พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภพราหมณ์ผู้สมบูรณ์ด้วยวัตรคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า วายเมเถว ปุริโส ดังนี้.
            ได้ยินว่า พราหมณ์นั้นเป็นกุลบุตรชาวพระนครสาวัตถี บวชถวายชีวิตในพระศาสนา ได้เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวัตร กระทำ อาจริยวัตร อุปัชฌายวัตร และวัตรมีการตั้งน้ำดื่มและน้ำใช้ ทั้งวัตรในโรงอุโบสถ และวัตรในเรือนไฟเป็นต้น เป็นอันดี ได้เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในมหาวัตรทั้ง ๑๔ และขันธกวัตร ทั้ง ๘๐ กวาดวิหาร บริเวณโรงตึกทางไปวิหาร ให้น้ำดื่มแก่ พวกมนุษย์ พวกมนุษย์เลื่อมใสในความสมบูรณ์ด้วยวัตรของ ท่าน พากันถวายภัตรประจำ ประมาณ ๕๐๐ ราย ลาภและสักการะ เป็นอันมากบังเกิดขึ้น การอยู่อย่างผาสุข เกิดแล้วแก่ภิกษุเป็น อันมาก เพราะอาศัยท่าน
            อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย พากันยก เรื่องขึ้นสนทนากันในโรงธรรมว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุชื่อโน้น ยังลาภสักการะอย่างมากมายให้เกิดแก่ตน เพราะถึงพร้อมด้วย วัตร ความอยู่อย่างผาสุขเกิดแก่ภิกษุเป็นอันมาก เพราะอาศัย เธอผู้เดียว พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ?
            เมื่อภิกษุ ทั้งหลายพากันกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษ ุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในปางก่อน ภิกษุนี้ก็เคยเป็น ผู้ถึงพร้อมด้วยวัตร แม้ในปางก่อน อาศัยเธอผู้เดียว ฤๅษี ๕๐๐ ไม่ต้องไปป่าหาผลาผลกันเลย เลี้ยงชีพด้วยผลาผลที่ภิกษุนี้ นำมา แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
            ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลอุทิจจพราหมณ์ เจริญวัยแล้ว บวชเป็นฤๅษี มีฤาษี ๕๐๐ เป็นบริวาร อาศัยอยู่ที่ เชิงเขา ครั้งนั้น ในป่าหิมพานต์ แห้งแล้ง ร้ายแรง น้ำดื่มใน ที่นั้น ๆ ก็เหือดแห้ง พวกสัตว์เดียรัจฉานเมื่อไม่ได้น้ำดื่ม ก็พากัน ลำบาก
            ครั้งนั้น ในบรรดาพระดาบสเหล่านั้น มีดาบสองค์หนึ่ง เห็นความทุกข์เกิดแต่ความกระวนกระวาย ของพวกเดียรัจฉาน เหล่านั้น จึงตัดต้นไม้ต้นหนึ่งทำราง โพงน้ำใส่ให้เป็นน้ำดื่มแก ่พวกเดียรัจฉานเหล่านั้น เมื่อพวกสัตว์เดียรัจฉานจำนวนมาก มาประชุมดื่มน้ำ พระดาบสเลยไม่มีโอกาสที่จะไปหา แม้ท่าน จะอดอาหาร ก็คงให้น้ำดื่มอยู่นั่นเอง ฝูงเนื้อพากันคิดว่า พระดาบส นี้ให้น้ำดื่มแก่พวกเรา ไม่ได้โอกาสไปหาผลาผล ลำบากอย่าง ยวดยิ่ง เพราะอดอาหาร เอาเถิดพวกเราจงมาทำกติกากัน
            สัตว์เหล่านั้นจึงตั้งกติกาไว้ว่า ตั้งแต่บัดนี้ ผู้มาดื่มน้ำ ต้องคาบ ผลไม้มาตามสมควรแก่กำลังของตน ตั้งแต่นั้นมาเดียรัจฉาน ตัวหนึ่ง ๆ ก็คาบผลไม้มีมะม่วง และขนุนเป็นต้น ที่อร่อย ๆ นำมาตามสมควรแก่กำลังของตนเรื่อยมา ผลาผลที่พวกเดียรัจฉาน นำมาเพื่อพระดาบสองค์เดียว ได้มีประมาณบรรทุกเต็มสองเล่มเกวียนครึ่ง พระดาบสทั้ง ๕๐๐ พลอยฉันผลาผลนั้นทั่วกัน ยัง ต้องทิ้งเสียเป็นอันมาก
            พระโพธิสัตว์เห็นเหตุนั้นแล้วกล่าวว่า อาศัยดาบสผู้ถึงพร้อมด้วยวัตรผู้เดียว ดาบสมีประมาณเท่านี้ ยังอัตภาพให้เป็นไปได้ โดยไม่ต้องไปหาผลาผล ขึ้นชื่อว่า ความเพียรเป็นกิจควรกระทำโดยแท้ แล้วกล่าวคาถานี้ ความว่า :- "บุรุษผู้เป็นบัณฑิต ควรพยายามร่ำไป ไม่ควรเบื่อหน่าย จงดูผลแห่งความพยายาม ผลมะม่วงทั้งหลาย ที่มีให้บริโภคอยู่ ก็ด้วยความ พยายามทั้งนั้น ไม่ใช่ของที่มีมาได้เอง" ดังนี้.
            ในคาถานั้น มีความสังเขปดังนี้ บัณฑิตพึงพยายามเรื่อยไป ไม่ควรท้อถอยเสีย ในการงานมีการบำเพ็ญวัตรเป็นต้น ของตน เพราะเหตุไร ? เพราะความพยายามที่ไร้ผล ไม่มีเลย ด้วยเหตุนี้ พระมหาสัตว์เมื่อเตือนคณะฤๅษีว่า ธรรมดาความเพียรย่อม มีผลเรื่อยไป จึงกล่าวว่า เชิญดูผลแห่งความพยายามเถิด เช่น อย่างไรเล่า ? เช่นอย่างที่ฤๅษีทั้ง ๕๐๐ ฉันผลไม้มีมะม่วงเป็นต้น ได้อย่างไม่อั้น ในบรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อัมพ เป็นเพียงยกมา เป็นตัวอย่าง หมายความว่า ก็ผลาผลที่เดียรัจฉานเหล่านั้นนำมา มีประการต่าง ๆ แต่กล่าวถึงมะม่วงเป็นต้น ด้วยอำนาจเป็นผลไม้ มากมายก่ายกองกว่าผลไม้เหล่านั้น ข้อที่ฤๅษีทั้ง ๕๐๐ ไม่ต้อง ไปป่าด้วยตนเอง พากันฉันผลมะม่วงทั้งหลาย ซึ่งเดียรัจฉาน ทั้งหลาย นำมาเพื่อประโยชน์แก่ดาบสนั้น นี้เป็นผลแห่งความ พยายาม ก็แลการที่ได้ฉันนั้นเล่า รู้กันเองไม่ต้องมีใครบอก หมาย ความว่า ที่จะต้องถือเอาด้วยการบอกกล่าวว่า นี้ อย่างนี้ ดังนี้ เป็นอันไม่มีกันละ เชิญดูผลไม้นั้น อันประจักษ์ชัดกันเถิด
            พระมหาสัตว์ได้ให้โอวาทแก่ฤๅษี ด้วยประการฉะนี้. พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม ชาดกว่า ดาบสผู้ถึงพร้อมด้วยวัตรในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษ ุนี้ ส่วนศาสดาของคณะ ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
            จบ อรรถกถาอัมพชาดกที่ ๔