สีวีราชจริยาที่ ๘

(ยกมาจากจริยาปิฏก) ว่าด้วยพระจริยาวัตรของพระเจ้าสีวีราช [] ในกาลเมื่อเราเป็นกษัตริย์พระนามว่าสีวี อยู่ในพระนครอันมีนามว่า อริฏฐะ เรานั่งอยู่ในปราสาทอันประเสริฐ ได้ดำริอย่างนี้ว่า ทานที่ มนุษย์พึงให้อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เราไม่ได้ให้แล้วไม่มี แม้ผู้ใดพึงขอ จักษุกะเรา เราก็พึงให้ไม่หวั่นใจเลย ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่กว่า ทวยเทพทรงทราบความดำริของเราแล้ว ประทับนั่งในเทพบริษัท ได้ตรัสพระดำรัสนี้ว่าพระเจ้าสีวีผู้มีฤทธิ์มาก ประทับนั่งในปราสาท อันประเสริฐ พระองค์ทรงดำริถึงทานต่างๆ ไม่ทรงเห็นสิ่งที่ยังมิได้ ให้ข้อนั้นจะเป็นจริงหรือไม่หนอ ผิฉะนั้น เราจักทดลองพระองค์ดู ท่านทั้งหลายพึงคอยอยู่สักครู่หนึ่ง เพียงเรารู้น้ำใจของพระเจ้าสีรี เท่านั้น ท้าวสักกะจึงทรงแปลงเพศเป็นคนตาบอด มีกายสั่น ศีรษะ หงอก หนังหย่อน กระสับกระส่าย เพราะชรา เข้าไปเฝ้าพระราชา ในกาลนั้น อินทพราหมณ์นั้น ประคองพระพาหาเบื้องซ้ายขวา ประนมกรอัญชลีเหนือเศียรได้กล่าวคำนี้ว่า ข้าแต่พระมหาราชาผู้ ทรงธรรม ทรงปกครองรัฐให้เจริญ ข้าพระองค์จะขอกะพระองค์ เกียรติคุณคือความยินดีในทานของพระองค์ ขจรไปในเทวดาและ มนุษย์หน่วยตาแม้ทั้งสองของข้าพระองค์บอดเสียแล้ว ขอจงพระ ราชทานพระเนตรข้างหนึ่งแก่ข้าพระองค์เถิด แม้พระองค์จักทรงยัง อัตภาพให้เป็นไปด้วยพระเนตรข้างหนึ่ง เราได้ฟังคำของพราหมณ์ นั้นแล้ว ทั้งดีใจและสลดใจประคองอัญชลี มีปีติและปราโมทย์ ได้ กล่าวคำนี้ว่า เราคิดแล้วลงจากปราสาทมาถึงที่นี้บัดนี้เอง ท่านรู้จิต ของเราแล้ว มาขอนัยน์ตา โอ ความปรารถนาของเราสำเร็จแล้ว ความดำริของเราบริบูรณ์แล้ว วันนี้ เราจักให้ทานอันประเสริฐ ซึ่ง เราไม่เคยให้ แก่ยาจก มานี่แน่ะหมอสิวิกะ จงขมีขมันอย่าชักช้า อย่าครั่นคร้าม จงควักนัยน์ตาแม้ทั้งสองข้างออกให้แก่วณิพกนี้ เดี๋ยวนี้ หมอสิวิกะนั้นเราเตือนแล้ว เชื่อฟังคำของเรา ได้ควัก นัยน์ตาทั้งสองออกให้แก่ยาจกทันที เมื่อเราจะให้ก็ดี กำลังให้ก็ดี ให้แล้วก็ดี จิตของเราไม่เป็นอย่างอื่น เพราะเหตุแห่งพระโพธิญาณ นั้นเอง จักษุทั้งสองเราจะเกลียดชังก็หามิได้ แม้ตนเราก็มิได้ เกลียดชัง แต่พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา ฉะนั้น เราจึง ได้ให้จักษุ ฉะนี้แล. จบสีวีราชจริยาที่ ๘

อรรถกถาสิวิราชจริยาที่ ๘

พึงทราบวินิจฉัยในอรรถกถาสิวิราชที่ ๘ ดังต่อไปนี้. บทว่า อริฏฺฐ- สวฺหเย นคเร คือในพระนครชื่อว่า อริฏฐบุรี. บทว่า สีวิ นามาสิ ขตฺติโย กษัตริย์พระนามว่า สีวิ คือ พระราชาได้มีพระนามอย่างนี้โดย โคตรว่า สีวิ.

ได้ยินว่าในอดีตกาล ครั้งเมื่อพระเจ้าสีวิครองราชสมบัติอยู่ในอริฏฐปุรนคร แคว้นสีพีพระมหาสัตว์ทรงอุบัติเป็นพระโอรสของพระเจ้าสิวิราชนั้น. พระนามของพระมหาสัตว์นั้นว่า สิวิกุมาร. ครั้นพระมหาสัตว์เจริญวัยได้ เสด็จไปยังเมืองตักกสิลา ทรงเล่าเรียนศิลปะ สำเร็จแล้วเสด็จกลับ ทรง แสดงศิลปะแก่พระบิดา ได้รับตำแหน่งอุปราช ต่อมาพระบิดาสวรรคต ได้ เป็นพระราชา ทรงละอคติ ทรงตั้งอยู่ในราชธรรม ครองราชสมบัติ ทรง ให้สร้างโรงทาน ๖ แห่ง คือ ที่ประตูพระนคร ๔ แห่ง ท่ามกลางพระนคร ๑ แห่ง ที่ประตูพระราชนิเวศน์ ๑ แห่ง ทรงบริจาคมหาทานวันละ ๖๐๐,๐๐๐ ทุกวัน. ในวัน ๘ ค่ำ ๑๔ ค่ำ และ ๑๕ ค่ำ ได้เสด็จไปยังโรงทานด้วยพระองค์เอง ทรงตรวจตราโรงทาน. บางคราวในวัน ๑๕ ค่ำ ตอนเช้าตรู่พระองค์ ประทับนั่งบนราชบัลลังก์ ภายใต้พระเศวตฉัตรที่ยกขึ้น ทรงดำริว่า ทาน ภายนอกของเราไม่ยังจิตให้ยินดีเหมือนทานภายใน. ไฉนหนอในเวลาที่เรา ไปโรงทาน จะมีผู้ขอไรๆ ไม่ขอวัตถุภายนอก พึงขอวัตถุภายในอย่างเดียว. ก็หากว่าใครๆ พึงขอเนื้อหรือเลือดในร่างกายของเรา ศีรษะ เนื้อหัวใจ นัยน์ตา ร่างกายครึ่งหนึ่งหรืออัตภาพทั้งสิ้นเอาไปเป็นทาส เราก็ยังความ ประสงค์ของผู้นั้นให้บริบูรณ์ในทันที สามารถจะให้ได้.

