เวสสันตรจริยาที่ ๙

(ยกมาจากจริยาปิฏก) ว่าด้วยพระจริยาวัตรของพระเวสสันดร [] นางกษัตริย์พระนามว่าผุสสดีพระชนนีของเรา พระนางเป็นมเหสี ของท้าวสักกะ ในชาติที่ล่วงมาแล้ว ท้าวสักกะจอมเทพทรงเห็นว่า พระนางจะสิ้นอายุ จึงตรัสดังนี้ว่า เราจะให้พร ๑๐ ประการแก่เธอ นางผู้เจริญ จะปรารถนาพรอันใด พอท้าวสักกะตรัสอย่างนี้เท่านั้น พระเทวีนั้นได้ทูลท้าวสักกะ ดังนี้ว่า หม่อมฉันมีความผิดอะไรหรือ หรือพระองค์เกลียดหม่อมฉันเพราะเหตุใด จึงจะให้หม่อมฉัน เคลื่อนจากสถานอันรื่นรมย์เหมือนลมพัดให้ต้นไม้หวั่นไหว ฉะนั้น เมื่อพระนางผุสสดีตรัสอย่างนี้ ท้าวสักกะนั้นได้ตรัสกะพระนางดังนี้ อีกว่า เธอไม่ได้ทำความชั่วเลย และจะไม่เป็นที่รักของเราก็หามิได้ แต่อายุของเธอมีประมาณเท่านี้เอง เวลานี้เป็นเวลาที่เธอจักต้องจุติ เธอจงรับเอาพร ๑๐ ประการอันประเสริฐสุด ที่ฉันให้เถิด พระนาง ผุสสดีนั้น มีพระทัยยินดี ร่าเริงเบิกบานพระทัย ทรงรับเอาพร ๑๐ ประการซึ่งเป็นพรอันท้าวสักกะพระราชทานทรงทำเราไว้ในภายใน พระนางผุสสดีนั้น จุติจากดาวดึงส์นั้นแล้ว มาบังเกิดในตระกูล กษัตริย์ ได้สมาคมกับพระเจ้ากรุงสญชัย (เป็นมเหสีของพระเจ้า กรุงสญชัย) ในพระนครเชตุดร ในกาลเมื่อเราลงสู่พระครรภ์ของ พระนางผุสสดี พระมารดาที่รัก ด้วยเดชของเรา พระมารดาของเรา เป็นผู้ยินดีในทานทุกเมื่อ ทรงให้ทานแก่คนยากจน คนป่วยไข้ (กระสับกระส่าย) คนแก่ ยาจก คนเดินทาง สมณพราหมณ์คนสิ้น เนื้อประดาตัว คนไม่มีอะไรเลย พระนางผุสสดีทรงพระครรภ์ครบ ๑๐ เดือน เมื่อพระเจ้าสญชัยทรงทำประทักษิณพระนคร พระนางก็ ประสูติเรา ณ ท่ามกลางถนนของพวกคนค้าขาย นามของเราจึงไม่ เนื่องข้างฝ่ายพระมารดา และไม่เกิดเนื่องข้างฝ่ายพระบิดา เพราะเรา เกิดที่ถนนของคนค้าขายนี้ ฉะนั้น เราจึงมีชื่อว่าเวสสันดร ในกาล เมื่อเราเป็นทารกอายุ ๘ ปีแต่กำเนิด ในกาลนั้น เรานั่งอยู่ในปราสาท คิดเพื่อจะให้ทานว่า เราพึงให้หทัย จักษุ แม้เนื้อและเลือด เราพึง ให้ทานทั้งกาย ถ้าใครได้ยินแล้ว พึงขอกะเรา เมื่อเราคิดถึงความ เป็นจริง จิตของเราไม่หวั่นไหว ไม่หดหู่ ในขณะนั้น แผ่นดิน เขาสิเนรุราชและป่าหิมพานต์ได้หวั่นไหว ในเดือนเต็มวันอุโบสถที่ ๑๕ ทุกกึ่งเดือน เราขึ้นคอมงคลหัตถีปัจจัยนาค เข้าไปยังศาลาเพื่อ จะให้ทานพราหมณ์ทั้งหลายชาวกาลิงครัฐ ได้มาหาเราได้ขอพระ ยาคชสารทรง อันประกอบด้วยมงคลหัตถีกะเราว่า ชนบทฝนไม่ตก เกิดทุพภิกขภัย อดอยากมากมาย ขอพระองค์ทรงโปรดพระราชทาน พระยาคชสารตัวประเสริฐ เผือกผ่อง อันเป็นช้างมงคลอุดม พราหมณ์ทั้งหลายขอสิ่งใดกะเรา เราย่อมให้สิ่งนั้นไม่หวั่นไหวเลย เราไม่ซ่อนเร้นของที่มีอยู่ ใจของเรายินดีในทาน เมื่อยาจกมาถึงแล้ว การห้าม (การไม่ให้) ไม่สมควรแก่เรา กุศลสมาทานของเราอย่า ทำลายเสีย เราจักให้คชสารตัวประเสริฐ เราได้จับงวงพระยาคชสาร วางลงบนมือพราหมณ์แล้วจึงหลั่งน้ำเต้าทองลงบนมือ ได้ให้พระ ยาคชสารแก่พราหมณ์ เมื่อเราให้พระยามงคลคชสารอันอุดม เผือก ผ่อง อีก แม้ในกาลนั้น แผ่นดินเขาสิเนรุราช และป่าหิมพานต์ ก็ได้หวั่นไหว เพราะเราให้พระยาคชสารนั้น ชาวพระนครสีพีพากัน โกรธเคือง มาประชุมกันแล้ว ขับไล่เราจากแว่นแคว้นของตนว่า จงไปยังภูเขาวงกต เมื่อชาวพระนครเหล่านั้นขับไล่ จิตของเราไม่ หวั่นไหว ไม่หดหู่ เราได้ขอพรอย่างหนึ่ง เพื่อจะยังมหาทานให้เป็น ไป เมื่อเราขอแล้ว ชาวพระนครสีพีทั้งหมด ได้ให้พรอย่างหนึ่ง แก่เรา เราจึงให้เอากลองคู่หนึ่งไปตีประกาศว่าเราจะให้มหาทาน ครั้นเมื่อเราให้ทานอยู่ในโรงทานนั้น เสียงดังกึกก้องอึงมี่ย่อมเป็นไป ว่า ชาวพระนครสีพีขับไล่พระเวสสันดรนี้เพราะให้ทาน พระองค์ จะยังให้ทานอีกเล่า เราได้ให้ช้าง ม้า รถ ทาสี ทาส แม่โค ทรัพย์ ครั้นให้มหาทานแล้ว ก็ออกจากพระนครไปในกาลนั้น ครั้นเราออก จากพระนครแล้ว กลับผินหน้ามาเหลียวดู แม้ในกาลนั้น แผ่นดิน เขาสิเนรุราชและป่าหิมพานต์ ก็หวั่นไหว เราให้ม้าสินธพ ๔ ตัว และรถ แล้วยืนอยู่ที่ทางใหญ่ ๔ แยก ผู้เดียวไม่มีเพื่อนสอง ได้ กล่าวกะพระนางมัทรีเทวีดังนี้ว่า ดูกรแม่มัทรี เธอจงอุ้มกัณหากุมารี เถิด เพราะเธอเป็นน้องคงเบากว่า พี่จะอุ้มพ่อชาลี เพราะเขาเป็นพี่ คงจะหนักพระนางมัทรีทรงอุ้มแม่กัณหาผู้อ่อนนุ่ม ดังดอกปทุมและ บัวขาว เราได้อุ้มพ่อชาลีหน่อกษัตริย์ เปรียบดังแท่งทองคำชนทั้ง ๔ เป็นกษัตริย์สุขุมาลชาติเกิดในสกุลสูง ได้เสด็จดำเนินไปตามทางอัน ขรุขระและราบเรียบ ไปยังเขาวงกต มนุษย์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง เดิน ตามมาในหนทางก็ดี สวนทางมาก็ดี เราทั้งหลายได้ไต่ถามเขาถึง หนทางว่า เขาวงกตอยู่ที่ไหน เขาเห็นเราทั้งหลาย ณ ที่นั้นแล้ว ได้ เปล่งเสียงอันประกอบด้วยกรุณาว่า กษัตริย์เหล่านี้คงจะต้องได้เสวย ทุกข์อย่างยิ่ง เพราะเขาวงกตยังไกล ถ้าพระกุมารทั้งหลายเห็นต้นไม้ อันมีผลในป่าใหญ่ พระกุมารกุมารีก็จะทรงกรรแสง เพราะเหตุแห่ง ผลไม้เหล่านั้น ต้นไม้ทั้งหลายอันสูงใหญ่ไพศาล เห็นพระกุมาร กุมารีทรงกรรแสงก็โน้มยอดลงมาหาพระกุมารและพระกุมารีเอง พระนางมัทรีผู้ทรงความงามทั่วสรรพางค์ ทรงเห็นความอัศจรรย์นี้ อันไม่เคยมีมา น่าขนลุกขนพอง จึงยังสาธุการให้เป็นไปว่า ความ อัศจรรย์อันไม่เคยมีในโลก บังเกิดขนชูชันหนอ หมู่ไม้น้อมยอดลง มาเอง ด้วยเดชแห่งพระเวสสันดร เทวดาทั้งหลายได้ย่นทางให้ ด้วย ความเอ็นดูพระกุมารกุมารี ในวันที่เราออกจากพระนครสีพีนั้นเอง เราทั้ง ๔ ได้ไปถึงเจตรัฐ ในกาลนั้น พระราชา (เจ้า) หกหมื่นองค์ อยู่ในพระนครมาตุละ ต่างก็ประนมกรอัญชลีพากันร้องไห้มาหา เรา เจรจาปราศรัยกับโอรสของพระเจ้าเจตราชเหล่านี้อยู่ ณ ที่นั้น ให้ โอรสของพระเจ้าเจตราชเหล่านั้นกลับที่ประตูนั้นแล้ว ได้ไปยังเขา วงกต ท้าวสักกะจอมเทวดา ตรัสเรียกวิสสุกรรมเทพบุตรผู้มีฤทธิ์ มาก แล้วรับสั่งให้ไปเนรมิตบรรณศาลาอย่างสวยงาม น่ารื่นรมย์ สำหรับเป็นอาศรม เราทั้ง ๔ คน มาถึงป่าใหญ่อันเงียบเสียงอื้ออึง ไม่เกลื่อนกล่นด้วยฝูงชนอยู่ในบรรณศาลานั้น ณ เชิงเขา ในกาลนั้น เขา พระนางมัทรีเทวี พ่อชาลีและแม่กัณหาทั้งสอง บรรเทาความ เศร้าโศกของกันและกันอยู่ในอาศรม เรารักษาเด็กทั้งสองอยู่ใน อาศรม อันไม่ว่างเปล่า พระนางมัทรีนำผลไม้มาเลี้ยงคนทั้งสาม เมื่อเราอยู่ในป่าใหญ่ ชูชกพราหมณ์เดินเข้ามาหาเรา ได้ขอบุตร ทั้งสองของเรา คือ พ่อชาลีและแม่กัณหาชินา เพราะได้เห็นยาจก เข้ามาหา ความร่าเริงเกิดขึ้นแก่เรา ในกาลนั้น เราได้พาบุตรทั้งสอง มาให้แก่พราหมณ์ เมื่อเราสละบุตรทั้งสองของตนให้แก่ชูชก พราหมณ์ในกาลใด แม้ในกาลนั้น แผ่นดิน เขาสิเนรุราช และ ป่าหิมพานต์ ก็หวั่นไหว ท้าวสักกะทรงแปลงเพศเป็นพราหมณ์ เสด็จลงจากเทวโลก มาขอนางมัทรีผู้มีศีลมีจริยาวัตรอันงาม กะเรา อีก เรามีความดำริแห่งใจอันเลื่อมใส จับพระหัตถ์พระนางมัทรี ยัง ฝ่ามือให้เต็มด้วยน้ำ ได้ให้พระนางมัทรีแก่พราหมณ์นั้น เมื่อเราให้ พระนางมัทรี หมู่เทวดาในอากาศเบิกบาน (พลอยยินดี) แม้ใน กาลนั้น แผ่นดิน เขาสิเนรุราช และป่าหิมพานต์ ก็หวั่นไหว เรา สละพ่อชาลีแม่กัณหาชินาผู้ธิดา และพระนางมัทรีเทวีผู้มีจริยาวัตร อันงาม ไม่คิดถึงเลย เพราะเหตุแห่งโพธิญาณนั่นเอง เราจะ เกลียดบุตรทั้งสองหามิได้ จะเกลียดพระนางมัทรีก็หามิได้ แต่ สัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา ฉะนั้นเราให้บุตรและภรรยาผู้เป็นที่ รัก อีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระมารดาและพระบิดาเสด็จมาพร้อมกัน ณ ป่าใหญ่ ทรงกรรแสงสะอึกสะอื้นน่าสงสาร ตรัสถามถึงสุขทุกข์กัน อยู่ เราได้เข้าเฝ้าพระมารดาและพระบิดาทั้งสองผู้เป็นที่เคารพด้วย หิริและโอตตัปปะ แม้ในกาลนั้น แผ่นดินเขาสิเนรุราช และป่า หิมพานต์ ก็หวั่นไหวอีกครั้งหนึ่งเรากับบรรดาพระญาติของเราออก จากป่าใหญ่ จักเข้าสู่พระนครเชตุดร อันเป็นนครน่ารื่นรมย์ แก้ว ๗ ประการตกลงแล้ว มหาเมฆยังฝนให้ตก (มหาเมฆยังฝนแก้ว ๗ ประการให้ตกลง) แม้ในกาลนั้นแผ่นดิน เขาสิเนรุราชและป่า หิมพานต์ ก็หวั่นไหว แม้แผ่นดินนี้ไม่มีจิตใจไม่รู้สุขและทุกข์ ก็หวั่นไหวถึง ๗ ครั้ง เพราะกำลังแห่งทานของเรา ฉะนี้แล. จบเวสสันตรจริยาที่ ๙

อรรถกถาเวสสันตรจริยาที่ ๙

พึงทราบวินิจฉัยในอรรถกถาเวสสันตรจริยาที่ ๙ ดังต่อไปนี้. บทว่า เม ในบทนี้ว่า ยา เม อโหสิ ชนิกา นางกษัตริย์พระนามว่าผุสดี พระชนนีของเรา พระศาสดาตรัสหมายถึงพระองค์ครั้งเป็นพระเวสสันดร ด้วยเหตุนั้นพระองค์จึงตรัสว่า ผุสสตี นาม ขตฺติยา นางกษัตริย์ พระนามว่าผุสดี. เป็นความจริงดังนั้นพระมารดาขอพระโพธิสัตว์เป็นนาง กษัตริย์พระนามว่าผุสดิ. บทว่า สา อตีตาสุ ชาตีสุ คือพระนางใน ชาติที่ล่วงมาแล้วเป็นลำดับจากชาตินั้น. จริงอยู่บทนี้เป็นพหูพจน์ในความ เดียวกัน. พึงทราบการเชื่อมความว่า พระนางเป็นมเหสีเป็นที่รักของท้าว สักกะ. อนึ่งพระนางได้เป็นพระชนนีของเราในอัตภาพสุดท้าย. ในชาติ อันล่วงแล้วนั้นพระนางมีพระนามว่า ผุสดี. กษัตริย์ทั้งหลายในชาติอัน ล่วงแล้วนั้น. เราได้เกิดเป็นเวสสันดรในพระครรภ์ของพระนางในชาติใด ก่อนแต่ชาตินั้น พระนางได้เป็นพระมเหสีเป็นที่รักของท้าวสักกะ. พึง ทราบเรื่องราวเป็นลำดับ ดังต่อไปนี้.

