กุรุธรรมจริยาที่ ๓

(ยกมาจากจริยาปิฏก) ว่าด้วยพระจริยาวัตรของพระเจ้าธนญชัย [] อีกเรื่องหนึ่ง เมื่อเราเป็นพระราชามีนามว่าธนญชัย อยู่ใน อินทปัตถบุรีอันอุดม ประกอบด้วยกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ ในกาลนั้น พวกพราหมณ์ชาวกาลิงครัฐ ได้มาหาเรา ขอพระยาคช สารทรง อันประกอบด้วยมงคลหัตถี กะเราว่าชนบทฝนไม่ตกเลย เกิดทุพภิกขภัย อดอยากอาหารมาก ขอพระองค์จงทรงพระราชทาน พระยาคชสารตัวประเสริฐมีสีกายเขียวชื่ออัญชนะเถิด เราคิดว่า การห้ามยาจกทั้งหลายที่มาถึงแล้ว ไม่สมควรแก่เราเลย กุศล สมาทานของเราอย่าทำลายเสียเลย เราจักให้คชสารตัวประเสริฐ เราได้รับงวงพระยาคชสาร วางลงบนมือพราหมณ์ แล้วจึงหลั่งน้ำใน เต้าทองลงบนมือได้ให้พระยาคชสารแก่พราหมณ์ เมื่อเราได้ให้ พระยาคชสารแล้ว พวกอำมาตย์ได้กล่าวดังนี้ว่า เหตุไรหนอพระองค์ จึงพระราชทานพระยาคชสารตัวประเสริฐ อันประกอบด้วยธัญญ ลักษณ์ สมบูรณ์ด้วยมงคล ชนะในสงครามอันสูงสุด แก่ยาจก เมื่อพระองค์ทรงพระราชทานคชสารแล้ว พระองค์จักเสวยราชสมบัติ ได้อย่างไร [เราได้ตอบว่า] แม้ราชสมบัติทั้งหมดเราก็พึงให้ ถึง สรีระของตน เราก็พึงให้ เพราะสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา ฉะนั้น เราจึงได้ให้พระยาคชสาร ดังนี้แล. จบกุรุธรรมจริยาที่ ๓

อรรถกถากุรุธรรมจริยาที่

(ยกมาจากอรรถกถา) พึงทราบวินิจฉัยในกุรุธรรมจริยาที่สามดังต่อไปนี้. บทว่า อินฺทปตฺเถ ปุรุตฺตเม คือเมืองอุดม เมืองประเสริฐ แห่งแคว้นกุรุ ชื่อว่า อินทปัตถะ. บทว่า ราชา ชื่อว่า ราชา คือยังบริษัทให้ยินดีด้วยสังคห- วัตถุ ๔ โดยธรรม โดยเสมอ. บทว่า กุสเล ทสหุปาคโม คือ ประกอบด้วยกุสลกรรมบท ๑๐ ประการ หรือด้วยบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ มีทาน มัยเป็นต้น. บทว่า กาลิงฺครฏฺฐวิสยา คือพวกพราหมณ์ชาวกาลิงครัฐ. บทว่า พฺราหฺมณา อุปคญฺฉุ มํ คือพราหมณ์ ๘ คน อันพระเจ้ากาลิงคะ ส่งมาได้มาหาเรา. ก็และครั้นเข้าไปหาแล้วได้ขอพระยาคชสารกะเรา. บทว่า ธญฺญํ คือพระยาคชสารสมบูรณ์ด้วยลักษณะอันสิริโสภาคย์สมควรเป็น คชสารทรง. บทว่า มงฺคลสมฺมตํ คืออันชนทั้งหลายเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ว่าเป็นมงคลหัตถี เป็นเหตุแห่งความเจริญยิ่งด้วยลักษณะสมบัตินั้นนั่นแล. บทว่า อวุฏฺฐิโก คือปราศจากฝน. บทว่า ทุพฺภิกฺโข คือหาอาหารได้ยาก. บทว่า ฉาตโก มหา อดอยากมาก คือเกิดความเจ็บป่วยเพราะความหิว มาก. บทว่า ททาหิ คือขอทรงพระราชทาน. บทว่า นีลํ คือมีสีเขียว. บทว่า อญฺชนสวฺหยํ คือมีชื่อว่าอัญชนะ.ท่านอธิบายบทนี้ไว้ว่า แคว้น กาลิงคะของข้าพระพุทธเจ้า ฝนไม่ตก. ด้วยเหตุนั้น บัดนี้ เกิดทุพภิกขภัย ใหญ่ ฉาตกภัยใหญ่ในแคว้นนั้น. เพื่อสงบภัยนั้น ขอพระองค์จงทรง พระราชทานมงคลหัตถี ชื่อว่า อัญชนะของพระองค์คล้ายอัญชนคิรีนี้เถิด. เพราะว่าเมื่อนำพระยาคชสารนี้ไป ณ แคว้นนั้นแล้วฝนก็จะตก. สรรพภัย นั้นจักสงบไปด้วยพระยาคชสารนั้นเป็นแน่. พึงทราบกถาเป็นลำดับใน เรื่องนั้นดังต่อไปนี้:-

