โสมนัสสจริยาที่ ๒

ว่าด้วยพระจริยาวัตรของโสมนัสสกุมาร [๒๒] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นพระราชบุตรสุดที่รัก เป็นที่ปรารถนา ของพระมารดาพระบิดาปรากฏนามว่าโสมนัส อยู่ในอินทปัตถนคร อันอุดม เป็นผู้มีศีล สมบูรณ์ด้วยคุณธรรม มีปฏิภาณอันเฉียบ แหลม เคารพนบนอบต่อบุคคลผู้เจริญมีหิริ และฉลาดในสังคหธรรม ครั้งนั้น มีดาบสโกงผู้หนึ่ง เป็นที่โปรดปราน ของพระราชาพระองค์ นั้น ดาบสนั้นปลูกต้นผลไม้ ดอกไม้และผัก เก็บขายเลี้ยงชีวิต เราได้เห็นดาบสโกงนั้น เหมือนกองแกลบอันไม่มีข้าวสาร เหมือน ไม้เป็นโพลงข้างใน เหมือนต้นกล้วยหาแก่นมิได้ ดาบสโกงผู้นี้ไม่ มีธรรมของสัตบุรุษ ปราศจากความเป็นสมณะ ละหิริและธรรมขาว เพราะเหตุแห่งการเลี้ยงชีวิตปัจจันตชนบทกำเริบขึ้น เพราะโจรอัน เที่ยวอยู่ในดง พระราชบิดาของเราเมื่อจะเสด็จไปปราบความกำเริบ นั้น ตรัสสั่งเราว่า พ่ออย่าประมาทในชฎิลผู้มีความเพียรอันแรงกล้า นะ ลูก พ่อจะอนุวัตรตามความปรารถนา ด้วยว่าชฎิลนั้น เป็นผู้ ให้ความสำเร็จความปรารถนาทั้งปวงเราไปสู่ที่บำรุงชฎิลนั้นแล้ว ได้ กล่าวดังนี้ว่า ดูกรคฤหบดี ท่านสบายดีดอกหรือ หรือว่าท่านจะ ให้นำเอาอะไรมา เหตุนั้น ดาบสโกงนั้นอาศัยมานะจึงโกรธเราว่า เราจะให้พระราชาฆ่าท่านเสียในวันนี้ หรือจะให้ขับไล่เสียจากแว่น แคว้น พระราชาทรงปราบปัจจันตชนบทสงบแล้ว ได้ตรัสถามชฎิล โกงว่า พระผู้เป็นเจ้าสบายดีหรือสักการะสัมมานะยังเป็นไปแก่พระ ผู้เป็นเจ้าหรือชฏิลโกงนั้น กราบทูลแด่พระราชา เหมือนว่าพระราช กุมารให้ฉิบหายพระเจ้าแผ่นดินทรงสดับคำของชฎิลโกงนั้นทรงบังคับ ว่าจงตัดศีรษะเสียในที่นี้นั่นแหละ จงสับฟันบั่นออกเป็น ๔ ท่อน ทิ้งไว้ในท่ามกลางถนนให้คนเห็นว่า นั่นเป็นผลของคนเบียดเบียน ชฎิล พวกโจรฆาตก็ใจดุร้ายไม่มีกรุณาเหล่านั้น เพราะรับสั่งบังคับ เมื่อรับนั่งอยู่บนตักของพระมารดา ก็ฉุดคร่านำเราไป เราได้กล่าว แก่เขาเหล่านั้น ซึ่งกำลังผูดมัดอย่างมั่นคงอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย จงพาเราไปเฝ้าพระราชาโดยเร็ว ราชกิจของเรามีอยู่ เขาเหล่านั้น เป็นคนลามกและเสพคนลามก พาเราไปเฝ้าพระราชา เราไปเฝ้า พระราชาแล้วทูลให้ทรงเข้าพระทัย และนำมาสู่อำนาจของเราพระ บิดาขมาเรา ณ ที่นั้นแล้ว ได้พระราชทานราชสมบัติอันใหญ่หลวง แก่เรา เรานั้นทำลายความมืดมัวเมาแล้ว ออกบวชเป็นบรรพชิต เราจะเกลียดราชสมบัติ อันใหญ่หลวงก็หามิได้จะเกลียดกามโภค สมบัติก็หามิได้ แต่พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา ฉะนั้น เราจึง สละราชสมบัติเสีย ฉะนี้แล. จบโสมนัสสจริยาที่ ๒

อรรถกถาโสมนัสสจริยาที่ ๒