ในกัป ๙๑ จากกัปนี้พระศาสดาพระนามว่า วิปัสสีทรงอุบัติขึ้นใน โลก. เมื่อพระศาสดาพระนามว่า วิปัสสีประทับอาศัยพันธุมดื่นคร ประทับ อยู่ ณ มฤคทายวันชื่อ เขมะ พระเจ้าพันธุมราชได้พระราชทานแก่นจันทน์ มีค่ามากซึ่งพระราชาองค์หนึ่งส่งไปถวาย แก่พระธิดาองค์ใหญ่ของพระองค์. พระธิดาได้เอาแก่นจันทน์นั้นบดเป็นผงละเอียดบรรจุลงพระอบ เสด็จ ไปวิหารบูชาพระสรีระของพระศาสดาซึ่งมีผิวดุจทองคำแล้ว เกลี่ยผงที่เหลือ ลงในพระคันธกุฎี ทรงตั้งความปรารถนาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอให้ หม่อมฉันพึงเป็นมารดาของพระพุทธเจ้าเช่นพระองค์ในอนาคตเถิด. ครั้น พระนางจุติจากมนุษยโลกด้วยผลแห่งการบูชาผงจันทน์นั้น มีพระสรีระดุจ อบด้วยจันทน์แดง ทรงท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ได้ทรงเกิด เป็นอัครมเหสีของท้าวสักกเทวราชในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์. ครั้นพระนางจะ สิ้นพระชนม์ได้เกิดบุรพนิมิต ท้าวสักกเทวราชทรงทราบว่า พระนางจะ สิ้นอายุ เพื่ออนุเคราะห์พระนาง จึงตรัสว่า แม่นางผุสดีผู้เจริญ เราจะ ให้พร ๑๐ ประการแก่เจ้า. เจ้าจงรับพรเถิด.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ว่า:- ท้าวสักกะจอมเทพทรงทราบว่า พระ- นางจะสิ้นอายุ จึงตรัสดังนี้ว่า เราจะให้พร ๑๐ ประการแก่เจ้า นางผู้เจริญจะปรารถนาพร อันใด. ในบทเล่านั้น บทว่า วร คือจงเลือกรับพร. บทว่า ภทฺเท ยทิจฺฉสิ ท้าวสักกะตรัสว่า นางผุสดีผู้เจริญ เจ้าปรารถนาพรอันใด. พรอันใดเป็นที่รักของเจ้า เจ้าจงเลือกรับพรอันนั้น ๑๐ ประการ. บทว่า ปุนิทมพฺรวิ คือพระนางไม่รู้ว่าตนจะต้องจุติจึงได้ทูลคำเป็น อาทิว่า กึ นุ เม อปราธตฺถิ หม่อมฉันมีความผิดอะไรหรือ? เพราะ นางเป็นผู้ประมาทไม่รู้ว่าตนจะสิ้นอายุ เมื่อท้าวสักกะตรัสว่า เจ้าจงรับพร จึงคิดว่า ท้าวสักกะทรงปรารถนาจะให้เราเกิดในที่ไหน จึงกล่าวอย่างนี้. บทว่า อปราธตฺถิ คือมีความผิด. บทว่า กึ นุ เทสฺสา อหํ ตว พระองค์ ทรงเกลียดหม่อมฉันเพราะเหตุไร? คือพระองค์ทรงเกลียด หมดความ รักเสียแล้ว. บทว่า รมฺมา จาเวสิ มํ ฐานา คือพระองค์จะให้หม่อมฉัน เคลื่อนจากสถานอันน่ารื่นรมย์นี้. บทว่า วาโตว ธรณีรุหํ เหมือนลมพัด ให้ต้นไม้หวั่นไหวฉะนั้น พระนางทูลถามท้าวสักกะว่า พระองค์มีพระประสงค์จะให้หม่อมฉันเคลื่อนจากเทวโลกนี้ เหมือนลมแรงพัดถอนต้ดไม้ ฉะนั้น เพราะเหตุไรหนอ? บทว่า ตสฺสิทํ ตัดบทเป็น ตสฺสา อิทํ ความว่า ท้าวสักกะ ได้ตรัสกะพระนางดังนี้อีก. บทว่า น เจว เต กตํ ปาปํ เจ้าไม่ได้ทำ ความชั่วเลย คือ ความชั่วไรๆ เจ้ามิได้ทำไว้ ความผิดของเจ้าก็ไม่มี. บทว่า น จ เม ตฺวํสิ อปฺปิยา เจ้ามิได้เป็นที่รักของเราก็หามิได้ อธิบายว่า เป็นที่เกลียดชัง ไม่เป็นที่รักก็หามิได้. บัดนี้ ท้าวสักกะเมื่อจะทรงแสดงถึงความประสงค์ที่จะประทานพร จึงตรัสว่า อายุของเจ้ามีประมาณเท่านี้เอง เวลานี้เป็นเวลาที่เจ้าจักต้องจุติ เมื่อจะทรงให้พระนางรับพรจึงตรัสว่า เจ้าจงรับพร ๑๐ ประการอัน ประเสริฐสุดที่เราให้เถิด. ในบทเหล่านั้น บทว่า วรุตฺตเม คือพรอันประเสริฐสุดกว่าพร ทั้งหลาย. บทว่า ทินฺนวรา คือพรอันท้าวสักกะประทานแล้วด้วยทรงให้ ปฏิญญาว่า เราจักให้พร. บทว่า ตุฏฺฐหฏฺฐา นางมีพระทัยยินดีร่าเริง คือยินดีด้วยความพอใจในลาภที่พระนางปรารถนาไว้ และร่าเริงด้วยเห็น ความปรารถนานั้นถึงที่สุด. บทว่า ปโมทิตา คือมีพระทัยเบิกบานด้วย ความปราโมทย์มีกำลัง. บทว่า มมํ อพฺภนฺตรํ กตฺวา คือทรงทำเรา ไว้ในภายใน ในพรเหล่านั้น. บทว่า ทส วเร วริ ความว่า พระนาง ทรงทราบว่า พระนางจะสิ้นอายุ ท้าวสักกะให้โอกาสเพื่อประทานพร จึง ทรงตรวจดูทั่วพื้นชมพูทวีป ทรงเห็นพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าสีพีสมควร แก่ตน จึงทรงรับพร ๑๐ ประการเหล่านี้คือ ๑. ขอให้เป็นอัครมเหสี ของพระเจ้ากรุงสีพีในแคว้นสีพีนั้น . ขอให้มีดวงตาดำ ๓. ขอให้มี ขนคิ้วดำ ๔. ขอให้มีชื่อว่าผุสดี ๕. ขอให้ได้โอรสประกอบด้วยคุณ วิเศษ ๖. ขออย่าให้ครรภ์นูนโต ๗. ขออย่าให้ถันหย่อนยาน ๘. ขออย่า ให้ผมหงอก ๙. ขอให้ผิวละเอียด ๑๐. ขอให้ปล่อยนักโทษที่ต้องประหาร ชีวิต. ครั้นพระนางได้รับพร ๑๐ ประการแล้วก็จุติจากเทวโลกมาบังเกิดใน พระครรภ์ของพระอัครมเหสี ของพระเจ้ามัททราช. อนึ่งเมื่อพระนาง ประสูติมีพระสรีระดุจอบด้วยผงจันทน์. ด้วยเหตุนั้นในวันขนานพระนาม จึงให้ชื่อว่า ผุสดี พระนางผุสดี มีบริวารมาก เมื่อพระชนม์ได้ ๑๖ พระพรรษามีพระรูปพระโฉมงดงามยิ่งนัก. ลำดับนั้น พระเจ้าสีพีมหาราช ทรงนำพระนางมาเพื่ออภิเษกสมรสกับพระสญชัยกุมาร ผู้เป็นพระโอรส รับสั่งให้ยกเศวตฉัตรทรงตั้งพระนางผุสดีไว้ในตำแหน่งพระอัครมเหสี ให้ เป็นใหญ่กว่าสตรี ๑๖,๐๐๐ คน.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า:- พระนางผุสดีจุติจากดาวดึงส์นั้น แล้ว มาบังเกิดในตระกูลกษัตริย์ ได้อภิเษกสมรส กับพระเจ้ากรุงสญชัยในกรุงเชตุดร พระนางผุสดีนั้น เป็นที่รักเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้ากรุงสญชัย.

ลำดับนั้น ท้าวสักกะทรงรำพึงเห็นว่า พรที่เราให้แก่พระนางผุสดีไป สำเร็จไปแล้ว ๙ ประการ ทรงดำริว่า พรเกี่ยวกับพระโอรสยังไม่สำเร็จ. เราจักให้พรนั้นสำเร็จแก่นาง ทรงเห็นว่า พระโพธิสัตว์จะสิ้นอายุในเทวโลก ชั้นดาวดึงส์ในครั้งนั้นแล้วจึงเสด็จไปยังสำนักของพระโพธิสัตว์ตรัสว่า ท่าน ผู้นิรทุกข์ ท่านสมควรถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระอัครมเหสี ของ พระเจ้ากรุงสญชัยแคว้นสีพีในมนุษยโลก ทรงรับปฏิญญาของพระโพธิสัตว์ และเทพบุตร ๖๐,๐๐๐ เหล่าอื่นที่ปฏิบัติตามเทวบัญชา เสร็จแล้วเสด็จกลับ วิมานของพระองค์. แม้พระมหาสัตว์ครั้นจุติจากชั้นดาวดึงส์นั้น แล้วก็ทรง บังเกิดในแคว้นสีพีนั้น. แม้เทพบุตรที่เหลือก็ไปบังเกิดในเรือนของเหล่า อำมาตย์ ๖๐,๐๐๐ เมื่อพระมหาสัตว์ประสูติจากพระครรภ์ พระนางผุสดีเทวี รับสั่งให้สร้างโรงทาน ๖ แห่ง คือที่ประตูพระนคร ๔ แห่ง ท่ามกลาง พระนคร ๑ ที่ประตูพระนิเวศน์ ๑ แห่ง ทรงสละทรัพย์ ๖๐๐,๐๐๐ ทุกๆ วัน ได้ทรงแพ้พระครรภ์เมื่อทรงให้ทาน. พระราชาทรงสดับว่า พระนาง ทรงแพ้พระครรภ์ จึงรับสั่งเรียกพราหมณ์ผู้ทำนายโชคชะตามาตรัสถาม ทรงสดับคำกราบทูลว่า ขอเดชะข้าแต่มหาราชเจ้า สัตว์มีบุญมาก ยินดีใน ทานจะอุบัติในพระครรภ์ของพระเทวี. สัตว์นั้นจักไม่อิ่มด้วยทานพระเจ้าข้า ทรงมีพระทัยยินดี ทรงให้ตั้งทานดังได้กล่าวแล้ว. ทรงให้สมณพราหมณ์ คนแก่ คนเดือดร้อน คนยากจน คนเดินทาง วณิพก และยาจกทั้งหลาย อิ่มหนำสำราญ. ตั้งแต่พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิ คือความเจริญของพระราชา หาประมาณมิได้. ด้วยบุญญานุภาพของพระโพธิสัตว์นั้น พระราชาทั่วชมพูทวีปต่างส่งเครื่องบรรณาการไปถวาย.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า:- ในกาลเมื่อเราลงสู่พระครรภ์ของพระนาง ผุสดี พระมารดาที่รัก ด้วยเดชของเรา พระมารดาเป็นผู้ยินดีในทานทุกเมื่อ ทรงให้ ทานแก่คนยากจน คนป่วยไข้ คนแก่ ยาจก คนเดินทาง สมณพราหมณ์ คนสิ้นเนื้อ ประดาตัว คนไม่มีอะไรเลย.

ในบทเหล่านั้น บทว่า มม เตเชน ด้วยเดชของเรา คือด้วย อานุภาพแห่งอัธยาศัยในการให้ของเรา. บทว่า ขีเณ คือหมดสิ้นด้วย โภคะเป็นต้น คือถึงความเสื่อมโทรม. บทว่า อกิญฺจเน คือไม่มีอะไร ยึดถือเลย. ในทุกบทเป็นสัตตมีวิภัตติ์ลงในอรรถแห่งวิสัยคือเป็นอารมณ์ เพราะว่า คนไม่มีทรัพย์เป็นต้น เป็นอารมณ์แห่งการบริจาคไทยธรรม. พระเทวีทรงได้รับการบริหารพระครรภ์เป็นอย่างมาก เมื่อครบ ๑๐ เดือน มีพระประสงค์จะทอดพระเนตรพระนคร จึงกราบทูลพระราชสวามี. พระราชารับสั่งให้ตกแต่งพระนครดุจเทพนคร อัญเชิญพระเทวีขึ้นรถอัน ประเสริฐแล้วให้ทำประทักษิณพระนคร. เมื่อพระนางเสด็จถึงท่ามกลาง ถนนของพวกทำการค้า ลมกรรมชวาต (ลมเบ่ง) ได้ปั่นป่วนขึ้นแล้ว. พวกอำมาตย์กราบทูลแด่พระราชา. พระราชารับสั่งให้สร้างเรือนประสูติแก่ พระนางที่ถนนของพวกทำการค้านั่นเองแล้วทรงให้จัดตั้งอารักขา. พระนาง ประสูติพระโอรส ณ ที่นั้นเอง.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า:- พระนางผุสดีทรงพระครรภ์ครบ ๑๐ เดือน เมื่อพระเจ้าสญชัยทรงทำประทักษิณ พระนคร พระนางก็ประสูติเรา ณ ท่ามกลาง ถนนของพวกคนทำการค้า นามของเราจึงไม่ เนื่องข้างฝ่ายพระมารดา และไม่เกิดเนื่องข้าง ฝ่ายพระบิดา เพราะเราเกิดที่ถนนของคน ค้าขาย ฉะนั้น เราจึงมีชื่อว่า เวสสันดร. ในบทเหล่านั้น บทว่า กโรนฺเต ปุรํ ปทกฺขิณํ คือเมื่อพระเจ้า สญชัยมหาราชทรงพาพระเทวีกระทำประทักษิณพระนคร. บทว่า เวสฺสานํ คือพวกพ่อค้า. บทว่า น มตฺติกํ นามํ คือนามของเราไม่เนื่อง ตา ยาย อันมาข้างมารดา. บทว่า เปตฺติกสมฺภวํ ชื่อว่า เปตฺติกํ เพราะนี้ฝ่าย บิดา. ชื่อว่า สมฺภโว เพราะเกิดจากฝ่ายบิดา. ชื่อว่า เปตฺติกสมฺภวํ เพราะเกิดเนื่องข้างฝ่ายบิดา หมายถึงชื่อ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า มิได้ตั้งพระนามด้วยความผูกพันทางมารดาและบิดา. บทว่า ชาเตตฺถ ตัดบทเป็น ชาโต เอตฺถ คือเกิดที่ถนนของคนค้าขายนี้. ปาฐะว่า ชาโตมฺหิ บ้างคือเราเกิดแล้ว. บทว่า ตสฺมา เวสฺสนฺตโร อหุ คือ เพราะในครั้งนั้น เราเกิด ณ ถนนของคนค้าขาย ฉะนั้นจึงชื่อว่า เวสสันดร อธิบายว่า พระชนกชนนีทรงขนานพระนามว่า เวสฺสนฺตร.

