เกาะอยู่ตรงนั้น แต่ก็ยังอยู่หางจากทางเดินของพระพุทธเจ้าในอดีตอยู่มาก จึงกระโดดขึ้นไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ลอยได้สูงประมาณครึ่งกว่าๆ ของครั้งแรก แล้วจึงยืนขึ้น ซึ่งก็ยังห่างจากทางเดินของพระพุทธเจ้าในอดีตอยู่ ขณะที่ยืนอยู่ก็กระโดดลอยตัวออกจากหน้าผานั้น ไม่ใช่เป็นการกระโดดเพื่อให้สูงขึ้นตามทางของพระพุทธเจ้าในอดีต แต่เป็นการกระโดดเหาะออกจากหน้าผา เหมือนการกระโดดน้ำจากสปริงบอร์ด แล้วเหาะลอยลงสู่เบื้องล่างเป็นรูปโค้ง แต่พอใกล้ถึงพื้นกลับไม่ตกกระทบพื้นแต่เหาะลอยเหนือพื้นไปอีกระยะหนึ่ง แล้วก็ตื่นขึ้นมา หลังจากนั้นเอานิมิตนั้นมาพิจารณาดู ก็จะสอดคล้องกับที่ข้าพเจ้าว่า หลังจากนี้ไปจะบังเกิดมิพระพุทธเจ้าอีกเพียง 2 พระองค์ จึงจะถึงสมัยของข้าพเจ้า แล้วสามารถสร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีก 2 พระองค์ ก็จะทำให้อายุขัยในสมัยของข้าพเจ้าประมาณ 40,000 ปี แล้วพุทธศาสนาสมัยนั้นหาได้สูญสิ้นไปจากโลกโดยเร็วพลัน

            สรุป   จากข้อมูลที่ได้มาจากส่วนต่างๆ  ทั้งนิมิต และจากสื่อสัมผัสกับโอปาติกะที่เป็นเทพพรหมและพระอริยะ ได้ข้อมูลดังนี้

                       1. ในสมัยได้ตรัสรู้มีนามว่า  พระสุภัตทะพุทธเจ้า  หรือมีอีกนามว่า พระอสิติพุทธเจ้า หรือ อเสติพุทธเจ้า  แต่นามที่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันตรัสพุทธพยากรณ์ ผู้จะเป็นเอกคัดทะ เป็นพระอเสติสาวกผู้เป็นเลิศด้านใดด้านหนึ่งในสมัยผมว่า  จะเป็นภิกษุ/ภิกษุณี เป็นพระเอเสติสาวกผู้เป็นเลิศ ด้าน .......  ในสมัยของพระพุทธเจ้านามว่า อสีติ หรือ อเสติ กันเป็นส่วนมาก  เพราะท่านเหล่านั้นหลังจากได้รับพุทธพยากรณ์แล้วไปเกิดบนพรหมโลกและเทวดาส่วนหนึ่ง ได้มายื่นยันให้ทราบอย่างชัดเจนกันตามลำดับ    ส่วนเรื่องอายุขัยก็อยู่ในช่วง 10,000 - 40,000 ปี  เพราะบางท่านก็ว่า ประมาณ 10,000 ปี บางท่านก็ว่าประมาณ 20,000 ปี  แต่ที่วิเคราะห์เองในนิมิต ประมาณ 20,000-40,000 ปี   มีพระโอปาติกะอรหันต์ เมื่อได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ก่อนทีท่านจะดับขันธ์นิพพาน  มาบอกให้ทราบว่า  ในสมัยที่ตรัสรู้นั้น ไม่ใช่โลกใบนี้ เป็นโลกใบใหม่ในอนาคต  และเป็นโลกที่ใหญ่กว่าโลกปัจจุบันมากนัก  คาบเวลาก็จะยาวนานมาก  มนุษย์จึงมีอายุยืน ประมาณ 8,000 ปี  เมื่อเทียบกับโลกมนุษย์ยุคปัจจุบัน
                     หมายเหตุ  เป็นข้อมูลเพิ่มเติมเมื่อ 19/05/51 หรือ วันวิสาขาบูชา ขึ้น 15 เดือน 6 ค่ำ   และเนื่องจากพระนามพุทธเจ้ามีหลายพระนาม ดังปัจจุบันพระพุทธองค์ก็ มีหลายพระนาม เช่น  พระศรีศากยมุนีพุทธเจ้า  พระโคตมพุทธเจ้า หรือจะเรียกตามชื่อของพระโพธิสัตว์ในชาติสุดท้ายก็ได้ คือ สิทธัตถะพุทธเจ้าแต่ไม่นิยมเรียก  ส่วนมากจะเรียกตามวงสกุลตามโคตร  
                     (ผมวิเคราะห์  อาจจะคาบเวลา 1 ปี ของโลกสมัยนั้น เท่ากับ 100 ปี ของโลกสมัยปัจจุบัน  ดังนั้น 100 ปี ของโลกสมัยนั้นเท่ากับ 10,000 ปี ของโลกสมัยนี้  ก็อาจเป็นได้)

