สังขพราหมณจริยาที่ ๒

(ยกมาจากจริยาปิฏก) ว่าด้วยจริยาวัตรของสังขพราหมณ์ [] อีกเรื่องหนึ่ง เมื่อเราเป็นพราหมณ์มีนามว่าสังขะ ต้องการจะข้าม มหาสมุทรไปอาศัยปัฏฏนคามอยู่ ในกาลนั้น เราได้เห็นพระปัจเจก พุทธเจ้าผู้รู้เอง ใครๆ ชนะไม่ได้ ซึ่งเดินสวนทางมาตามทางกันดาร บนภาคพื้นอันแข็ง ร้อนจัด ครั้นเราเห็นท่านเดินสวนทางมา จึงคิด เนื้อความนี้ว่า บุญเขตนี้มาถึงแก่เราผู้เป็นสัตว์ที่ต้องการบุญเปรียบ เหมือนบุรุษชาวนาเห็นนาอันเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ (เป็นที่น่ายินดีมาก) ไม่ ปลูกพืชลงในนานั้น เขาชื่อว่าเป็นผู้ไม่ต้องการด้วยข้าวเปลือกฉันใด เราก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นผู้ต้องการบุญ เห็นเขตบุญอันประเสริฐ สุดแล้ว ถ้าไม่ทำบุญ (สักการะ) เราก็ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ต้องการบุญ เปรียบเหมือนอำมาตย์ต้องการจะให้ชนชาวเมืองของพระราชายินดี แต่ไม่ให้ทรัพย์และข้าวเปลือกแก่เขา ก็ย่อมเสื่อมจากความยินดี ฉันใด เราก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นผู้ต้องการบุญ เห็นทักขิเณยย บุคคลอันไพบูลย์แล้ว ถ้าไม่ให้ทานในทักขิเณยยบุคคลนั้นก็จัก เสื่อมจากบุญ ครั้นเราคิดอย่างนี้แล้วจึงถอดรองเท้า ไหว้เท้าของ ท่านแล้ว ได้ถวายร่มและรองเท้า เพราะฉะนั้น เราจึงเป็นผู้ละเอียด อ่อนเจริญสุขได้ร้อยเท่าพันทวี อนึ่ง เมื่อเราบำเพ็ญทานให้บริบูรณ์ ได้ถวายแก่ท่านนั้น อย่างนี้แล. จบสังขพราหมณจริยาที่ ๒

อรรถกถาสังขพราหมณจริยาที่

พึงทราบวินิจฉัยในสังขพราหมณจริยาที่สองดังต่อไปนี้ บทว่า ปุนาปรํ ตัดบทเป็น ปุน อปรํ อีกเรื่องหนึ่งอธิบายว่า บทนี้มิใช่อกิตติจริยาอย่างเดียวเท่านั้น ที่แท้เราจักกล่าว แม้สังขจริยาอื่นอีก ท่านจงฟัง.แม้ ในบทอื่นจากนี้ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. บทว่า สงฺขสวฺหโย เป็นชื่อของสังขพราหมณ์บทว่า มหาสมุทฺทํ ตริตุกาโม คือประสงค์จะข้ามมหาสมุทร ด้วยเรือเพื่อไปยังสุวรรณภูมิ. บทว่า อุปคจฺฉามิ ปฏฺฏนํ คือจะไปอาศัย เมืองท่าชื่อว่าตามลิตติอยู่. พระปัจเจกพุทธเจ้าชื่อว่า สยัมภู เพราะเป็นผู้ เห็นเอง เพราะบรรลุปัจเจกโพธิญาณด้วยพระสยัมภูญาณ. ชื่อว่า อปราชิตะ เพราะบรรดามารทั้งหลายมีกิเลสมารเป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่งชนะไม่ได้. อธิบายว่า ย่ำยีที่สุดแห่งมารทั้งหลาย ๓. บทว่า ตตฺตาย กฐินภูมิยา บน ภาคพื้นอันแข็ง ร้อนจัด คือบนภาคพื้นอันแข็งหยาบ เต็มไปด้วยกรวดและ ทรายอันร้อนระอุในฤดูร้อน. บทว่า ตํ คือพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์นั้น. อิมมตฺถํ เนื้อความนี้ คือเนื้อความมีอาทิว่า บุญเขตนี้อันจะกล่าวถึงเดี๋ยวนี้. บทว่า วิจินฺตยึ คิด แล้ว คือพระศาสดาตรัสว่า ครั้งนั้นเราเป็นสังขพราหมณ์คิดแล้ว พึงทราบ กถาตามลำดับในบทนั้นดังต่อไปนี้.