แต่ในบาลีกล่าวไว้ เพียงนัยน์ตาเท่านั้น.ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า:- เรานั่งอยู่บนปราสาทอันประเสริฐ ได้ดำริ อย่างนี้ว่า ทานที่มนุษย์พึงให้อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เราไม่ได้ให้แล้วไม่มี แม้ผู้ใดพึงขอจักษุของ เรา เราก็จะพึงให้ไม่หวั่นใจเลย. ในบทเหล่านั้น บทว่า มานุสํ ทานํ ได้แก่ข้าวและน้ำเป็นต้น อันเป็นทานที่มนุษย์ทั่วไปจะพึงให้.

ก็เมื่ออัธยาศัยในการให้อันกว้างขวาง เกิดขึ้นแก่พระมหาสัตว์อย่างนี้ ปัณฑุกัมพลสิลาอาสน์ของท้าวสักกะแสดง อาการร้อน. ท้าวสักกะนั้นทรงรำพึงถึงเหตุนั้น ได้ทรงเห็นพระอัธยาศัยของ พระโพธิสัตว์ว่า พระเจ้าสิวิราชทรงดำริว่า วันนี้หากมีผู้มาขอดวงตาเรา เราก็จักควักดวงตาให้เขา ท้าวสักกะจึงตรัสแก่เทพบริษัทว่า เราจักทดลอง พระโพธิสัตว์ดูก่อนว่า จักสามารถให้ดวงตาจริงหรือไม่ เมื่อพระโพธิสัตว์ ทรงสรงสนานด้วยน้ำหอม ๑๖ หม้อ แล้วทรงประดับด้วยสรรพาลังการ ทรงประทับบนคอช้างพระที่นั่ง ซึ่งตกแต่งไว้เป็นอย่างดี เสด็จไปยังโรงทาน ท้าวสักกะจึงทรงแปลงเพศเป็นพราหมณ์ตาบอด เป็นคนแก่งก ๆ เงิ่นๆ ทรงเหยียดพระพาหาทั้งสองในที่เป็นเนินแห่งหนึ่ง ให้อยู่ในคลองจักษุของ พระโพธิสัตว์นั้น แล้วทรงยืนถวายพระพรขอให้พระราชาทรงพระเจริญ

พระโพธิสัตว์ทรงชักช้างไปตรงหน้าพราหมณ์แปลงนั้น แล้วตรัสถามว่า ท่านพราหมณ์ ท่านต้องการอะไร?

พราหมณ์ทูลขอดวงตาข้างหนึ่งโดยตรัสว่า ชาวโลกทั้งสิ้นแพร่สะพัดไปไม่ขาดสายด้วยการประกาศเกียรติคุณอันสูงส่ง อาศัยอัธยาศัยในทานของพระองค์. ข้าพเจ้าเป็นคนตาบอด. เพราะฉะนั้น จึงวิงวอนขอดวงตากะพระองค์.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า:- ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่กว่าทวยเทพ ทรง ทราบความดำริของเราแล้ว ประทับนั่งในเทพบริษัท ได้ตรัสพระดำรัสนี้ว่า พระเจ้าสิวิราชผู้มี ฤทธิ์มากประทับนั่งในปราสาทอันประเสริฐ พระองค์ทรงดำริถึงทานต่างๆ ไม่ทรงเห็นสิ่งที่ ยังมิได้ทรงให้ ข้อนั้นจะเป็นจริงหรือไม่หนอ ช่างเถิดเราจะทดลองพระองค์ดู พวกท่านพึง คอยอยู่สักครู่หนึ่ง เพียงเรารู้น้ำพระทัยของ พระเจ้าสิวิราชเท่านั้น. ท้าวสักกะจึงทรงแปลงเพศเป็นคนตาบอด มีกายสั่น ผมหงอก หนังหย่อนกระสับกระส่าย เพราะชรา เข้าไปเฝ้าพระราชาในกาลนั้น ท้าวสักกะแปลงประคองพระพาหาซ้ายขวา ประนมกรอัญชลีเหนือเศียรได้กล่าวคำนี้ว่า ข้าแต่พระมหาราชผู้ทรงธรรม ทรงปกครองรัฐ ให้เจริญ ข้าพระองค์จะขอกะพระองค์ เกียรติ คุณคือความยินดีในทานของพระองค์ ขจรไป ในเทวดาและมนุษย์ หน่วยตาแม้ทั้งสองของ ข้าพระองค์บอดเสียแล้ว ขอพระองค์ทรงพระราชทานพระเนตรข้างหนึ่งแก่ข้าพระองค์เถิด แม้พระองค์จักทรงยังอัตภาพ ให้เป็นไปด้วย พระเนตรข้างหนึ่ง. ในบทเหล่านั้นบทว่า จินฺเตนฺโต วิวิธํ ทานํ ทรงดำริถึงทานต่างๆ คือทรงดำริรำพึงถึงทานต่างๆ ที่พระองค์พระราชทาน คือทรงดำริถึงทาน หรือไทยธรรมภายนอกหลายอย่างที่พระองค์พระราชทาน.บทว่า อเทยฺยํ โส น ปสฺสติ ไม่ทรงเห็นสิ่งที่ยังมิได้ทรงให้ คือมิได้ทรงเห็นแม้วัตถุภาย ใน ที่ยังมิได้ทรงให้ คือ ไม่อาจให้ได้เหมือนวัตถุภายนอก. อธิบายว่า พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า แม้ดวงตาเราก็จักตวักให้ได้. บทว่า ตถํ นุ วิตถํ เนตํ ข้อนั้นจะเป็นจริงหรือไม่หนอ ความว่า การไม่เห็นแม้วัตถุภายในเป็น สิ่งที่ยังมิได้ให้ การเห็น การคิด โดยความเป็นสิ่งที่ควรให้ ข้อนั้นจะเป็น จริงหรือไม่จริงหนอ. บทว่า โส ตทา ปคฺคเหตฺวาน, วามํ ทกฺขิณพาหุจ คือ ในกาลนั้นทรงประคองพระพาหาซ้ายขวา อธิบายว่า ทรงยกพระพาหา ทั้งสอง. บทว่า รฏฐวฑฒน คือทรงปกครองรัฐให้เจริญ. บทว่า ตวมปิ เอเกน ยาปยา แม้พระองค์จักทรงยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยพระเนตรข้าง หนึ่ง ท่านแสดงไว้ว่าพระองค์ทรงเห็นเสมอและไม่เสมอด้วยพระเนตรข้าง หนึ่ง ก็ยังอัตภาพของพระองค์ให้เป็นไปได้. แม้ข้าพระองค์ก็จะยังอัตภาพ ให้เป็นไปได้ด้วยตาข้างหนึ่งที่ได้จากพระองค์ผู้เจริญ.

