มหาโลมหังสจริยาที่ ๑๕

ว่าด้วยจริยาวัตรของมหาโลมหังสบัณฑิต [๓๕] เรานอนอยู่ในป่าช้า เอาซากศพอันมีแต่กระดูกทำเป็นหมอนหนุน เด็กชาวบ้านพวกหนึ่ง พากันเข้าไปทำความหยาบช้าร้ายกาจนานัปการ อีกพวกหนึ่งร่าเริงดีใจ พากันนำเอาของหอม ดอกไม้ อาหาร และ เครื่องบรรณาการต่างๆ เป็นอันมากมาให้เรา พวกใดนำทุกข์มาให้ เราและพวกใดให้สุขแก่เรา เราเป็นผู้มีจิตเสมอแก่เขาทั้งหมดไม่มี ความเอ็นดู ไม่มีความโกรธ เราเป็นผู้วางเฉยในสุขและทุกข์ ใน ยศและความเสื่อมยศ เป็นผู้มีใจเสมอในสิ่งทั้งปวง นี้เป็นอุเบกขา บารมีของเรา ฉะนี้แล. จบมหาโลมหังสจริยาที่ ๑๕

อรรถกถามหาโลมหังสจริยาที่ ๑๕

พึงทราบวินิจฉัยในอรรถกถามหาโลมหังสจริยาที่ ๑๕ ดังต่อไปนี้. บทว่า สุสาเน เสยฺยํ กปฺเปมิ เรานอนอยู่ในป่าช้านี้ มีเรื่องราวเป็น ลำดับดังต่อไปนี้.

ได้ยินว่า ในครั้งนั้นพระมหาสัตว์บังเกิดในตระกูลมีโภคะยิ่งใหญ่ อาศัยความเจริญอยู่กับครูในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ สำเร็จศิลปะทุก แขนง มายังเรือนของตระกูล เมื่อมารดาบิดาล่วงลับไปแล้ว แม้พวกญาติ ขอร้องให้ครอบครองทรัพย์สมบัติ เป็นผู้เกิดความสังเวชในภาวะทั้งปวงด้วย มนสิการถึงความเป็นของไม่เที่ยง ได้อสุภสัญญาในกาย ไม่ยึดถือกิเลสอันทำ ให้มีความกังวลในการครองเรือน เพิ่มพูนอัธยาศัยในเนกขัมมะที่สะสมมา ช้านาน ประสงค์ละกองโภคะใหญ่ออกบวช จึงคิดต่อไปว่า หากเราบวช จักเป็นผู้ไม่ปรากฏด้วยการยกย่องทางคุณธรรม. พระมหาสัตว์รังเกียจลาภและสักการะ ไม่เข้าไปบวชตรึกถึงตนว่า เราเพียงพอเพื่อไม่เป็นผู้ผิดปกติในลาภและเสื่อมลาภเป็นต้น จึงคิดว่า เรา บำเพ็ญปฏิปทามีความอดทนคำเย้ยหยันของผู้อื่นเป็นต้น อย่างวิเศษ จักยัง อุเบกขาบารมี ให้ถึงที่สุดได้จึงออกจากเรือนด้วยผ้าผืนที่นุ่งอยู่นั่นแหละ. เป็นผู้ประพฤติขัดเขลากิเลสอย่างยิ่ง หมดกำลังก็ทำเป็นมีกำลัง ไม่โง่ก็ทำ เป็นโง่ ถูกคนอื่นเยาะเย้ย เย้ยหยันด้วยรูปร่างอันไร้จิตใจ เที่ยวไปในหมู่ บ้าน นิคม และราชธานีโดยอยู่เพียงคืนเดียวเท่านั้น. ในที่ใดได้รับการ เย้ยหยันมาก ก็อยู่ในที่นั้นนาน. เมื่อผ้าที่นุ่งเก่า แม้ผ้านั้นจะเก่าจนเป็น ผ้าขี้ริ้วก็ไม่รับผ้าที่ใครๆ ให้ เที่ยวไปเพียงปกปิดอวัยวะยังหิริให้กำเริบเท่านั้น.