ในอดีตกาล ในนครอินทปัตถะแคว้นกุรุ พระโพธิสัตว์ทรงถือ ปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระเจ้ากุรุราช ถึงความเจริญวัย โดยลำดับไปยังเมืองตักกสิลา เรียนศิลปศาสตร์อันเป็นประโยชน์ในการ ปกครอง และวิชาหลัก ครั้นเรียนจบกลับพระนครพระชนกให้ดำรง ตำแหน่งอุปราช. ครั้นต่อมาเมื่อพระชนกสวรรคต ได้รับราชสมบัติยังทศพิธ ราชธรรมไม่ให้กำเริบ ครองราชสมบัติโดยธรรมมีพระนามว่า ธนญชัย พระเจ้าธนญชัยทรงให้สร้างโรงทาน ๖ แห่ง คือที่ประตูพระนคร ๔ แห่ง กลางพระนคร ๑ แห่ง ประตูราชนิเวศน์ ๑ แห่ง ทรงสละทรัพย์วันละ ๖๐๐,๐๐๐ ทุกวัน ทรงกระทำชมพูทวีปทั้งสิ้นเจริญรุ่งเรืองแล้วทรงบริจาค ทาน. เพราะพระองค์มีพระอัธยาศัยในการทรงบริจาค ความยินดีในทาน แผ่ไปทั่วชมพูทวีป. ในกาลนั้น แคว้นกาลิงคะเกิดภัย ๓ อย่าง คือ ทุพภิกขภัย ฉาตกภัย โรคภัย. ชาวแคว้นทั้งสิ้นพากันไปทันตบุรี กราบทูลร้องเรียน ส่งเสียงอึงคะนึงที่ประตูพระราชวังว่า. ข้าแต่เทวะ ขอพระองค์จงทรงให้ ฝนตกเถิดพระเจ้าข้า. พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้วตรัสถามพวกอำมาตย์ว่า พวกประชาชนร้องเรียนเรื่องอะไรกัน. พวกอำมาตย์กราบทูลความนั้น แด่พระราชา. พระราชามีพระดำรัสถามว่า พระราชาแต่ก่อน เมื่อฝนไม่ตก ทรงทำอย่างไร. กราบทูลว่า ทรงให้ทาน ทรงอธิษฐานอุโบสถ ทรงสมาทาน ศีลเสด็จเข้าห้องสิริบรรทมตลอด ๗ วัน ณ พระที่ทรงธรรม ขอให้ฝนตก พระราชาสดับดังนั้นก็ได้ทรงกระทำอย่างนั้น. ฝนก็ไม่ตก. พระราชา ตรัสว่า เราได้กระทำกิจที่ควรทำแล้ว ฝนก็ไม่ตก เราจะทำอย่างไรต่อไป. กราบทูลว่า ขอเดชะเมื่อนำพระยาคชสารมงคลหัตถีของพระเจ้าธนญชัย กุรุราชในอินทปัตถนครมา ฝนจึงจักตกพระเจ้าข้า. พระราชารับสั่งว่า พระราชาพระองค์นั้นมีพลพาหนะเข้มแข็ง ปราบปรามได้ยาก เราจักนำ พระยาคชสารของพระองค์มาได้อย่างไรเล่า. กราบทูลว่า ขอเดชะ ข้าแต่ มหาราชเจ้ามิได้มีการรบพุ่งกับพระราชานั้นเลย พระเจ้าข้า. พระราชา พระองค์นั้นมีพระอัธยาศัยในการบริจาค ทรงยินดีในทาน เมื่อมีผู้ทูลขอ แล้ว แม้พระเศียรที่ตกแต่งแล้วก็ตัดให้ได้ แม้พระเนตรที่มีประสาทบริบูรณ์ ก็ทรงควักให้ได้ แม้ราชสมบัติทั้งสิ้นก็ทรงมอบให้ได้ ไม่ต้องพูดถึงพระยา คชสารเลย เมื่อทูลขอแล้วจักพระราชทานเป็นแน่แท้ พระเจ้าข้า. ตรัสถาม ว่า ก็ใครจะเป็นผู้สามารถทูลขอได้เล่า. กราบทูลว่า ขอเดชะข้าแต่มหาราช พราหมณ์ พระเจ้าข้า. พระราชารับสั่งให้เรียกพราหมณ์ ๘ คนเข้าเฝ้า ทำสักการะสัมมานะแล้ว ทรงให้สะเบียงส่งไปเพื่อขอพระยาคชสาร. พราหมณ์เหล่านั้นรีบไปคืนเดียว บริโภคอาหารที่โรงทานใกล้ประตูพระนคร อยู่ชั่วเวลาเล็กน้อยครั้นอิ่มหนำสำราญแล้วก็ยืนอยู่ที่ประตูด้านตะวันออกรอ เวลาพระราชาเสด็จมายังโรงทาน. แม้พระโพธิสัตว์ก็ทรงสรงสนานแต่เช้าตรู่ ทรงประดับด้วยเครื่อง สรรพาลังการเสร็จขึ้นคอพระยาคชสารตัวประเสริฐที่ตกแต่งแล้ว เสด็จไป ยังโรงทานด้วยราชานุภาพอันใหญ่หลวง เสด็จลงพระราชทานแก่ชน ๗-๘ คน ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์แล้วตรัสว่า พวกท่านจงให้ทำนอง นี้แหละ เสด็จขึ้นสู่พระยาคชสารแล้วเสด็จไปทางประตูด้านทิศใต้. พวก พราหมณ์ไม่ได้โอกาสเพราะทางทิศตะวันออกจัดอารักขาเข้มแข็งมาก จึงไป ประตูด้านทิศใต้ คอยดูพระราชาเสด็จมายืนอยู่ในที่เนินไม่ไกลจากประตู เมื่อพระราชาเสด็จมาถึงต่างก็ยกมือถวายชัยมงคล. พระราชาทรงบังคับช้างให้ กลับด้วยพระขอเพชรเสด็จไปหาพราหมณ์เหล่านั้น ตรัสถามพวกพราหมณ์ ว่า พวกท่านต้องการอะไร. พวกพราหมณ์กราบทูลว่า ขอเดชะแคว้นกาลิงคะ ถูกทุพภิกขภัย ฉาตกภัยและโรคภัยรบกวน. ความรบกวนนั้นจักสงบลงได้ เมื่อนำพระยามงคลหัตถีของพระองค์เชือกนี้ไป. เพราะฉะนั้น ขอพระองค์ จงทรงโปรดพระราชทานพระยาคชสารสีดอกอัญชันเชือกนี้เถิด พระเจ้าข้า.

พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศความนั้น จึงตรัสว่า กาลิงฺครฏฺฐวิสยา ฯลฯ อญฺชนสวฺหยํ พวกพราหมณ์ชาวกาลิงครัฐได้มาหาเรา ขอพระยาคชสาร ทรง ฯลฯ ขอพระองค์จงทรงพระราชทานพระยาคชสารตัวประเสริฐมีสีกาย เขียวชื่ออัญชนะเถิด. บทนั้นท่านอธิบายไว้ดังต่อไปนี้:-

ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ทรงตรัสว่า การที่เราจะทำลายความต้องการ ของยาจกทั้งหลายไม่เป็นการสมควรแก่เรา และจะพึงเป็นการทำลายกุสล- สมาทานของเราอีกด้วย จึงเสด็จลงจากคอคชสารมีพระดำรัสว่า หากที่มิได้ ตกแต่งไว้มีอยู่เราจักตกแต่งแล้วจักให้ จึงทรงตรวจดูรอบๆ มิได้ทรงเห็นที่ มิได้ตกแต่ง จึงทรงจับพระยาคชสารที่งวงแล้ววางไว้บนมือของพราหมณ์ ทรงหลั่งน้ำที่อบด้วยดอกไม้และของหอมด้วยพระเต้าทอง แล้วพระราชทาน แก่พราหมณ์.

ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า:- การห้ามยาจกทั้งหลายที่มาถึงแล้ว ไม่ สมควรแก่เราเลย กุสลสมาทานของเราอย่า ทำลายเสียเลย เราจักให้คชสารตัวประเสริฐ เราได้จับงวงคชสารวางบนมือพราหมณ์แล้วจึง หลั่งน้ำในเต้าทองลงบนมือ ได้ให้พระยา คชสารแก่พราหมณ์. ในบทเหล่านั้น บทว่า ยาจกมนุปฺปตฺเต คือยาจกทั้งหลายที่มาถึง แล้ว. บทว่า อนุจฺฉโว คือเหมาะสม สมควร. บทว่า มา เม ภิชฺชิ สมาทานํ กุสลสมาทานของเราอย่าทำลายเสียเลย คือกุสลสมาทานอันใด ของเราที่ตั้งไว้ว่า เราจะให้สิ่งทั้งปวงที่ไม่มีโทษซึ่งยาจกทั้งปวงต้องการ จักบำเพ็ญทานบารมี เพื่อต้องการพระสัพพัญญุตญาณ กุสลสมาทานอันนั้น อย่าทำลายเสียเลย. เพราะฉะนั้นเราจักให้พระยาคชสารตัวประเสริฐอัน เป็นมงคลหัตถีนี้. บทว่า อทํ คือได้ให้แล้ว.

เมื่อพระราชทานพระยาคชสารแล้ว พวกอำมาตย์พากันกราบทูล พระโพธิสัตว์ว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า เพราะเหตุไรพระองค์จึงพระราชทาน มงคลหัตถี ควรพระราชทานช้างเชือกอื่นมิใช่หรือ. มงคลหัตถีฝึกไว้ สำหรับเป็นช้างทรงเห็นปานนี้ อันพระราชาผู้ทรงหวังความเป็นใหญ่และ ชัยชนะไม่ควรพระราชทานเลยพระเจ้าข้า. พระมหาสัตว์ตรัสว่า เราจะให้ สิ่งที่ยาจกทั้งหลายขอกะเรา. หากขอราชสมบัติกะเรา เราก็จะให้ราชสมบัติ แก่พวกเขา. พระสัพพัญญุตญาณเท่านั้นเป็นที่รักยิ่ง แม้กว่าราชสมบัติ แม้ กว่าชีวิตของเรา. เพราะฉะนั้น เราจึงได้ให้คชสารนั้น.

ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสพระดำรัสมีอาทิว่า ตสฺส นาเค ปทินฺนมฺหิ เมื่อพระองค์พระราชทานพระยาคชสารแล้ว. บทว่า มงฺคลสมฺปนฺนํ สมบูรณ์ด้วยมงคล คือประกอบด้วยคุณ อันเป็นมงคล. บทว่า สงฺคามวิชยุตฺตมํ ชนะในสงครามอันสูงสุด คือสูงสุด เพราะชนะในสงคราม หรือพระยาคชสารสูงสุด เป็นประธานอันประเสริฐ ในการชนะสงคราม. บทว่า กึ เต รชฺชํ กริสฺสติ พระองค์จักเสวย ราชสมบัติได้อย่างไร. เมื่อพระยาคชสารไปเสียแล้ว พระองค์จักครอง ราชสมบัติได้อย่างไร. ท่านแสดงว่า จักไม่ทำราชกิจ แม้ราชสมบัติก็ หมดไป. บทว่า รชฺชมฺปิ เม ทเท สพฺพํ แม้ราชสมบัติทั้งหมดเราก็พึง ให้ คือ พระยาคชสารเป็นสัตว์เดียรัจฉานยกไว้เถิด แม้แคว้นกุรุทั้งหมดนี้ เราก็พึงให้แก่ผู้ขอทั้งหลาย. บทว่า สรีรํ ทชฺชมตฺตโน ถึงสรีระของตน เราก็พึงให้ คือ จะพูดไปทำไมถึงราชสมบัติ แม้สรีระของตนเราก็พึงให้ แก่ผู้ขอทั้งหลาย. แม้สิ่งครอบครองทั้งภายในภายนอกทั้งหมดของเรา เรา ก็สละให้ได้เพื่อประโยชน์แก่ชาวโลก. ท่านแสดงว่าเพราะพระสัพพัญญุตญาณ และความเป็นพระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเราอันผู้ไม่บำเพ็ญบารมี ทั้งปวงมีทานบารมีเป็นต้นไม่สามารถจะให้ได้ ฉะนั้นเราจึงได้ให้พระยาคชสาร.