พระมหาสัตว์ได้ทรงสดับดังนั้นทรงดีพระทัย ได้เกิดพระกำลังใจว่า เรานั่งอยู่บนปราสาทคิดอย่างนี้แล้วมาเดี๋ยวนี้เอง. พราหมณ์นี้ขอดวงตาดุจรู้ ใจของเรา. เป็นลาภของเราเสียจริงหนอ วันนี้ความปรารถนาของเราจักถึง ที่สุด. เราจักให้ทานที่ไม่เคยให้.

พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศความนั้น จึงตรัสว่า:- เราได้ฟังคำของพราหมณ์นั้นแล้วทั้งดีใจ และสลดใจ ประคองอัญชลี มีปีติและปราโมทย์ ได้กล่าวคำนี้ว่า เราคิดแล้วลงจากปราสาทมาถึงที่นี่บัดนี้เอง ท่านรู้จิตของเราแล้ว มาขอนัยน์ตา. โอ ความปรารถนาของเราสำเร็จแล้ว ความดำริของเราบริบูรณ์แล้ว. วันนี้เราจักให้ ทานอันประเสริฐ ซึ่งเราไม่เคยให้แก่ยาจก. ในบทเหล่านั้น บทว่า ตสส คือท้าวสักกะผู้มาในรูปของพราหมณ์ นั้น. บทว่า หฏโฐ คือยินดี. บทว่า สํวิคคมานโส สลดใจ คือพราหมณ์ นี้ขอดวงตา ดุจรู้ใจเรา. ชื่อว่า สลดใจ เพราะเราไม่คิดอย่างนี้มาตลอด กาลเพียงนี้ เป็นผู้ประมาทแล้วหนอ. บทว่า เวทชาโต คือเกิดปีติและ ปราโมทย์. บทว่า อพรวึ คือได้กล่าวแล้ว. บทว่า มานสํ คือความตั้งใจ ได้แก่อัธยาศัยในการให้. อธิบายว่า เกิดอัธยาศัยในการให้ว่า เราจัก ให้ดวงตา. บทว่า สงกปโป คือความปรารถนา. บทว่า ปริปูริโต คือ บริบูรณ์แล้ว.

ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า พราหมณ์นี้ขอดวงตาแม้ใครๆ ก็ ให้ยาก กะเราดุจรู้วาระจิตของเรา. น่ากลัวว่าจะเป็นเทพองค์หนึ่งแนะมา หรืออย่างไร. เราจักถามดูก่อนแล้วจึงตรัสถามพราหมณ์นั้น

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในเทศนาชาดกว่า:- ดูก่อนวณิพก ใครแนะท่านจึงมา ณ ที่นี้ เพื่อขอดวงตา ท่านขอดวงตาอันเป็นอวัยวะ สำคัญที่คนสละให้ได้ยาก. ท้าวสักกะ ในรูปพราหมณ์ สดับดังนั้นแล้วจึงตรัสว่า:- ในเทวโลกเรียกว่า ท้าวสุชัมบดี ใน มนุษยโลกเรียกว่า ท้าวมฆวา ข้าพเจ้าเป็น วณิพก ท้าวมฆวาแนะจึงมา ณ ที่นี้ เพื่อขอ ดวงตา. ข้าพเจ้าขอดวงตาของท่าน ขอท่านจงให้ สิ่งที่ขอ อันไม่มีอะไรอื่นยิ่งไปกว่า แก่ข้าพเจ้า ผู้ขอเถิด. ขอท่านจงให้ดวงตา ที่คนสละให้ได้ยาก แก่ข้าพเจ้าเถิด.

พระมหาสัตว์ตรัสว่า:- ดูก่อนพราหมณ์ ท่านมาปรารถนาประโยชน์อันใด ความปรารถนาเหล่านั้นจงสำเร็จ แก่ท่านเถิด ท่านจงเอาดวงตาไปเถิด. เมื่อท่านขอดวงตาข้างหนึ่ง เราจะให้ สองข้าง. ท่านมีดวงตา จงไปเพ่งดูชนเถิด. ท่านปรารถนาสิ่งใด สิ่งนั้นจงสำเร็จ แก่ ท่าน. ในบทเหล่านั้น

บทว่า วณิพพก พระโพธิสัตว์ตรัสเรียกพราหมณ์ นั้น. บทว่า จกขุปถานิ นี้ เป็นชื่อของดวงตา เพราะเป็นคลองแห่งการ เห็น. บทว่า ยมาหุ คือชนทั้งหลายพากันพูดถึงสิ่งใดในโลกว่า สละได้ยาก. บทว่า วณิพพโก คือผู้ขอ. บทว่า วณึ คือการขอ. บทว่า เต เต คือ ความปรารถนาเหล่านั้นของท่านผู้ตาบอด. บทว่า ส จกขุมา คือท่าน ผู้มีดวงตาด้วยดวงตาของเรา. บทว่า ตท เต สมิชฌตุ คือท่านปรารถนา สิ่งใดจากสำนักของเรา สิ่งนั้นจงสำเร็จแก่ท่าน.