พระมหาสัตว์ทรงประสูติจากพระครรภ์พระมารดา ทรงเฉลียวฉลาด ทรงลืมพระเนตรประสูติ. พอทรงประสูตินั่นเองทรงเหยียดพระหัตถ์ให้ พระมารดาตรัสว่า แม่จ๋า ลูกจักให้ทาน มีอะไรบ้าง. มารดาของพระ- มหาสัตว์ทรงมอบถุงทรัพย์ ,๐๐๐ ที่อยู่ใกล้พระหัตถ์ด้วยพระดำรัสว่า ลูกรัก จงให้ทานตามอัธยาศัยเถิด. จริงอยู่พระโพธิสัตว์พอประสูติก็ทรงพูดได้ในที่ ๓ แห่ง คือในอุมมังคชาดก ๑ ในชาดกนี้ ๑ ในอัตภาพสุดท้าย ๑. พระราชาทรงให้แม่นม ๖๐ คนมีน้ำนมหวานเว้นจากโทษมีสูงเกินไปเป็นต้น ดูแลพระมหาสัตว์. พระราชทานแม่นมแก่ทารก ๖๐,๐๐๐ ซึ่งเกิดพร้อม กับพระโพธิสัตว์นั้น. พระโพธิสัตว์ทรงเจริญด้วยบริวารมากพร้อมกับทารก ๖๐,๐๐๐ คน. พระราชารับสั่งให้ช่างทำเครื่องประดับพระกุมารมีค่า ๑๐๐,๐๐๐ พระราชทานแก่พระกุมารนั้น. พระกุมารเมื่อมีพระชันษา ๔ - ๕ ขวบ ทรงเปลื้องเครื่องประดับนั้นให้แก่พวกแม่นม พวกแม่นมถวายคืนอีกก็ไม่ ทรงรับ. พระราชาทรงสดับดังนั้นจึงตรัสว่า เครื่องประดับที่โอรสของเรา ให้เป็นอันให้ดีแล้ว แล้วทรงให้ช่างทำเครื่องประดับอย่างอื่นอีก. พระกุมาร ก็ทรงให้อีก. เมื่อเป็นทารกนั่นเองได้ทรงให้เครื่องประดับแก่พวกแม่นม ถึง ๙ ครั้ง. เมื่อพระชนม์ได้ ๘ พระพรรษา บรรทมเหนือพระยี่ภู่ทรงดำริว่า เราให้ทานภายนอก. ทานนั้นก็ไม่พอใจเรา. เราประสงค์จะให้ทานภายใน หากว่าใครๆ พึงขอหทัยกะเรา. เราจะนำหทัยออกให้. หากพึงขอจักษุกะเรา. เราก็จักควักจักษุให้. หากพึงขอเนื้อหรือเลือดในร่างกายทั้งสิ้นของเรา. เรา ก็จะเชือดเนื้อจากร่างกายทั้งสิ้น เอาดาบเจาะเลือดให้. แม้ใครๆ จะพึง กล่าวว่า ขอท่านจงเป็นทาสของเราเถิด เราก็จะประกาศแล้วให้ตนแก่เขา. เมื่อพระกุมารทรงดำริตามความจริงพร้อมด้วยสมบัติอันสำคัญอย่างนี้ มหาปฐพีนี้หนา ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์หวั่นไหว จนถึงที่สุดของน้ำ. ภูเขาสิเนรุโน้ม แล้วตั้งตรงไปยังพระนครเชตุดร.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า:- ในกาลเมื่อเราเป็นทารกอายุ ๘ ปี แต่กำเนิดในกาลนั้น เรานั่งอยู่ในปราสาท คิดเพื่อจะให้ทานว่า เราพึงให้หทัย จักษุ แม้เนื้อและเลือดเราพึงให้ ทานทั้งกาย ถ้าใครได้ยินแล้วพึงขอกะเรา เมื่อ เราคิดถึงความเป็นจริง จิตของเราไม่หวั่นไหว ไม่หดหู่ ในขณะนั้นแผ่นดิน ภูเขาสิเนรุได้ หวั่นไหว. ในบทเหล่านั้น บทว่า สาเวตฺวา คือประกาศความเป็นทาสว่า ตั้งแต่วันนี้ไปเราจะเป็นทาสของบุคคลนี้. บทว่า ยทิ โกจิ ยาจเย มมํ คือผิว่าใครพึงขอกะเรา. บทว่า สภาวํ จินฺตยนฺตสฺส เราคิดถึงความเป็นจริง คือ เราคิดถึงความเป็นจริงตามสภาพของตน อันไม่วิปริตตามอัธยาศัยอัน ไม่อิ่ม อธิบายว่า เมื่อเราคิด. บทว่า อกมฺปิตํ คือปราศจากความหวั่นไหว. บทว่า อสณฺฐิตํ คือประกาศความหดหู่. อธิบายว่า เพราะจิตหวั่นไหว กล่าวคือ จิตหวาดสะดุ้งในการให้จักษุเป็นต้นของผู้ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ด้วย ความโลภเป็นต้น และจิตซบเซากล่าวคือความหดหู่. เว้นจากจิตนั้น. บทว่า อกมฺปิ คือได้หวั่นไหว. บทว่า สิเนรุวนวฏํสกา คือสิเนรุวันอันเป็นสวน ย่อมกำหนดด้วยนันทวัน ปารุสกวัน มิสสกวัน จิตรลดาวัน เป็นต้นอันตั้ง ขึ้นที่ภูเขาสิเนรุ. อีกอย่างหนึ่งสิเนรุ และสวนเป็นที่น่ารื่นรมย์ในชมพูทวีป เป็นต้นชื่อว่า สิเนรุวัน ชื่อว่า สิเนรุวนวฏํสกา เพราะสวนนั้นมีลักษณะ เป็นเครื่องประดับ.

อนึ่ง เมื่อแผ่นดินไหวเป็นไปอยู่อย่างนี้ ท้องฟ้ากระหึ่มยังฝนชั่วคราว ให้ตก. สายฟ้าแลบ. ระลอกซัดในมหาสมุทร. ท้าวสักกเทวราชปรบพระหัตถ์ มหาพรหมซ้องสาธุการ. ความเอิกเกริกโกลาหลได้มีขึ้นจนถึงพรหมโลก พระมหาสัตว์เมื่อมีพระชนม์ได้ ๑๖ พรรษา ก็ทรงสำเร็จศิลปะทุกแขนง พระบิดาของพระองค์มีพระประสงค์จะทรงมอบราชสมบัติให้ จึงทรงปรึกษา กับพระชนนีนำพระราชกัญญาพระนามว่ามัทรี ผู้เป็นพระธิดาของพระเจ้าลุง จากตระกูลมัททราชแล้วทรงแต่งตั้งให้เป็นพระอัครมเหสี เป็นหัวหน้าของ สตรี ๑๖,๐๐๐ นาง แล้วอภิเษกพระมหาสัตว์ให้ครองราชสมบัติ. พระมหาสัตว์ตั้งแต่ทรงครองราชสมบัติ ทรงสละพระราชทรัพย์วันละ ๖๐๐,๐๐๐ ทุก วัน ทรงบริจาคมหาทาน เสด็จทรงตรวจตราทานทุกกึ่งเดือน. ครั้นต่อมา พระนางมัทรีประสูติพระโอรส. พวกอำมาตย์รับพระองค์ด้วยข่ายทอง. เพราะ เหตุนั้น จึงขนานพระนามว่า ชาลีกุมาร. เมื่อพระชาลีกุมารทรงดำเนินได้ พระนางมัทรีได้ประสูติพระธิดาอีกองค์หนึ่ง. พวกอำมาตย์รับพระธิดานั้นไว้ ด้วยหนังหมีดำ. เพราะเหตุนั้นจึงขนานพระนามว่า กัณหาชินา.

ดังที่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า:- ในวันอุโบสถเดือนเต็ม ๑๕ ค่ำ ทุกกึ่ง เดือน เราขึ้นคอมงคลหัตถีปัจจัยนาค เข้าไป ยังศาลาเพื่อจะให้ทาน. ในบทเหล่านั้น บทว่า อนฺวทฺธมาเส ทุกกึ่งเดือน. อธิบายว่าทุกๆ กึ่งเดือน. บทว่า ปุณฺณมาเส คือในเดือนเพ็ญ พึงทราบการเชื่อมความว่า เมื่อถึงวัน ๑๕ ค่ำ ในเดือนเพ็ญและพระจันทร์เต็มดวง เราเข้าไปยังโรงทาน เพื่อให้ทาน. ในบทนั้นโยชนาแก้ไว้ว่า เราขึ้นคอมงคลหัตถีปัจจัยนาคเข้าไป ยังโรงทานเพื่อให้ทานทุกกึ่งเดือน. อนึ่ง ในกาลใดเมื่อเราเข้าไปอย่างนี้ได้ เข้าไปเพื่อให้ทานในวันอุโบสถเดือนเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ครั้งหนึ่ง. ในกาลนั้น พราหมณ์ชาวแคว้นกาลิงคะได้เข้าไปหาเรา. บทว่า ปจฺจยํ นาคํ คือมงคล หัตถี ชื่อว่าปัจจัยนาค. เพราะในวันที่พระโพธิสัตว์ประสูติ แม้ช้างเที่ยวไป ในอากาศเชือกหนึ่ง นำลูกช้างเผือกตลอดตัวเป็นช้างที่เขาถือว่าเป็นมงคลยิ่ง มาปล่อยไว้ในที่ของมงคลหัตถีแล้วก็กลับไป. เพราะช้างนั้นได้มาเพราะ พระมหาสัตว์เป็นปัจจัย จึงตั้งชื่อว่าปัจจัยนาค. เราขึ้นช้างมงคลนั้นที่ชื่อว่า ปัจจัยนาคเข้าไปยังโรงทานเพื่อให้ทาน

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า:- พราหมณ์ทั้งหลายชาวกาลิงครัฐได้มาหา เรา ได้มาขอพระยาคชสารทรงอันประกอบด้วย มงคลหัตถีกะเราว่า ชนบทฝนไม่ตกเกิดทุพภิกขภัยอดอยากมากมาย ขอพระองค์โปรด พระราชทานพระยาคชสารตัวประเสริฐ เผือก ผ่องอันเป็นช้างมงคลอุดม. ในบทเหล่านั้น คาถามีอาทิว่า กาลิงฺครฏฺฐวิสยา มาแล้วแม้ในกุรุราชจริยาในหนหลัง. เพราะฉะนั้น ความแห่งคาถาเหล่านั้นและกถามรรค พึง ทราบตามนัยดังกล่าวแล้วในกุรุราชจริยานั้นนั่นแล. แต่ในที่นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า สพฺพเสตํ คชุตฺตมํ เป็นช้างเผือกผ่องเป็นมงคลอุดม.

พระโพธิสัตว์นั้นทรงขึ้นคอพระยาคชสาร เมื่อจะทรงประกาศความยินดี อย่างยิ่งในทานของพระองค์ว่า:- พราหมณ์ทั้งหลายขอสิ่งใดกะเรา เราย่อม ให้สิ่งนั้นไม่หวั่นไหวเลย เราไม่ซ่อนเร้นของ ที่มีอยู่ ใจของเรายินดีในทาน. ทรงปฏิญาณว่า:- เมื่อยาจกมาถึงแล้ว การห้ามไม่สมควร แก่เรา กุสลสมาทานของเราอย่าทำลายเสีย เรา จักให้คชสารตัวประเสริฐ. แล้วเสด็จลงจากคอคชสาร ทรงพิจารณาเพื่อตรวจดูสถานที่ที่มิได้ตก แต่ง มิได้ทรงเห็นสถานที่ที่มิได้ตกแต่ง จึงทรงจับพระเต้าทองเต็มไปด้วย น้ำหอมเจือดอกไม้ ตรัสว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลายจงมาข้างนี้ แล้วทรงจับงวง คชสารเช่นกับพวงเงินที่ตกแต่งแล้ววางไว้บนมือของพวกพราหมณ์ ทรงหลั่ง น้ำแล้วพระราชทานพระยาคชสารที่ตกแต่งไว้เป็นอย่างดีแก่พวกพราหมณ์.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า:- เราได้จับงวงพระยาคชสารวางลงบนมือ พราหมณ์ แล้วจึงหลั่งน้ำในเต้าทองลงบนมือ ได้ ให้พระยาคชสารแก่พราหมณ์ทั้งหลาย. ในบทเหล่านั้น บทว่า สนฺตํ คือไทยธรรมอันมีอยู่. บทว่า นปฺปฏิคุยฺหามิ คือไม่ปกปิด. เพราะผู้ใดคิดว่า ของของตนต้องเป็นของเราเท่านั้น ดังนี้. หรือเขาขอแล้วปฏิเสธ. ผู้นั้นชื่อว่าปกปิดแม้ของที่ตั้งไว้ต่อหน้าผู้ขอ ทั้งหลายโดยใจความ. ส่วนพระมหาสัตว์มีพระประสงค์จะพระราชทาน ทาน ภายในตั้งแต่ศีรษะเป็นต้นของพระองค์. จะทรงปฏิเสธทานภายนอกได้ อย่างไร. เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า สนฺตํ นปฺปฏิคุยฺหามิ เราไม่ซ่อนเร้นของมีอยู่. ดังที่ตรัสไว้ว่า ทาเน เม รมเต มโน ใจของเรา ยินดีในทานดังนี้. บทที่เหลือมีความดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล. เครื่องประดับที่เท้าทั้ง ๔ ของคชสารนั้น มีค่า ๔๐๐,๐๐๐. เครื่อง ประดับที่ข้างทั้งสอง มีค่า ๒๐๐,๐๐๐. ผ้ากัมพลที่ใต้ท้อง มีค่า ๑๐๐,๐๐๐. ข่าย บนหลัง ๓ ข่าย คือ ข่ายแก้วมุกดา ข่ายแก้วมณี ข่ายทองคำ มีค่า ๓๐๐,๐๐๐. เครื่องประดับหูทั้งสองข้าง มีค่า ๒๐๐,๐๐๐. ผ้ากัมพลที่ลาดบนหลัง มีค่า ๑๐๐,๐๐๐. เครื่องประดับกระพอง มีค่า ๑๐๐,๐๐๐. พวงมาลัย ๓ พวง มีค่า ๓๐๐,๐๐๐. เครื่องประดับปลายหู มีค่า ๑๐๐,๐๐๐. เครื่องประดับงาทั้งสองข้าง มีค่า ๒๐๐,๐๐๐. เครื่องประดับตาบทาบทีงวง มีค่า ๑๐๐,๐๐๐. เครื่องประดับ หาง มีค่า ๑๐๐,๐๐๐. บันไดพาด มีค่า ๑๐๐,๐๐๐. ภาชนะใส่อาหาร มีค่า ๑๐๐,๐๐๐. ของประมาณเท่านี้ มีค่าสองล้านสี่แสนนอกจากของที่หาค่ามิได้. ของหาค่ามิได้ ๖ อย่างเหล่านี้คือ แก้วมณีที่พุ่มฉัตร ๑ จุฬามณี ๑ แก้ว มุกดาหาร ๑ แก้วมณีที่ขอ ๑ แก้วมุกดาหารที่สวมคอคชสาร ๑ แก้วมณี ที่กระพอง ๑ แม้ช้างก็หาค่ามิได้เหมือนกัน รวมของหาค่ามิได้ ๗ อย่าง กับช้าง. พระโพธิสัตว์ได้พระราชทานของทั้งหมดเหล่านั้นแก่พราหมณ์ทั้ง หลาย อนึ่ง ได้พระราชทานตระกูลบำรุงช้าง ๕๐๐ ตระกูลพร้อมด้วยควานช้าง และคนเลี้ยงช้าง. อนึ่ง พร้อมกับพระราชทานได้เกิดอัศจรรย์มีแผ่นดินไหว เป็นต้น โดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลัง.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส ไว้ว่า:- เมื่อเราได้ให้พระยาคชสารอันอุดมเผือก ผ่องอีก แม้ในกาลนั้นแผ่นดิน เขาสิเนรุราช และป่าก็ได้หวั่นไหว. ในเมื่อเราให้คชสารอันประเสริฐ ความ น่ากลัว ความสยดสยองพองขนได้เกิดขึ้น แผ่นดินก็หวั่นไหว. บทว่า ตสฺส นาคสฺส ทาเนน เพราะให้คชสารนั้นคือเพราะ บริจาคมงคลหัตถีนั้น พร้อมด้วยสิ่งของเครื่องประดับมีค่าสองล้านสี่แสนกับ ของอันหาค่ามิได้อีก ๖ อย่าง. บทว่า สิวโย คือ สีพีราชกุมารทั้งหลาย และชาวแคว้นสีพี. อนึ่งบทว่า สิวโย นี้เป็นหัวข้อเทศนา. เพราะเหล่า อำมาตย์ ชุมชน พราหมณ์ คหบดี ชาวนิคม ชาวชนบท ชาวเมือง ชาว แคว้นทั้งสิ้น ทั้งหมด ยกเว้น พระสญชัยมหาราช พระนางผุสดี และ พระนางมัทรี ชื่อว่า ชาวสีพีในบทว่า สิวโย นั้น. บทว่า กุทฺธา พากัน โกรธเคือง คือโกรธเคืองพระโพธิสัตว์ด้วยเทวดาดลใจ. บทว่า สมาคตา คือประชุมกัน.

