ธรรมเทวปุตตจริยาที่ ๘

ว่าด้วยจริยาวัตรของธรรมเทพบุตร [๑๘] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นเทพบุตรชื่อว่าธัมโม มีอานุภาพมาก มีฤทธิ์มาก บริวารมากเป็นผู้อนุเคราะห์แก่โลกทั้งปวง เราชักชวนให้ มหาชนสมาทานกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ เที่ยวไปยังบ้านและนิคม มีมิตรสหาย มีบริวารชน ในกาลนั้น เทพบุตรลามก เป็นผู้ตระหนี่ แสดงอกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ แม้เทพบุตรนั้น ก็เที่ยวไปใน แผ่นดินนี้ มีมิตรสหาย มีบริวารชน เราทั้งสอง คือ ธรรมวาที เทพบุตรและอธรรมวาทีเทพบุตร เป็นข้าศึกแก่กัน เราทั้งสองนั่งรถ สวนทางกันมา ชนรถของกันและกันที่แอกรถ การทะเลาะวิวาทอัน พึงกลัวย่อมเป็นไปแก่เทพบุตรทั้งสองผู้ประกอบด้วยกัลยาณธรรม และบาปธรรม มหาสงครามปรากฏแล้ว เพื่อต้องการจะให้กันและ กันหลีกทาง ถ้าเราพึงโกรธเคืองอธรรมเทพบุตรนั้น ถ้าเราพึงทำลาย ตบะคุณเราพึงทำอธรรมเทพบุตรนั้นพร้อมทั้งบริวารให้เป็นดุจธุลีได้ แต่เพื่อจะรักษาศีลไว้ เราจึงระงับความปรารถนาแห่งใจเสียพร้อมทั้ง บริษัท ได้หลีกทางให้แก่อธรรมวาทีเทพบุตร พร้อมกับเมื่อเราหลีก จากทาง ทำการระงับจิตได้ แผ่นดินได้ให้ช่องแก่อธรรมเทพบุตร ในขณะนั้น ฉะนี้แล. จบธรรมเทวปุตตจริยาที่ ๘

อรรถกถาธรรมเทวปุตตจริยาที่ ๘

พึงทราบวินิจฉัยในอรรถกถาเทวปุตตจริยาที่ . บทว่า มหาปกฺโข คือมีบริวารมาก. บทว่า มหิทฺธิโก คือประกอบด้วยเทพฤทธิ์มาก. บทว่า ธมฺโม นาม มหายกฺโข คือเทพบุตรผู้มีอานุภาพมาก ชื่อ ธรรม. บทว่า สพฺพโลกานุกมฺปโก คือเป็นผู้มีเคราะห์ โลกทั้งปวงด้วยมหากรุณาไม่ทำ การแบ่งแยก.

แท้จริงพระมหาสัตว์ ในกาลนั้น บังเกิดเป็นเทพบุตรชื่อว่า ธรรมเทพบุตร. ธรรมเทพบุตรตกแต่งด้วยเครื่องประดับเป็นทิพย์ ขึ้นทิพยรถ แวดล้อมด้วยหมู่นางอัปสร เมื่อมนุษย์ทั้งหลายบริโภคอาหารในตอนเย็นแล้ว นั่งสนทนากันอย่างเป็นสุขที่ประตูเรือน ในวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ ประดิษฐาน อยู่บนอากาศ ในบ้าน นิคม และราชธานี ชักชวนมนุษย์ทั้งหลายให้ตั้งอยู่ ในกุศลกรรมบถ ๑๐ ว่า ท่านทั้งหลายจงเว้นจาก อกุศลกรรมบถ ๑๐ มี ปาณาติบาตเป็นต้น แล้วบำเพ็ญสุจริตธรรม ๓ อย่าง. จงนับถือมารดา บิดา สมณะ พราหมณ์ อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล. ท่านทั้งหลายจักได้ไป สวรรค์ เสวยยศยิ่งใหญ่ ดังนี้ กระทำประทักษิณชมพูทวีป.

