ชยทิสจริยาที่ ๙

ว่าด้วยพระจริยาวัตรของพระเจ้าชยทิส [๑๙] พระราชาทรงพระนามว่าชัยทิศ ทรงประกอบด้วยศีลคุณเสวยสมบัติ ในพระนครอันประเสริฐชื่อกัปปิลาเป็นนครอุดมในปัญจาลรัฐ เรา เป็นโอรสของพระราชาพระองค์นั้น มีธรรมอันสดับแล้ว มีศีลงาม มีพระนามว่าอลีนสัตตกุมารมีคุณสงเคราะห์บริวารชนทุกเมื่อ พระบิดาของเราเสด็จไปประพาศเนื้อ ได้ทรงพบพระยาโปริสาท พระยาโปริสาทนั้นได้จับพระบิดาของเราแล้วกล่าวว่า ท่านเป็นอาหาร ของเราอย่าดิ้นรน พระบิดาของเราทรงสดับคำของพระยาโปริสาทนั้น ทรงกลัวสะดุ้งหวาดหวั่น พระองค์มีพระเพลาแข็งกระด้างเพราะทอด พระเนตรเห็นพระยาโปริสาท พระยาโปริสาทรับเอาเนื้อแล้วปล่อย ไปโดยบังคับให้กลับมาอีก พระราชบิดา พระราชทานทรัพย์แก่ พราหมณ์ แล้วตรัสเรียกเรามาว่าพ่อลูกชาย จงปกครองราชสมบัติ อย่าประมาทปกครองนครนี้ พระยาโปริสาทบังคับเราให้เรากลับไป หาอีก เราถวายบังคมพระมารดาพระบิดาแล้ว ตกแต่งร่างกายสพาย ธนูเหน็บ พระแสงขรรค์ ออกไปหาพระยาโปริสาท (เราคิดว่า) พระยาโปริสาทเห็นมีมือถืออาวุธ บางทีจักสะดุ้งกลัว แต่เพราะ เมื่อเราทำความสะดุ้งกลัวแก่พระยาโปริสาท ศีลของเราจะเศร้าหมอง เพราะเรากลัวศีลจะขาดจึงไม่นำสิ่งที่น่าเกลียด (อาวุธ) เข้าไปใกล้ พระยาโปริสาทนั้น เรามีเมตตาจิต กล่าวคำเป็นประโยชน์ ได้กล่าว คำนี้ว่า ท่านจงเอาแก่นไม้มาก่อไฟให้เป็นกองใหญ่ เราจะโดดเข้า ไฟท่านผู้เป็นพระปิตุจฉาทราบเวลาว่าเราสุกดีแล้วจงกินเถิด เราไม่ ได้รักษาชีวิตของเราเพราะเหตุแห่งพระบิดาผู้ทรงศีล เราได้ให้ พระยาโปริสาทผู้ฆ่าสัตว์เป็นปรกติทุกเมื่อนั้นบวชแล้ว ฉะนี้แล. จบชยทิสจริยาที่ ๙

อรรถกถาชยทิสจริยาที่ ๙

พึงทราบวินิจฉัยในอรรถกถาชยทิสจริยาที่ ๙ ดังต่อไปนี้. บทว่า ปญฺจาลรฏฺเฐ คือในชนบทมีชื่ออย่างนี้. บทว่า นครวเร กปฺปิลายํ คือ ในอุตตมนครอันได้ชื่ออย่างนี้ว่า กัปปิลา กล่าวว่า นครวเร แล้วยังกล่าว ว่า ปรุตฺตเม อีก เพื่อแสดงว่านครนั้นเป็นนครเลิศกว่านครทั้งหมด ใน ชมพูทวีปในกาลนั้น. บทว่า ชยทิโส นาม คือเมื่อพระราชาทรงชนะ ข้าศึกของพระองค์. หรือทรงชนะชยทิศคือยักษิณีอันเป็นข้าศึกของพระองค์ เพราะเหตุนั้นจึงทรงได้พระนามอย่างนี้. บทว่า สีลคุณนุปาคโต