นัยว่าพราหมณ์เหล่านั้น ครั้นได้คชสารแล้วก็ขึ้นคชสารนั้นเข้าไป ทางประตูใหญ่พากันดื่มถวายพระพร ณ ท่ามกลางพระนคร. อนึ่ง เมื่อมหา ชนพูดกันว่า พราหมณ์ผู้เจริญท่านขี่ช้างของเรามาจากไหน พราหมณ์ทั้ง หลายบอกว่า พระเวสสันดรมหาราช พระราชทานแก่พวกเรา พวกท่าน เป็นใคร แล้วโบกมือไล่ พากันเดินทางต่อไป. ลำดับนั้นมหาชนมีพวกอำมาตย์เป็นต้น พากันมาประชุมที่ประตู พระราชวังกล่าวโทษว่า พระราชาควรพระราชทานทรัพย์ ข้าวเปลือก นา ไร่สวน หรือทาสหญิงชายและนางกำนัลแก่พวกพราหมณ์. พระเวสสันดร มหาราช พระราชทานมงคลหัตถีอันเป็นช้างพระที่นั่งนี้ไปได้อย่างไร. บัดนี้ พวกเราจักไม่ให้ราชสมบัติต้องพินาศไปอย่างนี้ จึงกราบทูลความนั้นแต่ พระเจ้ากรุงสญชัยมหาราช พระเจ้ากรุงสญชัยมหาราชทรงเห็นด้วยตามคำ แนะนำ รับจะทำตาม แล้วก็พากันกลับไป. แต่พวกพราหมณ์ยังได้กราบทูล ว่า:- พระองค์อย่าฆ่าพระเวสสันดรนั้น ด้วย ท่อนไม้ หรือศัสตราเลย พระเวสสันดรนั้นไม่ ควรแก่เครื่องพันธนาการเลย แต่ขอพระองค์ จงขับไล่พระเวสสันดรออกจากแว่นแคว้นไป อยู่ ณ เขาวงกตเถิด พระเจ้าข้า.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ปพฺพาเชสุํ สกา รฏฺฐา, วงฺกํ คจฺฉตุ ปพฺพตํ ชาวกรุงสีพีประชุมกันขับไล่เราจากแคว้นของตนว่า จงไปยังเขา วงกต. ในบทเหล่านั้น บทว่า ปพฺพาเชสุํ พากันขับไล่ คือได้ทำความพยายาม เพื่อให้ไปอยู่ภายนอกจากราชสมบัติ.

แม้พระราชาก็ทรงดำริว่า นี้เป็นปฏิปักษ์ใหญ่หลวงนัก เอาเถิดโอรส ของเราจงอยู่ภายนอกราชสมบัติสักเล็กน้อยก่อนแล้วตรัสว่า:- หากชาวเมืองสีพีมีความพอใจเช่นนั้น เรา ก็ไม่ขัดความพอใจ แต่ขอให้โอรสของเราอยู่ บริโภคกามทั้งหลายตลอดคืนนี้ก่อน จากนั้น เมื่อสิ้นราตรีพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ชาวเมืองสีพี จงพร้อมใจกันขับไล่ เธอจงออกจากแว่น แคว้นเถิด. แล้วส่งนักการไปยังสำนักของพระโอรสด้วยพระดำรัสว่า เจ้าจงบอก ข่าวนี้แก่โอรสของเรา.

แม้พระมหาสัตว์ได้ทรงสดับดังนั้น จึงตรัสถามถึงเหตุผลว่า:- ดูก่อนนักการชาวกรุงสีพี พากันโกรธเรา ในเพราะเรื่องอะไร เรายังไม่เห็นความชั่วของ เรา ท่านจงบอกความชั่วนั้นแก่เรา เพราะ เหตุไรจึงพากันขับไล่เรา.

เมื่อนักการกราบทูลว่า เพราะพระองค์พระราชทานคชสาร พระเจ้าข้า

พระเวสสันดรทรงมีความโสมนัสยิ่งนัก ตรัสว่า:- เราจะให้หทัย ให้จักษุ เงินทอง แก้วมุกดา แก้วไพฑูรย์ และแก้วมณี เป็นเพียง ทรัพย์ภายนอกของเรา จะเป็นอะไร. เมื่อยาจกมา ถึงแล้วเห็นยาจกแล้ว จะ ให้แขนขวา ซ้าย เราไม่หวั่นไหว เพราะใจของ เรายินดีในทาน. ชาวกรุงสีพีทั้งปวง จงขับไล่ หรือจงฆ่า เราก็ตาม หรือจงตัดเราเป็น ๗ ท่อนก็ตามเถิด เราจักงดการให้ทานเสียมิได้เลย. แล้วมีพระดำรัสต่อไปว่า ชาวเมืองทั้งหลายจงให้โอกาสแก่เรา เพื่อ ให้ทานสักวันหนึ่งเถิด พรุ่งนี้เราให้ทานแล้วในวันที่ ๓ จักไป แล้วทรงส่ง นักการไปยังสำนักของพวกพราหมณ์ รับสั่งกะอำมาตย์ผู้ดูแลราชกิจทั้งปวง ว่า. พรุ่งนี้เราจักให้สัตตสดกมหาทาน (การให้ทานครั้งใหญ่อย่างละ ๗๐๐) คือช้าง ๗๐๐ ม้า ๗๐๐ รถ ๗๐๐ หญิง ๗๐๐ โคนม ๗๐๐ ทาสชาย ๗๐๐ ทาสหญิง ๗๐๐. ท่านจงเตรียมไว้. จงจัดตั้งข้าวและน้ำเป็นต้น หลายๆ อย่าง อันเป็นของควรให้ทั้งหมด แล้วพระองค์องค์เดียวเท่านั้น เสด็จไปยังที่ประทับ ของพระนางมัทรี แล้วตรัสว่า ดูก่อนแม่มัทรีน้องเมื่อจะฝังทรัพย์อันจะติด ตามไป พึงให้ในผู้มีศีลทั้งหลาย แล้วทรงชักชวนพระนางมัทรีในการ บริจาคทาน

ทรงแจ้งถึงเหตุที่พระองค์จะเสด็จไปให้พระนางทรงทราบแล้ว ตรัสว่า พี่จักไปอยู่ป่า ขอให้น้องจงอยู่ในพระนครนี้เถิด อย่าติดตามไปเลย.

พระนางมัทรีทูลว่า ข้าแต่พระราชสวามี หม่อมฉันเว้นพระองค์เสียแล้วจัก ขออยู่แม้วันเดียว.

ในวันที่สอง พระเวสสันดรทรงบริจาคสัตตสดกมหาทาน. เมื่อพระเวสสันดรทรงบริจาคสัตตสดกมหาทานนั่นเองก็ถึงเวลาเย็น. พระองค์เสด็จ โดยรถที่ตกแต่งแล้วไปเฝ้าพระมารดาพระบิดา ทูลลาพระมารดาพระบิดาว่า พรุ่งนี้ลูกจักไป เมื่อพระมารดาพระบิดาไม่ทรงประสงค์ทรงพระกันแสงมีน้ำ พระเนตรนองพระพักตร์ พระเวสสันดรถวายบังคมแล้วกระทำประทักษิณ เสด็จออกจากที่นั้น ในวันนั้นพระองค์ประทับอยู่ในพระราชนิเวศน์ของ พระองค์ วันรุ่งขึ้นทรงดำริว่า เราจักไปละจึงเสด็จลงจากปราสาท. พระนางมัทรีแม้พระสัสสุ (แม่ผัว) พระสัสสุระ (พ่อผัว) ขอร้องโดยนัยต่างๆ ให้กลับก็มิได้ทรงเชื่อฟังพระดำรัสของพระสัสสุและพระสัสสุระ ถวายบังคม แล้วทรงกระทำประทักษิณ ทรงอำลาบรรดาสตรีที่เหลือ พาพระโอรสและ ธิดาทั้งสองเสด็จไปหาพระเวสสันดรก่อนประทับยืนอยู่บนรถ. พระมหาบุรุษเสด็จขึ้นรถประทับยืนบนรถทรงอำลามหาชน ทรง ประทานโอวาทแก่มหาชนว่า พวกท่านจงอย่าประมาทกระทำบุญมีทานเป็น ต้น แล้วเสด็จออกจากพระนคร. พระมารดาของพระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า โอรสของเราปลาบปลื้มอยู่กับการให้ทาน จงให้ทานเถิด จึงทรงส่งเกวียน เต็มไปด้วยรตนะ ๗ ประการพร้อมด้วยเครื่องอาภรณ์ไปทั้งสองข้าง. พระมหาบุรุษพระราชทานเครื่องประดับที่ติดไปกับพระวรกายของพระองค์ แก่ ยาจกที่เข้าไปขอถึง ๑๘ ครั้ง ได้พระราชทานสิ่งที่เหลือจนหมด. พระองค์ เสด็จออกจากพระนคร ได้มีพระประสงค์จะเหลียวทอดพระเนตรพระนคร. ทันใดนั้น ด้วยบุญญานุภาพของพระองค์ มหาปฐพีในที่ชั่วคันรถได้แยกหมุน กลับทำรถให้บ่ายหน้าไปยังพระนคร. พระมหาสัตว์ทอดพระเนตรที่ประทับ ของพระชนกชนนี. ด้วยพระมหากรุณานั้นมหาปฐพีก็ได้ไหว.

ดังที่พระ ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า เตสํ นิจฺฉุภมานานํ ดังนี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า นิจฺฉุภมานานํ คือเมื่อชาวกรุงสีพีเหล่านั้น คร่าออกไป คือขับไล่. หรือเมื่อกษัตริย์เหล่านั้นเสด็จออกไป. บทว่า มหาทานํ ปวตฺเตตุํ คือเพื่อบริจาคสัตตสดกมหาทาน. บทว่า อยาจิสฺสํ คือ เราได้ขอแล้ว. บทว่า สาวยิตฺวา คือประกาศ. บทว่า กณฺณเภรึ คือ กลองใหญ่คู่หนึ่ง. บทว่า ททามหํ คือเราให้มหาทาน. บทว่า อเถตฺถ ในโรงทานนี้ คือเมื่อเราให้ทานในโรงทานนี้. บทว่า ตุมูโล คือเสียงดัง กึกก้องอึงมี่. บทว่า เภรโว คือน่ากลัว. จริงอยู่เสียงนั้นทำให้คนอื่นกลัว เว้นพระมหาสัตว์. เพื่อทรงแสดงอาการที่เสียงนั้นให้เกิดความกลัวจึงตรัสว่า ทาเนนิมํ ดังนี้ ความว่า ชาวกรุงสีพีพากันขับไล่พระเวสสันดรมหาราชนี้ ออกจากแว่นแคว้น เพราะเหตุการให้. แม้กระนั้นพระเวสสันดรมหาราชนี้ ก็ยังให้ทานเช่นนั้นอยู่อีก. บัดนี้เพื่อทรงแสดงทานนั้น จึงตรัสคาถาว่า หตฺถึ ดังนี้เป็นต้น. ในบทเหล่านั้น บทว่า ควํ คือแม่โคนม. บทว่า จตฺวาหึ รถํ ทตฺวา เราให้ม้าสินธพ ๔ ตัวและรถ คือม้าชื่อว่า วาหิน เพราะนำไป อธิบายว่า ให้ม้าสินธพอาชาไนย ๔ ตัว และรถแก่พวกพราหมณ์.

จริงอยู่พระมหาสัตว์ เมื่อเสด็จออกจากพระนครอย่างนั้น ทรงให้ อำมาตย์ ๖๐,๐๐๐ และชนที่เหลือซึ่งมีหน้านองด้วยน้ำตา ติดตามไป กลับ ทรงขับรถไปด้วยพระองค์เอง ตรัสกะพระนางมัทรีว่า นี่แน่ะน้องหากมียาจก ตามมาข้างหลัง. น้องคอยดูด้วย. พระนางมัทรีประทับนั่งดูอยู่. ลำดับนั้น พราหมณ์ ๔ คนไม่อาจมาทันรับสัตตสดกมหาทานของพระองค์ และทานที่ พระองค์ทรงบริจาคในขณะเสด็จได้จึงพากันเดินทางมาถามว่า พระเวสสันดร ประทับอยู่ที่ไหน เมื่อเขาตอบว่า พระองค์ทรงให้ทานเสด็จโดยรถกลับไป แล้ว จึงคิดว่าเราจักขอม้า จึงติดตามไป. พระนางมัทรีทรงเห็นพราหมณ์ เหล่านั้นเดินมา จึงกราบทูลว่า ยาจกมาแล้วพระเจ้าพี่. พระมหาสัตว์ทรง จอดรถ. พวกพราหมณ์เหล่านั้นจึงกราบทูลขอม้า. พระมหาสัตว์ทรงให้ม้า. พวกพราหมณ์รับม้าแล้วก็พากันกลับ. ก็เมื่อพระราชทานม้าแล้ว แอกรถก็ ตั้งอยู่บนอากาศนั่นเอง. ลำดับนั้นเทพบุตร ๔ องค์มาด้วยเพศของละมั่งรับ แอกรถไว้แล้วลากไป. พระมหาสัตว์ทรงทราบว่า ละมั่งนั้นเป็นเทพบุตร จึงตรัสกะพระนางมัทรีว่า:- ดูก่อนแม่มัทรี เชิญดูเถิด เนื้อละมั่ง ปรากฏรูปร่างงดงาม เหมือนม้าที่ชำนาญพาเรา ไป

ในบทเหล่านั้น บทว่า จิตฺตรูปํว มีรูปน่าอัศจรรย์. บทว่า ทกฺขิณสฺสา คือเหมือนม้าที่ชำนาญพาเราไป.

ครั้งนั้นพราหมณ์อีกคนหนึ่งมาทูลขอรถที่กำลังแล่นอยู่นั้น. พระมหาสัตว์ทรงให้โอรสและมเหสีลง พระราชทานรถ. เมื่อพระราชทานรถ แล้ว เทพบุตรก็หายไป. ตั้งแต่นั้นกษัตริย์ทั้ง ๔ พระองค์ก็ทรงดำเนินด้วย พระบาท. ลำดับนั้นพระมหาสัตว์ตรัสว่า ดูก่อนแม่มัทรี น้องอุ้มกัณหา พี่จะ อุ้มพ่อชาลี ทั้งสองพระองค์ก็เอาพระกุมารกุมารีทั้งสองเข้าเอวไป ทรง สนทนาปราศรัยเป็นที่รักซึ่งกันและกัน. ตรัสถามทางที่จะไปเขาวงกตกะพวก มนุษย์ที่เดินสวนทางมา. เมื่อต้นไม้ผลโน้มลงมาเอง ก็เก็บผลไม้ให้พระโอรส และธิดา เพราะเทวดาผู้ใคร่ประโยชน์ย่อทางให้ จึงบรรลุถึงเจตรัฐในวันนั้น นั่นเอง.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า จตฺวาหึ รถํ ทตฺวา เป็นอาทิ. ในบทเหล่านั้น บทว่า ฐตฺวา จาตุมฺมหาปเถ ยืนอยู่ที่ทางใหญ่ ๔ แยก ความว่า ยืนอยู่ที่ทาง ๔ แพร่ง เพราะทางที่ตนมาและทางที่พราหมณ์ นั้นมาทะลุบรรจบกัน แล้วให้รถแก่พราหมณ์นั้น. บทว่า เอกากิโย คือ ผู้เดียวไม่มี เพราะไม่มีเพื่อนมีอำมาตย์และเสวกเป็นต้น. ดังที่ท่านกล่าวว่า อทุติโย ไม่มีเพื่อน. บทว่า มทฺทิเทวึ อิทมพฺรวิ คือได้กล่าวกะพระนาง มัทรีเทวีดังนี้. บทว่า ปทุมํ ปุณฺฑรีกํ ว ดุจดอกประทุม และดุจบัวขาว. บทว่า กณฺหาชินคฺคาหี พระนางมัทรีทรงอุ้มแก้วกัณหา. บทว่า อภิชาตา คือสมบูรณ์ด้วยชาติ. บทว่า วิสมํ สมํ คือภูมิประเทศขรุขระและเรียบ. บทว่า เอนฺติ คือมา. บทว่า อนุมคฺเค ปฏิปฺปเถ คือเดินตามมาก็ดี สวนทางก็ดี. พึงเห็นว่าลบ วา ศัพท์เสีย. บทว่า กรุณํ คือสงสาร. อธิบายว่า คือความเป็นผู้ประกอบด้วยกรุณา. บทว่า ทุกฺขํ เต ปฏิเวเทนฺติ กษัตริย์ เหล่านั้นคงได้เสวยทุกข์อย่างยิ่ง คือกษัตริย์เหล่านี้เป็นสุขุมาลชาติ ทรง ดำเนินด้วยพระบาทอย่างนี้ เขาวงกตจากนี้ยังอีกไกล เพราะเหตุนั้นกษัตริย์ เหล่านั้น ตนเองได้รับทุกข์เพราะความสงสารในพวกเราในครั้งนั้น. หรือ เสวยทุกข์อันเกิดขึ้นแก่ตน. บทว่า ปวเน คือในป่าใหญ่. บทว่า ผลิเน คือมีผล. บทว่า อุพฺพิทฺธา คือสูงมาก. บทว่า อุปคจฺฉนฺติ ทารเก ความว่า ต้นไม้ทั้งหลาย โน้มกิ่งเข้าหาพระกุมารกุมารีเอง โดยที่พระกุมารกุมารีเอื้อมพระหัตถ์จับดึง. บทว่า อจฺฉริยํ คือประกอบด้วยความอัศจรรย์ คือควรแก่ปรบมือให้. ชื่อว่า อพฺภูตํ เพราะไม่เคยมีมาก่อน. ชื่อว่า โลมหํสนํ เพราะสามารถ ทำให้ขนลุกขนพอง. บทว่า สาหุการํ คือสาธุการ. ชื่อว่า สพฺพงฺคโสภณา เพราะมีอวัยวะทั้งหมดงดงาม. บทว่า อจฺเฉรํ วต คือน่าอัศจรรย์. บทว่า เวสฺสนฺตรสฺส เตเชน คือด้วยบุญญานุภาพของพระเวสสันดร. บทว่า สงฺขิปึสุ ปถํ ยกฺขา ทวยเทพย่นทางให้ คือทวยเทพ อันบุญเดชของ พระโพธิสัตว์กระตุ้นจึงย่นทางให้ คือทำให้สั้น. ทำดุจกรุณาในพระกุมารกุมารี