พึงทราบวินิจฉัยในอรรถกถาโสมนัสสจริยาที่ ๒ ดังต่อไปนี้. บทว่า อินฺทปตฺเถ ปุรุตฺตเม คือนครประเสริฐมีชื่ออย่างนี้. บทว่า กามิโต เพราะเป็นที่ปรารถนา คือ เป็นผู้อันพระชนกชนนีปรารถนาในกาลนานอย่าง นี้ว่า ไฉนหนอบุตรจะพึงเกิดสักคนหนึ่ง. บทว่า ทยิโต ได้แก่เป็นที่รัก. บทว่า โสมนสฺโสติ วิสฺสุโต คือมีชื่อตามประกาศอย่างนี้ว่า โสมนัส. บทว่า สีลวา คือประกอบด้วยศีล คือกุศลกรรมบถ ๑๐ และศีลคืออาจาร. บทว่า คุณสมฺปนฺโน คือเข้าถึงหรือบริบูรณ์ด้วยคุณ มีศรัทธาและ พาหุสัจจะเป็นต้น. บทว่า กลฺยาณปฏิภาณวา คือประกอบด้วยปฏิภาณงาม กล่าวคือ เป็นผู้ฉลาดในอุบายยังกิจที่ควรทำนั้นๆ ให้สำเร็จ. บทว่า วุฑฺฒาปจายี เคารพอ่อนน้อมต่อผู้เจริญ คือมีปกติอ่อนน้อมต่อมารดาบิดา ผู้เจริญในตระกูลต่อบุคคลผู้เจริญโดยชาติ และต่อบุคคลผู้เจริญด้วยคุณธรรม มีศีลเป็นต้น. บทว่า หิริมา คือประกอบด้วยหิริมีลักษณะเกลียดบาป. บทว่า สงฺคเหสุ จ โกวิโท คือฉลาดในการสงเคราะห์สัตว์ทั้งหลายตาม สมควรด้วยสังคหวัตถุ ๔ มีทาน คือการให้ ปิยวาจา คือเจรจาน่ารัก อัตถจริยา คือประพฤติสิ่งเป็นประโยชน์ สมานัตตตา คือมีตนเสมอไม่ถือตัว. พึงทราบการเชื่อมความว่า ในกาลเมื่อเราปรากฏชื่อว่า โสมนัสเป็นโอรสของ พระเจ้ากุรุพระนามว่า เรณุเห็นปานนี้. บทว่า ตสฺส รญฺโญ ปติกโร คือเป็นที่โปรดปราน เพราะพระเจ้ากุรุเข้าไปบำรุงอยู่เนืองๆ. บทว่า กุหกตาปโส คือดาบสผู้หนึ่งสำเร็จชีวิตด้วยความหลอกลวงมีลักษณะยกย่อง คุณของอสัตบุรุษ. เป็นผู้ที่พระราชาทรงนับถือ. บทว่า อารามํ คือสวน ผลไม้ ดาบสปลูกผลที่เป็นเถา มีฟักทอง น้ำเต้า ฟักเขียว แตงกวาเป็นต้น และผักมีกระเพลาเป็นต้น. บทว่า มาลาวจฺฉํ คือดอกไม้มีดอกมะลิและ ลำดวนเป็นต้น. ด้วยเหตุนี้ท่านจึงแสดงว่า เป็นสวนดอกไม้. พึงทราบ อธิบายว่า ดาบสทำสวนปลูกไม้ดอกและไม้ผลดังกล่าวแล้วในสวนนั้น รวบ รวมทรัพย์ที่ได้จากการขายไม้ดอกไม้ผลนั้นเลี้ยงชีพ. ในเรื่องนั้นพึงทราบกถาเป็นลำดับดังต่อไปนี้.

ในครั้งนั้นมีดาบส ชื่อว่ามหารักขิตะ มีดาบส ๕๐๐ เป็นบริวารอยู่ในหิมวันตประเทศ เที่ยว จาริกไปยังชนบทเพื่อต้องการเสพของเค็มและของเปรี้ยว ถึงกรุงอินทปัตถะ อยู่ในพระราชอุทยานพร้อมด้วยบริวารเที่ยวไปบิณฑบาตถึงประตูพระราชวัง พระราชาทอดพระเนตรเห็นหมู่ฤๅษี ทรงเลื่อมใสในอิริยาบถ ให้นั่งบนพื้น ใหญ่ที่ตกแต่งแล้ว ทรงอังคาสด้วยอาหารอันประณีต แล้วตรัสว่า ขอ พระคุณท่านจงอยู่ในอุทยานของข้าพเจ้าตลอดฤดูฝนนี้เถิด แล้วเสด็จไป พระราชอุทยานกับพระดาบสเหล่านั้นรับสั่งให้สร้างที่อยู่ ทรงถวายบริขาร ของบรรพชิตแล้วเสด็จออกไป. ตั้งแต่นั้นมาดาบสทั้งปวงเหล่านั้นก็บริโภค ในพระราชนิเวศน์. ฝ่ายพระราชาไม่มีโอรสทรงปรารถนาโอรส. โอรสก็ยังไม่เกิด. ครั้น ออกพรรษาพระมหารักขิตะคิดว่า เราจะต้องกลับไปป่าหิมวันตะ จึงลา พระราชา พระราชาทรงกระทำสักการะสัมมานะแล้วออกไปในระหว่างตอน กลางวันและจากทางพร้อมด้วยบริวาร นั่งภายใต้ต้นไม้มีเงาหนาทึบต้นหนึ่ง. ดาบสทั้งหลายสนทนากันว่า พระราชาไม่มีพระโอรส. จะพึงเป็นการดี หากพระราชาได้พระราชบุตร. ท่านมหารักขิตะได้ฟังการสนทนานั้นจึงใคร่ ครวญดูว่า พระโอรสของพระราชาจักมีหรือไม่หนอ. ทราบว่าจักมีจึงกล่าวว่า พวกท่านอย่าคิดไปเลย วันนี้เวลาใกล้รุ่ง เทพบุตรองค์หนึ่งจักจุติลงมาเกิด ในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระราชา. ชฎิลโกงคนหนึ่งได้ฟังดังนั้นคิดว่า บัดนี้เราจักเป็นราชกุลูปกะคือผู้ เข้าถึงราชตระกูล ครั้นดาบสทั้งหลายจะไปจึงทำเป็นไข้นอนซมเมื่อดาบส กล่าวว่า มาไปกันเถิด. กล่าวว่า ผมไปไม่ไหว. มหารักขิตดาบสรู้เหตุที่ดาบส นั้นนอน จึงกล่าวว่า ท่านไปได้เมื่อใดก็พึงตามไปเถิด แล้วพาหมู่ฤๅษี ไปถึงหิมวันตประเทศ. ดาบสโกหกรีบกลับไปยืนอยู่ที่ประตูพระนครให้คน ไปทูลพระราชาว่า ดาบสอุปัฏฐากของมหารักขิตดาบสกลับมา พระราชา รับสั่งให้ราชบุรุษรีบไปเรียกมา จึงขึ้นปราสาท นั่งบนอาสนะที่เขาปูไว้. พระราชาทรงไหว้ดาบสนั้น แล้วประทับนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง ตรัสถามถึง ความไม่มีโรคของฤๅษีทั้งหลายแล้วตรัสว่า พระคุณท่านกลับมาเร็วนัก มี ความต้องการอะไรหรือ. ดาบสโกงทูลว่า มหาราชหมู่ฤๅษีเป็นสุขดี สนทนากันว่า จะพึงเป็นการดี หากพระราชบุตรผู้ดำรงวงศ์ตระกูลของพระราชาจะพึงบังเกิด. อาตมา ได้ฟังการสนทนากันจึงตรวจดูด้วยทิพยจักษุว่า พระโอรสของพระราชาจักมี หรือไม่หนอ จึงเห็นว่า เทพบุตรผู้มีฤทธิ์มากจักจุติลงมาเกิดในพระครรภ์ ของพระนางสุธรรมาอัครมเหสี แล้วทูลว่าอาตมามาก็เพื่อจะทูลพระองค์ว่า ชนทั้งหลาย เมื่อไม่รู้จะพึงยังพระครรภ์ให้พินาศได้ อาตมาจะทูลข้อนั้นก่อน. อาตมาทูลแด่พระองค์แล้ว อาตมาก็จะกลับไป. พระราชาตรัสว่า พระคุณ อย่าไปเลย ทรงยินดีร่าเริงมีพระทัยเลื่อมใส ทรงนำดาบสโกงไปพระราชอุทยานจัดแจงที่อยู่พระราชทาน. ตั้งแต่นั้นมาดาบสโกงนั้นก็บริโภคใน ราชตระกูลอาศัยอยู่. ดาบสโกงมีชื่อว่า ทิพพจักขุกะ.

ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์จุติจากดาวดึงสพิภพ ถือปฏิสนธิในกรุง อินทปัตถะนั้น. ในวันขนานพระนามของพระกุมารที่ประสูติ พระชนกชนนี ทรงตั้งพระนามว่า โสมนัสสะ. โสมนัสสกุมารทรงเจริญด้วยการเลี้ยงดู กุมาร. ดาบสโกงก็ปลูกผักสำหรับแกง และผลมีเถาเป็นต้นเอาไปขายใน ท้องตลาดรวบรวมทรัพย์ไว้. ลำดับนั้น ในขณะที่พระโพธิสัตว์มีพระชนม์ได้ ๗ พระพรรษา ชายแดนของพระราชากำเริบ. พระองค์ตรัสสั่งพระกุมารว่า ลูกอย่า ประมาทในทิพพจักขุดาบส แล้วเสด็จเพื่อทรงปราบชายแดนให้สงบ. อยู่มาวันหนึ่งพระกุมารเสด็จไปพระราชอุทยานด้วยทรงดำริว่า จัก เยี่ยมชฎิล ทรงเห็นชฎิลโกงนุ่งผ้ากาสาวะมีกลิ่นผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง ถือ หม้อสองใบด้วยมือทั้งสอง รดน้ำในที่ปลูกผักทรงรู้ว่าชฎิลโกงนี้ไม่ประกอบ สมณธรรมของตน ทำการขายของในตลาด จึงตรัสถามว่า คหบดีฝักบัว ทำอะไร? ทำเอาดาบสโกงละอายแล้วเสด็จออกไป. ชฎิลโกงคิดว่า กุมารนี้เดี๋ยวนี้ยังเป็นถึงอย่างนี้ ภายหลังใครจะรู้ว่า กุมารนี้จักทำอะไร เราควรจัดการกุมารนี้ให้พินาศเสียในตอนนี้แหละ ใน เวลาพระราชาเสด็จมาจึงเหวี่ยงแผ่นหินไปเสียข้างหนึ่ง แล้วทำลายหม้อน้ำ เสียเกลี่ยหญ้าที่บรรณศาลา เอาน้ำมันทาร่างกายเข้าไปยังบรรณศาลาคลุม