                       2.ในอนาคตเบื้องหน้าช่วงประมาณ แสนมาหากัป   บางท่านไม่ได้กำหนดเวลาอย่างชัดเจน แต่กล่าวว่าสร้างบารมีมากแล้วเหลือเพียงน้อยนิดแค่ในส่วนแสนมหากัป  บางท่านกำหนดอย่างชัดเจนคือ แปดแสนมหากัป จากนี้ไป

                       3. จากนี้ไปจะมีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นก่อน เพียง 2  พระองค์  (จากนิมิต มีประโพธิสัตว์ตรัสรู้ก่อน 2 พระองค์  จากพระอรหันต์โอปาติกะบางท่านก็ว่า อีก 3 พระองค์)

                       4. ปรากฏมี ผู้ปรารถนาเป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้ายและขวา  และคู่บารมี แล้ว ต่างก็มายืนยันอย่างชัดเจน

                       5. มีผู้ปรารถนา เป็นพระอเสติ(ผู้ที่จะเป็นเอกคัดทะ ที่สมบูรณ์ได้รับพุทธพยากรณ์มีแล้วบางส่วน เพราะมีบางท่านมายืนยัน) เป็นพระมหาสาวก  เป็นพระอรหันต์หรือพระอริยะที่ใกล้ชิด มายืนยันกันมากมายในระยะเวลา 20 กว่าปีมานี้ แต่ล้วนเป็นโอปาติกะ โดยที่ไม่ต้องไปขอร้องหรือพูดโน้มน้าว ท่านมากันเองอธิษฐานกันเอง  เมื่อตอนเริ่มใหม่ๆ ผมก็ห้ามเพราะกลัวผู้อื่นจะลำบากกับเราไปด้วย  แต่เมื่อโดนทัดทานจากหลายท่านด้วยเหตุผลต่างๆ ผมจึงปล่อยเลยตามเลย    
                       บางท่านสงสัยตนเองก็บอกว่า
“เห็นท่านโน้นก็วืดมาท่านนี้ก็วืดมาพูดกล่าวคำอธิษฐานยืนยันกัน   เราก็ชอบเลยเข้ามาอธิษฐานบ้าง  แต่มันเหมือนกับการพูดกันเล่นๆ  มันไม่เห็นมีอะไรที่เป็นหลักเป็นฐานที่แน่นอน เหมือนสักแต่พูดกันเล่นๆ แล้วจากไป”
                       ผมจึงตอบไปว่า
“เมื่อท่านชอบ(หรือศรัทธา)ที่จะมากล่าวอธิษฐาน ท่านต้องตรองดูว่า เป็นกุศลหรือไม่?  ถ้าเป็นกุศลการพูดหรือกล่าวด้วยความชอบนั้น ก็สมบูรณ์เพียงแค่นั้นเองครับ”  (อธิบายคือ ถ้าไม่ชอบ หรือชอบ แต่ไม่เกิดกุศลกับตน ก็ไม่ต้องอธิษฐานกล่าวหรือพูด)
                       ( การพูดคุย ไม่ต่างกับโลกมนุษย์ยุคปัจจุบัน บนอินเตอร์เน็ตผมได้พูดคุยกับหลายท่านในเว็บบอร์ด เป็นสิบ เป็นร้อย แต่ไม่เคยรู้หน้าค่าตาเลยแม้แต่น้อย  มาพิมพ์สนทนากันแล้วก็ไป  และก็มีผู้มารับรู้ถึงเรื่องที่ผมเขียน เป็นร้อย เป็นพัน หรือเป็นหมื่น  ก็เหมือนกับการมาอ่านกันเล่นๆ  ) 