คือทรง ประกอบด้วยอาจารศีลและคุณธรรมของพระราชา มีความสมบูรณ์ด้วยพระอุตสาหะเป็นต้น. อธิบายว่า ทรงถึงพร้อมด้วยศีลคุณนั้น. บทว่า ตสฺส รญฺโญ คือแห่งพระเจ้าชยทิสราช. มีคำที่เหลือว่า อหํ ปุตฺโต อโหสึ เราเป็นโอรสของพระราชาพระองค์นั้น. บทว่า สุตธมฺโม คือ ชื่อว่าธรรมอันพระราชบุตรนั้นนิ่งสดับ. ชื่อว่า สุตธมฺโม เพราะทรง สดับธรรมทั้งปวง อธิบายว่า เป็นพหูสูต. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สุตธมฺโม คือมีธรรมปรากฏแล้ว ปรากฏชื่อเสียงด้วยธรรมจริยาสมจริยา อธิบายว่า มีธรรมเป็นเกียรติแพร่หลายไปในโลก มีชื่ออย่างนี้ว่า อลีนสัตตกุมาร. บทว่า คุณวา มีคุณคือประกอบด้วยคุณของมหาบุรุษอันยิ่งใหญ่. บทว่า อนุรกฺข- ปริชโน สทา สงเคราะห์บริวารชนทุกเมื่อ คือดูแลบริวารชนตลอดกาล เพราะประกอบด้วยคุณวิเศษมีศรัทธาเป็นต้น และเพราะสงเคราะห์ด้วยสังคหวัตถุ ๔ โดยชอบ. บทว่า ปิตา เม มิควํ คนฺตฺวา, โปริสาทํ อุปาคมิ คือพระเจ้าชยทิสพระชนกของเราเสด็จไปทรงล่าเนื้อ ครั้นเสด็จถึงท่ามกลางป่าได้ทรง พบพระยาโปริสาทบุตรยักษิณีกินมนุษย์. จึงเข้าไปหาพระยาโปริสาทนั้น

ได้ยินว่าวันหนึ่ง พระเจ้าชยทิศเสด็จออกจากกบิลนครพร้อมด้วย บริวารใหญ่อันสมควรแก่พระองค์ ด้วยมีพระประสงค์ว่าจักไปล่าเนื้อ. พอ พระราชาเสด็จออกไปได้พักหนึ่ง นันทพราหมณ์ชาวเมืองตักกสิลาถือเอา คาถาชื่อว่าสตารหา ๔ บท เข้าไปหาเพื่อจะบอก แล้วกราบทูลถึงเหตุที่ตน มาแด่พระราชา. พระราชาทรงดำริว่า เราจักกลับไปฟัง จึงพระราชทานเรือน เป็นที่อยู่และเสบียงแก่เขาแล้วเสด็จเข้าป่าตรัสว่า เนื้อหนีไปทางข้างของผู้ใด ผู้นั้นจะต้องถูกปรับสินไหม. แล้วทรงเที่ยวล่าเนื้อ. ครั้งนั้นเนื้อฟานตัวหนึ่ง ได้ยินเสียงเท้าของคนเป็นอันมากจึงออกจากที่อยู่หนีไปทางพระราชา. พวก อำมาตย์หัวเราะชอบใจ. พระราชาทรงตามเนื้อนั้นไปสุดทาง ๓ โยชน์ทรง ยิงเนื้อนั้นซึ่งหมดกำลังให้ล้มลง. พระราชาทรงเอาพระขรรค์ชำแหละเนื้อที่ ล้มลงนั้นออกเป็นสองส่วน แม้พระองค์ไม่ปรารถนา ก็เพื่อปลดเปลื้องคำ พูดว่า พระราชาไม่สามารถจับมฤคเอาเนื้อไปได้ จึงทรงทำคานคอนเสด็จมา ประทับนั่งเหนือหญ้าแพรกที่โคนต้นไทรต้นหนึ่ง ทรงพักครู่หนึ่งเตรียมจะ เสด็จไป.