ตลอดศีรษะนอนบนเตียงดุจเป็นทุกข์หนัก. พระราชาเสด็จกลับทรงกระทำ ประทักษิณพระนครยังไม่เสด็จเข้าพระราชวัง ทอดพระเนตรเห็นความผิด ปกตินั้น ทรงดำริว่า นั่นอะไรกัน จึงเสด็จเข้าไปภายในทรงเห็นดาบสโกง นั้นนอนอยู่ จึงทรงลูบที่เท้าตรัสถามว่า ใครเบียดเบียนพระคุณท่านอย่างนี้. เราจะฆ่าเสียวันนี้แหละ. พระคุณท่านจงรีบบอกมา. ชฎิลโกงฟังดังนั้นถอนหายใจลุกขึ้นทูลว่า มหาราช ข้าพระองค์มา เฝ้าพระองค์. เพราะการมาเฝ้านั่นแหละ ข้าพระองค์จึงต้องได้รับความ เดือดร้อนนี้ เพราะความคุ้นเคยในพระองค์โอรสของพระองค์นั่นแหละ เบียดเบียนข้าพระองค์. พระราชาทรงสดับดังนั้น จึงมีพระราชบัญชาให้ เพชฌฆาตจงไปตัดศีรษะพระกุมาร ตัดให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วนำไปทิ้ง ไว้กลางถนน. พวกเพชฌฆาตก็ไปฉุดพระกุมารซึ่งพระมารดาตกแต่งแล้ว ให้ประทับนอนบนตักของพระนาง ทูลว่า พระราชามีพระบัญชาให้ฆ่า พระกุมาร. พระกุมารทรงกลัวความตาย เสด็จลุกจากตักพระมารดาแล้วตรัสว่า พวกท่านจงนำเราไปเฝ้าพระราชา. เรามีราชกิจที่จะต้องกราบทูล. พวก เพชฌฆาตฟังพระดำรัสของพระกุมารแล้วก็ไม่อาจฆ่าได้จึงเอาเชือกมัดดุจมัด โค นำไปเฝ้าพระราชา.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า:- เราได้เห็นดาบสโกงนั้น เหมือนกอง แกลบอันไม่มีข้าวสาร เหมือนไม้เป็นโพลง ข้างใน เหมือนต้นกล้วยไม่มีแก่น ดาบสโกง ผู้นี้ไม่มีธรรมของสัตบุรุษ ปราศจากความเป็น สมณะ ละธรรมขาวคือหิริ เพราะเหตุแห่ง การเลี้ยงชีวิต. ปัจจันตชนบทกำเริบขึ้น เพราะโจรอันเที่ยวอยู่ในดง พระชนกของเรา เมื่อจะเสด็จไปปราบความกำเริบนั้น ตรัสสั่ง เราว่า พ่ออย่าประมาทในชฎิลผู้มีความเพียร อันแรงกล้านะ พ่อจงอนุวัตรตามความ ปรารถนา ด้วยว่าชฎิลนั้น เป็นผู้ให้ความ สำเร็จความปรารถนาทั้งปวง. ในบทเหล่านั้น บทว่า ถุสราสึว อตณฺฑุลํ คือดุจกองแกลบอัน ปราศจากข้าวสารและรำ ดุจต้นไม้เป็นโพลงใหญ่ภายใน. เราเห็นดาบส ปราศจากสาระมีศีลสาระเป็นต้น ดุจต้นกล้วยไม่มีแก่น ธรรมมีญาณเป็นต้น ของสัตบุรุษคือคนดีทั้งหลายไม่มีแก่ดาบสนี้เลย. เพราะเหตุไร? เพราะดาบส นี้ปราศจาก คือเสื่อมจากความเป็นสมณะแม้เพียงศีล. เป็นความจริงดังนั้น ดาบสนี้ปราศจากธรรมขาวคือหิริ คือเป็นผู้ละธรรมขาวอันได้แก่หิริ เพราะ เหตุแห่งการเลี้ยงชีวิต. ท่านแสดงว่า เราคิดว่าดาบสนี้เที่ยวไปด้วยเพศ ของดาบสเพราะเหตุแห่งชีวิตอย่างเดียวเท่านั้น. บทว่า ปรนฺติหิ ท่าน แสดงว่า ชื่อว่า ปรนฺติโน เพราะมีชายแดนอันเป็นส่วนอื่นเป็นที่อยู่ คืออยู่ในระหว่างพรมแดน. ชายแดนกำเริบด้วยโจรที่อยู่ในดงชายแดน. พระเจ้ากุรุ พระชนกของเราเมื่อเสด็จไปปราบความกำเริบในชายแดนนั้นให้ สงบ ในกาลนั้นได้สอนเราว่า พ่อโสมนัสสกุมาร พ่ออย่าประมาทชฎิล ผู้เป็นนายของพ่อมีความเพียรสูง มีตบะกล้ามีอินทรีย์สงบอย่างยิ่ง. ชฎิล นั้นได้ให้ความสำเร็จที่ปรารถนาทุกอย่างแก่พวกเรา เพราะฉะนั้น พ่อจง อนุวัตรตามความปรารถนา ตามความชอบใจ อนุเคราะห์ชฎิลนั้น. ดังที่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า:- เราไปสู่ที่บำรุงชฎิลนั้นแล้วได้กล่าวดังนี้ ว่า ดูก่อนคฤหบดี ท่านสบายดีดอกหรือ หรือว่าท่านจะให้นำเอาอะไรมา เหตุนั้นดาบส โกงนั้นอาศัยมานะจึงโกรธเราว่า เราจะให้ พระราชาฆ่าท่านเสียในวันนี้ หรือจะให้ขับไล่ เสียจากแว่นแคว้น พระราชาทรงปราบปัจจันตชนบทสงบแล้ว ได้ตรัสถามชฎิลโกงว่า พระคุณท่านสบายดีหรือ สักการะสัมมานะ ยังเป็นไปแก่พระคุณท่านหรือ. ชฎิลโกงนั้น ทูลแด่พระราชาเหมือนว่าพระกุมารจะทำให้ ฉิบหาย. พระราชาทรงสดับคำของชฎิลโกงนั้น ทรงมีพระราชบัญชาว่า จงตัดศีรษะเสียในที่นี้ นั่นแหละ จงสับฟันบั่นออกเป็น ๔ ท่อน ทิ้งไว้ในท่ามกลางถนนให้คนเห็นว่า นั่นเป็น ผลของคนเบียดเบียนชฎิล พวกเพชฌฆาต มีใจดุร้ายไม่มีสงสารเหล่านั้น เพราะมีพระราช- บัญชา เมื่อเรานั่งอยู่บนตักของพระมารดา ก็ฉุดคร่านำเราไป. บทว่า ตมหํ คนฺตฺวานุปฏฺฐานํ เราไม่ละเลยพระดำรัส ของพระชนก ได้ไปเพื่อบำรุงดาบสโกงนั้น ได้เห็นดาบสโกงนั้นกำลังรดน้ำ ในพื้นที่ปลูกผัก ก็รู้ว่าดาบสนี้เป็นคนขายผัก จึงได้กล่าวคำนี้ว่า คฤหบดี ท่านสบายดีดอกหรือ. อนึ่ง ท่านรดน้ำในพื้นที่ปลูกผัก. ท่านได้รับเงินหรือ ทองบ้างหรือ. อนึ่ง ท่านประพฤติเยี่ยงคนขายผัก. บทว่า เตน โส กุปิโต อาสิ คือด้วยคำพูดที่เราเรียกว่า คฤหบดี นั้น ดาบสโกงอาศัยมานะติดแน่นอยู่ในมานะได้โกรธเรามาก. ถึงกับพูดว่า วันนี้เราจักให้พระราชาฆ่าท่านเสีย. หรือจะให้พระราชาขับไล่ ท่านออกจากแว่นแคว้น. ในบทเหล่านั้น บทว่า ตุวํ อชฺช คือให้พระราชาฆ่าท่านเสีย. อธิบายว่า ในเวลาที่พระราชาเสด็จมาในบัดนี้แหละ. บทว่า นิเสธยิตฺวา ปจฺจนฺตํ ความว่า พระราชาทรงปราบชายแดนสงบแล้ว ยังไม่เสด็จเข้า พระนคร เสด็จไปพระราชอุทยานในขณะนั้นเองตรัสถามว่า พระคุณท่าน สบายดีหรือ. สัมมานะยังเป็นไปแก่พระคุณท่านหรือ คือพระกุมารได้มา แสดงความนับถือพระคุณท่านบ้างหรือ. บทว่า กุมาโร ยถา นาสิโย คือดาบสโกงนั้นได้ทูลแด่พระราชานั้น ดูเหมือนว่าพระกุมารจะทำให้ฉิบหายคือจะให้ฆ่าเสีย. บทว่า อาณาเปสิ คือพระราชาทรงดำริว่า เมื่อยังมีทิพพจักขุดาบสนี้ผู้เป็นเจ้านายของเราอยู่ อะไรเล่าจะไม่สำเร็จแก่เรา. เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องการบุตรแล้ว. ดาบส นี้ประเสริฐกว่าบุตร ดังนี้แล้ว จึงมีพระราชบัญชาบังคับ. บทว่า สีสํ ตตฺเถว ฉินฺทิตฺวา พวกท่านจงตัดศีรษะของกุมาร นั้น ในที่ที่พวกท่านเห็นแล้วจงสับฟันร่างของกุมารนั้นออกเป็น ๔ ท่อน เอาไปวางไว้กลางถนน กระจายให้เต็มถนนให้คนเห็น. เพราะเหตุไร? เพราะนั่นเป็นผลของคนเบียดเบียนชฎิล คือ นั่นเป็นคติ นั่นเป็นความ สำเร็จ นั่นเป็นผลของคนเบียดเบียนชฎิล. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ชฎิลหีฬิ ตา คือนั่นเป็นการสำเร็จโทษพระกุมาร เพราะเหตุการเบียดเบียนชฎิล. พึง ทราบเนื้อความในบทนี้ด้วยประการฉะนี้. บทว่า ตตฺถ คือในเพราะพระบัญชาของพระราชานั้น. หรือใน เพราะความเย้ยหยันดาบสนั้น. บทว่า การณิกา คือเพชฌฆาตได้แก่ โจรฆาต. บทว่า จณฺฑา คือดุร้าย. บทว่า. ลุทฺทา คือหยาบสิ้นดี. บทว่า อการุณา เป็นไวพจน์ของบทว่า ลุทฺทา นั่นเอง. บาลีว่า อกรุณา บ้าง อธิบายว่า ไม่มีกรุณา. บทว่า มาตุ องฺเก นิสินฺนสฺส คือนั่งอยู่ บนตักของพระสุธรรมาเทวีพระชนนีของเรา. บทว่า นิสินฺนสฺส เป็น ฉัฏฐีวิภัตติ์ลงในอนาทร คือแปลว่า เมื่อ. บทว่า อากฑฺฒิตฺวา นยนฺติ มํ คือพวกเพชฌฆาตเหล่านั้นเอาเชือกฉุดคร่าเราดุจโค ซึ่งพระชนนีตกแต่ง แล้วให้นั่งบนตักของพระองค์ นำไปฆ่าตามพระราชบัญชา.ก็เมื่อพระกุมาร ถูกเพชฌฆาตนำไป พระสุธรรมาเทวีแวดล้อมด้วยหมู่ทาสีพร้อมด้วยพวก สนม แม้ชาวพระนครต่างก็พากันไปกับพระกุมารนั้น ด้วยคิดว่า พวกเราจัก ไม่ให้ฆ่าพระกุมารนั้นผู้ไม่มีความผิด.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า:- เราได้กล่าวแก่เขาเหล่านั้นซึ่งกำลังผูก มัดอย่างมั่นคงอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงพา เราไปเฝ้าพระราชาโดยเร็ว ราชกิจของเรามีอยู่ เขาเหล่านั้นเป็นคนลามก และคบกับคนลามก พาเราไปเฝ้าพระราชา. เราไปเฝ้าพระราชา แล้วทูลให้เข้าพระทัย และนำมาสู่อำนาจ ของเรา. บทว่า พนฺธตํ คาฬฺหพนฺธนํ คือพวกเพชฌฆาตเหล่านั้นผูกมัด อย่างมั่นคง. บทว่า ราชกิริยานิ อตฺถิ เม คือเรามีราชกิจที่จะต้อง กราบทูลแด่พระราชา. เพราะฉะนั้นพวกท่านจงพาเราไปเฝ้าพระราชา เรา ได้กล่าวถ้อยคำอย่างนี้แก่พวกเพชฌฆาต. บทว่า รญฺโญ ทสฺสยึสุ ปาปสฺส ปาปเสวิโน คือพวก เพชฌฆาตคบคนลามก เพราะคบดาบสโกงผู้มีศีลลามก มีอาจาระลามก ด้วยตนพาเราไปเฝ้าพระราชา. บทว่า ทิสฺวาน ตํ สญฺญาเปสึ คือเราไป เฝ้าพระราชากุรุพระชนกของเรา แล้วทูลถามว่า เพราะเหตุไรพระบิดาจึง ให้ฆ่าลูกเสียเล่าพระเจ้าข้า. เมื่อพระราชาตรัสว่า ก็เพราะเหตุไรเจ้าจึง เรียกทิพพจักขุดาบสผู้เป็นเจ้านายของพ่อด้วยคำว่า คฤหบดี เล่า. เจ้าทำ ผิดมาก. พระกุมารทูลว่า ข้าแต่พระบิดา เมื่อข้าพระองค์กล่าวกะผู้ที่เป็น คฤหบดีว่า คฤหบดี ดังนี้ จะมีความผิดได้อย่างไร? แล้วทูลต่อไปว่า ขอพระบิดาทรงเชื่อว่าดาบสนั้นปลูกไม้ดอกไม้ผลนานาชนิด แล้วขายดอกไม้ ผัก และผลาผลเป็นต้น พวกขายพวงมาลัยและผักซื้อของเหล่านั้นจากมือ ดาบสนั้นทุกวัน แล้วโปรดทรงพิจารณาพื้นที่ปลูกไม้ดอก และพื้นที่ปลูกผัก เถิดพระเจ้าข้า แล้วเราเข้าไปยังบรรณศาลาของดาบสนั้นให้พวกราชบุรุษ ของตน นำกหาปณะและภัณฑะที่ดาบสได้จากการขายดอกไม้เป็นต้น ให้ พระราชาทรงรู้เห็น. เราให้พระราชาทรงทราบถึงความที่ดาบสนั้นเป็น ดาบสโกงแล้ว. บทว่า มมญฺจ วสมานยึ เรานำมาสู่อำนาจของเรา ความว่า