             และก็มีน้องผู้หนึ่งถามผมในทำนองสงสัยเหมือนกัน ไม่ใช่มีแต่เทวดาที่สงสัย ก็มีมนุษย์เหมือนกันที่สงสัยสับสนแต่มากกว่าเทวดาดังคำถามและคำตอบดังนี้

ความคิดเห็นที่ 9
   คุณวิชาครับ
ตั้งแต่ผมศึกษาธรรมะมานี้ ผมก็เจอความเชื่อและการปฏิบัติหลายสาย
บ้างก็ต่างไปตามกรรมฐาน 40วิธี บ้างก็แต่งคัมภีร์ บิดเบือนเรื่องจากพระไตรปิฎก ลัทธิหลอกลวงที่แฝงมากับพระพุทธศาสนาก็มี จนตอนนี้ผม ""งง""หมดแล้ว ว่าจะเชื่อใครดี เดี๋ยวสายธรรมกาย เดี๋ยวมหายาน
และ(ขอโทษนะครับ)เรื่องที่คุณวิชาบอกเรื่องพระสุภัตทะพุทธเจ้าที่ขัดกับคัมภีร์อนาคตวงค์อีก ผมก็ไม่ทราบว่าสายไหนถูกผิด คุณวิชามีความเห็นว่าอย่างไรครับ

โดย: ชลชัย [11 ก.ย. 50 18:05] ( IP A:202.57.173.60 X: )

 


ความคิดเห็นที่ 10
   ตอบ คุณชลชัย

   ให้คุณชลชัย ศึกษาและปฏิบัติ ที่เข้ากันได้และเทียบเคียงจุดประเด็นสำคัญไม่ผิดเพียนไปจากตามพระไตรปิฎกของเถรวาท เป็นหลักนะครับ

   การปฏิบัติใดที่บิดเบือนผิดเพี้ยนไปจาก ประเด็นสำคัญของพระไตรปิฎกของเถรวาท การปฏิบัตินั้นไม่ใช่แนวทางของพระพุทธเจ้าที่เป็นพุทธศาสนาเถรวาท

     ส่วนเรื่องพระสุภัตทะพุทธเจ้าเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล กับเหตุการณ์ที่ปรากฏขึ้นและบอกให้ทราบเท่านั้น จะจริงหรือเท็จก็ไม่สามารถพิสูจน์ให้ทราบได้อย่างแน่ชัด แม้แต่ผมเองผู้เป็นผู้เสนอเรื่องนี้ ก็เสนอเรื่องตามแรงผลักดันของความอยากหรือประสงค์ทีแสดงข้อมูลออกเท่านั้นแล้วก็วางใจไม่ยึดมั่นว่าต้องมีต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ คือมีสติอยู่กับปัจจุบันแล้วปล่อยวาง ผมจึงดำรงอยู่อย่างปกติประกอบกิจกรรมเยิ่ยงคนทั่วๆ ไปในสังคมได้ และผมก็หาได้ผลักดันเพื่อให้คนมาเชื่อและศรัทธาหรือหาทางสร้างทีมสร้างอาณาจักรขึ้นมา ประสงค์เพียงเสนอข้อมูลเท่านั้น จึงหาได้มีปฏิสัมพันธ์ หรือสร้างกลุ่ม หากลุ่มเพื่อให้เกิดความเชื่อความศรัทธาขึ้นกับผมครับ เพราะเบื้องต้นที่ผมทราบว่าตนเองปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ก็มีสติเตือนตนเองว่า ไม่ประสงค์ที่จะนำใครให้วนเวียนเป็นทุกข์ไปกับเราในวัฎจักรสงสารอันยาวไกล เพราะการได้บรรลุมรรคผลนิพพานโดยเร็วพลันนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วสำหรับสรรพสัตว์ทั้งหลาย

