พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภพราหมณ์ผู้ทดลองศีลผู้หนึ่งตรัสพระธรรมเทศนานี้
มีคำเริ่มต้นว่า สีลํ กิเรว กลฺยาณํ ดังนี้.
ดังได้สดับมา
พราหมณ์นั้นอาศัยพระเจ้าโกศลเลี้ยงชีวิต เป็นผู้ถึงไตรสรณาคมน์ มีศีล ๕ ไม่ขาด
ถึงฝั่งแห่งไตรเพท พระราชาทรงพระดำริว่า พราหมณ์ผู้นี้มีศีล ดังนี้แล้ว ทรงยกย่อง
เขาอย่างยิ่งเขาคิดว่า พระราชานี้ทรงยกย่องเรายิ่งกว่าพราหมณ ์อื่น ๆ ทรงเห็นเราเหมือนผู้ควรเคารพอย่างยิ่ง
พระองค์ทรง กระทำการยกย่องนี้ เพราะอาศัยชาติสมบัติ โคตรสมบัติ กุลสมบัติ ปเทสสมบัติและศิลปสมบัติของเรา
หรืออย่างไร หรือว่า ทรงอาศัยศีลสมบัติของเรา เราจักทดลองดูก่อน
วันหนึ่งท่านไป
สู่ที่เฝ้า เมื่อจะกลับบ้านได้หยิบเหรียญกษาปณ์ ๑ อันไปจาก แผงของเหรัญญิกคนหนึ่ง
โดยมิได้บอกกล่าวเลย. ครั้งนั้นเหรัญญิก มิได้พูดอะไรกับท่าน เพราะความเคารพในพราหมณ์คงนั่งเฉย
รุ่งขึ้นหยิบไปสองเหรียญ เหรัญญิกคงนิ่งเฉยเหมือนกัน ในวันที่ สาม คว้าไปเต็มกำเลย
ครั้งนั้นเหรัญญิก ก็พูดกับท่านว่า วันนี้ เป็นวันที่สามที่ท่านฉกชิงเอาทรัพย์สินของพระราชาไป
พลาง ตะโกนบอก ๓ ครั้งว่า เราจับโจรฉกชิงทรัพย์สินของพระราชา ไว้ได้แล้ว
ครั้งนั้น
มนุษย์ทั้งหลายต่างวิ่งมาคนละทิศทาง รุมพูด กะพราหมณ์ว่า ท่านแสร้งประพฤติเหมือนผู้มีศีลมานานจน
ป่านนี้ ดังนี้แล้ว ต่างก็ติเตียน สองสามที จับมัดไปแสดงแก่ พระราชา.
พระราชาทรงร้อนพระทัย
ตรัสว่า ดูก่อนท่านพราหมณ์ เหตุไรเล่าท่านจึงทำกรรมของผู้ทุศีลเช่นนี้ แล้วตรัสว่า
พวกเจ้า ไปเถิด จงลงพระราชอาญาแก่พราหมณ์.
พราหมณ์กราบทูลว่า
ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพระองค์มิใช่โจรดอก พระเจ้าข้า
พระราชา
รับสั่งถามว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุไรท่านจึงหยิบเหรียญกระษาปณ์ ไปจากแผงแห่งพระราชทรัพย์เล่า
?