ก็สมัยนั้น พระเชษฐาของพระราชานั้นในวันประสูติถูกยักษิณีจับ ไปเพื่อจะกิน ยักษิณีนั้นถูกพวกมนุษย์อารักขาติดตามไปถึงทางทดน้ำ จึงวาง พระกุมารไว้ที่อก พระกุมารดูดนมด้วยสำคัญว่าพระมารดา ยักษิณีเกิดความ รักคล้ายบุตร จึงเลี้ยงดูอย่างดี พระกุมารเสวยเนื้อมนุษย์เพราะเขาประกอบ เป็นอาหารให้เสวย ครั้นเจริญวัยขึ้นตามลำดับ ก็หายตัวได้ด้วยอานุภาพ ของรากยาที่ยักษิณีให้เพื่อหายตัวได้ จึงเสวยเนื้อมนุษย์เลี้ยงชีพ เมื่อยักษิณี ตายรากยานั้นหายด้วยความประมาทของตน จึงมีร่างปรากฏ เปลือยน่ากลัว เคี้ยวกินเนื้อมนุษย์ เห็นราชบุรุษที่ติดตามหาพระราชา จึงหนีเข้าป่าอาศัย อยู่ที่โคนต้นไทรนั้น ครั้นเห็นพระราชาจึงพูดว่า ท่านเป็นอาหารของเรา แล้ว จึงจับที่พระหัตถ์.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า:- พระยาโปริสาทนั้นได้จับพระบิดาของเรา แล้วกล่าวว่า ท่านเป็นอาหารของเราอย่าดิ้นรน พระบิดาของเราทรงสดับคำของพระยาโปริสาท นั้น ทรงกลับสะดุ้งหวาดหวั่น พระองค์มี พระเพลาแข็งกระด้าง เพราะทรงเห็นพระยาโปริสาท พระยาโปริสาทรับเอาเนื้อแล้ว ปล่อย ไป โดยบังคับให้กลับมาอีก. ในบทเหล่านั้น บทว่า โส เม ปิตุมคฺคเหสิ ความว่า พระยา โปริสาทนั้น ได้จับพระเจ้าชยทิส พระบิดาของเราซึ่งแสดงมาใกล้ต้นไม้ที่ ตนนั่ง ที่พระหัตถ์ด้วยกล่าวว่า ท่านเป็นอาหารของเรามาแล้ว. อย่าดิ้นรน ด้วยการสะมัดมือเป็นต้น. เราจักกินท่านแม้ดิ้นรนอยู่ ดังนี้. บทว่า ตสฺส คือแห่งบุตรยักษิณีนั้น. บทว่า ตสิตเวธิโต คือสะดุ้งด้วยความกลัว หวาดหวั่นด้วยร่างกายสั่น. บทว่า อุรุกฺขมฺโภ คือพระเพลาทั้งสองกระด้าง. พระราชาไม่สามารถจะหนีไปจากนั้นได้. บทว่า มิควํ ในบทนี้ว่า มิควํ คเหตฺวา มุญฺจสฺสุ คือเอาเนื้อ แล้วปล่อยไป ท่านกล่าวถึงเนื้อของมฤคนั้นว่า มิควํ เพราะได้เนื้อไป. อธิบายว่า พระยาโปริสาทถือเอาเนื้อของมฤคนี้แล้วจึงปล่อยเรา.

เพราะ พระราชาทรงเห็นบุตรยักษิณีนั้น ทรงกลัวถึงกับพระเพลาแข็งกระด้างประทับยืนดุจตอไม้. พระยาโปริสาทรีบไปจับพระราชาที่พระหัตถ์แล้วกล่าวว่า ท่านเป็นอาหารของเรามาแล้ว. ลำดับนั้นพระราชาทรงตั้งสติแล้วตรัสกะ พระยาโปริสาทว่า หากท่านต้องการอาหาร. เราจะให้เนื้อนี้แก่ท่าน. ท่าน จงรับเนื้อนั้นไปกินเถิด. ขอท่านจงปล่อยเราเถิด. พระยาโปริสาทได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวว่า ท่านให้ของของเราเองแล้วยังจะมาพูดดีกับเรา. ทั้งเนื้อทั้งท่าน