พระราชาครั้นตรัสเพียงเท่า นี้แล้ว จึงตรัสว่า พราหมณ์นี้ท้าวสักกะแนะจึงมาหาเรา ณ ที่นี้. ทรงทราบว่า ดวงตาจักสำเร็จบริบูรณ์แก่พราหมณ์นี้ด้วยอุบายนี้แน่ จึงทรงดำริว่า เราไม่ ควรควักดวงตาให้ ณ ที่นี้ จึงทรงพาพราหมณ์เข้าไปภายในพระนคร ประทับ นั่งบนราชอาสน์ ตรัสเรียกหมอชื่อสิวกะมา. ลำดับนั้นได้เกิดเอิกเกริก โกลาหลขึ้นทั่วพระนครว่า นัยว่าพระราชาของพวกเรามีพระประสงค์จะให้ หมอควักดวงพระเนตรให้แก่พราหมณ์. ครั้งนั้น พวกราชวัลลภของพระราชา มีพระญาติและเสนาบดีเป็นต้น เหล่าอำมาตย์ บริษัท ชาวพระนครเหล่า สนมทั้งหมดประชุมกัน ทูลห้ามพระราชาโดยอุบายต่างๆ. แม้พระราชาก็ มิได้ทรงคล้อยตามบุคคลเหล่านั้น.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า:- ข้าแต่พระองค์ ขอพระองค์อย่าพระราชทานพระเนตรเลย อย่าทิ้งพวกข้าพระองค์ ทั้งปวงเสียเลย. ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพระองค์จะให้ทรัพย์ คือแก้วมุกดา แก้วไพฑูรย์ ซึ่งมีอยู่มากมาย. ข้าแต่พระองค์ ขอจงพระราชทานรถเทียมม้าอาชาไนยที่ประดับแล้ว. ข้าแต่มหาราช ขอจงพระราชทาน ช้าง เครื่องนุ่งห่มทำด้วยทอง. ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐในราชสมบัติ ชาวสีพีทั้งปวง พร้อมด้วยยวดยาน พร้อมด้วย รถ ยังแวดล้อมพระองค์อยู่โดยรอบทุกเมื่อ ขอพระองค์จงพระราชทานอย่างอื่นเถิด.

ลำดับนั้นพระราชาได้ตรัส ๓ คาถาว่า :- ผู้ใดแลกล่าวว่าจักให้แล้วตั้งใจไม่ให้ ผู้ นั้นย่อมสวมบ่วงที่ตกลงไปบนแผ่นดินที่คอ. ผู้ใดกล่าวว่าจักให้แล้วตั้งใจไม่ให้ ผู้นั้น เป็นผู้ลามกกว่าผู้ลามก จะตกนรกของพระยายม. เมื่อเขาขอสิ่งใดควรให้สิ่งนั้น เมื่อเขา ไม่ขอสิ่งใด ไม่ควรให้สิ่งนั้น. เราจักให้สิ่งที่พราหมณ์ขอ.

ในบทเหล่านั้น บทว่า โน เป็นเพียงนิบาต. ข้าแต่พระองค์ พระ- องค์อย่าพระราชทานพระเนตรเลยพระเจ้าข้า. บทว่า มา โน สพเพ ปรากริ คือพระองค์อย่าทรงทอดทิ้งพวกข้าพระองค์เสียทั้งหมดเลย. ชนทั้งหลายกราบทูลอย่างนี้โดยประสงค์ว่า เพราะเมื่อพระองค์พระ- ราชทานพระเนตร พระองค์ก็จักไม่ทรงครองราชสมบัติ. พวกข้าพระองค์ จักชื่อว่า ถูกพระองค์ทอดทิ้ง. บทว่า ปริกิเรยฺยุํ คือแวดล้อม. บทว่า เอวํ เทหิ ความว่า ขอพระองค์จงพระราชทานอย่างอื่นเถิด โดยที่ชาวสีพียัง แวดล้อมพระองค์ผู้มีพระเนตรไม่วิกลมานานแล้ว ขอจงพระราชทานทรัพย์ แก่พราหมณ์นั้นอย่างเดียวเถิด. อย่าพระราชทานพระเนตรเลย. ท่านแสดง ว่า เพราะเมื่อพระราชทานพระเนตรเสียแล้ว ชาวสีพีก็จักไม่พากันแวดล้อม พระองค์. บทว่า ปฏิมุญฺจติ คือสวม. บทว่า ปาปา ปาปาตโร โหติ ชื่อว่า เป็นผู้ลามกกว่าผู้ลามก. บทว่า สมปตโต ยมสาธนํ คือผู้นั้นชื่อว่าตก อุสสทนรกอันเป็นที่ที่พระยายมบังคับบัญชา. บทว่า ยญหิ ยาเจ คือ พระโพธิสัตว์ตรัสว่าผู้ขอ ขอสิ่งใด. แม้ผู้ให้ก็ควรให้สิ่งนั้น. ไม่ให้สิ่งที่เขา ไม่ได้ขอ. ก็พราหมณ์นี้ขอดวงตากะเรา ไม่ขอทรัพย์มีแก้วมุกดาเป็นต้น เราจักให้สิ่งที่พราหมณ์ขอ. ลำดับนั้น ชนทั้งหลายทูลถามพระโพธิสัตว์ว่าข้าแต่พระองค์ พระองค์ทรงปรารถนาอะไรในอายุเป็นต้น จึงพระราชทานพระเนตร. พระมหาบุรุษตรัสว่า เรามิได้ให้เพราะปรารถนาสมบัติในปัจจุบันหรือในภพหน้า. ที่ แท้นี้เป็นทางเก่าแก่ที่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายประพฤติสะสมกันมา คือการ บำเพ็ญทานบารมี.

สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า:- ข้าแต่ท่านผู้เป็นจอมชนพระองค์ปรารถนา อะไรหนอ จึงทรงให้ อายุ วรรณะ สุขะ พละ. จริงอยู่ พระราชาผู้ยอดเยี่ยมกว่าชนใน แคว้นสีพี พระราชทานพระเนตร เพราะเหตุ แห่งปรโลกได้อย่างไร. เราไม่ให้ดวงตานี้เพราะหวังยศ ไม่ ปรารถนาบุตร ไม่ปรารถนาทรัพย์ ไม่ปรารถนา แว่นแคว้น อนึ่ง ธรรมของสัตบุรุษทั้งหลาย เป็นธรรมเก่าอันบัณฑิตประพฤติกันมาแล้ว. ใจของเรายินดีในการให้ ด้วยประการฉะนี้แล.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ปรโลกเหตุ ความว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า บุรุษบัณฑิตเช่นพระองค์ สละความเป็นใหญ่ที่พระองค์ทรงเห็นอยู่แล้ว เช่น กับสมบัติของท้าวสักกะ พึงพระราชทานพระเนตร เพราะเหตุแห่งปรโลก ได้อย่างไร. บทว่า น วาหํ ตัดบทเป็น น เว อหํ. บทว่า ยสสา ความว่า เพราะเหตุแห่งความเป็นใหญ่ อันเป็นของทิพย์ หรือของมนุษย์. อีกอย่าง หนึ่ง ธรรมอันเป็นพุทธการกธรรมของสัตบุรุษทั้งหลาย คือของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เป็นของเก่าอันบัณฑิตประพฤติ ประพฤติยิ่งสะสมแล้ว ใจ ของเราเป็นเช่นนี้ ยินดีเป็นนิจในทานนั่นแล ด้วยเหตุนี้ ด้วยประการ ฉะนี้แล.

ก็และพระราชาครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว ทรงให้อำมาตย์ทั้งหลายรับรู้ แล้ว ตรัสกะหมอสิวกะว่า:- ดูก่อนสิวกะมานี่แน่ะ จงลุกขึ้นอย่าชักช้า อย่าครั่นคร้าม จงควักนัยน์ตาแม้ทั้งสองข้าง ออกให้แก่วณิพก. หมอสิวกะนั้น เราเตือน แล้ว เชื่อฟังคำของเราได้ควักนัยน์ตาทั้งสอง ออกดุจจาวตาลให้แก่ผู้ขอทันที. บทว่า อุฏเฐหิ คือจงขมีขมัน. ท่านแสดงว่า จงทำกิจของสหายด้วย การให้ดวงตาของเรานี้. บทว่า มา ทนธยิ คืออย่าชักช้า. เพราะขณะของ ทานนี้หาได้ยากยิ่ง เราปรารถนามานานแล้ว เราได้แล้ว. อธิบายว่า ขณะ ของทานนั้นอย่าพลาดไปเสีย. บทว่า มา ปเวธยิ อย่าครั่นคร้าม คืออย่า หวั่นไหวด้วยความหวาดสะดุ้งว่า เราจะควักพระเนตรของพระราชาของเรา อย่าถึงความปั่นป่วนในร่างกาย คือปวดอุจจาระปัสสาวะ บทว่า อุโภปิ นยนํ คือนัยน์ตาแม้ทั้งสองข้าง. บทว่า วนิพพเก คือผู้ขอ บทว่า มยหํ คืออันเรา. บทว่า อุทธริตวาน ปาทาสิ ควักนัยน์ตาทั้งสองข้าง คือ หมอนั้นควักนัยน์ตา แม้ทั้งสองข้างจากเบ้าพระเนตรของพระราชาแล้วได้ วางบนพระหัตถ์ของพระราชา. อนึ่ง หมอนั้นเมื่อให้มิได้ควักให้ท้าวสักกะ. เพราะเขาคิดว่า หมอ ผู้ชำนาญเช่นเราไม่ควรใช้มีดผ่าตัดในพระเนตรของพระราชา จึงบดเภสัช เอาผงเภสัชผสมเกสรบัว แล้วโรยพระเนตรข้างขวา. พระเนตรกลอกไปมา. เกิดทุกขเวทนา. หมอผสมแล้วโรยอีก. พระเนตรพ้นจากเบ้าตา. เกิดเวทนา รุนแรงกว่าเก่า. ครั้งที่ ๓ หมอผสมเภสัชให้แรงขึ้นกว่าเก่าโรยลงไป. พระ- เนตรหมุนหลุดออกจากเบ้าตาด้วยกำลังเภสัช ห้อยติดอยู่ด้วยสายเอ็น. เกิด เวทนารุนแรงยิ่งขึ้น พระโลหิตไหล. แม้พระภูษาทรงก็ชุ่มด้วยพระโลหิต พวกสนม อำมาตย์หมอบลงแทบพระบาทของพระราชาร้องไห้คร่ำครวญว่า ข้าแต่พระองค์ ขอพระองค์อย่าพระราชทานพระเนตรทั้งสองเลย อย่า พระราชทานพระเนตรทั้งสองเลย พระเจ้าข้า. พระราชาทรงอดกลั้นเวทนาแล้วตรัสว่า อย่าชักช้าไปเลยพ่อคุณ. หมอทูลรับสนองแล้วยึดพระเนตรด้วยมือซ้าย จับศัสตราด้วยมือขวาตัด สายพระเนตรแล้วหยิบพระเนตรวางไว้บนพระหัตถ์ของพระมหาสัตว์. พระ- มหาสัตว์ทรงทอดพระเนตร พระเนตรข้างขวาด้วยพระเนตรข้างซ้าย เสวย ทุกขเวทนาทรงข่มไว้ด้วยปีติในการบริจาค รับสั่งเรียกพราหมณ์ว่า ท่าน พราหมณ์จงมาเถิด ตรัสว่า สมันตจักษุของเรา เป็นที่รักกว่านัยน์ตานี้ ตั้งร้อยเท่าพันเท่า แสนเท่า. การให้ดวงตาของเรานี้ จงเป็นปัจจัยแห่งสมันตจักษุนั้นเถิด. (สมันตจักษุคือพระสัพพัญญุตญาณ) แล้วได้พระราชทาน พระเนตรแก่พราหมณ์ พราหมณ์หยิบพระเนตรนั้นใส่ที่นัยน์ตาของตน. พระเนตรนั้นปรากฏดุจดอกอุบล แย้มด้วยอานุภาพแห่งพราหมณ์แปลงนั้น. พระมหาสัตว์ทรงเห็นนัยน์ตาของพราหมณ์ด้วยพระเนตรข้างซ้าย มีพระ- วรกายซาบซ่านด้วยปีติผุดขึ้นภายในเป็นลำดับว่า โอ เราให้นัยน์ตาดีแล้ว ได้พระราชทานอีกข้างหนึ่ง. แม้ท้าวสักกะก็กระทำเหมือนอย่างเดิม เสด็จ ออกจากพระราชนิเวศน์ เมื่อมหาชนแลดูอยู่นั่นเอง เสด็จออกจากพระนคร กลับไปยังเทวโลก. ในไม่ช้านักพระเนตรของพระราชา ยังไม่ถึงเป็นหลุมมีก้อนพระมังสะ ขึ้นเต็มดุจลูกคลีหนังหุ้มด้วยผ้ากัมพลฉะนั้น งอกขึ้นดุจรูปจิตรกรรม. เวทนา หายขาดไป.