เมื่อกาลผ่านไปอย่างนี้ เขาได้ไปถึงบ้านและนิคมแห่งหนึ่ง. ณ ที่นั้น เด็กชาวบ้าน นิสัยนักเลงชอบตีรันฟันแทง บางคนก็เป็น บุตรหลานและทาสเป็นต้น ของพวกราชวัลลภ หยิ่ง ทะลึ่ง ล่อกแล่ก ปากจัด พูดจาสามหาว เที่ยวเล่นตลอดเวลาเสียแหละมาก. เด็กชาวบ้าน เหล่านั้น เห็นชายและหญิงที่เป็นคนแก่เข็ญใจก็เอาฝุ่นละอองโปรยไปบน หลัง ห้อยใบลำเจียกไว้ในระหว่างรักแร้ แสดงการเล่นด้วยท่าทางอันไม่ เหมาะสมน่าตำหนิ ก็หัวเราะใส่คนที่กำลังดู.

พระมหาบุรุษเห็นพวกเด็ก นักเลงเหล่านั้นเที่ยวไปในนิคมนั้น จึงคิดว่า บัดนี้ เราได้อุบายเครื่อง บำเพ็ญอุเบกขาบารมี แล้วจึงอยู่ ณ ที่นั้น. พวกเด็กนักเลงเห็นพระมหาบุรุษนั้น จึงเริ่มที่จะทำความไม่เหมาะสม. พระมหาสัตว์ลุกขึ้นเดินไปทำคล้ายกับทนไม่ได้ และทำคล้ายกลัวเด็ก พวกนั้น. พวกเด็กเหล่านั้นก็ตามพระโพธิสัตว์ไป. พระโพธิสัตว์เมื่อถูก พวกเด็กตามไป จึงไปป่าช้าด้วยเห็นว่าที่ป่าช้านี้คงไม่มีใครขัดคอ เอาโครงกระดูกทำเป็นหมอนหนุนแล้วนอน. พวกเด็กนักเลงก็พากันไปที่ป่าช้านั้น ทำความไม่เหมาะสมหลายๆ อย่าง มีการถ่มน้ำลายเป็นต้น แล้วก็กลับไป. พวกเด็กนักเลงทำอย่างนี้ทุกๆ วัน. พวกที่เป็นวิญญูชนเห็นเด็กๆ ทำอย่าง นั้น ก็ห้าม รู้ว่าท่านผู้นี้มีอานุภาพมาก มีตบะเป็นมหาโยคี จึงพากันกระทำ สักการสัมมานะอย่างมากมาย. ฝ่ายพระมหาสัตว์เป็นเช่นเดียว คือเป็น กลางในทุกอย่าง.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า:- สุสาเน เสยฺยํ กปฺเปมิ ฯลฯ ทยา โกโป น วิชฺชติ คำแปลปรากฏแล้วในบาลีแปลข้างต้น บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุสาเน เสยฺยํ กปฺเปมิ, ฉวฏฺฐิกํ อุปนิธาย เรานอนอยู่ในป่าช้า เอาซากศพอันมีแต่โครงกระดูกทำเป็นหมอน หนุน ความว่า เรานอนอยู่ในป่าช้านั้น เพราะเรามีจิตเสมอกันในสิ่งที่ สะอาดและไม่สะอาด จึงเอาบรรดากระดูกที่กระจัดกระจายอยู่ในที่นั้น จาก ซากที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้าผีดิบ มีสุนัขบ้านและสุนัขจิ้งจอกเป็นต้น กระดูก ชิ้นหนึ่งเป็นหมอนหนุน. บทว่า คามมณฺฑลา คือเด็กชาวบ้าน. บทว่า รูปํ ทสฺเสนฺตินปฺปกํ ความว่า เด็กชาวบ้านเหล่านั้นกระทำความไม่เหมาะสมความหยาบช้าหลายอย่าง ด้วยการถ่มน้ำลายหัวเราะเยาะและถ่ายปัสสาวะ เป็นต้น และด้วยการแยงเส้นหญ้าเป็นต้น เข้าไปในช่องหู เพราะเล่นได้ ตามความพอใจ. บทว่า อปเร คือบรรดาเด็กชาวบ้านเหล่านั้นบางพวก. บทว่า อุ- ปายนานิ อุปเนนฺติ ความว่า เด็กชาวบ้านพวกนั้นสังเกตดูว่า ท่านผู้นี้ เมื่อเด็กเหล่านี้ทำความไม่เหมาะสม เห็นปานนี้ด้วยการเยาะเย้ยยังไม่แสดง ความผิดปกติไรๆ เลย จึงพากันนำของหอม ดอกไม้ อาหารหลายอย่าง และเครื่องบรรณาการอย่างอื่นมาให้. หรือว่ามนุษย์ผู้เป็นวิญญูชนเหล่าอื่น นอกจากเด็กชาวบ้านไร้มารยาทเหล่านั้น ร่าเริงว่า ท่านผู้นี้เมื่อเด็กเหล่านี้ ทำความไม่เหมาะสมหลายอย่างอย่างนี้ก็ไม่โกรธ. กลับเข้าไปตั้งขันติ เมตตา และความเอ็นดูในเด็กเหล่านั้นอีก. โอ อัจฉริยบุรุษ มีใจสังเวชว่า เด็ก พวกนี้ปฏิบัติผิดในท่านผู้นี้เป็นผู้ขวนขวายบาปเป็นอันมาก จึงนำของหอม ดอกไม้เป็นอันมาก อาหารหลายอย่างและเครื่องสักการะอื่นเข้ามาให้. บทว่า เย เม ทุกฺขํ อุปหรนฺติ ความว่า เด็กชาวบ้านพวกใด นำทุกข์ในร่างกายมาให้เรา. ปาฐะว่า อุปทหนฺติ ดังนี้บ้าง แปลว่าให้เกิด. บทว่า เย จ เทนฺติ สุขํ มม ความว่า มนุษย์ที่เป็นวิญญูชนพวกใด ให้ความสุขแก่เรา นำความสุขมาให้เราด้วยเครื่องบำรุงความสุข มีดอกไม้ ของหอม และอาหารเป็นต้น. บทว่า สพฺเพสํ สมโก โหมิ ความว่า เรา เป็นผู้มีจิตเสมอ คือเป็นเช่นเดียวกันแก่ชนเหล่านั้น เพราะเรามีจิตเสมอ โดยไม่เกิดความผิดปกติในที่ไหน ๆ. บทว่า ทยา โกโป น วิชฺชติ ความ ว่า เพราะความเอ็นดู กล่าวคือความมีจิตเมตตาในผู้ทำอุปการะไม่มีแก่เรา. แม้ความโกรธ กล่าวคือความประทุษร้ายทางใจในผู้ไม่ทำอุปการะก็ไม่มี. ฉะนั้นเราจึงเป็นผู้มีใจเสมอแก่ชนทั้งปวง ท่านแสดงไว้ด้วยประการฉะนี้.