เป็นของของเราตั้งแต่เราจับมือท่านไว้มิใช่หรือ. เพราะฉะนั้นเราจักกินท่าน ก่อนแล้วจึงกินเนื้อในภายหลัง. ลำดับนั้นพระราชาทรงพระดำริว่า เจ้าโปริสาทนี้คงจะไม่ปล่อยเรา เพราะเอาเนื้อเป็นสินไถ่แน่. อนึ่ง เมื่อเรามาล่าเนื้อได้ทำปฏิญญาไว้กับ พราหมณ์นั้นว่า เรากลับมาแล้วจะให้ทรัพย์ท่าน. หากยักษ์นั้นอนุญาต. เราจะรักษาคำสัตย์ไว้กลับไปเรือนปลดเปลื้องปฏิญญานั้นแล้ว จะพึงกลับมา เป็นอาหารของยักษ์นี้อีก ทรงแจ้งความนั้นแก่ยักษ์. พระยาโปริสาท ฟัง ดังนั้นแล้วกล่าวว่า หากท่านรักษาคำสัตย์ประสงค์จะไป. ท่านไปให้ทรัพย์ แก่พราหมณ์นั้นแล้วรักษาคำสัตย์ พึงรีบกลับมาอีกแล้วปล่อยพระราชาไป. พระราชาครั้นพระยาโปริสาทปล่อยแล้วจึงตรัสว่า ท่านอย่าวิตกไปเลย. เรา จะมาแต่เช้าทีเดียวแล้วทรงสังเกตเครื่องหมายทาง เสด็จเข้าไปถึงหมู่พลของ พระองค์ อันหมู่พลแวดล้อมเสด็จเข้าพระนคร ตรัสเรียกนันทพราหมณ์ นั้นมา ให้นั่งเหนืออาสนะอันสมควร ทรงสดับคาถาเหล่านั้นแล้วพระราช ทานทรัพย์ ๔,๐๐๐ ให้พราหมณ์ขึ้นยาน มีพระดำรัสว่า พวกท่านจงนำ พราหมณ์นี้ไปส่งให้ถึงเมืองตักกสิลา แล้วทรงให้พวกมนุษย์ไปส่งพราหมณ์ ในวันที่สองมีพระประสงค์จะไปหาพระยาโปริสาท เมื่อทรงตั้งพระโอรสไว้ ในราชสมบัติ จึงทรงให้โอวาทตรัสบอกความนั้น.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ว่า:- พระยาโปริสาทรับเอาเนื้อแล้ว ปล่อยไปโดย บังคับให้กลับมาอีก พระบิดาพระราชทาน ทรัพย์แก่พราหมณ์ แล้วตรัสเรียกเรามาว่า ดูก่อนลูก ลูกจงปกครองราชสมบัติ อย่าประ- มาทปกครองนครนี้ พระยาโปริสาทบังคับพ่อ ให้พ่อกลับไปหาอีก. ในบทเหล่านั้น บทว่า อาคมนํ ปุน คือได้รับรองไว้แก่พระยาโปริสาท ว่าจะกลับมาอีก. บทว่า พราหมณสฺส ธนํ ทตฺวา คือฟังคาถาของนันท- พราหมณ์ ซึ่งมาจากเมืองตักกสิลาแล้วให้ทรัพย์ไปประมาณ ,๐๐๐. บทว่า ปิตา อามนฺตยี มมํ คือพระเจ้าชยทิศพระบิดาของเราไปหา. หากถามว่า เรียกไปหาเรื่องอะไร. ตอบว่า เรื่องราชสมบัติ. มีความว่า

พระราชาตรัสว่า ดูก่อนลูก ลูกจงปกครองราชสมบัติอันเป็นของตระกูลนี้เถิด. พ่อครองราชสมบัติโดยธรรมโดยเสมอไว้อย่างใด. แม้ลูกเขายกเศวตฉัตรให้ครองราชสมบัติก็จงเป็นอย่างนั้น. ลูกรักษาพระนครนี้ และครองราชสมบัติอย่าได้ ถึงความประมาทเลย. พ่อได้รับรองไว้กับยักษ์โปริสาทที่โคนต้นไทรในที่โน้น ว่า พ่อจะมาหาเขาอีก. พ่อรักษาคำสัตย์จึงกลับมาที่นี้ก็เพื่อให้ทรัพย์แก่ พราหมณ์นั้นอย่างเดียว. เพราะฉะนั้นพ่อจะกลับ ณ ที่นั้น. พระมหาสัตว์ทรงสดับดังนั้นจึงทูลว่า ข้าแต่มหาราช พระบิดาอย่า เสด็จไป ณ ที่นั้นเลยพระเจ้าข้า. หม่อมฉันจักไป ณ ที่นั้นเอง. ข้าแต่ พระบิดา หากพระบิดาจักเสด็จไปให้ได้. แม้หม่อมฉันก็จักไปกับพระบิดา ด้วย. พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า เมื่อเป็นอย่างนั้นเราจะไปทั้งสองก็ไม่ได้. เพราะฉะนั้นเรานี่แหละจักไป ณ ที่นั้นเอง. ได้รับอนุญาตจากพระราชา ผู้ทรงห้ามโดยประการต่างๆ แล้วถวายบังคมพระมารดาบิดา ทรงสละชีวิต เพื่อประโยชน์แก่พระบิดา เมื่อพระบิดาทรงให้โอวาทและเมื่อพระมารดา พระภคินี พระชายากระทำสัจจกิริยา เพื่อความสวัสดีจึงถืออาวุธออกจาก พระนครตรัสอำลามหาชนผู้มีหน้านองด้วยน้ำตาติดตามไป ทรงดำเนินไป ตามทางที่อยู่ของยักษ์โดยนัยที่พระบิดาทรงบอกไว้. แม้บุตรยักษิณีก็คิดว่า ขึ้นชื่อว่ากษัตริย์มีมารยามาก. ใครจะรู้ จักเป็นอย่างไรจึงขึ้นต้นไม้นั่งคอยดู การมาของพระราชา เห็นพระกุมารเสด็จมาจึงคิดว่า บุตรจักมาแทนบิดา. ภัยไม่มีแก่เราแน่จึงลงจากต้นไม้ นั่งหันหลังให้พระโพธิสัตว์. พระมหาสัตว์ เสด็จมาประทับยืนข้างหน้าพระยาโปริสาทนั้น.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ว่า:- เราถวายบังคมพระมารดาบิดาแล้ว ตกแต่ง ร่างกาย สะพายธนูเหน็บพระแสงขรรค์ ออก ไปหาพระยาโปริสาท. พระยาโปริสาทเห็นมีมือ ถืออาวุธ บางทีจักสะดุ้งกลัว แต่เพราะเมื่อเรา ทำความสะดุ้งกลัวแก่พระยาโปริสาท ศีลของ เราจะเศร้าหมอง. เพราะเรากลัวศีลจะขาด จึง ไม่นำสิ่งที่น่าเกลียด เข้าไปใกล้พระยาโปริสาท นั้น เรามีเมตตาจิต กล่าวคำ เป็นประโยชน์จึง ได้กล่าวคำนี้. บทว่า สสตฺถหตฺถูปคตํ เห็นมีมือถืออาวุธ คือพระยาโปริสาทเห็น เรามีมือถืออาวุธเข้าไปหาตน. บทว่า กทาจิ โส ตสิสฺสติ คือบางทียักษ์ นั้นจะพึงกลัว. บทว่า เตน ภิชฺชิสฺสติ สีลํ ศีลจักแตกด้วยเหตุนั้นคือ ศีลของเราจักพินาศ เศร้าหมองด้วยเหตุที่ทำให้ยักษ์นั้นเกิดความกลัวนั้น. บทว่า ปริตาสํ กเต มยิ คือเมื่อเราทำให้ยักษ์นั้นหวาดกลัว. บทว่า สีลขณฺฑภยา มยฺหํ, ตสฺส เทสฺสํ น พฺยาหรึ เพราะเรากลัวศีลจะขาด จึงไม่นำสิ่งที่น่าเกลียดเข้าไปใกล้พระยาโปริสาทนั้น คือเราได้วางศัสตรา เพราะกลัวศีลจะขาดเข้าไปหาพระยาโปริสาทนั้นอย่างใด เพราะเรากลัวศีล จะขาดอย่างนั้น จึงไม่นำสิ่งที่น่าเกลียดไม่น่าปรารถนาเข้าไปหาพระยาโปริสาทนั้น. แต่เรากล่าวคำเป็นประโยชน์ด้วยจิตเมตตาจึงได้กล่าวคำที่จะ กล่าวนี้ในบัดนี้.