ในอดีต กรุงพาราณสีนี้ชื่อว่าโมฬินีนคร. เมื่อพระเจ้าพรหมทัต เสวยราชสมบัติอยู่ ณ โมฬินีนคร พระโพธิสัตว์เป็นพราหมณ์ชื่อว่า สังขะ เป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มากให้ตั้งโรงทาน ๖ แห่ง ในที่ทั้ง ๖ คือที่ประตูนคร ๔ ที่กลางนคร ๑ ที่ประตูบ้านของตน ๑ สละทรัพย์ทุกวัน วันละ ๖๐๐,๐๐๐ ยังมหาทาน ให้เป็นไปในบรรดาคนยากจนและเดินทางเป็นต้น. วันหนึ่ง สังขพราหมณ์คิดว่า เมื่อทรัพย์ในเรือนหมดเราก็จักไม่สามารถจะให้ทานได้ เมื่อทรัพย์ยังไม่หมดทีเดียว เราจักไปยังสุวรรณภูมิด้วยเรือแล้วนำทรัพย์มา. สังขพราหมณ์บรรทุกสินค้าเต็มเรือเรียกบุตรภรรยามากล่าวว่า พวกท่าน อย่าเลิกละทานของเราพึงทำอย่าให้ขาดจนกว่าเราจะกลับมาแล้ว แวดล้อม ด้วยทาสและกรรมกร สวมรองเท้ากางร่มบ่ายหน้าไปยังปัฏฏนคาม. ในขณะนั้น ณ ภูเขาคันธมาทน์มีพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งเข้า นิโรธสมาบัติอยู่ตลอด ๗ วัน ครั้นออกจากนิโรธสมาบัติแล้ว จึงตรวจดู สัตวโลกเห็นสังขพราหมณ์กำลังนำทรัพย์มา รำพึงอยู่ว่า มหาบุรุษจะไป นำทรัพย์มา อันตรายในมหาสมุทร จักมีแก่เขาหรือไม่มีหนอ รู้ว่า จักมี อันตราย คิดว่ามหาบุรุษผู้นี้เห็นเราจักถวายร่มและรองเท้าแก่เราด้วยอานิสงส์ถวายรองเท้า เมื่อเรือแตกในมหาสมุทรจักได้ที่พึ่ง เราจักอนุเคราะห์ เขา จึงเหาะไปทางอากาศ แล้วลงไม่ไกลสังขพราหมณ์นั้น ครั้นเวลาเที่ยง ด้วยลมและแดดอันร้อนแรง เหยียบทรายร้อนคล้ายกับลาดไว้ด้วยถ่านไฟ เดินมาถึงข้างหน้าสังขพราหมณ์นั้น. สังขพราหมณ์เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า นั้น มีความยินดีร่าเริงคิดว่า บุญเขตมาหาเราแล้ววันนี้ เราควรจะหว่านพืช ในเขตนี้.