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ในกาลนั้น เพื่อทรงแสดงถึงความไม่มี ผิดปกติ และความไม่ติดอยู่ในโลกธรรมทั้งหลาย เพราะพระองค์ทรงสะสม ญาณสัมภารไว้ จึงมีพระทัยเสมอในสัตว์ทั้งหลายทั้งที่มีอุปการะและไม่มีอุปการะ จึงตรัสคาถาสุดท้ายว่า:- เราเป็นผู้วางเฉยในสุขและทุกข์ ในยศ และความเสื่อมยศ เป็นผู้มีใจเสมอในสิ่งทั้ง ปวง นี้เป็นอุเบกขาบารมีของเรา. ในบทเหล่านั้น บทว่า สุขทุกฺเข คือในสุข และในทุกข์. บทว่า ตุลาภูโต ได้แก่ เป็นผู้วางตนเป็นกลาง เว้นการยินดียินร้าย คือไม่ยินดี ยินร้าย ดุจตาชั่งที่จับไว้เสมอกัน. อนึ่ง ด้วยศัพท์ว่า สุขทุกฺข ในบทว่า สุขทุกฺเข นี้ พึงทราบว่า หมายถึงแม้ลาภและความเสื่อมลาภด้วย เพราะ สุขทุกข์นั้นเป็นนิมิต. บทว่า ยเสสุ คือเกียรติยศ. บทว่า อยเสสุ คือ นินทา. บทว่า สพฺพตฺถ คือในโลกธรรมทั้งหมดมีสุขเป็นต้น. ด้วยประการฉะนี้ ในครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นแสดงความที่พระองค์เป็น กลางในสรรพสัตว์ และในโลกธรรมทั้งปวง ไม่ทั่วไปแก่ผู้อื่น แล้วเมื่อจะ ทรงประกาศความที่พระองค์ถึงยอดแห่งอุเบกขาบารมี ในอัตภาพนั้นด้วยบท นั้น จึงทรงจบเทศนาลงด้วยบทว่า เอสา เม อุเปกฺขาปารมี ดังนี้.

แม้ในจริยานี้ พระมหาสัตว์ย่อมได้บารมี ๑๐ ครบโดยเฉพาะทานบารมีก่อน. การบริจาคสมบัติทั้งปวงและการบริจาคอัตภาพของตนโดยไม่ คำนึงว่าใครๆ ถือเอาสรีระนี้ แล้วจงทำอย่างใดอย่างหนึ่งที่ตนปรารถนา เป็น ทานบารมี. การไม่ทำสิ่งไม่ควรทำทั้งปวง มีความเลวเป็นต้น เป็น ศีลบารมี. การเพิ่มพูนอสุภสัญญาในกายของพระโพธิสัตว์ผู้หันหลังให้ความ ยินดีในกาม ออกจากเรือน เป็น เนกขัมมบารมี. ความเป็นผู้ฉลาดใน การกำหนดธรรมเป็นอุปการะแก่สัมโพธิสมภาร และในการละธรรมอันเป็น ปฏิปักษ์ต่ออุปการะธรรมนั้น และการคิดถึงสภาวธรรมจากธรรมอันไม่วิปริต เป็น ปัญญาบารมี. การบรรเทากามวิตกเป็นต้น และการพยายามอดกลั้น ความทุกข์ เป็น วีริยบารมี. ความอดทนด้วยความอดกลั้น เป็น ขันติ- บารมี. จริงวาจา และจริงด้วยการเว้นโดยไม่ผิดสมาทาน เป็น สัจบารมี. การตั้งใจสมาทานไม่หวั่นไหวในธรรมอันไม่มีโทษ เป็น อธิษฐานบารมี. ความเป็นผู้มีเมตตา และความเอ็นดูในสรรพสัตว์โดยไม่เจาะจง เป็น เมตตาบารมี. ส่วนอุเบกขาบารมี ของพระโพธิสัตว์นั้นพึงทราบตามที่กล่าวแล้ว นั่นแล. อนึ่ง ในจริยานี้ ท่านทำอุเบกขาบารมีให้เป็นบารมียอดเยี่ยมอย่าง ยิ่ง จึงยกอุเบกขาบารมีนั้นขึ้นสู่เทศนา. อนึ่ง ในจริยานี้ พึงประกาศคุณานุภาพของพระมหาสัตว์ มีอาทิ อย่างนี้ คือการละกองโภคสมบัติใหญ่และวงศ์ญาติใหญ่ แล้วออกจากเรือน เช่นกับการออกบวช. การไม่ถือเพศบรรพชิตของพระมหาสัตว์ผู้ออกไปอย่าง นั้นแล้วรังเกียจลาภและสักการะประสงค์จะรักษาความนับถือของผู้อื่น แล้ว อธิษฐานคุณของบรรพชาไม่ให้มีเหลือด้วยจิตเท่านั้น แล้วอยู่เป็นสุขอย่างยิ่ง. ความเป็นผู้มักน้อยอย่างยิ่ง. ความยินดีในความสงัด การไม่คำนึงถึงกายแล ชีวิตของตนด้วยประสงค์จะวางเฉย. การประพฤติขัดเกลากิเลสถึงขั้นอุกฤษฏ อดกลั้นความน่าเกลียดที่ผู้อื่นทำเบื้องบนของตน. การยังตนให้ตั้งมั่นด้วย ความที่กิเลสอันเป็นปฏิปักษ์ต่อโพธิสมภารมีน้อย ด้วยความเป็นกลางใน ที่ทั้งปวง อันเป็นเหตุแห่งความไม่ผิดปกติในผู้มีอุปการะและไม่มีอุปการะ ของคนอื่น ดุจพระขีณาสพฉะนั้น แล้วไม่ติดด้วยโลกธรรมทั้งหลาย. การ ถึงยอดแห่งอุเบกขาบารมี อันเป็นพุทธบารมีของบารมีทั้งปวง.

จบ อรรถกถามหาโลมหังสจริยาที่ ๑๕

กลับที่เดิม