พระมหาสัตว์ครั้นเสด็จไปประทับยืนอยู่ข้างหน้า. บุตรยักษิณีประสงค์จะทดลองพระมหาสัตว์นั้น จึงถามว่า ท่านเป็นใคร มาแต่ไหน ท่าน ไม่รู้จักเราหรือว่าเราเป็นพรานกินเนื้อมนุษย์ เหตุไรท่านจึงมาถึงที่นี่. พระกุมารตรัสว่า เราเป็นโอรสของพระเจ้าชยทิส เรารู้ว่าท่านคือโปริสาท ผู้กินคน เรามาที่นี่ก็เพื่อจะรักษาพระชนม์ของพระบิดา เพราะฉะนั้น ท่านจงเว้นพระบิดา กินเราแทนเถิด. บุตรยักษิณีกล่าวด้วยอาการฉงนอีกว่า เรารู้จักท่านว่าเป็นโอรสของพระราชาชยทิสนั้น แต่ท่านมาอย่างนี้ชื่อว่า ท่านกระทำสิ่งที่ทำได้ยาก. พระกุมารตรัสว่า ไม่ยากเลย การสละชีวิตใน เพราะประโยชน์ของบิดา จริงอยู่บุคคลทำบุญเห็นปานนี้ เพราะเหตุมารดา บิดา ย่อมบรรเทิงในสวรรค์โดยส่วนเดียวเท่านั้น. อนึ่งเรารู้ว่า สัตว์ไรๆ ชื่อว่าไม่มีความตายเป็นธรรมดานั้นย่อมไม่มี และเราจะไม่ระลึกถึงบาป อย่างใดอย่างหนึ่งที่ตนทำไว้. เพราะฉะนั้นเราจึงไม่กลัวต่อความตาย เราสละ ชีวิตนี้ให้แก่ท่าน. แล้วตรัสว่า ท่านจงก่อไฟแล้วกินเราเถิด.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า:- ท่านจงเอาแก่นไม้มาก่อไฟให้เป็นกอง ใหญ่ เราจะโดดเข้าไป. ท่านผู้เป็นพระเจ้าลุง ท่านทราบเวลาว่าเราสุกดีแล้ว จงกินเถิด. บุตรยักษิณีได้ฟังดังนั้นคิดว่า เราไม่อาจกินเนื้อกุมารนี้ได้. เราจัก ให้กุมารนี้หนีไปโดยอุบาย จึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นท่านจงเข้าป่าหาไม้มีแก่น มาทำให้เป็นถ่านเพลิงไม่มีควัน. เราจะปิ้งเนื้อท่านที่ถ่านเพลิงนั้นแล้วกิน เสีย. พระมหาสัตว์ได้ทำตามนั้นแล้วจึงบอกแก่โปริสาท. โปริสาทแลดู พระกุมารนั้นคิดว่า กุมารนี้เป็นบุรุษสีหราชไม่กลัวแม้แต่ความตาย. คนไม่ กลัวตายอย่างนี้เราไม่เคยเห็น เกิดขนลุกชันมองดูพระกุมาร. พระกุมาร ตรัสถามว่า ท่านมองดูเราทำไมเล่า ท่านไม่ทำตามคำพูด. บุตรยักษิณีกล่าวกะ พระมหาสัตว์ว่า ผู้ใดกินท่าน ศีรษะของผู้นั้นจะพึงแตก ๗ เสี่ยง. พระมหาสัตว์ตรัสว่า หากท่านไม่ประสงค์จะกินเรา. ท่านก่อไฟทำไมเล่า ยักษ์ตอบ ว่า เพื่อข่มท่าน. พระกุมารเมื่อจะทรงแสดงเนื้อความนั้นว่า ท่านจักข่มเรา ได้อย่างไรในบัดนี้. เราแม้เกิดในกำเนิดเดียรัจฉานก็ยังมิให้ท้าวสักกเทวราช ข่มเราได้เลยดังนี้ จึงกล่าวคาถาว่า:- ก็กระต่ายนั้นสำคัญว่า ท้าวสักกะนี้เป็น พราหมณ์ จึงได้เชิญให้อยู่ ณ ที่นั้น. ข้าแต่ เทวะ ด้วยเหตุนั้นแล กระต่ายนั้นจึงเป็น จันทิมาเทพบุตร ได้ความสรรเสริญด้วยเสียงว่า สส ให้เจริญความใคร่จนทุกวันนี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า สโส อวาเสสิ สเก สรีเร คือกระต่าย เมื่อจะให้ร่างกายของตน ในสรีระของตนอย่างนี้ว่า ท่านจงเคี้ยวกินสรีระ นี้แล้วจงอยู่ที่นี้เถิด เพราะสรีระของตนเป็นเหตุ จึงให้ท้าวสักกะผู้มีรูปเป็น พราหมณ์ นั้นอยู่ ณ ที่นั้น. บทว่า สสตฺถุโต คือได้ความสรรเสริญด้วย เสียงว่า สส อย่างนี้ว่า สสี ดังนี้. บทว่า กามทุโห คือให้เจริญความ ใคร่. บทว่า ยกฺข คือเทวดา. พระมหาสัตว์ทรงแสดงเครื่องหมายกระ- ต่ายในดวงจันทร์ อันเป็นปาฏิหาริย์ ตั้งอยู่ ตลอดกัปให้เป็นพยาน แล้วได้ตรัสถึงความที่ พระองค์แม้ท้าวสักกะก็ไม่สามารถจะข่มได้.