    คุณชลชัย ต้องแยกให้ออกว่า ส่วนไหนคือข้อมูล ส่วนไหนคือความเชื่อ ส่วนไหนคือศรัทธา ก็คือต้องมีสติสัมปัญยะ พิจารณาอย่างแยบคาย แล้ววางลงได้ ก็จะไม่เป็นทุกข์กับข้อมูล ความเชื่อ หรือศรัทธานั้น

   ส่วนเรื่อง คัมภีร์อนาคตวงค์ เป็นคัมภีร์ที่แต่งขึ้นในภายหลัง ผมก็ไม่ทราบว่าเจตนาของคนแต่งๆ ขึ้นด้วยเหตุใด อาจจะประสงค์ให้เกิดความเชื่อตามข้อมูลที่ตนมี เพื่อตนจะได้เป็นที่เชื่อศรัทธาไปด้วยในสังคมนั้นๆ โดยหยิบเอาข้อมูลในพระไตรปิฎกแบบคร่าวๆ และพระรามในรามมะยะนะ มาเชื่อมโยงกัน เพื่อให้เกิดความเชื่อและความศรัทธาเกิดขึ้น แต่ในเนื้อเรื่องมีบางส่วนไม่ลงลอยกับพระอรรถกถา อยู่หลายจุด เช่น
         เรื่องที่
1.คือเรื่องพญามาร ไม่ลงรอยกับพระอรรถกาอย่างแน่นอน
         เรื่องที่
2.ทุกท่านที่กล่าวถึงก็ปรากฏมีในพระไตรปิฎกและพระอรรถกถา แต่ไม่มีในพระไตรปิฎกและอรรถกถา ที่กล่าวว่าได้รับพุทธพยากรณ์ช้ำตรงๆ เลยแม้แต่ท่านเดียว
         เรื่องที่
3.เรื่องพระรามยิ่งไปกันใหญ่เลย ไม่มีส่วนใดเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาและในพระไตรปิฎกเลย

    มีแต่อสุรินราหู ท่านเดียวที่พอเทียบเคียงได้ ส่วนพระเจ้าปะสนธิโกศล ได้เจอได้เข้าฝ่ายพระพุทธเจ้านับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่มีส่วนไหนของพระไตรปิฎกและอรรถกากล่าวอย่างชัดเจนเลยว่าได้รับพุทธพยากรณ์ช้ำจากพระพุทธเจ้า แต่ก็พออนุโลมได้ครับ

   ทุกอย่างที่เสนอเป็นเพียงข้อมูล ส่วนจะเกิดความเชื่อ ความศรัทธานั้น ต้องพิจารณาให้รอบคอบและแยบคายนะครับ

โดย: Vicha [13 ก.ย. 50 9:59] ( IP A:58.10.167.195 X: )

 

 
         
อ่านเรื่องพิเศษ  จำนวนโอปาติกะผู้ปรารถนาตั้งสัจจะอธิษฐาน โดยที่ไม่เคยผมไม่เคยชี้นำหรือชักชวน

                                       กลับที่เดิม