พราหมณ์กราบทูลว่า
ขอเดชะ ที่ข้าพระองค์กระทำไป ในเมื่อพระองค์ทรงยกย่อง ข้าพระองค์อย่างยิ่งเช่นนี้นั้น
ก็เพื่อจะทดลองว่า พระราชาทรง ยกย่องเรายิ่งนัก เหตุทรงอาศัยสมบัติมีชาติเป็นต้นหรืออย่างไร
หรือว่าทรงอาศัยศีล ก็และบัดนี้ ข้าพระองค์ทรงทราบโดย แน่นอนแล้ว เพราะที่ทรงพระกรุณาโปรดให้ลงพระราชอาญา
แก่ข้าพระองค์บัดนี้ เป็นข้อเทียบได้ว่า ความยกย่องที่พระองค์ ทรงทำแก่ข้าพระองค์นั้น
อาศัยศีลอย่างเดียว มิได้ทรงกระทำ เพราะอาศัยสมบัติมีชาติเป็นต้นเลย
แล้วกราบทูลต่อไปว่า
ข้าพระองค์นั้นได้ตกลงใจได้ด้วยเหตุนี้ว่า ในโลกนี้ ศีลเท่านั้น สูงสุด ศีลเป็นประมุข
ก็เมื่อข้าพระองค์จะกระทำให้สมควร แก่ศีลนี้ ยังดำรงตนอยู่ในเรือน บริโภคกิเลสอยู่
จักไม่อาจกระทำ ได้ วันนี้แหละข้าพระองค์จักไปสู่พระวิหารเชตวัน บรรพชา ในสำนักพระศาสดา
ได้โปรดทรงพระกรุณาพระราชทานการ บรรพชาแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด พระเจ้าข้า
ครั้นขอพระบรม
ราชานุญาตได้แล้ว ก็ออกเดินมุ่งหน้าไปพระเชตวันมหาวิหาร ครั้งนั้นหมู่ญาติและพวกพ้องที่สนิทสนม
พากันห้อมล้อม เมื่อ ไม่อาจทัดทานท่านได้ จึงพากันกลับไป. พราหมณ์ไปสู่สำนักของพระศาสดา
ทูลขอบรรพชา ครั้นได้บรรพชาและอุปสมบทแล้ว ก็ไม่ทอดทิ้งพระกรรมฐาน เจริญวิปัสสนา
บรรลุพระอรหัตผล เข้าเฝ้าพระบรมศาสดา กราบทูลพยากรณ์พระอรหัตผลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
บรรพชา ของข้าพระองค์ถึงที่สุดแล้ว
คำพยากรณ์พระอรหัตผลนั้น
ของ ท่านปรากฏในภิกษุสงฆ์แล้ว อยู่มาวันหนึ่งพวกภิกษุประชุม กันในธรรมสภา นั่งสนทนาถึงคุณของท่านว่า
ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย พราหมณ์ผู้อุปัฏฐากพระราชาชื่อโน้น ทดลองศีลของ ตนแล้ว กราบทูลลาพระราชาบรรพชา
ดำรงอยู่ในพระอรหัตผล แล้ว
พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวก เธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ?
เมื่อภิกษุทั้งหลาย
กราบ ทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ใน บัดนี้เท่านั้นที่พราหมณ์ผู้นี้
ทดลองศีลของตนแล้วบวช กระทำ ที่พึ่งแก่ตนได้ ถึงในกาลก่อนบัณฑิตทั้งหลาย ก็เคยทดลองศีล
ของตนแล้วบวช กระทำที่พึ่งแก่ตนมาแล้วเหมือนกัน อันภิกษุ เหล่านั้น กราบทูลอาราธนาแล้ว
ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล
ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าพรหมทัต
พระองค์นั้น เป็นผู้มีจิตใจน้อมไปในทาน มีศีลเป็นอัธยาศัย ถือศีล ๕ ไม่ขาดพระราชาทรงยกย่องท่านยิ่งกว่าพราหมณ
์ที่เหลือ เรื่องทั้งหมดก็เช่นเดียวกับเรื่องแรกนั้นแหละแปลกแต่ว่า เมื่อพระโพธิสัตว์ถูกเขามัดนำตัวไปสู่สำนักพระราชา
พวกหมองู กำลังบังคับงูให้เล่นอยู่ที่ระหว่างถนน พากันจับงูที่หาง จับที่คอ เอางูพันคอ.