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อนุกมฺปาย ทารเก คือด้วยความ เอ็นดูในพระกุมารกุมารี. เพราะภูเขาชื่อว่า สุวรรณคิริตาละ จากกรุงเชตุดร ๕ โยชน์. แม่น้ำชื่อว่า โกนติมารา จากภูเขานั้น ๕ โยชน์. ภูเขาชื่อว่า มารัญชนาคีรีจากแม่น้ำนั้น ๕ โยชน์. บ้านทัณฑพราหมณคาม จากภูเขา นั้น ๕ โยชน์. มาตุลนครจากบ้านทัณฑพราหมณคามนั้น ๑๐ โยชน์. รวม ๓๐ โยชน์ จากกรุงเชตุดรถึงแคว้นนั้น. ทวยเทพอันบุญเดชของพระโพธิสัตว์กระตุ้นจึงย่นทางให้. กษัตริย์ทั้ง ๔ พระองค์จึงล่วงพ้นที่ทั้งหมดนั้น เพียงวันเดียวเท่านั้น.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า นิกฺขนฺตทิวเสเยว เจตรฏฺฐมุปาคมุํ ในวันที่เราออกจากกรุงสีพีนั้นเอง เราทั้ง ๔ ได้ไปถึง เจตรัฐ.

พระมหาสัตว์เสด็จถึงมาตุลนคร แคว้นเจตรัฐในตอนเย็นประทับนั่ง ในศาลาใกล้ประตูพระนครนั้น. ลำดับนั้นพระนางมัทรี ทรงเช็ดธุลีที่ พระบาทของพระมหาสัตว์แล้วทรงนวดพระบาท ทรงดำริว่า เราจักให้ชน ทั้งหลายรู้ว่า พระเวสสันดรเสด็จมาจึงเสด็จออกจากศาลา ประทับยืนที่ ประตูศาลา พอที่พระเวสสันดรจะทรงเห็น. บรรดาสตรีที่เข้าออกพระนคร เห็นพระนางมัทรี จึงพากันแวดล้อม. มหาชนเห็นพระนางมัทรีพระเวสสันดร และพระโอรสเสด็จมาอย่าง นั้นจึงไปกราบทูลพระราชา. พระราชา ๖๐,๐๐๐ ทรงกันแสงร่ำไร พากัน ไปเฝ้าพระเวสสันดร บรรเทาความเหน็ดเหนื่อยในการเดินทาง แล้วจึงทูล ถามถึงเหตุที่เสด็จมาอย่างนั้น. พระมหาสัตว์ตรัสเล่าเรื่องทั้งหมด ตั้งต้นแต่พระราชทานคชสาร. พระราชาเหล่านั้นได้สดับดังนั้นแล้วจึงปรึกษากันมอบราชสมบัติแก่พระองค์. พระมหาบุรุษตรัสว่า การที่เราจะรับราชสมบัติของพวกท่านยกไว้ก่อนเถิด. พระราชาขับไล่เราออกจากแว่นแคว้น. เพราะฉะนั้นเราจักไปเขาวงกต แม้ พระราชาเหล่านั้นทูลวิงวอนให้ประทับอยู่ ณ เจตรัฐนั้นมีประการต่างๆ ก็ มิได้ทรงพอพระทัยจะรับ ทรงขอร้องให้พระราชาเหล่านั้นจัดอารักขา ประทับอยู่ ณ ศาลานั้น ตลอดราตรี รุ่งขึ้นแต่เช้าตรู่ เสวยพระกระยาหารมีรส เลิศต่างๆ แล้ว แวดล้อมด้วยพระราชาเหล่านั้น เสด็จออกไปสิ้นทาง ๑๕ โยชน์ ประทับ ณ ประตูป่า รับสั่งให้พระราชาเหล่านั้นกลับ ได้เสด็จไป ตามทางที่พระราชาเหล่านั้นทูล สิ้นหนทาง ๑๕ โยชน์ข้างหน้า.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า:- ในกาลนั้นพระราชา ๖๐,๐๐๐ องค์ อยู่ใน มาตุลนคร ต่างก็ประนมกรพากันร้องไห้มาหา เราเจรจาปราศรัยกับโอรสของพระเจ้าเจตราช เหล่านี้ อยู่ ณ ที่นั้น ให้โอรสของพระเจ้าเจตราชเหล่านั้น กลับที่ประตูนั้นแล้ว ได้ไปยัง เขาวงกต. ในบทเหล่านั้น บทว่า ตตฺถ วตฺเตตฺวา สลฺลาปํ คือเจรจาปราศรัยด้วยคำให้เกิดความเบิกบานกับพระราชาที่มาประชุมกัน ณ ที่นั้น. บทว่า เจตปุตฺเตหิ คือโอรสของพระราชาเจตราช. บทว่า เต ตโต นิกขมิตฺวาน คือให้พระราชาเหล่านั้นกลับที่ประตู ประตูป่านั้น. บทว่า วงฺกํ อคมุ ปพฺพตํ เรา ๔ คน ได้มุ่งไปเขาวงกต.

ลำดับนั้นพระมหาสัตว์เสด็จไปตามทางที่พระเจตราชทูล เสด็จถึง ภูเขาคันธมาทน์ ทรงเห็นภูเขานั้น ประทับอยู่ ณ ที่นั้น จากนั้นทรงมุ่ง พระพักตร์ตรงไปยังทิศอุดร เสด็จไปถึงเชิงเขาเวปุลลบรรพตประทับนั่ง ณ ฝั่งแม่น้ำเกตุมดี เสวยน้ำผึ้งและเนื้อที่พรานป่าถวาย พระราชทานเข็มทองคำ แก่พรานป่า ทรงสรงสนาน ทรงดื่มระงับความกระวนกระวาย เสด็จออก จากฝั่งน้ำไปประทับนั่งพักผ่อน ณ โคนต้นไทร ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ยอดสานุบรรพต เสด็จลุกไปทรงบริหารพระวรกาย ณ นาลิกบรรพต เสด็จไปยังสระมุจลินท์ เสด็จถึงปลายทิศตะวันออกเฉียงเหนือทางฝั่งของสระ เสด็จเข้าไปยังช่องป่า โดยทางเดินทางเดียวเท่านั้น เลยช่องป่าไปถึงสระโบกขรณี ๔ เหลี่ยม ข้าง หน้าน้ำพุ เป็นภูเขาเข้าไปลำบาก. ขณะนั้นท้าวสักกะทรงรำพึงว่า พระมหาสัตว์เสด็จเข้าไปยังหิมวันตประเทศ ควรจะได้ที่ประทับ จึงทรงส่งวิษณุกรรมเทพบุตรไป มีเทวบัญชาว่า ท่านจงไปสร้างอาศรมบท ณ ที่รื่นรมย์ในหลืบภูเขาวงกต. วิษณุกรรมเทพบุตรรับเทวบัญชาแล้วจึงไปสร้างบรรณศาลาสองหลัง ที่จงกรมสองที่ ที่พัก กลางคืนและกลางวันสองแห่ง ปลูกไม้ดอกมีดอกสวยงามต่างๆ ไม้ผล กอดอก ไม้ และสวนกล้วยเป็นต้น ณ ที่นั้นๆ แล้วมอบบริขารบรรพชิตทั้งหมดให้ จารึกอักษรไว้ว่า ผู้ที่ประสงค์จะบรรพชา จงถือเอาเถิด แล้วมิให้อมนุษย์ เนื้อและนกที่มีเสียงน่ากลัวรบกวน เสร็จแล้วกลับไปยังที่ของตน. พระมหาสัตว์ทอดพระเนตรเห็นทางเดินทางเดียวทรงดำริว่า คงจัก เป็นที่อยู่ของนักบวช จึงให้พระนางมัทรี พระโอรสและธิดาประทับอยู่ ณ ที่นั้น เสด็จเข้าสู่อาศรมบท ทอดพระเนตรเห็นอักษร ทรงดำริว่า ท้าว สักกะทรงประทาน จึงทรงเปิดประตูบรรณศาลาเสด็จเข้าไป เอาพระขรรค์ และธนูออก เปลื้องผ้าสาฎก ทรงถือเพศฤๅษี ถือไม้เท้าเสด็จออกไปหาพระกุมารกุมารี ด้วยความสงบเช่นกับพระปัจเจกพุทธเจ้า. แม้พระนางมัทรีเทวี ทรงเห็นพระมหาสัตว์ก็ทรงหมอบแทบพระบาท ทรงกันแสงเสด็จเข้าอาศรมกับพระมหาสัตว์ แล้วเสด็จไปยังบรรณศาลาของ พระนาง ทรงถือเพศเป็นฤๅษี. ภายหลังทรงให้พระกุมารกุมารีเป็นดาบส กุมาร. พระโพธิสัตว์ทรงขอพรพระนางมัทรีว่า ตั้งแต่นี้ไปเราเป็นนักบวช แล้ว. ธรรมดาสตรีย่อมเป็นมลทินแก่พรหมจรรย์. บัดนี้เธออย่ามาหาเรา ในกาลอันไม่สมควรเลย. พระนางรับว่าดีแล้วพระเจ้าข้า แล้วขอพรพระมหาสัตว์บ้างว่า ข้าแต่พระองค์ ขอพระองค์ทรงแลดูโอรสธิดาอยู่ ณ บรรณศาลานี้เถิด หม่อมฉันจักแสวงหาผลาผลมาถวาย. ตั้งแต่นั้นพระนางมัทรีก็ ทรงนำผลาผลมาแต่ป่าทรงปรนนิบัติชนทั้ง ๓. กษัตริย์ทั้ง ๔ พระองค์ประทับอยู่ ณ หลืบภูเขาวงกตประมาณ ๗ เดือน.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส ไว้ว่า อามนฺตยิตฺวา เทวินฺโท วิสฺสกมฺมํ มหิทฺธิกํ ท้าวสักกะจอมเทพ ตรัสเรียกวิษณุกรรมเทพบุตรผู้มีฤทธิ์มากมาดังนี้เป็นอาทิ. ในบทเหล่านั้น บทว่า อามนฺตยิตฺวา คือตรัสเรียก. บทว่า มหิทฺธิกํ คือผู้ประกอบด้วยฤทธิ์มาก. บทว่า อสฺสมํ สุกตํ คือให้สร้างอาศรมบท ให้ดี. ความว่า บรรณศาลาอันสมควรเป็นที่ประทับของพระเวสสันดรน่ารื่นรมย์. บทว่า สุมาปยา คือให้สร้างให้ดี. บทว่า อาณาเปสิ เป็นคำ ที่เหลือ. บทว่า สุมาปยิ คือให้สร้างโดยชอบ. บทว่า อสุญฺโญ คืออาศรมนั้นไม่ว่างฉันใด เราเป็นผู้ไม่ว่างเพราะ ทำอาศรมนั้นไม่ให้ว่าง. ปาฐะว่า อสุญฺเญ คือเรารักษาเด็กทั้งสองคนอยู่ ในอาศรมอันไม่ว่าง ด้วยการอยู่ของเรา คือเราตั้งอยู่ในอาศรมนั้น.

ด้วย อานุภาพแห่งเมตตาของพระโพธิสัตว์ แม้สัตว์เดียรัจฉานทั้งปวงก็ได้เมตตา ในที่ ๓ โยชน์โดยรอบ. เมื่อกษัตริย์ทั้ง ๔ พระองค์ ประทับอยู่ ณ เขาวงกตนั้น พราหมณ์ ชูชก ชาวเมืองกลิงครัฐ เมื่อภรรยาชื่อว่าอมิตตตาปนา พูดว่าเราไม่สามารถ จะทำการซ้อมข้าว ตักน้ำ หุงข้าวยาคู และข้าวสวยแก่ท่านได้เป็นนิจ. ท่าน จงนำทาสชายหรือทาสหญิงมารับใช้เราเถิด ชูชกกล่าวว่า น้องเอ๋ย เราหรือ ก็ยากจน จะได้ทาสชายหรือทาสหญิงแต่ไหนมาให้น้องได้เล่า เมื่อนางอมิตตตาปนาบอกว่า ก็พระราชาเวสสันดรนั่นอย่างไรเล่า พระองค์ประทับ อยู่ที่เขาวงกต ท่านจงขอพระโอรสธิดาของพระองค์มาให้เป็นคนรับใช้เรา เถิด ชูชกไม่อาจละเลยถ้อยคำของนางได้ เพราะว่าที่มีใจผูกพันนางด้วยอำนาจกิเลส จึงให้นางเตรียมสะเบียง เดินทางถึงกรุงเชตุดรโดยลำดับ แล้ว ทำว่า พระเวสสันดรมหาราชอยู่ที่ไหน. มหาชนต่างเกรี้ยวกราดว่า ของพวกเรา เพราะทรงให้ทานยาจก พวกนี้จึงต้องถูกเนรเทศออกจากแว่นแคว้น. อีตาพราหมณ์เฒ่าผู้นี้ทำให้ พระราชาของพวกเราได้รับความพินาศแล้วยังมีหน้ามาถึงที่นี้อีก ต่างถือ ก้อนดินและท่อนไม้เป็นต้น ด่าว่าติดตามพราหมณ์ไป. พราหมณ์ชูชกนั้นเทวดาดลใจออกจากกรุงเชตุดร แล้วเดินตรงไปยัง ทางที่จะไปเขาวงกต ถึงประตูป่าโดยลำดับ หยั่งลงสู่ป่าใหญ่ หลงทางเที่ยว ไป เตลิดไปพบกับเจตบุตรซึ่งพระราชาเหล่านั้นทรงตั้งไว้เพื่ออารักขาพระโพธิสัตว์. เจตบุตรถามว่า จะไปไหนพราหมณ์. ชูชกบอกว่า จะไปหา พระเวสสันดรมหาราช. เจตบุตรคิดว่าอีตาพราหมณ์นี้น่าจะไปทูลขอพระ โอรสธิดาหรือพระเทวีของพระเวสสันดรเป็นแน่ จึงขู่ตะคอกว่า พราหมณ์ ท่านอย่าไปที่นั้นนะ. หากไปเราจะตัดหัวท่านเสียที่นี่แหละ แล้วให้สุนัข ของเรากิน ชูชกถูกขู่ก็กลัวตายจึงกล่าวเท็จว่า พระชนกของพระเวสสันดร ส่งเราเป็นทูตมาด้วยหมายใจว่าจักนำพระเวสสันดรกลับพระนคร. เจตบุตรได้ฟังดังนั้นก็ร่าเริงยินดี แสดงความเคารพนับถือพราหมณ์ จึงบอกทางไปเขาวงกตให้แก่พราหมณ์. พราหมณ์เดินทางออกจากนั้นใน ระหว่างทาง ได้พบกับอัจจุตดาบสจึงถามถึงหนทาง เมื่ออัจจุตดาบสบอก หนทางให้ จึงเดินไปตามทางตามเครื่องหมายที่อัจจุตดาบสบอก ถึงที่ตั้ง อาศรมบทของพระโพธิสัตว์โดยลำดับ จึงเข้าไปหาพระโพธิสัตว์ในเวลาที่ พระนางมัทรีเทวีไปหาผลไม้ แล้วทูลขอพระกุมารกุมารีทั้งสอง.