ด้วยเหตุพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสพระดำรัสมีอาทิว่า เราเห็น พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นเดินสวนทางมา จึงคิดเนื้อความนี้ ดังนี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า อิทํ เขตฺตํ เป็นต้น แสดงอาการคิด. บทว่า เขตฺตํ ชื่อว่า เขต เพราะป้องกันพืชที่หว่านไปโดยทำให้มีผลมาก คือพื้นที่ ปลูกปุพพัณณชาติ (เช่นข้าว ข้าวฟ่าง ลูกเดือย เป็นต้น) และอปรัณณชาติ (เช่นถั่ว งา เป็นต้น นอกจากข้าว) ให้งอกงาม. ในที่นี้พระปัจเจก พุทธเจ้าเป็นทักขิไณยบุคคลผู้เลิศ ชื่อว่าเป็นบุญเขตเพราะเป็นดุจเขต. ด้วย เหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปุญฺญกามสฺส ชนฺตุโน ผู้เป็นสัตว์ต้องการบุญ. บทว่า มหาคมํ คือเป็นที่มาแห่งผลอันไพบูลย์ อธิบายว่า ให้ความสมบูรณ์ แห่งข้าวกล้า. บทว่า พีชํ น โรเปติ คือไม่ปลูกพืช. บทว่า เขตฺตวรุตฺตมํ คืออุดมแม้ในเขตบุญอันประเสริฐ. จริงอยู่ พระอริยสาวกทั้งหลาย ผู้ถึงพร้อมด้วยคุณมีศีลเป็นต้นเป็นบุญเขตอันประเสริฐกว่ากิเลส. พระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นผู้เลิศกว่านั้นจึงชื่อว่า เป็นบุญเขต อันประเสริฐสูงสุด. บทว่า การํ คือ สักการะ. พึงเชื่อมความว่า ยทิ น กโรมิ ผิว่าไม่ทำบุญ. บทนี้ท่านอธิบายไว้ว่า ผิว่าเราได้บุญเขตอันยอดเยี่ยม แล้วไม่ทำการบูชาสักการะในบุญเขตนั้น เราก็ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ต้องการบุญ. พึงทราบความสังเขปแห่งคาถาสองคาถามีอาทิว่า ยถา อมจฺโจ ดัง ต่อไปนี้ เหมือนบุรุษอำมาตย์ หรือเสนาบดี พระราชาทรงตั้งไว้ในตำแหน่ง เสริมสร้างความยินดีได้รับตราตั้งแล้ว เขาไม่ปฏิบัติตาม พระราชโองการใน ชนภายในเมืองและในหมู่พลเป็นต้นภายนอก ไม่ให้ทรัพย์สมบัติแก่พวกเขา ทำให้การปฏิบัติที่ควรทำเสื่อมเขาย่อมเสื่อมจากความยินดี ย่อมเสื่อมจาก สมบัติที่ได้จากตำแหน่งเสริมสร้างความยินดี ฉันใดแม้เราก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยินดีในการทำบุญเป็นผู้ใคร่บุญ กล่าวคือผลบุญที่ควรได้เห็นทักขิไณยบุคคล อันไพบูลย์นั้น คือได้ทักขิไณยบุคคลผู้เลอเลิศ ด้วยการทำทักษิณให้มีผล ไพบูลย์ ผิว่าไม่ให้ทานแก่ทักขิไณยบุคคลนั้น จักเสื่อมจากบุญและจากผลบุญ ต่อไป. เพราะฉะนั้นเราจึงควรทำบุญ ณ ที่นี้แล.

มหาบุรุษครั้นคิดอย่างนี้แล้ว ถอดรองเท้าแต่ไกลรีบเข้าไปไหว้พระ ปัจเจกพุทธเจ้า กล่าวว่าพระคุณเจ้าขอรับนิมนต์เข้าไปยังโคนไม้นี้ เพื่อ อนุเคราะห์กระผมด้วยเถิด. เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าเข้าไปยังโคนไม้นั้น จึง ขนทรายมาแล้วปูผ้าห่ม เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้านั่ง ณ ที่นั้นไหว้แล้วเอาน้ำ ที่กรองไว้ล้างเท้าของพระปัจเจกพุทธเจ้า เอาน้ำมันหอมทา เช็ดรองเท้า ของตน ขัดด้วยน้ำมันหอมแล้ว สวมเท้าพระปัจเจกพุทธเจ้า กล่าวว่า พระคุณเจ้าขอรับ นิมนต์สวมรองเท้านี้ แล้วกางร่มนี้ไปเถิดขอรับ แล้วได้ถวาย ร่มและรองเท้า. แม้พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น เมื่อมหาบุรุษแลดูเพื่อเจริญความ เลื่อมใส ก็รับร่มและรองเท้าเหาะไปยังเวหาไปถึงภูเขาคันมาทน์.