ดังที่พระผู้ มีพระภาคเจ้าตรัสว่า:- เราชักชวนมหาชนให้สมาทานกุศลกรรมบถ ๑๐ เที่ยว ไปยังคามและนิคม มีมิตร มี บริวารชน. ในบทเหล่านั้น บทว่า สมิตฺโต คือมีสหาย ผู้ตั้งอยู่ในธรรม ผู้ กล่าวธรรม.

ก็สมัยนั้น มีเทพบุตรองค์หนึ่ง ชื่อว่า อธรรมเทพบุตร เกิดใน เทวโลกชั้นกามาวจร. อธรรมเทพบุตรนั้นชักชวนสัตว์ทั้งหลายให้ตั้งอยู่ใน อกุศลกรรมบถ ๑๐ โดยนัยมีอาทิว่า ท่านทั้งหลายจงฆ่าสัตว์ จงลักทรัพย์เถิด แวดล้อมด้วยบริษัทใหญ่ ทำชมพูทวีปให้เป็นบ้าน.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ว่า:- เทพบุตรลามก เป็นผู้ตระหนี่ แสดง อกุศลกรรมบถ ๑๐ แม้เทพบุตรนั้นก็เที่ยวไป ในแผ่นดินนี้ มีมิตรสหาย มีบริวารชน. ในบทเหล่านั้น บทว่า ปาโป คือประกอบด้วยธรรมลามก. บทว่า กทริโย คือตระหนี่จัด. บทว่า ยกฺโข คือเทพบุตร. บทว่า ทีเปนฺโต ทส ปาปเก แสดงอกุศลกรรมบถ ๑๐ คือเที่ยวประกาศชักชวนว่าธรรมลามก ๑๐ ประการมีปาณาติบาตเป็นต้น ควรทำด้วยนัยมีอาทิว่า สักการะ ชื่อว่าเป็นอาหารในสรรพโลก เกิดมาเพื่อเป็นของอุปโภคบริโภค. เพราะ ฉะนั้น ควรฆ่าสัตว์ทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้ตนอิ่มหมีทำอินทรีย์ให้สำราญ. บทว่า โสเปตฺถ คืออธรรมเทพบุตรนั้นเที่ยวไปในชมพูทวีปนี้. บทว่า มหิยา คือใกล้แผ่นดิน อธิบายว่า ในอุปจารที่พวกมนุษย์เห็นและได้ยิน.

ในบทนี้ มีความดังต่อไปนี้ สัตว์เหล่าใดทำกรรมดี เป็นผู้หนักใน ธรรม สัตว์เหล่านั้นเห็นธรรมเทพบุตรมาอย่างนั้น ลุกจากที่นั่ง บูชาด้วย ของหอมและดอกไม้เป็นต้น. พากันสรรเสริญจนกระทั่งล่วงเลยสายตา. ยืน พนมมือไหว้. ได้ฟังถ้อยคำของธรรมเทพบุตรแล้วเป็นผู้ไม่ประมาท ทำบุญ โดยเคารพ. ส่วนสัตว์เหล่าใดมีความประพฤติลามก มีการงานหยาบช้า สัตว์เหล่านั้น ฟังถ้อยคำของอธรรมเทพบุตรแล้วก็พากันพอใจเป็นอย่างยิ่ง ประพฤติกรรมลามกยิ่งขึ้นไปอีก. ในกาลนั้น เทพบุตรทั้งสองต่างก็มีวาทะ ตรงกันข้ามและมีการกระทำตรงกันข้ามของกันและกัน เที่ยวไปในโลกด้วย ประการฉะนี้.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า:- ธรรมวาทีเทพบุตรและอธรรมวาทีเทพบุตรเป็นข้าศึกแก่กัน.