ดังที่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า:- เมื่อเราอยู่ในป่าใหญ่ ชูชกพราหมณ์ เดินเข้ามาหาเรา ได้ขอบุตรทั้งสองของเรา คือ พ่อชาลีและแม่กัณหาชินา. เมื่อพราหมณ์ทูลขอพระกุมารกุมารีอย่างนี้แล้วพระมหาสัตว์ทรงเกิด โสมนัสด้วยพระประสงค์ว่า นานแล้วยาจกมิได้มาหาเรา วันนี้เราจักบำเพ็ญ ทานบารมีโดยไม่ให้เหลือ ทรงยังจิตของพราหมณ์ให้ยินดีดุจวางถุงทรัพย์ ๑,๐๐๐ ลงบนมือที่เหยียดออก และยังหลืบเขานั้นทั้งสิ้นให้บรรลือตรัสว่า เราให้ลูกทั้งสองของเราแก่ท่าน. ส่วนพระนางมัทรีเทวีไปป่าเพื่อหาผลาผล แต่เช้าตรู่จักกลับก็ตอนเย็น. อนึ่งเมื่อนางมัทรีกลับ ท่านจงแสดงลูกทั้งสอง นั้นจงดื่มเคี้ยวรากไม้และผลาผล อยู่ค้างสักคืนหนึ่ง พอหายเมื่อย เช้าตรู่ จึงค่อยไป. พราหมณ์คิดว่า พระเวสสันดรนี้พระราชทานพระกุมารกุมารี เพราะมีพระอัธยาศัยกว้างขวางแท้ แต่พระนางมัทรีพระมารดามีความรัก บุตรกลับมาจะพึงทำอันตรายแก่ทานได้. ถ้ากระไรเราจะทูลแค่นไค้พระเวสสันดรนี้แล้ว พาโอรสทั้งสองไปวันนี้ให้จงได้จึงกราบทูลว่า หากพระองค์ พระราชทานพระโอรสทั้งสองแก่ข้าพระองค์แล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะ แสดงกะพระมัทรีแล้วจึงส่งไป. ข้าพระองค์จักขอพาโอรสทั้งสองไปในวันนี้ แหละ พระเจ้าข้า. พระเวสสันดรตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ หากท่านไม่ ปรารถนาจะเห็นพระนางมัทรีราชบุตรี. ท่านจงพาทารกทั้งสองนี้ไปยัง กรุงเชตุดร. ณ ที่นั้น พระสญชัยมหาราชจักรับทารกทั้งสองแล้วพระราชทานทรัพย์เป็นอันมากแก่ท่าน. ท่านจักมีทาสหญิงทาสชายได้ด้วยทรัพย์นั้น. และท่านก็จะมีชีวิตอยู่อย่างสบาย. อีกประการหนึ่งทารกทั้งสองนี้ก็เป็นสุขุมาลชาติ. เธอทั้งสองนั้นจักปรนนิบัติท่านได้อย่างไรเล่า. พราหมณ์ทูลว่า ข้าพระองค์มิอาจจะทำอย่างนั้นได้ ข้าพระองค์เกรง พระราชอาญา. ข้าพระองค์จักนำไปบ้านของข้าพระองค์เลย พระเจ้าข้า. ทารกทั้งสองได้สดับการสนทนาของพระบิดาและพราหมณ์ คิดว่า พระบิดา มีพระประสงค์จะพระราชทานเราทั้งสองแก่พราหมณ์ จึงเลี่ยงไปยังสระ โบกขรณีแอบที่กอประทุม. พราหมณ์ไม่เห็นพระกุมารกุมารี จึงทูลว่า พระองค์ตรัสว่า จะพระราชทานทารกทั้งสองแล้วให้ทารกทั้งสองหนีไป แล้วจึงทูลต่อว่าว่า นั่นเป็นอุบายวิธีที่ดีงามของพระองค์. ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ทรงรีบลุกขึ้นเที่ยวตามหาพระกุมารกุมารี ทรงเห็นทั้งสองแอบอยู่ที่กอปทุมจึงตรัสว่า ลูกรักทั้งสองจงขึ้นมาเถิด. ลูก ทั้งสองอย่าได้ทำอันตรายแก่ทานบารมีของพ่อเลย. จงให้อัธยาศัยในทาน ของพ่อถึงที่สุดเถิด. อนึ่ง พราหมณ์ผู้นี้พาลูกทั้งสองไปแล้วก็จักไปหา พระเจ้าสญชัยมหาราชซึ่งเป็นพระอัยกาของลูก. พ่อชาลีลูกรัก ลูกต้องการ จะเป็นไทก็พึงให้ทอง ,๐๐๐ แท่ง แก่พราหมณ์แล้วก็จะได้เป็นไท. ดูก่อน แม่กัณหาชินาลูกรัก ลูกควรให้สิ่งละ ๑๐๐ คือทาสชาย ๑๐๐ ทาสหญิง ๑๐๐ ช้าง ๑๐๐ ม้า ๑๐๐ โคอุสภะ ๑๐๐ ทองคำ ๑๐๐ แท่ง แล้วลูกก็จะพึง เป็นไท ทรงตีราคาค่าตัวลูกทั้งสองดังนี้แล้วทรงปลอบพากลับไปยังอาศรมบท เอาคนโทใส่น้ำแล้วหลั่งน้ำลงในมือของพราหมณ์ ทำให้เป็นปัจจัยแห่ง พระสัพพัญญุตญาณ ทรงเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ยังมหาปฐพีให้บรรลือ กัมปนาท ได้พระราชทานบุตรเป็นที่รัก. แม้ในจริยานี้ก็ได้มีแผ่นดินไหว เป็นต้นโดยนัยดังกล่าวแล้วในจริยาก่อน.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส ไว้ว่า:- เพราะได้เห็นยาจกเข้ามาหา ความร่าเริง เกิดขึ้นแก่เรา ในกาลนั้นเราได้พาบุตรทั้งสอง มาให้แก่พราหมณ์ เมื่อเราสละบุตรทั้งสอง ของตนให้แก่ชูชกพราหมณ์ในกาลใด แม้ใน กาลนั้น แผ่นดิน ภูเขาสิเนรุราชก็หวั่นไหว.

ครั้งนั้น พราหมณ์เอาเถาวัลย์ผูกพระหัตถ์ฉุดคร่าทารกทั้งสองผู้ไม่ อยากจะไป. ในพระหัตถ์ที่ผูกนั้นโลหิตไหลออกจากผิวหนัง. พราหมณ์เอา ท่อนเถาวัลย์ ตี ฉุดคร่าไป. พระกุมารกุมารีทรงเหลียวดูพระบิดาแล้วทูล ว่า:- ข้าแต่พระบิดา พระมารดาก็เสด็จไปป่า พระบิดาก็ทรงเห็นแต่ลูกทั้งสอง พระบิดา อย่าเพิ่งทรงให้ลูกไปเลยจนกว่าพระมารดาจะ กลับมา เมื่อนั้นแหละอีตาพราหมณ์เฒ่า จะ ขายหรือจะฆ่าลูกทั้งสองก็ตามที. ทูลต่อไปอีก มีอาทิว่า อีตาพราหมณ์เฒ่านี้ร้ายกาจนัก ทำการ หยาบช้า จะเป็นมนุษย์ หรือยักษ์ กินเนื้อและ เลือดออกจากบ้านมาสู่ป่า จะมาขอทรัพย์กะ พระบิดา เมื่อตาพราหมณ์เฒ่าปีศาจจะนำลูก ไป ไฉนพระบิดาจึงทรงมองดูเฉยอยู่เล่า. ทั้งสองพระกุมารกุมารีต่างกันแสงไห้. ในบทเหล่านั้น บทว่า ธนํ ได้แก่ทรัพย์คือบุตร. ชูชก เมื่อพระกุมารกุมารีร่ำไห้อยู่อย่างนั้นก็โบยฉุดกระชากหลีกไป. พระมหาสัตว์ทรงเกิดความเศร้าโศกเป็นกำลัง ด้วยความสงสารลูกทั้งสองที่ ร้องไห้ และด้วยความไม่สงสารของพราหมณ์. ในขณะนั้นเองทรงรำลึกถึง ประเพณีของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย. ทรงตำหนิพระองค์ว่า ธรรมดา พระโพธิสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงทรงสละมหาบริจาค ๕ แล้วจักเป็นพระพุทธเจ้า แม้เราก็เป็นผู้หนึ่งของพระโพธิสัตว์เหล่านั้น บริจาคบุตรทาน และมหา บริจาคอย่างใดอย่างหนึ่ง. เพราะฉะนั้น ดูก่อนเจ้าเวสสันดรการให้ทาน แล้วเดือดร้อนในภายหลังไม่สมควรแก่เจ้าเลย. แล้วทรงเตือนพระองค์ว่า ตั้งแต่เวลาที่เราให้ทานแล้วอะไรๆ ก็มิได้เป็นของเจ้า ทรงอธิษฐาน กุสลสมาทานมั่นคง ประทับนั่ง ณ ประตูบรรณศาลา ดุจพระปฏิมาทองคำ นั่งบนแผ่นหิน ฉะนั้น. ลำดับนั้น พระนางมัทรีเทวีหาบผลาผลจากป่าเสด็จกลับ เทพยดา ทั้งหลายจึงแปลงกายเป็นมฤคร้ายกั้นทางไว้ด้วยดำริว่า พระนางมัทรีจงอย่า เป็นอันตรายแก่ทานของพระมหาสัตว์เลย เมื่อมฤคร้ายหลีกไปแล้วพระนาง เสด็จถึงอาศรมช้าไป ทรงดำริว่าวันนี้เราฝันไม่ดีเลย และเกิดนิมิตร้ายขึ้นอีก. จักเป็นอย่างไรหนอ เสด็จเข้าไปยังอาศรมไม่ทรงเห็นพระกุมารกุมารี จึงเข้า ไปหาพระโพธิสัตว์ทูลว่า ข้าแต่พระทูลกระหม่อม หม่อมฉันไม่เห็นลูกทั้งสอง ของเรา. ลูกทั้งสองไปเสียที่ไหนเล่าเพคะ. พระโพธิสัตว์ทรงนิ่ง. พระนาง มัทรีค้นหาลูกทั้งสอง เที่ยวหาในที่นั้นๆ มิได้ทรงเห็นจึงกลับไปทูลถามอีก. พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า เราจักให้แม่มัทรีละความเศร้าโศกถึงบุตร ด้วยถ้อยคำหยาบจึงตรัสว่า:- แม่มัทรีผู้มีรูปสมบัติอันประเสริฐ เป็น ราชบุตรี เป็นผู้มียศเจ้าไปแสวงหามูลผลาหาร แต่เช้ามิใช่หรือ ไฉนเจ้าจึงกลับมาจนเย็น เล่า. เมื่อพระนางทูลถึงเหตุที่ทำให้ล่าช้าก็มิได้ตรัสอะไรๆ ถึงทารกทั้งสอง อีกเลย. พระนางมัทรีด้วยความเศร้าโศกถึงบุตรคิดถึงบุตร จึงรีบออกป่า ค้นหาบุตรอีก. สถานที่ที่พระนางมัทรีเที่ยวค้นหาในราตรีเดียวคำนวณดู แล้วประมาณ ๑๕ โยชน์. ครั้นรุ่งสว่างพระนางได้เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ ประทับยืน ถูกความโศกมีกำลังครอบงำเพราะไม่เห็นลูกจึงล้มสลบลงบนพื้น ดินแทบพระบาทของพระโพธิสัตว์นั้นดุจกล้วยถูกตัด. พระโพธิสัตว์ทรงหวั่นไหวด้วยทรงสำคัญว่า พระนางมัทรีสิ้นพระชนม์ ทรงเกิดความโศกใหญ่หลวง ดำรงพระสติมั่น ทรงดำริว่า เราจักรู้ว่า แม่มัทรียังมีชีวิตอยู่ หรือไม่มี แม้ตลอด ๗ เดือนไม่เคยถูกต้องกายกันเลย เพราะไม่มีอย่างอื่นจึงทรงยกพระเศียรของนางวางบนพระอุรุ (ขา) เอาน้ำ พรมลูบคลำ พระอุระพระหัตถ์ และพระหทัย. พระนางมัทรีล่วงไปเล็ก น้อยก็ได้พระสติบังเกิดหิริโอตตัปปะทูลถามว่า ลูกทั้งสองไปไหน.

พระโพธิสัตว์ว่า ดูก่อนเทวี พี่ได้ให้บุตรของเราเพื่อเป็นทาสแก่พราหมณ์ คนหนึ่งซึ่งมาขอกะพี่

เมื่อพระนางมัทรีทูลว่า ข้าแต่พระองค์เพราะเหตุไร พระเจ้าพี่ทรงให้ลูกทั้งสองแก่พราหมณ์แล้วจึงไม่บอกแก่น้องปล่อยให้ร้องไห้ เที่ยวหาอยู่ตลอดคืนเล่า

ตรัสว่า เมื่อพี่บอกเสียก่อน น้องก็จะมีทุกข์ใจมาก. แต่บัดนี้ทุกข์เบาบางลงแล้ว พระองค์จึงทรงปลอบพระมัทรีว่า:- ดูก่อนแม่มัทรีน้องจงดูพี่ อย่าปรารถนา ที่จะเห็นลูกเลย อย่ากันแสงไปนักเลย เรา ไม่มีโรคยังมีชีวิตอยู่ คงจะได้พบลูก เป็น แน่แท้. แล้วตรัสต่อไปว่า:- สัตบุรุษเห็นยาจกมาขอทาน แล้วพึงให้ บุตร สัตว์เลี้ยง ข้าวเปลือก และทรัพย์ อย่างอื่นอันมีอยู่ในเรือน. ดูก่อนแม่มัทรี น้องจงอนุโมทนาบุตรทาน อันสูงสุดของ พี่เถิด. แล้วทรงให้พระนางมัทรีอนุโมทนาบุตรทานของพระองค์.

แม้พระนางมัทรีก็ทูลอนุโมทนาว่า:- ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ น้องขอ อนุโมทนาบุตรทาน อันสูงสุดของพระเจ้าพี่ ครั้นพระเจ้าพี่พระราชทานบุตรแล้ว ขอจงทรง ยังพระทัยให้ผ่องใส จงทรงบำเพ็ญทานให้ ยิ่งๆ ขึ้นไปอีก. เมื่อกษัตริย์ทั้งสองทรงสนทนากันเป็นที่สำราญพระทัยของกันและ กันอย่างนี้แล้ว ท้าวสักกะจึงทรงดำริว่า เมื่อวานพระมหาบุรุษยังปฐพีให้ กึกก้องกัมปนาท ได้พระราชทานพระโอรสธิดาแก่ชูชก. บัดนี้จะมีบุรุษชั่ว เราเข้าไปหาพระองค์ แล้วทูลขอพระมัทรีเทวีก็จะพาเอาไปเสียอีก. แต่นั้น พระราชาโพธิสัตว์ก็จะหมดที่พึ่ง. เอาเถิดเราจะแปลงเพศเป็นพราหมณ์ เข้าไปหาพระองค์ทูลขอพระนางมัทรี ทำให้พระโพธิสัตว์ทรงถือเอายอด พระบารมี แล้วจักไม่ทรงกระทำสิ่งที่ไม่ควรสละให้แก่ใครๆ อีกแล้ว จักมาคืนพระนางมัทรีนั้นแก่พระโพธิสัตว์. ท้าวสักกะจึงแปลงเพศเป็น พราหมณ์ ในตอนพระอาทิตย์ขึ้นได้ไปหาพระโพธิสัตว์ พระมหาบุรุษ ทอดพระเนตรเห็นพราหมณ์นั้น ทรงเกิดปีติโสมนัสว่า แขกของเรามาแล้ว ทรงกระทำปฏิสันถารอย่างอ่อนหวานกับพราหมณ์นั้น แล้วตรัสถามว่า. ท่านพราหมณ์ท่านมาที่นี้เพื่อประสงค์อะไร. ลำดับนั้น ท้าวสักกะจึงทูลขอพระนางมัทรีเทวี.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า:- ท้าวสักกะทรงแปลงเพศเป็นพราหมณ์ เสด็จลงจากเทวโลก มาขอนางมัทรี ผู้มีศีล มีจริยาวัตรอันงามกะเราอีก. ในบทเหล่านั้น บทว่า ปุนเทว คือภายหลังจากวันที่เราให้ลูก ทั้งสองนั่นแล. อธิบายว่า ในลำดับนั้นนั่นแล. บทว่า โอรุยฺห คือลง จากเทวโลก. บทว่า พฺราหฺมณสนฺนิโภ คือแปลงเพศเป็นพราหมณ์.