แม้เมื่อนำพระยาคชสารมาในแคว้นกาลิงคะ ฝนก็ยังไม่ตกอยู่นั่นเอง. พระเจ้ากาลิงคะตรัสถามว่า แม้บัดนี้ฝนก็ยังไม่ตก อะไรหนอเป็นเหตุ. ทรงทราบว่า พระเจ้ากุรุทรงรักษาครุธรรม ด้วยเหตุนั้นในแคว้นของ พระองค์ฝนจึงตกทุกกึ่งเดือน ทุก ๑๐ วัน ตามลำดับ นั้นเป็นคุณานุภาพ ของพระราชามิใช่อานุภาพของสัตว์เดียรัจฉานนี้ จึงทรงส่งอำมาตย์ไปด้วย มีพระดำรัสว่า เราจักรักษาครุธรรมด้วยตนเอง พวกท่านจงไปเขียนครุธรรม เหล่านั้นในราชสำนักของพระเจ้าธนญชัยโกรพยะ ลงในสุพรรณบัฏแล้ว นำมา. ท่านเรียกศีล ๕ ว่า ครุธรรม. พระโพธิสัตว์ทรงรักษาศีล ๕ เหล่านั้นกระทำให้บริสุทธิ์เป็นอย่างดี. อนึ่ง พระมารดา พระอัครมเหสี พระกนิษฐา อุปราช ปุโรหิต พราหมณ์ พนักงานรังวัด อำมาตย์ สารถี เศรษฐี พนักงานเก็บภาษีอากร คนเฝ้าประตู นครโสเภณี วรรณทาสีก็รักษาครุธรรมเช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์. ด้วยเหตุนั้นท่านจึง กล่าวว่า:- คน ๑๑ คน คือ พระราชา ๑ พระชนนี ๑ พระมเหสี ๑ อุปราช ๑ ปุโรหิต ๑ พนักงานรังวัด ๑ สารถี ๑ เศรษฐี ๑ พนักงานเก็บภาษีอากร ๑ คนเฝ้าประตู ๑ หญิงงามเมือง ๑ ตั้งอยู่ในครุธรรม. พวกอำมาตย์เหล่านั้นเข้าไปเฝ้าพระโพธิสัตว์ ถวายบังคมแล้วกราบ ทูลความนั้น. พระมหาสัตว์ตรัสว่า เรายังมีความเคลือบแคลงในครุธรรมอยู่, แต่พระชนนีของเรารักษาไว้เป็นอย่างดีแล้ว พวกท่านจงรับในสำนักของ พระชนนีนั้นเถิด. พวกอำมาตย์ทูลวิงวอนว่า ข้าแต่มหาราชเจ้าชื่อว่าความ เคลือบแคลงย่อมมีแก่ผู้ยังต้องการอาหาร มีความประพฤติขัดเกลากิเลส ขอพระองค์ทรงโปรดพระราชทานแก่พวกข้าพระองค์เถิดพระเจ้าข้า. แล้ว รับสั่งให้เขียนลงในสุพรรณบัฏว่า ไม่ควรฆ่าสัตว์ ๑ ไม่ควรลักทรัพย์ ๑ ไม่ควรประพฤติผิดในกาม ๑ ไม่ควรพูดปด ๑ ไม่ควรดื่มน้ำเมา ๑ แล้ว ตรัสว่า พวกท่านจงไปรับในสำนักของพระชนนีเถิด. พวกทูตถวายบังคมพระราชาแล้วไปยังสำนักของพระชนนีนั้น กราบ ทูลว่า ข้าแต่พระเทวี ได้ยินว่า พระนางเจ้าทรงรักษาครุธรรม ขอ พระนางเจ้าทรงโปรดพระราชทานครุธรรมนั้นแก่พวกข้าพระพุทธเจ้าเถิด. แม้พระชนนีของพระโพธิสัตว์ ก็ทรงทราบว่าพระองค์ยังมีความเคลือบแคลง อยู่เหมือนกัน แต่เมื่อพวกพราหมณ์วิงวอนขอก็ได้พระราชทานให้. แม้ พระมเหสีเป็นต้นก็เหมือนกัน. พวกพราหมณ์ได้เขียนครุธรรมลงใน สุพรรณบัฏในสำนักของชนทั้งหมด แล้วกลับทันตบุรี ถวายแด่พระเจ้า กาลิงคะ แล้วกราบทูลเรื่องราวให้ทรงทราบ. พระราชาทรงปฏิบัติในธรรม นั้นทรงบำเพ็ญศีล ๕ ให้บริบูรณ์. แต่นั้นฝนก็ตกทั่วแคว้นกาลิงคะ. ภัย ๓ ประการก็สงบ. แคว้นก็ได้เป็นแดนเกษม หาภิกษาได้ง่าย. พระโพธิสัตว์ ทรงบำเพ็ญบุญมีทานเป็นต้น ตลอดพระชนมายุ พร้อมด้วยบริษัทก็ไป อุบัติในเมืองสวรรค์. หญิงงามเมืองเป็นต้นในครั้งนั้น ได้เป็นอุบลวรรณาเป็นต้นในครั้ง นี้.

สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า:- หญิงงามเมืองคืออุบลวรรณา คนเฝ้า ประตู คือ ปุณณะ พนักงานรังวัด คือ กัจจานะ พนักงานภาษีอากร คือ โกลิตะ เศรษฐี คือ สารีบุตร สารถี คือ อนุรุทธะ พราหมณ์ คือ กัสสปเถระ อุปราช คือ นันทบัณฑิต พระมเหสี คือ มารดาพระราหุล พระชนนี คือ พระมหามายาเทวี พระโพธิสัตว์ผู้เป็นราชาในแคว้นกุรุ คือเราตถาคต พวกท่านจงทรงจำชาดกไว้ด้วยประการฉะนี้. แม้ในที่นี้ ธรรมที่เหลือมีเนกขัมมบารมีเป็นต้น พึงเจาะจงลงไป โดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล.

จบ อรรถกถากุรุธรรมจริยาที่ ๓

กลับที่เดิม