เมื่อ กาลผ่านไป อยู่มาวันหนึ่งรถของเทพบุตรทั้งสอง ได้มาประจัญหน้ากันใน อากาศ. จึงบริวารของเทพบุตรทั้งสองนั้นต่างก็ถามกันว่า พวกท่านเป็นของ ใคร พวกท่านเป็นของใคร ต่างก็ตอบว่า เราเป็นของธรรมเทพบุตร เราเป็น ของอธรรมเทพบุตร แล้วทั้งสองฝ่ายหลีกจากทาง. รถของธรรมเทพบุตร และธรรมเทพบุตรเผชิญหน้ากัน งอนรถกับงอนรถเกยกัน. ทั้งสองฝ่าย เถียงกันเพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งให้ทางว่า ท่านจงหลีกรถของท่านแล้วให้ทางเรา อีกฝ่ายก็ว่าท่านนั่นแหละ จงหลีกรถของท่านให้ทางเรา. ฝ่ายพวกบริวาร ของเทพบุตรทั้งสอง ต่างก็นำอาวุธออกเตรียมทำสงครามกัน.

ดังที่พระผู้มี- พระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า:- เราทั้งสองนั่งรถสวนทางกันมา ชนรถ ของกันและกันที่แอกรถ. การทะเลาะวิวาท อันพึงกลัว ย่อมเป็นไปแก่เทพบุตรทั้งสองผู้ ประกอบด้วยกัลยาณธรรมและบาปธรรม มหา สงครามปรากฏแล้ว เพื่อจะให้กันและกัน หลีกทางให้. ในบทเหล่านั้น บทว่า ธุเร ธุรํ คืองอนรถของฝ่ายหนึ่งชนงอนรถ ของอีกฝ่ายหนึ่ง. บทว่า สมิมฺหา คือมาเผชิญหน้ากัน. คำว่า อุโภ ท่าน กล่าวเพื่อแสดงว่า แม้เราทั้งสองเป็นข้าศึกของกันและกัน เที่ยวไปในโลก วันหนึ่งมาเผชิญหน้ากัน เมื่อบริวารทั้งสองฝ่ายหลีกจากทาง พร้อมกับรถ เราทั้งสองก็เผชิญหน้ากันอีก. บทว่า เภสฺมา คือน่ากลัว. บทว่า กลฺยาณ- ปาปกสฺส จ คือกัลยาณธรรมและบาปธรรม. บทว่า มหายุทฺโธ อุปฏฺฐิโต คือมหาสงครามปรากฏแล้ว. จริงอยู่ ความที่บริวารต้องการจะรบกันและกันก็เกิดขึ้น.

ในทั้ง สองฝ่ายนั้น ธรรมเทพบุตรกล่าวกะอธรรมเทพบุตรว่า ดูก่อนสหายท่าน เป็นอธรรม เราเป็นธรรม ทางจึงสมควรแก่เรา ท่านจงหลีกรถของท่าน แล้วให้ทางเราเถิด. อีกฝ่ายหนึ่งก็กล่าวว่า เรามียานแข็งแรงมีกำลังไม่หวาด สะดุ้ง เพราะฉะนั้น เราไม่ให้ทาง แต่เราจะรบ ทางจงเป็นของผู้ชนะ ในการรบเถิด.