ลำดับนั้นพระมหาสัตว์มิได้ตรัสว่า เมื่อวานนี้เราได้ไห้ลูกทั้งสอง แก่พราหมณ์ แม้เราก็อยู่ผู้เดียวเท่านั้นในป่า. เราจักให้แม่มัทรีผู้มีศีล ปฏิบัติสามีดีแก่ท่านได้อย่างไร. มีพระทัยมิได้ถดถอย เพราะไม่สละ เพราะไม่ผูกมัด ดุจวางรตนะอันหาค่ามิได้ลงในมือที่เหยียดออกทรงร่าเริง ยินดีดุจยังคิรีให้กึกก้องกัมปนาทว่า วันนี้ทานบารมีของเราจักถึงที่สุด ตรัสว่า:- ท่านพราหมณ์ เราจะให้ เราไม่หวั่นไหว ท่านขอสิ่งใดกะเรา เราไม่ซ่อนเร้นที่มีอยู่นั้น ในของเรายินดีในทาน. ทรงรีบเอาน้ำใส่คนโทแล้วหลั่งน้ำลงในมือพราหมณ์ได้พระราชทาน ภรรยาให้.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า:- เรามีความดำริแห่งใจเลื่อมใส เราจับ พระหัตถ์พระนางมัทรี ยังฝ่ามือให้เต็มด้วยน้ำ ได้ให้พระนางมัทรีแก่พราหมณ์นั้น. ในบทเหล่านั้น บทว่า อุทกญฺชลิ คือยังมือให้เต็มด้วยน้ำ. อนึ่ง บทว่า อุทกํ เป็นปฐมาวิภัตติ์ลงในอรรถแห่งตติยาวิภัตติ์. ความว่า ยังมือคือ ฝ่ามือที่เหยียดออกของพราหมณ์นั้นให้เต็มด้วยน้ำ. บทว่า ปสนฺนมนสงฺ กปฺโป คือมีความดำริแห่งใจเลื่อมใสแล้วด้วยความเลื่อมใสศรัทธาอันเกิด ขึ้นแล้วว่า เราจักยังที่สุดแห่งทานบารมีให้ถึงด้วยการบริจาคภริยานี้ แล้ว จักบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณแน่นอน. ในขณะนั้นนั่นเอง ได้ปรากฏปาฏิหาริย์ทั้งปวงมีประการดังได้กล่าว มาแล้วในหนหลัง. หมู่เทพ หมู่พรหม ได้เกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่งว่า บัดนี้พระสัมมาสัมโพธิญาณของพระโพธิสัตว์นั้นอยู่ไม่ไกล.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า:- เมื่อเราให้พระนางมัทรีทวยเทพในท้องฟ้า ต่างเบิกบาน แม้ในครั้งนั้น แผ่นดิน เขาสิเนรุราช ก็หวั่นไหว. อนึ่ง เมื่อเราให้พระนางมัทรีเทวี ไม่มีร้องไห้หน้าเศร้าหรือเพียง คิ้วขมวด. พระนางมัทรีเทวีได้มีพระดำริอย่างเดียวว่า จะทำสิ่งที่พระสวามี ปรารถนา. พระนางมัทรีตรัสต่อไปว่า:- เราเป็นราชกุมารี ได้เป็นภริยาของท่าน ผู้ใด ท่านผู้นั้นก็เป็นเจ้าของ เป็นอิสระใน ตัวเรา เมื่อปรารถนาจะให้เราแก่ผู้ใดก็ให้ได้ หรือจะขายก็ได้ จะฆ่าเสียก็ได้. แม้พระมหาบุรุษก็ตรัสว่า ท่านพราหมณ์ผู้เจริญ พระสัพพัญญุตญาณเท่านั้น เรารักยิ่งกว่าแม่มัทรี ร้อยเท่า พันเท่า แสนเท่า. ขอทาน ของเรานี้จงเป็นปัจจัยแห่งการรู้แจ้งแทงตลอด พระสัพพัญญุตญาณเถิดแล้ว พระราชทาน ทาน.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า:- เมื่อเราสละพ่อชาลี แม่กัณหาชินาผู้เป็น ธิดาและพระนางมัทรีผู้จงรักสามี ไม่คิดถึง เลย เพราะเหตุแห่งโพธิญาณนั่นเอง. บุตร ทั้งสองเราก็ไม่เกลียด พระนางมัทรีเราก็ไม่ เกลียด แต่สัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา. เพราะฉะนั้น เราจึงได้ให้บุตรและภริยาอัน เป็นที่รักของเราอีกครั้งหนึ่ง. ในบทเหล่านั้น บทว่า จชมาโน น จีนฺเตสึ คือเมื่อเราสละ ก็มิได้คิดถึงด้วยความเดือดร้อน. อธิบายว่า เราสละแล้วก็เป็นอันสละไปเลย. ในบทนี้สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า ก็เพราะเหตุไรเล่าพระมหาบุรุษจึงทรงสละ บุตรภริยาของพระองค์ผู้สมบูรณ์ด้วยชาติเป็นกษัตริย์ โดยให้เป็นทาสของ ผู้อื่น. เพราะการทำผู้เป็นไทบางพวก ไม่ให้เป็นไท มิใช่สิ่งที่ดี. ตอบว่า เพราะเป็นธรรมสมควร. จริงอยู่การเข้าถึงพุทธการกธรรม เป็นธรรมดานี้ คือ การบริจาควัตถุที่เขาหวงว่า นี้ของเราเนื่องในตนทั้งปวงได้โดยไม่ เหลือ. จริงอยู่การสละวัตถุที่เขาหวงว่า ของเราแก่ยาจกผู้ขอจะไม่สมควร แก่พระโพธิสัตว์ ผู้ถึงความขวนขวายเพื่อบำเพ็ญทานบารมีปราศจากการ กำหนดไทยธรรมและปฏิคาหกก็หามิได้. แม้นี้ก็เป็นธรรมอันสมควรมีมา แต่เก่าก่อน. ธรรมที่ประพฤติสะสมมาสม่ำเสมอนี้ เป็นวงศ์ของตระกูล เป็นประเพณีของตระกูลของพระโพธิสัตว์ทั้งปวง คือการบริจาคของทุกสิ่ง. แต่โดยพิเศษออกไปในข้อนั้นก็คือการบริจาคสิ่งอันเป็นที่รักกว่า. จริงอยู่ พระโพธิสัตว์บางองค์เป็นพระพุทธเจ้า เพราะทรงบริจาคมหาบริจาค ๕ เหล่านี้ คือ บริจาคทรัพย์มีความเป็นอิสระในราชสมบัติเป็นต้นอันสืบวงค์ มา ๑ การบริจาคอวัยวะ มีศีรษะ และนัยน์ตาเป็นต้นของตน ๑ บริจาค ชีวิตอันเป็นที่รัก ๑ บริจาคบุตรเป็นที่รักผู้จะดำรงวงศ์ตระกูล ๑ บริจาค ภริยาเป็นที่รักมีความประพฤติเป็นที่ชอบใจ ๑ เคยมีมาแล้วมิใช่หรือ. เป็น ความจริงดังนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า สุมังคละครั้งเป็น พระโพธิสัตว์ทรงแสวงหาโพธิญาณประทับอยู่ ณ ภูเขาลูกหนึ่งพร้อมด้วย บุตรภรรยาในอัตภาพที่ ๓ จากอัตภาพก่อนมียักษ์ ชื่อว่า ขรทาฐิกะ (เขี้ยวแหลม) ได้ฟังว่าพระมหาบุรุษมีอัธยาศัยในการให้ จึงแปลงเพศ เป็นพราหมณ์ เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ขอทารกทั้งสอง. พระมหาสัตว์เบิกบานใจว่า เราจะให้บุตรทั้งสองแก่พราหมณ์ ยัง ปฐพีมีน้ำเป็นที่สุดให้หวั่นไหวได้ให้ทารกทั้งสอง. ยักษ์ยืนพิงกระดานสำหรับ ยึดในที่สุดที่จงกรม เมื่อพระโพธิสัตว์เห็นอยู่นั่นเอง ได้เคี้ยวกินเด็กทั้งสอง ดุจเง่าบัว. เมื่อพระมหาบุรุษแลดูปากของยักษ์ ซึ่งพ่นสายเลือดออกมาดุจ เปลวไฟ ไม่ให้โอกาสแก่จิตตุปบาทเกิดขึ้นว่ายักษ์ลวงเรา เพราะความเป็นผู้ ฉลาดในอุบายได้อบรมดีมาแล้ว เพราะสภาพของธรรมในอดีตไม่มีปฏิสนธิ และเพราะความย่ำยีของสังขารทั้งหลายด้วยอำนาจแห่งความเป็นของไม่เที่ยง เป็นต้น จึงเกิดโสมนัสขึ้นว่า ทานบารมีของเราเต็มแล้ว. เรายังประโยชน์ ใหญ่ให้สำเร็จแล้วได้บรรลุ ดังนี้ด้วยกองสังขารอันหาสาระมิได้ ผุพังไป ตั้งอยู่เดี๋ยวเดียวอย่างนี้. พระมหาสัตว์ทราบความดีงามแห่งจิตของตน ใน ขณะนั้นอันไม่ทั่วไปแก่ผู้อื่น จึงตั้งความปรารถนาว่า ด้วยผลอันนี้ในอนาคต ขอรัศมีของเราจงออกจากร่างกาย โดยทำนองเดียวกันนี้เถิด. รัศมีจากสรีระของพระโพธิสัตว์ผู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น เพราะอาศัย ความปรารถนานั้น ได้แผ่ซ่านตลอดโลกธาตุ ๑๐,๐๐๐ ตั้งอยู่เป็นนิจ. พระโพธิสัตว์แม้เหล่าอื่นก็อย่างนั้น สละสิ่งอันเป็นที่รักของตนและบุตรภรรยา ก็รู้แจ้งแทงตลอด พระสัพพัญญุตญาณ. อีกอย่างหนึ่ง เหมือนอย่างว่าบุรุษ คนใดคนหนึ่งรับจ้างทำการงานบ้านหรือชนบท ในสำนักของใครๆ พึงทำ ทรัพย์หายไป ด้วยความประมาทของตนหรือของลูกน้อง. เขาถูกจับส่งเข้า ไปยังเรือนจำ. เขาพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า เราทำการงานของพระราชานี้ เก็บทรัพย์ไว้ได้ประมาณเท่านี้ เราถูกพระราชานั้นส่งเข้าไปในเรือนจำ. หาก เราอยู่ในเรือนจำนี้. ตนก็จนย่อยยับ. บุตรภรรยากรรมกรและบุรุษของเรา ปราศจากอาชีพพึงถึงความพินาศย่อยยับ. ถ้ากระไรเราจักทูลพระราชา ทรง ตั้งบุตรหรือพี่ชายน้องชายของตนไว้ในที่นี้แล้วพึงออกไป. เราพ้นจากเรือนจำนี้ ไม่ช้าก็จะรวบรวมทรัพย์ จากมิตร จากสหายแล้วถวายแด่พระราชา แล้วปล่อยบุตรพี่ชายน้องชายนั้นจากเรือนจำ. เราเป็นผู้ไม่ประมาทจัก กระทำสมบัติให้เหมือนเดิมด้วยกำลังความเพียร. บุรุษนั้นก็พึงทำอย่างนั้น ฉันใด. พึงเห็นข้ออุปมาอุปมัยนี้ ฉันนั้น. ในข้อนั้นมีความเปรียบเทียบดังต่อไปนี้. การงานดุจพระราชา. สงสาร ดุจเรือนจำ. พระมหาบุรุษผู้ท่องเที่ยวไปในสงสารด้วยอำนาจกรรม ดุจบุรุษ ที่พระราชาตั้งไว้ในเรือนจำ. การที่พระมหาบุรุษให้บุตรเป็นต้นของตนแก่ คนอื่นแล้วปลดเปลื้องสัตว์ทั้งปวงให้พ้นจากทุกข์ในวัฏฏะ ด้วยการได้พระ- สัพพัญญุตญาณ ดุจการพ้นจากทุกข์ของบุตรหรือพี่น้องและของตน ซึ่งถูก จำอยู่ในเรือนจำด้วยการพึ่งผู้อื่น. การถึงพร้อมด้วยสมบัติคือพระสัพพัญญุตญาณ มีทศพลญาณเป็นต้น ด้วยความเป็นพระพุทธเจ้า ของพระมหาบุรุษผู้ปราศจากทุกข์ในวัฏฏะด้วยอรหัตมรรค และการถึงพร้อมด้วยสมบัติมี วิชา ๓ เป็นต้น ของผู้ทำตามคำสอนของตน ดุจการตั้งอยู่ในสมบัติตามความ ประสงค์กับชนเหล่านั้นของบุรุษผู้พ้นทุกข์แล้ว เพราะเหตุนั้นการบริจาค บุตรภรรยา ของพระมหาบุรุษทั้งหลาย จึงเป็นสภาพอันหาโทษมิได้ด้วย ประการฉะนี้. โดยนัยนี้แล การทักท้วงใดในการบริจาคอวัยวะและชีวิตของ พระโพธิสัตว์เหล่านั้น แม้การทักท้วงนั้นก็พึงทราบว่า บริสุทธิ์ดีแล้ว.

ก็เมื่อพระมหาสัตว์ทรงให้พระนางมัทรีเทวีอย่างนี้แล้ว ท้าวสักกะทรง บังเกิดความอัศจรรย์อันไม่เคยมี ได้ทรงสรรเสริญด้วยการอนุโมทนาทาน ของพระมหาบุรุษโดยนัยมีอาทิว่า:- ข้าศึกทั้งหลายทั้งที่เป็นของทิพย์และของ มนุษย์ พระองค์ชนะได้ทั้งหมดปฐพี พระองค์ก็ให้กึกก้องได้ พระเกียรติศัพท์ของพระองค์ก็ระบือไปถึงไตรทิพย์ เมื่อพระองค์ทรงให้ สิ่งที่ให้ได้ยาก กระทำสิ่งที่ทำได้ยาก คนที่ เป็นอสัตบุรุษก็ทำตามได้ยาก ธรรมของสัตบุรุษนำไปได้ยาก เพราะฉะนั้นคติของสัตบุรุษ และอสัตบุรุษ จากโลกนี้ไปจึงต่างกัน อสัตบุรุษย่อมไปนรก สัตบุรุษย่อมไปสวรรค์.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ปจฺจูหา คือข้าศึก. บทว่า ทิพฺพา คือ ผู้ห้ามยศอันเป็นทิพย์. บทว่า มานุสา ผู้ห้ามยศเป็นของมนุษย์. ก็ข้าศึก เหล่านั้นเป็นใคร คือความตระหนี่.

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า ความ ตระหนี่ทั้งหมดนั้น อันพระมหาสัตว์ผู้ทรงให้บุตรภริยา ทรงชนะได้แล้ว. บทว่า ทุทฺททํ ให้ได้ยาก คือเมื่อบุคคลเช่นท่านให้สิ่งที่ให้ได้ยากมีบุตร ภริยาเป็นต้น กระทำสิ่งที่ทำได้ยากนั้น พระสาวกพระปัจเจกพุทธเจ้า และ พระโพธิสัตว์ทั้งหลายเหล่าอื่น กระทำตามไม่ได้จะกล่าวไปใยถึงอสัตตบุรุษ ผู้มีความตระหนี่. เพราะฉะนั้นธรรมของสัตบุรุษ นำไปได้ยาก คือธรรมอัน เป็นข้อปฏิบัติของคนดี คือพระมหาโพธิสัตว์ อันบุคคลอื่นตามไปได้ยาก.