ด้วยเหตุ นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า:- ครั้นเราคิดอย่างนี้แล้วจึงถอดรองเท้าไหว้ เท้าของท่านแล้วได้ถวายร่มและรองเท้า.

พระโพธิสัตว์เห็นดังนั้นมีใจเลื่อมใสยิ่งนัก จึงขึ้นเรือไปยังปัฏฏนคาม. ครั้นเมื่อพระโพธิสัตว์ ข้ามมหาสมุทรไปในวันที่ ๗ เรือก็ทะลุ. พวกทาส และกรรมกรไม่สามารถจะวิดน้ำออกได้. ผู้คนต่างกลัวมรณภัย จึงไหว้เทวดา ของตนๆ ร้องเสียงระงม. พระโพธิสัตว์พาคนรับใช้คนหนึ่งไป แล้วเอาน้ำ มันทาทั่วตัว บริโภคน้ำตาลกรวดกับเนยใส ตามความต้องการ ให้คนรับใช้ บริโภคบ้าง แล้วขึ้นยอดเสากระโดงเรือกับคนรับใช้กำหนดทิศทางว่า เมือง ของเราอยู่ทางทิศนี้ ตั้งสัจจาธิษฐาน เพื่อให้พ้นจากอันตรายคือปลาและเต่า จึงก้าวลงยังที่ประมาณอุสภะหนึ่งกับคนรับใช้ พยายามจะว่ายข้ามมหาสมุทร. ส่วนมหาชนได้ถึงความพินาศในมหาสมุทรนั่นเอง. เมื่อพระโพธิสัตว์ข้าม อยู่นั้นล่วงไป ๗ วัน. ในเวลานั้นพระโพธิสัตว์เอาน้ำเค็มบ้วนปากแล้วรักษา อุโบสถ ในครั้งนั้น นางเทพธิดามณีเมขลาซึ่งท้าวโลกบาลทั้ง ๔ ตั้งไว้คอยดู แลบุรุษผู้วิเศษเช่นนี้ เผลอไป ๗ วัน ด้วยความเป็นใหญ่ของตนในวันที่ ๗ ได้เห็นพระโพธิสัตว์แล้วสังเวชใจว่า หากบุรุษนี้ตายในมหาสมุทรนี้ เรา ต้องได้รับคำติเตียนมากมาย จึงเอาอาหารทิพย์บรรจุลงในภาชนะทองคำรีบ มาแล้วกล่าวว่า ท่านพราหมณ์ บริโภคอาหารทิพย์นี้เถิด.

พระโพธิสัตว์ มองดูเทพธิดานั้นจึงปฏิเสธว่า เราไม่บริโภค เรารักษาอุโบสถ เมื่อจะถาม เทพธิดานั้นจึงกล่าวว่า:- ท่านเชื้อเชิญเราเป็นอย่างดี ท่านกล่าว กะเราว่า เชิญบริโภคอาหาร ดูก่อนนารีผู้มี อานุภาพมาก เราขอถามท่าน ท่านเป็นเทพธิดา หรือเป็นมนุษย์.

เทพธิดามณีเมขลา เมื่อจะให้คำตอบแก่พระโพธิสัตว์ได้กล่าวคาถา เหล่านี้ว่า:- ท่านสังขพราหมณ์ ข้าพเจ้าเป็นเทพธิดา มีอานุภาพมาก มาในท่ามกลางมหาสมุทรนี้ มี ความสงสาร มิได้มีจิตประทุษร้าย มาในที่นี้ เพื่อประโยชน์แก่ท่าน ข้าพเจ้าขอมอบข้าว น้ำ ที่นอน ที่นั่ง และยานหลายชนิดแก่ท่าน ทั้งหมด ขอท่านนำไปใช้ตามความปรารถนา เถิด.