ลำดับนั้นพระมหาสัตว์ประทับอยู่ ณ ปราสาท ๒-๓ วัน ทรง ดำริว่า คนตาบอดจะครองราชสมบัติไปทำไม เราจักมอบราชสมบัติให้แก่ อำมาตย์ทั้งหลาย แล้วจักไปยังพระอุทยานบวชบำเพ็ญสมณธรรม แล้วทรง แจ้งความนั้นแก่พวกอำมาตย์ ตรัสว่า ราชบุรุษคนหนึ่ง ทำหน้าที่ให้น้ำ ล้างหน้าเป็นต้น จงอยู่กับเรา. แม้ในที่ที่เราจะทำสรีรกิจ พวกท่านก็จงผูก เชือกไว้ให้เรา แล้วเสด็จขึ้นเสลี่ยงประทับนั่ง เหนือราชบัลลังก์ใกล้ฝั่งโบกขรณี. แม้พวกอำมาตย์ถวายบังคมแล้วก็พากันกลับ. พระโพธิสัตว์ก็ทรงรำลึก ถึงทานของพระองค์. ในขณะนั้น อาสนะของท้าวสักกะแสดงอาการร้อน. ท้าวสักกะทรงเห็นดังนั้น ทรงดำริว่า เราจักให้พรแก่มหาราช แล้วทำ พระเนตรให้เป็นปกติอย่างเดิม. จึงเสด็จเข้าไปใกล้พระโพธิสัตว์ทรงทำเสียง พระบาท พระมหาสัตว์ตรัสถามนั่นใคร

ท้าวสักกะตรัสว่า:- ข้าพเจ้าเป็นท้าวสักกะจอมเทพ มาหาท่าน ข้าแต่ท่านผู้เป็นราชฤษี ท่านจงเลือกพรที่ท่าน ปรารถนาเถิด.

พระมหาสัตว์ตรัสว่า:- ข้าแต่ท้าวสักกะ ทรัพย์ข้าพเจ้ามีมาก พอแล้ว ทั้งพลทหาร และท้องพระคลังก็มี ไม่น้อย บัดนี้ เมื่อข้าพเจ้าตาบอดชอบความ ตายเท่านั้น.

ลำดับนั้นท้าวสักกะจึงตรัสกะพระมหาสัตว์ว่า ข้าแต่ท่านสิวิราช ท่าน ประสงค์จะตาย ชอบความตายหรือ หรือว่า เพราะตาบอด.

พระมหาสัตว์ ตรัสว่า เพราะตาบอดซิพระองค์.

ท้าวสักกะตรัสว่า ข้าแต่มหาราช ชื่อว่าทาน มิได้ให้ผลเพื่อภพอย่างเดียวเท่านั้น ยังเป็นปัจจัยแม้เพื่อผลในปัจจุบันด้วย. เพราะฉะนั้นท่านจงตั้งสัตยาธิษฐานอาศัยบุญแห่งทานของท่านเถิด. ด้วย กำลังแห่งสัตยาธิษฐานนั้นนั่นแหละ นัยน์ตาของท่านจักเกิดขึ้นเหมือน อย่างเดิม.

พระโพธิสัตว์ตรัสว่า ถ้าเช่นนั้นมหาทานเราให้ดีแล้ว เมื่อจะทรง ตั้งสัตยาธิษฐาน จึงตรัสว่า:- พวกวณิพกหลายเหล่าหลายตระกูลมาเพื่อ ขอกะเรา บรรดาวณิพกที่มาเหล่านั้น ผู้ใดขอ กะเราผู้นั้นก็เป็นที่รักของเรา ด้วยสัจจวาจานี้ ขอนัยน์ตาของเราจงเกิดขึ้นอย่างเดิมเถิด.

ในบทเหล่านั้น บทว่า เย มํ คือผู้ใดมาเพื่อขอกะเรา ในบรรดา ผู้ที่มาเหล่านั้น ผู้ใดออกปากว่า ขอพระองค์จงพระราชทานสิ่งนี้เถิด ดังนี้ ขอกะเราแม้ผู้นั้นก็เป็นที่รักของเรา. บทว่า เอเตน ความว่า หากผู้ขอแม้ ทั้งหมดเป็นที่รักของเรา คำที่เรากล่าวนั้นเป็นความจริง ด้วยสัจจวาจาของ เรานี้ ขอนัยน์ตาข้างที่หนึ่งจงเกิดเหมือนอย่างเดิมเถิด.

ทันใดนั้นเองพระเนตรดวงที่หนึ่งก็เกิดขึ้นพร้อมกับพระดำรัสของพระมหาสัตว์. ต่อจากนั้นเพื่อให้พระเนตรดวงที่สองเกิด

พระมหาสัตว์ จึงตรัสว่า:- พราหมณ์นั้นมาเพื่อขอกะเราว่า ขอท่าน จงให้นัยน์ตาเถิด เราได้ให้นัยน์ตาทั้งสองข้าง แก่พราหมณ์ผู้ขอนั้น ปีติล้นพ้นได้เข้าไปถึง เรา ความโสมนัสไม่น้อยบังเกิดขึ้น ด้วยสัจจวาจานี้ ขอนัยน์ตาดวงที่สองจงเกิดขึ้นแก่เรา เถิด.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ยํ มํ คือ โย มํ. บทว่า โส คือพราหมณ์ผู้ ขอนัยน์ตานั้น. บทว่า อาคา คือมาแล้ว. บทว่า วณิพพโต คือผู้ขอ. บทว่า มํ อาวิสิ เข้าไปหาเรา คือปีติล้นพ้นได้เข้าไปถึงเราผู้ให้นัยน์ตาแก่พราหมณ์ แล้วไม่คำนึงถึงเวทนาเห็นปานนั้น แม้ในเวลาตาบอดแล้วพิจารณาอยู่ว่า โอ ทานเราให้ดีแล้ว. บทว่า โสมนสสญจนปปกํ คือ ความโสมนัสหา ประมาณมิได้ เกิดขึ้นแล้ว. บทว่า เอเตน ความว่า หากว่าในครั้งนั้นปีติ และโสมนัสไม่น้อยเกิดขึ้นแก่เรา. คำที่เรากล่าวนั้นเป็นความจริง. ด้วย สัจวาจาของเรานี้ ขอนัยน์ตาแม้ข้างที่สองจงเกิดขึ้นแก่เราเถิด.