ท้าวสักกะทรงสรรเสริญด้วยการอนุโมทนาพระมหาบุรุษอย่างนี้แล้ว เมื่อจะทรงมอบพระนางมัทรีเทวีคืน จึงตรัสว่า:- ข้าพเจ้าขอถวายพระนางมัทรีอัครมเหสีผู้ มีพระวรกายงามพร้อม แก่พระองค์ พระองค์ เท่านั้นคู่ควรแก่พระนางมัทรี และพระนางมัทรี ก็คู่ควรแก่พระองค์ผู้เป็นพระสวามี. แล้วทรงมอบพระนางมัทรีคืน เสด็จประทับบนอากาศ รุ่งโรจน์ด้วย พระอัตภาพเป็นทิพย์ ดุจดวงอาทิตย์อ่อนๆ ประทับอยู่บนอากาศแสดงพระองค์ตรัสว่า:- ข้าแต่พระราชฤๅษี ข้าพเจ้าคือท้าวสักกะ จอมเทพมายังสำนักของพระองค์ ขอพระองค์ จงทรงเลือกพร ข้าพระองค์จะถวายพร ๘ ประการแก่พระองค์.

แม้พระมหาสัตว์ก็ทรงขอพร ๘ ประการเหล่านี้ คือ

. ข้าแต่จอมเทพ ขอพระบิดาทรงแต่งตั้งข้าพระองค์ให้ดำรงอยู่ในราชสมบัติ.

. ขอให้ ข้าพระองค์ปลดปล่อยนักโทษที่ต้องถึงประหารให้พ้นจากการประหาร

. ขอ ให้ข้าพระองค์เป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ทั้งหลาย.

. ขอให้ข้าพระองค์อย่าได้ ล่วงเกินภรรยาของผู้อื่น อย่าได้ลุอำนาจของสัตว์.

. ขอให้โอรสของ ข้าพระองค์มีอายุยืนนาน.

. ขอให้ไทยธรรมมีข้าวและน้ำเป็นต้นมีมาก.

. ขอให้ข้าพระองค์มีจิตผ่องใส บริจาคไทยธรรมนั้นไม่รู้จักหมดสิ้น.

. ขอ ให้ข้าพระองค์บริจาคมหาทานอย่างนี้ ครั้นสิ้นชีพแล้ว ขอให้ไปสู่เทวโลก กลับจากเทวโลกมาเกิดในมนุษยโลกนี้ ขอให้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ.

ท้าวสักกะตรัสว่า ในไม่ช้าพระเจ้ากรุงสญชัยมหาราชพระบิดาจัก เสด็จมา ณ ที่นี้ รับพระองค์ไปดำรงในราชสมบัติ. อนึ่ง ความปรารถนา ของพระองค์นอกนั้นทั้งหมด จักถึงที่สุด พระองค์อย่าทรงวิตกไปเลย. ขอ พระองค์อย่าทรงประมาท. ครั้นประทานโอวาทแล้วก็เสด็จกลับเทวโลกทันที. พระโพธิสัตว์และพระนางมัทรีเทวีทรงเบิกบานพระทัย ประทับอยู่ ณ อาศรม ที่ท้าวสักกะประทานให้.

แม้เมื่อชูชกพาสองกุมารไป ทวยเทพก็ได้ทำการอารักขา. ทุกๆ วัน จะมีเทพธิดาองค์หนึ่งมาในตอนกลางคืน แปลงเพศเป็นพระนางมัทรีคอย ดูแลสองกุมาร. ชูชกนั้นเทวดาดลใจ คิดว่าจักไปกาลิงครัฐ แต่ก็บรรลุถึงกรุงเชตุดร โดยกึ่งเดือน. พระราชาประทับนั่ง ณ ที่วินิจฉัย ทอดพระเนตรเห็นสอง กุมารกับพราหมณ์ไปถึงพระลานหลวง ทรงจำได้รับสั่งให้เรียกสองกุมารกับ พราหมณ์ ทรงสดับเรื่องราวนั้น จึงพระราชทานทรัพย์ตามจำนวนที่พระ- โพธิสัตว์ทรงตีราคาไว้ไถ่สองกุมาร ให้สองกุมารสรงสนาน เสวยพระกระยาหาร ทรงตกแต่งด้วยเครื่องสรรพาลังการ พระราชาทรงให้พระชาลี ประทับบนพระเพลา พระนางผุสดีทรงให้แก้วกัณหาชินาประทับบนพระเพลา ทรงสดับถึงเรื่องราวของพระโพธิสัตว์ และพระนางมัทรีราชบุตรี. พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้วทรงสลดพระทัยว่า เราได้ทำลายความ ดีงาม ทันใดนั้นเอง ทรงจัดกองทัพนับได้ ๑๒ อักโขภินี (อักโขภินีหนึ่ง เท่ากับร้อยล้านแสนโกฏิ) ทรงมุ่งพระพักตร์เสด็จไปเขาวงกต พร้อมด้วย พระนางผุสดีเทวี และสองกุมาร. เสด็จถึงโดยลำดับแล้วทรงเข้าไปหาพระ- โอรสและพระสุณิสา. พระเวสสันดรทอดพระเนตรเห็นพระปิยบุตร ไม่สามารถอดกลั้น ความโศกได้ ทรงสลบล้มลง ณ ที่บรรณศาลานั่นเอง. พระนางมัทรี พระชนกชนนี และเหล่าอำมาตย์ ๖๐,๐๐๐ ที่เป็นสหชาติต่างก็สลบไสลไปตามๆ กัน. บรรดาผู้เห็นความกรุณานั้นไม่สามารถดำรงอยู่โดยความเป็นตนของตน ได้. ตลอดอาศรมบท ได้เป็นเหมือนป่าสาละที่ถูกลมยุคันตวาตโหมกระหน่ำ ฉะนั้น. ท้าวสักกเทวราช เพื่อให้กษัตริย์และอำมาตย์ฟื้นจากสลบจึงบันดาล ให้ฝนโบกขรพรรษตกลงมา. ผู้ประสงค์จะให้เปียกก็เปียก ดุจฝนตกลงใน ใบบัว แล้วกลับกลายเป็นน้ำไหลไป. ทั้งหมดก็ฟื้น. แม้ในครั้งนั้นความ อัศจรรย์มีแผ่นดินไหวเป็นต้น มีประการดังกล่าวแล้วในหนหลังก็ได้ปรากฏ ขึ้น.

ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า:- อีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระชนกชนนีเสด็จมา พร้อมกัน ณ ป่าใหญ่ ทรงกันแสงสะอึกสะอื้น น่าสงสาร ตรัสถามถึงทุกข์สุขกันและกันอยู่ เราได้เข้าเฝ้าพระชนกชนนีทั้งสอง ผู้เป็นที่ เคารพด้วยหิริและโอตตัปปะ แม้ในกาลนั้น แผ่นดินเขาสิเนรุราช ก็หวั่นไหว. ในบทเหล่านั้น บทว่า กรุณํ ปริเทวนฺเต คือเมื่อชนมาพร้อมกัน ทั้งหมด มีพระชนกชนนีเป็นต้น ทรงกันแสงสะอึกสะอื้นน่าสงสาร. บทว่า สลฺลปนฺเต สุขํ ทุกฺขํ คือตรัสถามถึงทุกข์สุข แล้วสนทนากันด้วยการ ปฏิสันถาร. บทว่า หิโรตฺตปฺเปน ครุนา อุภินฺนํ เราได้เข้าเฝ้าพระชนกชนนีผู้เป็นที่เคารพด้วยหิริและโอตตัปปะ คือเรามิได้มีจิตโกรธเคืองว่า ชน เหล่านี้ขับไล่เราผู้เชื่อฟังคำของชาวสีพีไม่ประทุษร้าย ตั้งอยู่ในธรรม แล้ว เข้าเฝ้าพระชนกชนนี ด้วยหิริโอตตัปปะ อันเกิดขึ้นด้วยความเคารพในธรรม ในพระชนกชนนีเหล่านี้. ด้วยเหตุนั้น มหาปฐพีจึงหวั่นไหวขึ้นในครั้งนั้น ด้วยเดชะแห่งธรรมของเรา.

ลำดับนั้นพระเจ้ากรุงสญชัยมหาราช ทรงให้พระมหาสัตว์ยกโทษให้ แล้วทรงมอบราชสมบัติให้ครอบครอง ในขณะนั้นเองทรงให้พระมหาสัตว์ ปลงพระเกศาและพระมัสสุเป็นต้น ให้ทรงสรงสนาน ทรงอภิเษกพระมหาสัตว์ผู้ทรงตกแต่งด้วยสรรพาภรณ์งดงามดังเทวราช ไว้ในราชสมบัติ พร้อมพระนางมัทรีเทวี ทันใดนั้นทรงลุกขึ้นพร้อมด้วยเสนา ๔ เหล่า ประมาณ ๑๒ อักโขภินี แวดล้อมพระโอรสรับสั่งให้ตกแต่งทาง ๖๐ โยชน์ ตั้งแต่เขาวงกตถึงกรุงเชตุดร เสด็จเข้าสู่พระนครโดยสวัสดี เป็นเวลา สองเดือน. มหาชนได้เสวยปีติโสมนัสเป็นอันมาก. ต่างยกผืนผ้าเป็นต้น โบก ไปมา. เที่ยวประโคมนันทเภรีไปทั่วพระนคร. สัตว์ทั้งปวงโดยที่สุด แมว ที่อยู่ในเครื่องผูกมัด ก็ได้พ้นจากเครื่องผูกมัด. พระโพธิสัตว์ในวันเสด็จเข้า สู่พระนครนั่นเอง ตอนใกล้รุ่งทรงดำริว่า พรุ่งนี้ตอนสว่าง ยาจกทั้งหลาย ได้ข่าวว่า เรากลับมาก็จักพากันมา. เราจักให้อะไรแก่ยาจกเหล่านั้น. ในขณะนั้น อาสนะของท้าวสักกะแสดงอาการร้อน. ท้าวเธอทรง รำพึงอยู่ทรงทราบเหตุนั้นแล้ว ทันใดนั่นเองทรงบันดาลให้สิ่งของมีอยู่ตอน ต้นและมีในตอนหลัง ของพระราชนิเวศน์เต็มประมาณเอว ประทานให้ตก ดุจก้อนเมฆ. ฝนแก้ว ๗ ประการตกทั่วพระนครสูงปานเข่า.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า:- อีกครั้งหนึ่ง เรากับบรรดาพระญาติของ เราออกจากป่าใหญ่ จักเข้าสู่กรุงเชตุดรอันน่า รื่นรมย์ แก้ว ๗ ประการตกลง แล้วมหาเมฆ ยังฝนให้ตก แม้ในกาลนั้น ปฐพี เขาสิเนรุราช ก็หวั่นไหว แม้แผ่นดินไม่มีจิตใจ ไม่รู้สุขและ ทุกข์ก็หวั่นไหวถึง ๗ ครั้ง เพราะกำลังแห่งทาน ของเรา ฉะนี้แล. เมื่อฝนแก้ว ๗ ประการตกอย่างนี้ รุ่งขึ้นพระมหาสัตว์ทรงดำริว่า ทรัพย์ที่อยู่ในวัตถุที่มีอยู่ก่อนและมีทีหลังของตระกูลใด จงเป็นของตระกูล นั้น แล้วพระราชทานให้นำส่วนที่เหลือมาใส่ไว้ในท้องพระคลัง รวมกับ ทรัพย์ในวัตถุที่อยู่ในพระราชนิเวศน์ของพระองค์ แล้วทรงบริจาคมหาทาน. บทว่า อเจตนายํ ปฐวี คือปฐพีนี้ใหญ่ปราศจากเจตนา แต่ทวยเทพประกอบด้วยเจตนา. บทว่า อวิญฺญาย สุขํ ทุกฺขํ ไม่รู้สุข ไม่รู้ทุกข์ เพราะไม่มีเจตนานั่นเอง. แม้เมื่อมีการประกอบปัจจัยอันเป็นสุขเป็นทุกข์ ปฐพีนั้นก็มิได้เสวยปัจจัยนั้น. บทว่า สาปิ ทานพลา มยฺหํ คือมหาปฐพี นั้น แม้เป็นอย่างนั้นก็เพราะเหตุแห่งบุญญานุภาพแห่งการให้ของเรา. บทว่า สตฺตกฺขตฺตุํ ปกมฺปถ ความว่า มหาปฐพีหวั่นไหวถึง ๗ ครั้งในฐานะ เหล่านี้ คือในเมื่อเรามีอายุได้ ๘ ขวบเกิดอัธยาศัยในการให้ว่า เราพึงให้ แม้หัวใจและเนื้อเป็นต้น แก่ยาจกทั้งหลาย ในเมื่อให้มงคลหัตถี ในการ ครั้งใหญ่จนถูกขับไล่ ในการให้บุตร ในการให้ภริยา ในคราวหมู่พระญาติ มาพร้อมกันที่เขาวงกต ในคราวเข้าสู่พระนคร ในคราวฝนรตนะตก. พระมหาสัตว์ทรงบริจาคมหาทานตราบเท่าพระชนมายุอันเป็นเหตุ ปรากฏความ อัศจรรย์มีมหาปฐพีหวั่นไหวเป็นต้นสิ้น ๗ ครั้ง ในอัตภาพเดียวเท่านั้น เมื่อ เสด็จสวรรคตได้ไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิตด้วยประการฉะนี้.

ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า:- ครั้นพระเวสสันดรราช ผู้เป็นกษัตริย์มี พระปัญญา พระราชทานมหาทาน ครั้นสวรรคต แล้วก็ทรงอุบัติบนสวรรค์.

ชูชกในครั้งนั้นได้เป็นเทวทัตในครั้งนี้. นางอมิตตตาปนา คือนางจิญจมาณวิกา. เจตบุตร คือพระฉันนะ. อจุตดาบส คือพระสารีบุตรเถระ. ท้าวสักกะ คือพระอนุรุทธะ. พระนางมัทรี คือมารดาพระราหุล. ชาลีกุมาร คือพระราหุล. กัณหาชินา คือนางอุบลวรรณา. พระชนกชนนี คือตระกูล มหาราช. บริษัทที่เหลือ คือพุทธบริษัท. พระเวสสันดรราช คือพระโลกนาถ.

แม้ใน เวสฺสนฺตรจริยา นี้ ก็พึงเจาะจงกล่าวถึงบารมีที่เหลือตาม สมควรโดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล. พึงประกาศคุณานุภาพของ พระมหาบุรุษไว้ในจริยานี้ อันเป็นเหตุปรากฏความอัศจรรย์หลายอย่าง มี มหาปฐพีหวั่นไหวเป็นต้นถึง ๗ ครั้ง มีอาทิอย่างนี้ คือเมื่อพระมหาสัตว์ ทรงอยู่ในพระครรภ์ พระชนนีทรงแพ้พระครรภ์ เพราะมีพระประสงค์จะ ทรงสละทรัพย์ถึง ๖๐๐,๐๐๐ ทุกๆ วัน. อนึ่ง เมื่อทรงให้ทานพระราชทรัพย์ ก็มิได้หมดสิ้นไป. ในขณะประสูตินั่นเอง ทรงเหยียดพระหัตถ์ แล้วเปล่ง พระวาจาว่า หม่อมฉันจักให้ทาน. มีอะไรบ้าง. เมื่อมีพระชนม์ได้ ๔-๕ พระพรรษา ความที่พระองค์มีพระประสงค์จะทรงให้เครื่องประดับของพระองค์แก่แม่นมทั้งหลาย อันเป็นเหตุแห่งความเป็นผู้เลิศ. เมื่อพระชนม์ ๘ พระพรรษา ความที่พระองค์มีพระประสงค์จะทรงให้อวัยวะของพระองค์มี หัวใจและเนื้อเป็นต้น.

ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า:- ท่านผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่เหล่านี้ น่า อัศจรรย์ทั้งไม่เคยมีอย่างนี้ แม้เพียงจิตเลื่อมใส ในท่านเหล่านั้น ก็พึงพ้นจากทุกข์จะพูดไป ทำไมถึงการทำตามท่านเหล่านั้น โดยธรรม สมควรแก่ธรรม.

จบ อรรถกถาเวสสันตรจริยาที่ ๙

กลับที่เดิม