พระยาโปริสาทได้ฟังดังนั้นเกิดจิตอัศจรรย์ไม่เคยมี จึงกล่าวคาถาว่า:- ดวงจันทร์พ้นจากปากราหู ย่อมรุ่งเรือง ดุจแสงสว่างในวันเพ็ญ ฉันใด. ท่านกปิละผู้ มีอานุภาพใหญ่ ท่านพ้นจากโปริสาทย่อมรุ่ง โรจน์ ฉันนั้น. พระองค์ยังพระชนกชนนีให้ ปลาบปลื้ม ทั้งผู้ที่เป็นฝ่ายพระญาติทั้งปวงของ พระองค์ก็ยินดี. แล้วก็ปล่อยพระกุมารไปด้วยทูลว่า ขอท่านผู้เป็นวีระบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ จงกลับไปเถิด. แม้พระมหาสัตว์ก็ทรงทำให้โปริสาทนั้นหมดพยศได้แล้วให้ ศีล ๕ เมื่อจะทรงทดลองดูว่า โปริสาทนี้เป็นยักย์หรือไม่จึงสันนิษฐานเอา โดยไม่พลาด ดุจด้วยพระสัพพัญญุตญาณโดยอนุมาน คือถือเอาตามนัยดังนี้ คือ นัยน์ตายักษ์มีสีแดงไม่กะพริบ. เงาไม่ปรากฏ. ไม่หวาดสะดุ้ง. โปริสาท นี้ไม่เป็นอย่างนั้น. เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่ยักษ์. เป็นมนุษย์นี่เอง. นัยว่า พระบิดาของเรามีพระภาดา ๓ องค์ ถูกยักษิณีจับไป. ทั้ง ๓ องค์นั้นถูก ยักษิณีกินเสีย ๒ องค์. องค์หนึ่งยักษิณีเลี้ยงดูด้วยความรักเหมือนลูก. โปริสาทนี้คงจักเป็นองค์นั้นเป็นแน่แล้วคิดว่า เราจักทูลพระบิดาของเราให้ ตั้งโปริสาทไว้ในราชสมบัติ แล้วกล่าวว่า ท่านมิใช่ยักษ์เป็นพระเชษฐา ของ พระบิดาของเรา มาเถิดท่านจงมาไปกับเรา แล้วครองราชสมบัติอันเป็นของ ตระกูล. ดังที่พระกุมารกล่าวว่า ท่านเป็นลุงของเรา. เมื่อโปริสาทกล่าวว่า เราไม่ใช่มนุษย์ พระกุมารจึงนำไปหาดาบสผู้มีตาทิพย์ซึ่งโปริสาทเชื่อถือ. เมื่อ ดาบสกล่าวถึงความเป็นพ่อว่า พวกท่านทำอะไรกันทั้งพ่อทั้งลูกเที่ยวไปในป่า ดังนี้โปริสาทจึงเชื่อกล่าวว่าไปเถิดลูก. เราไม่ต้องการราชสมบัติ. เราจักบวช ละ แล้วบวชเป็นฤๅษีอยู่ในสำนักของดาบส.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ว่า:- เรามิได้รักษาชีวิตของเรา เพราะเหตุแห่ง พระบิดาเป็นผู้ทรงศีล เราได้ให้พระยาโปริสาท ผู้ฆ่าสัตว์เป็นปกติทุกเมื่อนั้นบวชแล้ว. ในบทเหล่านั้น บทว่า สิลวตํ เหตุ คือเพราะเหตุแห่งบิดาของ เราเป็นผู้ทรงศีล. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สีลวตํ เหตุ คือเพราะเหตุแห่ง ความมีศีล. อันเป็นเครื่องหมายแห่งการสมาทานความมีศีลของเรา เพื่อ มิให้ศีลขาด. บทว่า ตสฺส คือ โปริสาทนั้น.