พระมหาสัตว์ได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า เทพธิดานี้กล่าวว่า ข้าพเจ้าให้ สิ่งนี้ๆ แก่ท่านบนหลังมหาสมุทร. ก็เทพธิดานี้กล่าวคำใดแก่เรา แม้คำนั้น ก็สำเร็จด้วยบุญของเรา อนึ่ง เทพธิดานี้จะรู้จักบุญของเราหรือ หรือไม่รู้จัก เราจักถามนางดูก่อน เมื่อจะถามจึงกล่าวคาถานี้ว่า:- ท่านผู้มีร่างงาม มีตะโพกงาม มีคิ้วและ ขาอ่อนงาม มีสะเอวงาม เป็นอิสระแห่งบุญ กรรมทั้งหมดของเรา ท่านทำการบูชา เส้น สรวงเรา นี้เป็นผลของกรรมอะไรของเรา.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ยิฏฺฐํ คือบูชาแล้วด้วยการให้. บทว่า หุตํ. คือให้แล้วด้วยการบูชาและต้อนรับ. บทว่า สพฺพสฺส โน อิสฺสรา ตฺวํ คือ ท่านเป็นอิสระแห่งบุญกรรมทั้งหลายของเราคือ สามารถพยากรณ์ได้ว่า นี้ เป็นผลของกรรมนี้ นี่เป็นผลของกรรมนี้ ดังนี้. บทว่า สุสฺโสณิ คือมี ตะโพกงาม. บทว่า สุพฺภูรุ คือมีคิ้วและขาอ่อนงาม. บทว่า วิลคฺคมชฺเฌ ท่ามกลางตัวคือสะเอว. บทว่า กิสฺส เม คือนี่เป็นผลแห่งกรรมอะไรใน กรรมที่เราทำแล้ว เราได้ที่พึ่งในวันนี้ ในมหาสมุทรซึ่งหาที่พึ่งมิได้ด้วย กรรมใด.

เทพธิดาได้ฟังดังนั้นคิดว่า พราหมณ์นี้ ไม่รู้กุศลกรรมที่ตนทำไว้ เพราะเหตุนั้นคงจะถามเพื่อรู้ เราจักบอกกะเขา เมื่อจะบอกถึงเหตุอันเป็น บุญที่พราหมณ์ได้ถวายร่มและรองเท้าแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าในวันขึ้นเรือ จึง กล่าวคาถาว่า:- ท่านสังขพราหมณ์ ท่านได้ถวายรองเท้า กะภิกษุรูปหนึ่งซึ่งเหยียบลงไปบนทรายร้อน เดือดร้อนลำบากในทางอันร้อนระอุ ทักษิณา นั้น เป็นผลให้ความปรารถนาแก่ท่านในวันนี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า เอกภิกฺขุํ ท่านกล่าวหมายถึงพระปัจเจก พุทธเจ้าองค์หนึ่ง. บทว่า อุคฺฆฏฺฏปาทํ คือเหยียบลงไปบนทรายร้อน อธิบายว่า มีเท้าถูกเบียดเบียน. บทว่า ตสิตํ คือหวาดสะดุ้ง. บทว่า ปฏิปาทยิ คือมอบให้. บทว่า กามทุหา คือให้ความใคร่ทั้งปวง.