ในทันใดนั้นเองพระเนตรแม้ข้างที่สองเกิดขึ้น. แต่พระเนตรทั้งสอง ของพระโพธิสัตว์นั้นไม่เหมือนเดิมทีเดียว. มิใช่เป็นของทิพย์. เพราะไม่ สามารถจะทำนัยน์ตาที่ให้แก่สักกพราหมณ์เหมือนเดิมได้อีก. อนึ่ง ทิพยจักษุ ย่อมไม่เกิดแก่ผู้มีนัยน์ตาถูกทำลายแล้ว. นัยน์ตาเกิดด้วยอำนาจแห่งปีติ ซาบซ่านอาศัยปีติในทานของตน ของพระโพธิสัตว์นั้น ไม่วิปริตในเบื้องต้น ในท่ามกลางและในที่สุด ตามนัยดังกล่าวแล้ว ท่านเรียกว่า สัจจปารมิตาจักษุ คือจักษุอาศัยสัจบารมี.

สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า:- เมื่อเราจะให้ก็ดี กำลังให้ก็ดี ให้แล้วก็ดี จิตของเรามิได้เป็นอย่างอื่น เพราะเหตุแห่ง พระโพธิญาณนั่นเอง. ในบทเหล่านั้น บทว่า ททมานสส คือให้หมอควักเพื่อจะให้นัยน์ตา. บทว่า เทนตสส คือวางนัยน์ตาที่ควักแล้วนั้นไว้บนมือสักกพราหมณ์. บทว่า ทินนทานสส คือให้นัยน์ตาเป็นทานแล้ว. บทว่า จิตตสส อญญถา คือ อัธยาศัยในการให้มิได้เป็นอย่างอื่น. บทว่า โพธิยาเยว การณา เพราะ เหตุแห่งพระโพธิญาณนั่นเอง. คือจักษุทานนั้นเป็นเหตุแห่งพระสัพพัญญุตญาณนั่นเอง. เราทำสิ่งที่ทำได้ยากอย่างนี้ เพราะพระสัพพัญญุตญาณหาได้ยาก เพราะเหตุนั้นเมื่อจะทรงแสดงว่า เพราะเราไม่รักนัยน์ตาก็หามิได้ ไม่รักอัตภาพก็หามิได้ จึงตรัสคาถาสุดท้ายว่า น เม เทสสาจักษุทั้งสองเรา เกลียดชังก็หามิได้เป็นอาทิ. น อักษรตัวแรกในบทว่า อตตา น เม น เทสสิโย เป็นเพียงนิบาต ความว่า แม้ตนเราก็มิได้เกลียดชัง อธิบายว่า ตนเราก็ไม่โกรธ ไม่เป็นที่รักก็หามิได้. ปาฐะว่า อตตานํ เม น เทสสิยํ ก็มีความว่าตนเราก็มิได้เกลียด. บทนั้นมีความว่า เราไม่เกลียดไม่โกรธ ไม่ควรจะโกรธตนของเรา. อาจารย์บางท่านกล่าวว่า อตตาปิ เม น เทสสิ- โย ก็มีความอย่างเดียวกัน. บทว่า อทาสหํ ตัดบทเป็น อทาสึ อหํ คือ เราได้ให้แล้ว. ปาฐะว่า อทาสิหํ ก็มี แปลอย่างเดียวกัน.

ก็ในครั้งนั้น เมื่อพระเนตรเกิดขึ้นแล้วด้วยสัตยาธิษฐานของพระโพธิสัตว์ พวกราชบริษัททั้งหมดได้ประชุมกันด้วยอานุภาพของท้าวสักกะ. ลำดับนั้นท้าวสักกะประทับยืนบนอากาศท่ามกลางมหาชน สรรเสริญพระโพธิสัตว์ด้วยคาถาเหล่านี้ว่า:- ท่านผู้ยังชาวสีพีให้เจริญ คาถาทั้งหลาย ท่านกล่าวแล้วโดยธรรม พระเนตรทั้งสองของ ท่านปรากฏเป็นของทิพย์. การเห็นโดยรอบ ๑๐๐ โยชน์ ผ่านนอกฝา นอกหิน และภูเขา จงสำเร็จแก่ท่านเถิด. แล้วเสด็จกลับสู่เทวโลก. แม้พระโพธิสัตว์แวดล้อมด้วยมหาชน เสด็จเข้าสู่พระนครด้วยสักการะ อันใหญ่ เมื่อตระเตรียมประตูพระราชมณเฑียรเรียบร้อยแล้ว ประทับนั่ง เหนือราชบัลลังก์ ภายใต้เศวตฉัตรที่เขายกขึ้นไว้ ณ มหามณฑป เมื่อจะ ทรงแสดงธรรมแก่ชาวพระนคร ชาวชนบท และราชบริษัทผู้ยินดีร่าเริง เบิกบานด้วยการได้พระเนตรคืนมาเพื่อจะเห็น จึงได้ตรัสคาถาเหล่านี้ว่า:- ใครหนอในโลกนี้ เขาขอแล้วไม่ให้สมบัติ อันประเสริฐบ้าง เป็นที่รักบ้างของตน. เชิญ เถิดชาวสีพีทั้งหลายทั้งปวง จงมาประชุมกันดู นัยน์ตาทิพย์ของเราในวันนี้เถิด. การเห็นโดยรอบร้อยโยชน์ ผ่านนอกฝา นอกหิน และภูเขา จงสำเร็จแก่ท่าน. อะไรๆ ในชีวิตนี้ของสัตว์ทั้งหลาย จะยิ่งไปกว่าการ บริจาคไม่มี เราให้จักษุอันเป็นของมนุษย์ แล้ว ได้จักษุอันเป็นทิพย์. ดูก่อนชาวสีพีทั้ง หลาย พวกท่านเห็นทิพยจักษุนี้แล้วจงให้ ทาน จงบริโภคเถิด. อนึ่ง พวกท่านครั้นให้ แล้ว บริโภคแล้ว ตามอานุภาพไม่ถูกนินทา จงไปสู่ฐานะอันเป็นแดนสวรรค์เถิด.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ธมเมน ภาสิตา ความว่า ข้าแต่มหาราช พระองค์ตรัสคาถาเหล่านี้โดยธรรม โดยความเป็นจริงทีเดียว. บทว่า ทิพพานิ คือประกอบด้วยอานุภาพอันเป็นของทิพย์. บทว่า ปฏิทิสสเร คือย่อมปรากฏ. บทว่า ติโรกุฑฑํ คือนอกฝา. บทว่า ติโรเสลํ คือนอกหิน. บทว่า สมติคฺ- คยฺห คือผ่านไป. บทว่า สมนตา คือการเห็นรูปทั่วสิบทิศประมาณร้อย- โยชน์จงสำเร็จแก่ท่าน. บทว่า โก นีธ ตัดบทเป็น โก นุ อิธ คือใครหนอในโลกนี้. บทว่า อปิ วิสิฏฐํ คือมีความสูงสุด. บทว่า น จาคมตฺตา คือไม่มีสิ่งอื่นชื่อว่าจะ ประเสริฐกว่าการบริจาค. บทว่า อิธ ชีวิเต คือในชีวโลกนี้. อาจารย์บางพวก กล่าวว่า อิธ ชีวตํ บ้าง. ความว่า เป็นอยู่ในโลกนี้ . บทว่า อมานุสํ คือเรา ได้ทิพยจักษุ. ด้วยเหตุนี้จึงควรกล่าวได้ว่า ไม่มีสิ่งชื่อว่าสูงสุดกว่าการบริจาค. บทว่า เอตมปิ ทิสวา คือเห็นทิพยจักษุที่เราได้นี้แล้ว.