ลำดับนั้นพระมหาสัตว์ทรงนมัสการพระเจ้าลุงของตน ซึ่งบวชแล้วไป ใกล้พระนคร พระราชา ชาวพระนคร ชาวนิคม ชาวชนบท ได้ฟังว่าพระกุมารเสด็จกลับมาแล้ว ต่างก็ร่าเริงยินดีลุกไปตั้งรับ พระกุมารถวายบังคม พระราชา แล้วทูลเรื่องราวทั้งหมดให้ทรงทราบ. พระราชาได้ทรงสดับดังนั้น แล้ว ในขณะนั้นเองจึงทรงรับสั่งให้ตีกลองป่าวประกาศ เสด็จไปหาพระดาบส โปริสาทนั้นด้วยบริวารใหญ่แล้วตรัสว่า ข้าแต่เจ้าพี่ ขอเชิญเจ้าพี่มาครองราชสมบัติเถิด. พระดาบสทูลว่า อย่าเลยมหาบพิตร. พระราชาตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น นิมนต์อยู่ในพระราชอุทยานของข้าพเจ้าเถิด. พระดาบสทูลว่า อาตมาไม่มา. พระราชารับสั่งให้ปลูกบ้านใกล้อาศรมนั้นแล้วจัดตั้งภิกษา. บ้านนั้นชื่อจูฬกัมมาสทัมมนิคม.

พระมารดาพระบิดาในครั้งนั้น ได้เป็นมหาราชตระกูลในครั้งนี้. พระดาบส คือพระสารีบุตร. โปริสาท คือพระองคุลิมาล. พระกนิษฐา คือ นางอุบลวรรณา. พระอัครมเหสี คือมารดาพระราหุล. อลีนสัตตุกุมาร คือ พระโลกนาถ.

แม้ในชยทิสจริยานี้ก็พึงเจาะจงกล่าวถึงบารมีที่เหลือของพระโพธิสัตว์ นั้นตามสมควร โดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล. อนึ่ง พึงประกาศคุณอานุภาพของพระโพธิสัตว์ไว้ในจริยานี้ มีอาทิอย่างนี้ คือการที่พระบิดาทรงห้าม สละชีวิตของตน เพื่อรักษาชีวิตของพระบิดาจึงตัดสินพระทัยว่า จักไปหา โปริสาท. การที่วางศัสตราไปเพื่อมิให้โปริสาทนั้นหวาดสะดุ้ง. การเจรจา ถ้อยคำน่ารักกับโปริสาทนั้นด้วยหวังว่า ศีลของตนจงอย่าขาดเลย. การไม่ มีความสะดุ้งต่อความตาย ทั้งๆ ที่โปริสาทนั้นข่มขู่โดยนัยต่างๆ การร่าเริง ยินดีว่า เราจักทำร่างกายของเราให้มีผลในประโยชน์ของพระบิดา. การรู้ภาวะ ของตนที่ไม่คำนึงถึงชีวิต เพื่อบริจาคในชาติเป็นกระต่าย ซึ่งแม้ท้าวสักกะ ก็ไม่สามารถจะข่มได้. การไม่มีความผิดปกติแม้เมื่อถูกสมาคมปล่อย. การรู้ ไม่ผิดพลาดของความเป็นมนุษย์ และความเป็นพระเจ้าลุงของโปริสาทนั้น. ความเป็นผู้ใคร่เพื่อให้โปริสาทนั้น ดำรงอยู่ในราชสมบัติอันเป็นของตระกูล เพียงได้รู้จักกัน. การให้โปริสาทเกิดสลดใจในการแสดงธรรมแล้วให้ตั้งอยู่. ในศีล.

จบ อรรถกถาชยทิสจริยาที่ ๙

กลับที่เดิม