พระมหาสัตว์ได้ฟังดังนั้น มีความยินดีว่า เราถวายร่มและรองเท้า เป็นผลให้สำเร็จความปรารถนาทั้งปวง ในมหาสมุทรอันหาที่พึ่งมิได้เห็น ปานนี้. น่าปลื้มใจเราได้ถวายดีแล้ว จึงกล่าวคาถาว่า:- เรือลำนั้น มีแผ่นกระดานมากไม่ต้อง ขวนขวายหา ประกอบด้วยลมพัดเฉื่อยๆ ใน มหาสมุทรนี้ ไม่มีพื้นที่ของยานอื่น เราต้อง ไปถึงโมฬินีนครได้ในวันนี้แหละ.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ผลกูปปนฺนา คือประกอบด้วยแผ่นกระดาษ เพราะมีแผ่นกระดานมากเพราะเป็นเรือใหญ่. ชื่อว่าไม่ต้องขวนขวายเพราะ น้ำไม่ไหลเข้า. ชื่อว่าประกอบด้วยลมพัดเฉื่อยๆ เพราะลมพาไปเรียบร้อย.

เทพธิดาได้ฟังคำของพระโพธิสัตว์มีความยินดีร่าเริง จึงเนรมิตเรือ สำเร็จด้วยแก้วทุกชนิด ยาว ๘ อุสภะ กว้าง ๔ อุสภะ ลึก ๑ อุสภะแล้ว เนรมิตเรือสำเร็จด้วยแก้วอินทนิล เงินและทองเป็นต้นประกอบด้วยเสา กระโดง พายและหางเสือ เต็มไปด้วยแก้ว ๗ ประการ แล้วจูงพราหมณ์ ให้ขึ้นเรือ แต่เทพธิดาไม่เห็นคนรับใช้ของพราหมณ์. พราหมณ์ได้แผ่ ส่วนบุญจากความดีที่ตนทำไว้ให้แก่คนรับใช้นั้น เขาอนุโมทนา. เทพธิดา จึงจูงคนรับใช้นั้นให้ขึ้นเรือ นำเรือไปถึงโมฬินีนคร เอาทรัพย์ไปตั้งไว้ใน เรือนของพราหมณ์แล้วจึงกลับที่อยู่ของตน.

ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า:- เทพธิดานั้น ปลื้มใจ ดีใจ อิ่มเอิบใจ เนรมิตเรือสวยงาม พาสังขพราหมณ์พร้อม ด้วยคนรับใช้ ส่งถึงนครเรียบร้อย. จริงอยู่ ในเจตนา ๗ อย่าง เจตนาต้นด้วยความสมบูรณ์แห่งจิต ของพระโพธิสัตว์ และด้วยความที่พระปัจเจกพุทธเจ้าออกจากนิโรธ จึงเป็น เจตนาที่ให้ได้เสวยผลในปัจจุบันและมีผลมากมายยิ่ง. แม้ผลนี้พึงเห็นว่าเป็น ผลของความไม่ประมาทต่อทานนั้น. จริงอยู่ ทานนั้นมีผลประมาณไม่ได้ เป็นโพธิสมภาร. ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า:- เพราะเหตุนั้นเราจึงเป็นผู้ละเอียดอ่อน เจริญสุขได้ร้อยเท่า อนึ่ง เมื่อเราบำเพ็ญทาน ให้บริบูรณ์ ได้ถวายทานแก่ท่านนั้นอย่างนี้ แล. ในบทเหล่านั้น บทว่า เตน คือจากพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น. บทว่า สตคฺณโต คือ ร้อยเท่า. ในครั้งนั้นเราเป็นสังขพราหมณ์ เป็นผู้ละเอียด อ่อน. เพราะฉะนั้นเราจึงได้รับความสุข คือเจริญสุข. อนึ่ง เมื่อเป็นอย่างนี้ เราจึงบำเพ็ญทานให้บริบูรณ์. พระศาสดาทรงประกาศความที่อัธยาศัยใน ทานของพระองค์กว้างขวางมากว่า ขอทานบารมีของเราจงบริบูรณ์ด้วย ประการฉะนี้ เพราะเหตุนั้น เราจึงได้ถวายร่มและรองเท้าแก่พระปัจเจก พุทธเจ้าองค์นั้น ไม่คำนึงถึงทุกข์ในร่างกายของตนเลย. แม้พระโพธิสัตว์ อยู่ครองเรือนซึ่งมีทรัพย์นับไม่ถ้วนตลอดชีวิต ได้ ให้ทานมากมาย รักษาศีล เมื่อสิ้นอายุก็ยังเทพนครให้เต็มพร้อมด้วยบริษัท.