ด้วยการให้ทรงเข้าพระทัยนั้น พระราชาทรงทราบดีว่า กุมารพูดจริง ดาบสโกงนี้ ครั้งก่อนทำเป็นมีความมักน้อย เดี๋ยวนี้กลายเป็นคนมักมาก เพราะเหตุนั้น เราจึงนำพระราชามาสู่อำนาจของเรา โดยที่พระองค์ทรง เบื่อหน่ายในดาบสนั้น แล้วตกอยู่ในอำนาจของเรา. ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ทรงดำริว่า เราควรเข้าป่าบวชดีกว่าอยู่ใน สำนักของพระราชาผู้โง่เขลาเห็นปานนี้ แล้วทูลลาพระราชาว่า ข้าแต่ มหาราช ข้าพระองค์ไม่ต้องการอยู่ในที่นี้. ขอพระองค์ทรงอนุญาต. ข้าพระองค์จักบวช. พระราชาตรัสว่า ลูกรักพ่อมิได้ใคร่ครวญบังคับให้ฆ่าลูก. ลูกจงยกโทษให้พ่อเถิด แล้วให้พระมหาสัตว์ยกโทษให้ ตรัสว่า ลูกจงครอง ราชสมบัติเถิด. พระกุมารทูลว่า ข้าแต่พระบิดาในโภคสมบัติอันเป็นของ มนุษย์จะมีอะไร. ลูกเคยเสวยโภคสมบัติอันเป็นทิพย์มาตลอดกาลนาน. ลูก ยังไม่ติดในสมบัตินั้นเลย. ลูกจักบวชละ. ลูกไม่ขออยู่ในสำนักของผู้ที่มี ปัญญาโดยถูกผู้อื่นนำไปเป็นคนโง่เช่นนั้นแล้ว เมื่อจะทรงสั่งสอนพระราชา จึงทรงแสดงธรรมด้วยคาถาเหล่านี้ว่า:- กรรมที่บุคคลไม่ใคร่ครวญแล้วทำลงไป ไม่กำหนดความคิด เหมือนความวิบัติของยา ย่อมเป็นผลชั่ว. อนึ่ง กรรมที่บุคคลใคร่ครวญ ก่อนแล้วทำ กำหนดความคิดโดยชอบ. เหมือนสมบัติของยา ย่อมเป็นผลเจริญ. คฤหัสถ์เกียจคร้านบริโภคกาม ไม่ดี เลย บรรพชิตไม่สำรวมก็ไม่ดี. พระราชาไม่ ใคร่ครวญแล้วทำลงไปก็ไม่ดี. ผู้ที่เป็นบัณฑิต มักโกรธก็ไม่ดี. ข้าแต่ราชะผู้เป็นใหญ่ในทิศ กษัตริย์ พึงใคร่ครวญก่อนแล้วทำ ไม่ใคร่ครวญก่อน แล้วไม่ทำ. ยศและเกียรติย่อมเจริญแก่ พระราชาผู้ใคร่ครวญก่อนแล้วทำ. ข้าแต่พระภูมิบาล ผู้เป็นใหญ่ใคร่ครวญ ก่อนแล้วจึงปรับสินไหม. ย่อมอิ่มใจถึงสิ่งที่ ทำแล้วโดยพลัน. ประโยชน์ทั้งหลายของตน ที่ด้วยการตั้งใจชอบ ย่อมไม่ตามเดือดร้อนใน ภายหลัง. ผู้จำแนกกรรมทั้งหลายในโลกอัน วิญญูชนสรรเสริญแล้วอันมีสุขเป็นกำไร ทำ กรรมอันไม่ตามเดือดร้อน กรรมเหล่านั้นย่อม เป็นกรรมอันบัณฑิตทั้งหลายเห็นชอบแล้ว. ข้าแต่พระบิดาผู้เป็นใหญ่ในชน เพชฌ- ฆาตสะพายดาบ นุ่งผ้าย้อมน้ำฝาดเดินมาจะฆ่า ข้าพระองค์. ข้าแต่เทวะ ข้าพระองค์นั่งบน ตักพระชนนี เพชฌฆาตเหล่านั้นฉุดคร่า ข้าพระองค์อย่างรีบร้อน. ข้าแต่พระราชา ข้าพระองค์ได้รับทุกข์เผ็ดร้อนแสนสาหัส ได้ มีจิตเพราะพูดคำอ่อนหวานน่ารัก. วันนี้ ข้าพระองค์พ้นจากการฆ่าได้ด้วยความยาก. ข้าพระองค์มีใจมุ่งต่อบรรพชา.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อนิสมฺม คือไม่ใคร่ครวญ. บทว่า อนวตฺถาย คือไม่กำหนด. บทว่า เวภงฺโค คือวิบัติ. บทว่า วิปาโก คือความสำเร็จ. บทว่า อสญฺญโต คือไม่สำรวม ทุศีล. บทว่า ปณเยยฺย คือพึงปรับ. บทว่า เวคา คือโดยเร็ว โดยพลัน. บทว่า สมฺมาปณีธีจ คือด้วยการตั้งใจไว้โดยชอบ อธิบายว่า ประโยชน์ทั้งหลายของคนที่ทำด้วย จิตตั้งไว้โดยแยบคาย. บทว่า วิภชฺช คือจำแนกด้วยปัญญาอย่างนี้ว่า กรรมนี้ควรทำ กรรมนี้ไม่ควรทำ ดังนี้. บทว่า กมฺมายตนานิ คือกรรม ทั้งหลาย. บทว่า พุทฺธานุมตานิ คืออันบัณฑิตทั้งหลายเห็นชอบคือไม่มีโทษ. บทว่า กฏุกํ คือข้าพระองค์ถึงมรณภัยอันเป็นทุกข์ ไม่น่ายินดี คับแค้น แสนสาหัส. บทว่า ลทฺธ คือได้ชีวิต ด้วยกำลังความรู้ของตน. บทว่า ปพฺพชฺชเมวาภิมโน คือข้าพระองค์มีจิตมุ่งต่อบรรพชา.