พระโพธิสัตว์มิได้ทรงแสดงด้วยคาถา ๔ คาถาเหล่านี้ในขณะนั้น เท่านั้น อันที่จริง พระโพธิสัตว์ทรงประชุมมหาชนในอุโบสถ ทรงแสดงธรรม แม้ทุกกึ่งเดือนด้วยประการฉะนี้ มหาชนได้สดับพระธรรมนั้นแล้ว ต่าง ทำบุญมีทานเป็นต้นแล้วก็ได้ไปบังเกิดในเทวโลก

หมอในครั้งนั้นได้เป็นพระอานนทเถระในครั้งนี้. ท้าวสักกะ คือ พระอนุรุทธเถระ บริษัทที่เหลือ คือพุทธบริษัท พระเจ้าสีวิราช คือพระโลกนาถ.

แม้ในสิวิราชจริยานี้ของพระโพธิสัตว์นั้น ก็พึงเจาะจงกล่าวถึงบารมี ทั้งหลายตามสมควร โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล อนึ่ง พึงทราบคุณานุภาพ ของพระมหาสัตว์มีอาทิอย่างนี้คือ ทุกๆ วัน วัตถุอันเป็นไทยธรรมภายนอก ที่ไม่เคยพระราชทาน ไม่มีฉันใด เมื่อพระโพธิสัตว์ทรงบริจาคมหาทานอัน นับไม่ถ้วนก็ฉันนั้น ไม่ทรงยินดีด้วยมหาทานนั้น ทรงดำริว่า ทำอย่างไรหนอ เราจะพึงบริจาคทานอันเป็นวัตถุภายในได้ เมื่อไรหนอจะพึงมีใคร ๆ มาหา เราแล้วขอไทยธรรมอันเป็นวัตถุภายใน. หากมีผู้ขออะไรๆ จะพึงขอเนื้อหทัยของเรา เราจักนำเนื้อหทัยนั้นออกด้วยหอกแล้วนำหทัยซึ่งมีหยาดเลือด ไหลดุจยกดอกบัวพร้อมด้วยก้านขึ้นจากน้ำใสแล้วจักให้ หากพึงขอเนื้อใน ร่ายกาย เราจักเชือดเนื้อในร่างกาย ดุจกรีดเยื่อน้ำอ้อยงบของตาลด้วยการขูด ออก หากพึงขอเลือดเราจะเอาดาบแทงหรือสอดเข้าไปในปากแห่งสรีระแล้ว นำเอาภาชนะเข้าไปรองจนเต็มแล้วจักให้เลือด อนึ่งหากใครๆ พึงกล่าวว่า ในเรือนของเรา การงานไม่ค่อยเรียบร้อย ท่านจงรับใช้เราที่เรือนนั้นเถิด. เราจักเปลื้องเครื่องทรงของพระราชา ออกมอบตนแก่เขาแล้วรับใช้เขา หรือว่าหากใครๆ พึงขอนัยน์ตาเรา เราจักให้ควักนัยน์ตา ดุจนำจาวตาลออก ฉะนั้นแล้วให้แก่เขาดังนี้ พระมหาโพธิสัตว์ทรงถึงความเป็นผู้ชำนาญอันใช่ ทั่วไปแก่ผู้อื่นอย่างนี้ ทรงเกิดความปริวิตกกว้างขวางเป็นพิเศษ การได้ผู้ขอ จักษุแล้วแม้เมื่ออำมาตย์และเหล่าบริษัทเป็นผู้ทูลคัดค้าน ก็มิได้ทรงเชื่อฟังคำ ของชนเหล่านั้น ทรงเสวยปีติอย่างยิ่งด้วยการปฏิบัติสมควรแก่ความปริวิตก ของพระองค์ ทรงตั้งสัตยาธิษฐานต่อพระพักตร์ของท้าวสักกะ อาศัยความ ที่การปฏิบัตินั้นเป็นความจริงแท้แน่นอน เพราะพระองค์มีพระทัยอิ่มเอิบ ความที่พระเนตรของพระองค์เป็นปกติด้วยสัตยาธิษฐานนั้น และความที่ พระเนตรนั้นมีอานุภาพเป็นของทิพย์ ด้วยประการฉะนี้.

จบ อรรถกถาสิวิราชจริยาที่ ๘

กลับที่เดิม