ด้วยเหตุนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า:- ธรรมเทพบุตร เราเป็นผู้ให้ยศ ให้บุญ สมณะและ พราหมณ์สรรเสริญทุกเมื่อ เป็นผู้อัน เทวดาและมนุษย์บูชา จึงสมควรได้ทาง. ดูก่อนอธรรมเทพบุตร เราเป็นธรรมเทพบุตร ท่านจงให้ทางเถิด. อธรรมเทพบุตร เราไม่หวาดสะดุ้ง มีกำลังขึ้นอธรรมยาน แข็งแรง. ดูก่อนธรรมเทพบุตร วันนี้ เราจะให้ทางที่เราไม่เคยให้แก่ใครๆ แก่ ท่านได้ เพราะเหตุไรเล่า. ธรรมเทพบุตร ธรรมนั่นแลปรากฏมาก่อน อธรรมเกิด ในโลกภายหลัง เราจึงเป็นพี่ เป็นผู้ ประเสริฐ เป็นคนเก่าแก่. ดูก่อนน้อง ท่านจงหลีกทางให้พี่เถิด. อธรรมเทพบุตร เราพึงให้ทางแก่ท่าน มิใช่เพราะคำอ้อนวอน เพราะคำชื่นชม เพราะสมควร แก่ทาง วันนี้ เราทั้งสองจงมารบกัน เถิด ทางจักเป็นของผู้ชนะในการรบ. ธรรมเทพบุตร ดูก่อนอธรรมเทพบุตร เราธรรมเทพบุตร มีกำลังมาก มียศนับไม่ได้ หาผู้เปรียบ มิได้ เข้าถึงคุณธรรมทั้งปวง ปรากฏ แพร่หลายไปทั่วทิศ ท่านจักชนะได้ อย่างไร. อธรรมเทพบุตร ค้อนเหล็กทุบเงินได้ เงินทุบค้อนเหล็ก ไม่ได้ หากวันนี้ อธรรมจักฆ่าธรรมได้ เราผู้เป็นเหล็ก จะพึงแสดงให้เห็นเป็น ดุจทองคำ. ธรรมเทพบุตร ดูก่อนอธรรมเทพบุตร หากท่านมีกำลัง ในการรบ คนเจริญและครู ย่อมไม่มี แก่ท่าน เราจะให้ทางแก่ท่าน ด้วย ความไม่รัก ดุจด้วยความรัก เราอดทน วาจาหยาบของท่านได้. คาถาเหล่านี้ เป็นคาถาโต้ตอบของธรรมเทพบุตรและอธรรมเทพบุตร

ในบทเหล่านั้น บทว่า ยโสกโร คือให้ยศแก่เทวดาและมนุษย์ ทั้งหลาย ด้วยการชักชวนให้ประพฤติธรรม. แม้ในบทที่สองก็มีนัยนี้เหมือน กัน. บทว่า สทาตฺถุโต คือยกย่องทุกเมื่อ ได้แก่สรรเสริญเป็นนิจ. บทว่า ส กิสฺส เหตุมฺหิ ตวชฺช ทชฺชํ คือเราอธรรมเทพบุตร ขึ้นรถอธรรมยาน ไม่กลัว มีกำลัง. เฮ้ยธรรมเทพบุตรวันนี้เราจะให้ทางซึ่งเราไม่เคยให้แก่ใครๆ แก่ท่านได้เพราะเหตุไรเล่า. บทว่า ปาตุรโหสิ ได้แก่ธรรมคือกุศลกรรมบถ ๑๐ ในโลกนี้ ได้ปรากฏมาก่อนครั้งปฐมกัป. บทว่า เชฏฺโฐ จ ท่านกล่าวว่า เราเป็นพี่ เป็นผู้ประเสริฐ และเป็นคนเก่าแก่ เพราะเกิดก่อน. ส่วนท่าน เป็นน้อง เพราะฉะนั้น น้องจงหลีกทางให้พี่. บทว่า นปิ ปาติรูปา ดูก่อนท่านธรรมเทพบุตร ความจริงเราพึง ให้ทางแก่ท่านมิใช่เพราะความอ้อนวอน มิใช่เพราะคำชื่นชม มิใช่เพราะ สมควรแก่ทาง. บทว่า อนุวิสโฏ คือเราเป็นผู้ปรากฏแพร่หลายด้วยคุณธรรมของตนไปทั่วทิศ คือทิศใหญ่ ๔ ทิศน้อย ๔. บทว่า โลเหน คือ ค้อนเหล็ก. บทว่า หญฺฉติ คือจักฆ่า. บทว่า ยุทฺธพโล อธมฺม คือ ดูก่อนอธรรมเทพบุตร หากท่านเป็นผู้มีกำลังในการรบ. บทว่า วุฑฺฒา จ ครู จ คือหากว่าคนเจริญเหล่านี้ ครูเหล่านี้ ที่เป็นบัณฑิตไม่มีแก่ท่าน ด้วยประการฉะนี้. บทว่า ปิยาปฺปิเยน คือด้วยความไม่รัก ดุจความรัก อธิบายว่า เมื่อเราให้แม้ด้วยความไม่รักก็ย่อมให้หนทางแก่ท่าน ดุจด้วย ความรัก.