เมื่อพระมหาสัตว์ทรงแสดงธรรมอย่างนี้ พระราชาตรัสกับพระเทวี ว่า ดูก่อนพระเทวี เธอจงยับยั้งโอรสไว้. แม้พระเทวีก็ทรงพอพระทัย การบวชของพระกุมารเหมือนกัน. พระมหาสัตว์ถวายบังคมพระชนกชนนี แล้วทรงขอขมาว่า หากโทษมีอยู่แก่ข้าพระองค์ ขอได้ทรงโปรดยกโทษให้ ข้าพระองค์เถิด แล้วทรงอำลามหาชนได้เสด็จบ่ายหน้าไปหิมวันตประเทศ. ก็และเมื่อพระมหาสัตว์เสด็จไปแล้ว มหาชนพากันทุบตีชฎิลโกงจนถึงสิ้น ชีวิต. แม้พระโพธิสัตว์ก็รับสั่งให้ราชบุรุษ มีอำมาตย์ราชบริษัท พร้อมด้วย ชาวพระนครซึ่งมีหน้าเต็มไปด้วยน้ำตาให้กลับ. เมื่อมนุษย์ทั้งหลายพากัน กลับ ทวยเทพมาในเพศของมนุษย์ นำพระโพธิสัตว์ล่วงเลยแนวภูเขา ๗ ลูก พระโพธิสัตว์บรรพชาเป็นฤๅษีอยู่ ณ บรรณศาลา ที่วิษณุกรรมเนรมิตไว้ ในหิมวันตประเทศ

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า:- พระบิดาขมาเราในที่นั้นแล้ว ได้พระราชทานราชสมบัติอันใหญ่หลวงแก่เรา เรานั้น ทำลายความมืดมัว แล้วออกบวชเป็นบรรพชิต. ในบทเหล่านั้น บทว่า ตมํ ทาลยิตฺวา ได้แก่กำจัดความมืดคือ โมหะอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการเห็นโทษในกาม. บทว่า ปพฺพชึ คือเข้าถึง แล้ว. บทว่า อนคาริยํ คือการบวช. บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะทรงแสดงถึงประโยชน์ที่พระองค์ ทรงสละราชอิสริยยศนั้น ในกาลนั้น จึงตรัสคาถาสุดท้ายว่า น เม เทสฺสํ ความแห่งคาถานั้นมีนัยดังกล่าวแล้ว.

เมื่อพระมหาสัตว์บวชแล้วอย่างนี้ ทวยเทพมาด้วยเพศของปริจาริกา ในราชตระกูลบำรุงพระมหาสัตว์นั้นตลอดเวลา ๑๖ ปี. พระมหาสัตว์ยัง ฌานและอภิญญาให้เกิด ณ ที่นั้นแล้วได้เสด็จเข้าถึงพรหมโลก.

ดาบสโกงในครั้งนั้นได้เป็นเทวทัตในครั้งนี้. พระชนนีคือพระมหามายา. มหารักขิตดาบสคือพระสารีบุตรเถระ. โสมนัสสกุมารคือพระโลกนาถ.

พึงเจาะจงกล่าวถึงบารมี ๑๐ โดยนัยดังกล่าวแล้วในยุธัญชยจริยานั้น. แม้ในจริยานี้ท่านยกเนกขัมมบารมีขึ้นสู่เทศนา ว่าเป็นบารมียอด เยี่ยมอย่างยิ่ง. อนึ่ง พึงทราบคุณานุภาพของพระมหาสัตว์มีอาทิอย่างนี้คือ ความที่พระองค์สามารถในราชกิจทั้งหลายในขณะมีชนม์ได้ ๗ พระพรรษา. การจับดาบสนั้นว่าเป็นชฎิลโกงได้. ความไม่มีหวาดสะดุ้งเมื่อพระราชาทรง ขวนขวายมีพระบัญชาให้ฆ่า. การประกาศถึงความที่พระโพธิสัตว์เสด็จไป เฝ้าพระราชาแล้วแสดงโทษของชฎิลโกงโดยนัยต่างๆ และความที่พระองค์ ไม่มีความผิด แล้วทรงเริ่มต่อว่าความที่พระราชามีปัญญาถูกคนอื่นนำไป และความเป็นพระราชาโง่ แม้เมื่อพระราชาทรงขอขมาแล้วก็ยังถึงความ สังเวชจากการอยู่ในราชสำนัก และจากความเป็นใหญ่ในราชสมบัติ แม้ พระราชาทรงวิงวอนมีประการต่างๆ ก็ทรงทอดทิ้งสิริราชสมบัติอันอยู่ใน เงื้อมพระหัตถ์แล้วดุจถ่มก้อนน้ำลายทิ้ง เป็นผู้ไม่มีจิตติดอยู่ในที่ไหนออก บวช. ครั้นบวชแล้วยินดีในความสงัด ไม่ช้านักก็ทรงยังฌานและอภิญญา ให้เกิด ด้วยประการฉะนี้.

จบ อรรถกถาโสมนัสสจริยาที่ ๒

กลับที่เดิม