เทพธิดาในครั้งนั้น ได้เป็นอุบลวรรณาเถรี ในครั้งนี้ บุรุษรับใช้ ในครั้งนั้น ได้เป็นพระอานนทเถระในครั้งนี้ สังขพราหมณ์คือพระโลกนาถ.

สังขพราหมณ์นั้นย่อมได้รับบารมีแม้เหล่านี้ คือ ศีลบารมี ด้วย อำนาจแห่งนิจศีลและอุโบสถศีลอันบริสุทธิ์ด้วยดี. เนกขัมมบารมีด้วยอำนาจ แห่งกุศลธรรม เพราะออกจากธรรมอันเป็นปฏิปักษ์ต่อทานและศีลเป็นต้น. วิริยบารมี ด้วยอำนาจแห่งความอุตสาหะยิ่งเพื่อให้สำเร็จ ทานบารมีเป็นต้น และด้วยอำนาจแห่งความพยายามข้ามมหาสมุทร. ขันติบารมี ด้วยอำนาจ แห่งความอดกลั้นเพื่อประโยชน์อันนั้น. สัจจบารมี ด้วยการปฏิบัติสมควร แก่ปฏิญญา. อธิฏฐานบารมี ด้วยอำนาจแห่งการสมาทานและความตั้งใจไม่ หวั่นไหวในที่ทั้งปวง. เมตตาบารมี ด้วยอำนาจแห่งอัธยาศัย เกื้อกูลใน สรรพสัตว์ทั้งหลาย. อุเบกขาบารมี ด้วยการถึงความเป็นกลางในความผิด ปกติอันสัตว์และสังขารทำไว้. ปัญญาบารมี คือปัญญาอันเกิดขึ้นเอง และ ปัญญาอันเป็นอุบายโกศล เพราะรู้ธรรมเป็นอุปการะและไม่เป็นอุปการะแห่ง บารมีทั้งปวงแล้ว ละธรรมไม่เป็นอุปการะเสียมุ่งปฏิบัติในธรรมเป็นอุปการะ. เทศนาเป็นไปแล้วด้วยอำนาจแห่งทานบารมี อันเป็นความกว้างขวาง ยิ่งแห่งผู้มีอัธยาศัยในการให้. อนึ่ง เพราะในที่นี้ได้บารมีครบ ๑๐ ประการ ฉะนั้น

ในที่นี้ควรเจาะจงกล่าวถึงคุณของพระโพธิสัตว์ มีมหากรุณาเป็นต้น ในภายหลังตามสมควร. อนึ่ง พึงทราบคุณของพระมหาสัตว์มีอาทิอย่างนี้ว่า การไม่คำนึงถึงโภคสุขของตนด้วยมหากรุณาคิดว่า เราจักบำเพ็ญทานบารมี ดังนี้ แล้วเตรียมการเดินทาง ทางมหาสมุทร เพื่อนำสัมภาระในการให้ไป แม้เมื่อตกลงไปในมหาสมุทรก็อธิษฐานอุโบสถ ในมหาสมุทรนั้น และการ ไม่ให้เทพธิดานำอาหารมาเข้าไปใกล้เพราะกลัวจะทำลายศีล. บัดนี้ เมื่อจะ กล่าวถึงความประพฤติที่เหลือ พึงทราบถึงการเจาะจงคุณสมบัติโดยนัยนี้แล. เราจักกล่าวเพียงความที่แปลกกันไปในที่นั้นๆ. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า:- น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาแล้ว พระมหาสัตว์ ทั้งหลายเป็นผู้แสวงหาคุณใหญ่หลวง ฯลฯ จะพูดไปทำไมถึงการทำตามท่านเหล่านั้น โดยธรรมสมควรแก่ธรรม.

จบ อรรถกถาสังขพราหมณจริยาที่ ๒

กลับที่เดิม