ก็ในกาลนั้น พระมหาสัตว์คิดว่า หากเราดีดนิ้วมือแล้วพึงกล่าวกะ บุคคลลามกนี้ผู้ปฏิบัติเพื่อความไม่เป็นประโยชน์แก่สรรพโลก ยึดถือสิ่งตรง กันข้ามกับเราอย่างนี้ว่า ดูก่อนคนไม่มีมารยาท ท่านอย่าอยู่ที่นี่เลย. รีบ หลีกไปเสียเถิด จงพินาศเถิด. ในขณะนั้นเองเขาจะพึงกระจัดกระจายไป ดุจเถ้าถ่านด้วยธรรมเดชของเรา. แต่นั่นไม่สมควรแก่เรา. เราอนุเคราะห์ สรรพโลก จะปฏิบัติโดยมุ่งหวังว่าจักยังโลกัตถจริยาให้ถึงที่สุด. ก็คนลามก นี้แหละจะมีส่วนแห่งทุกข์ใหญ่ต่อไป. เราจะพึงอนุเคราะห์คนลามกนี้เป็น พิเศษ. เพราะฉะนั้น เราจะให้ทางแก่เขา ด้วยอาการอย่างนี้ศีลของเราจัก บริสุทธิ์ด้วยดีจักไม่ขาด. ครั้นเมื่อพระโพธิสัตว์ดำริอย่างนี้แล้วจึงกล่าวคาถา ว่า หากท่านเป็นผู้มีกำลังในการรบ ดังนี้เป็นต้น พอหลีกจากทางให้หน่อย หนึ่งเท่านั้น อธรรมเทพบุตรไม่สามารถอยู่บนรถได้ หัวทิ่มลงบนแผ่นดิน แผ่นดินแยกออก ไปบังเกิดในอเวจีมหานรก.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส ไว้ว่า:- หากเราพึงโกรธเคืองอธรรมเทพบุตรนั้น ถ้าเราพึงทำลายตบะคุณ เราพึงทำอธรรมเทพ บุตรนั้นพร้อมทั้งบริวารให้เป็นดุจธุลีได้ แต่ เพื่อจะรักษาศีลไว้ เราจึงระงับความปรารถนา แห่งใจเสีย พร้อมทั้งบริษัท ได้หลีกทางให้แก่ อธรรมเทพบุตร พร้อมกับเมื่อหลีกจากทาง ทำการระงับจิตได้ แผ่นดินได้ให้ช่องแก่อธรรมเทพบุตร ในขณะนั้น ดังนี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า ยทิหํ ตสฺส ปกุปฺเปยฺยํ คือ ผิว่า เรา พึงโกรธอธรรมเทพบุตรนั้น. บทว่า ยทิ ภินฺเท ตโปคุณํ คือ ผิว่า เราพึงยังศีลสังวร อันเป็นตบะคุณของเราให้พินาศไปด้วยความโกรธอธรรมเทพบุตรนั้น. บทว่า สหปริชนํ ตสฺส คือ อธรรมเทพบุตรนั้นพร้อม ด้วยบริวาร. บทว่า รชภูตํ เป็นดุจธุลี. คือเราพึงทำให้ถึงความเป็นธุลี. บทว่า อหํ ในบทว่า อปิจาหํ นี้ เป็นเพียงนิบาต. บทว่า สีลรกฺขาย คือเพื่อรักษาศีล. บทว่า นิพฺพาเปตฺวาน คือสงบใจด้วยสงบความกระวนกระวายอันเกิดแต่โทสะ โดยไม่ให้ความโกรธอันเกิดขึ้นในอธรรมเทพบุตร นั้นเกิดขึ้นได้ เพราะเราเข้าไปตั้งขันติ เมตตา และความเอ็นดูไว้ล่วงหน้า แล้ว. บทว่า สห ชเนโนกฺกมิตฺวา คือเราได้หลีกทางพร้อมกับบริวารชน ของเรา แล้วให้ทางแก่อธรรมเทพบุตร ผู้ลามกนั้น. บทว่า สห ปถโต โอกฺกนฺเต พร้อมกับเมื่อเราหลีกทางให้ คือ พร้อมกับเราทำความสงบจิตตามนัยดังกล่าวแล้ว และกล่าวว่า เราให้ทางแก่ ท่าน แล้วหลีกทางให้หน่อยหนึ่ง. บทว่า ปาปยกฺขสฺส คือธรรมเทพบุตร. บทว่า ตาวเท คือในขณะนั้นเองมหาปฐพีก็ได้ให้ช่อง. แต่ในอรรถกถา ชาดก ท่านกล่าวไว้ว่า ในขณะที่กล่าวคาถาว่า เราให้ทางแก่ท่านนั่นเอง มหาปฐพีได้ให้ช่อง. เมื่ออธรรมเทพบุตรตกลงไปบนแผ่นดินอย่างนั้น มหาปฐพีหนา ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์ แม้ทรงไว้ซึ่งสิ่งดีและไม่ดีทั้งสิ้น ก็ได้แยกออกเป็น ๒ ส่วน ในที่ที่อธรรมเทพบุตรยืนอยู่นั้น เหมือนจะกล่าวว่า เราไม่ทรงบุรุษชั่วนี้ไว้ ได้.

ส่วนพระมหาสัตว์ เมื่ออธรรมเทพบุตรนั้นตกลงไปเกิดในอเวจีมหานรก ยังคงยืนอยู่ที่แอกรถพร้อมกับบริวารด้วยเทวานุภาพใหญ่ ไปตามทาง ที่ไปนั่นเอง แล้วเข้าไปยังภพของตน.

ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า:- ธรรมเทพบุตรมีขันติเป็นกำลัง ชนะ อธรรมเทพบุตร ผู้มีกำลังในการรบ ทำอธรรมเทพบุตร ฝังไว้ในแผ่นดิน. ธรรมเทพบุตร เป็นผู้มีกำลังยิ่งไม่ล่วงสัจจะ ดีใจขึ้นรถไปตาม นั่นเอง.

อธรรมเทพบุตรในครั้งนั้น ได้เป็นเทวทัตในครั้งนี้. บริวารของ อธรรมเทพบุตร คือบริษัทของเทวทัต. ธรรมเทพบุตร คือพระโลกนาถ. บริวารของธรรมเทพบุตร คือพุทธบริษัท.

แม้ในธรรมเทวปุตตจริยานี้ ก็พึงเจาะจงกล่าวถึงบารมีที่เหลือตาม ควร โดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล. อนึ่ง แม้ในจริยานี้ ก็พึงประกาศคุณานุภาพแห่งพระมหาสัตว์ มี อาทิอย่างนี้ คือ การที่เมื่อพระมหาสัตว์เปี่ยมพร้อมด้วย อายุ วรรณะ ยศ สุข และความเป็นใหญ่อันเป็นทิพย์ ด้วยกามคุณอันยิ่งใหญ่เป็นทิพย์เหมือน กัน อันนางอัปสร ๑,๐๐๐ บำเรออยู่ตลอดกาล น่าจะตั้งอยู่ในความประมาท อย่างใหญ่ แต่มิได้ถึงความประมาทแม้แต่น้อย แสดงธรรมในวัน ๑๕ ค่ำ ทุกๆ เดือนด้วยหวังว่า จักยังโลกัตถจริยาให้ถึงที่สุด พร้อมด้วยบริวารเที่ยว ไปในทางของมนุษย์ ยังสรรพสัตว์ให้เว้นจากอธรรม แล้วประกอบในธรรม ด้วยมหากรุณา. การที่พระโพธิสัตว์แม้พบกับอธรรมเทพบุตร ก็มิได้คำนึงถึง ความไร้มารยาทที่อธรรมเทพบุตรแสดงออกมา ไม่ทำจิตให้โกรธในอธรรม- เทพบุตรนั้น ยังขันติ เมตตาและความเอ็นดูเท่านั้นให้ตั้งอยู่ แล้วรักษาศีล ของตนมิให้ขาด และให้บริสุทธิ์เป็นอย่างดี.

จบ อรรถกถาธรรมเทวปุตตจริยาที่ ๘

กลับที่เดิม