พระโพธิสัตว์เห็นพวกนั้นแล้วกล่าวว่า
พ่อคุณทั้งหลาย เจ้าอย่าจับงูนี้ที่หาง อย่าจับที่คอ อย่าเอาไปพันคอ เพราะงูนี้
กัดแล้ว ก็ต้องถึงสิ้นชีวิตพวกหมองูกล่าวว่า ท่านพราหมณ์ งูนี้มีศีลสมบูรณ์ด้วยมรรยาท
มิใช่เป็นผู้ทุศีลอย่างเช่นท่าน ส่วนท่านสิ เป็นผู้หาอาจาระมิได้ เพราะความเป็นผู้ทุศีล
ถูก หาว่าเป็นโจรฉกชิงพระราชทรัพย์ กำลังถูกมัดนำตัวไป
พราหมณ์
ได้คิดว่า แม้พวกงูที่ไม่กัดใคร ไม่เบียดเบียนใคร ก็ได้ชื่อว่ามีศีล ได้ จะป่วยกล่าวไปใยถึงพวกที่เป็นมนุษย์ในโลกนี้
ศีลเท่านั้น ที่ชื่อว่าสูงสุด สิ่งอื่นที่จะยิ่งไปกว่าศีลนั้นไม่มี. ครั้นมนุษย์นำตัว
ไปแสดงแด่พระราชาแล้ว
พระราชาตรัสถามว่า
พ่อคุณ นี้เรื่อง อะไรกัน ?
พวกราชบุรุษกราบทูลว่า
ขอเดชะโจรฉกชิงพระราชทรัพย์ พระเจ้าข้า
รับสั่งว่า
ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้าจงกระทำ ตามพระราชอาญาแก่เขาเถิด
พราหมณ์กราบทูลว่า
ข้าแต่ มหาราช ข้าพระองค์มิใช่โจรดอก พระเจ้าข้า.
เมื่อรับสั่งว่า
เมื่อเป็นเช่นนั้น ทำไมถึงได้หยิบเอาเหรียญกระษาปณ์ไปเล่า ?
จึงกราบทูลเรื่องราวทั้งมวล
โดยนัยที่มีในเรื่องก่อนนั่นเอง แล้ว กราบทูลว่า ด้วยเหตุนี้ ข้าพระองค์นั้นตกลงใจแล้วว่า
ในโลกนี้ ศีลเท่านั้นสูงสุด ศีลเป็นประธาน แล้วกราบทูลว่า ข้อนี้ยกไว้ ก่อนเถิดพระเจ้าข้า
แม้แต่อสรพิษไม่กัดใคร ไม่เบียดเบียนใคร ยังได้ชื่อเสียงว่ามีศีลได้เลย แม้เพราะเหตุนี้
ศีลเท่านั้นสูงสุด ศีลประเสริฐ เมื่อจะสรรเสริญศีล กล่าวคาถานี้ว่า :-
ได้ยินว่า
ศีลเป็นคุณชาติงามเป็นเยี่ยม ในโลก จงดูงูใหญ่ มีพิษร้ายแรง เป็นสัตว์มีศีล เหตุนั้น
จึงไม่เบียดเบียนใคร. ดังนี้
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า สีลํ กิเรว ได้แก่ศีลคือมรรยาท กล่าวคือ ความไม่ล่วงละเมิดนั่นเอง. บทว่า
กิร ความว่า พระโพธิสัตว์กล่าวตามที่ได้ยินมา. บทว่า กลฺยาณํ แปลว่า งาม ประเสริฐ.
บทว่า อนุตฺตรํ ความว่า ยอดเยี่ยม คือให้คุณได้ทุกอย่าง. บทว่า ปสฺส ได้แก่กล่าวมุ่งถึงเหตุเฉพาะเท่าที่ตนเห็น.
บทว่า สีลวาติ น หญฺญติ ความว่า งูแม้มีพิษร้ายแรง ยังได้รับการสรรเสริญว่ามีศีล
ด้วยเหตุเพียงไม่กัดใคร ไม่ เบียดเบียนใคร ย่อมไม่ถูกใครทำร้าย คือไม่ถูกใครฆ่า
แม้ด้วย เหตุดังกล่าวมานี้ศีลนั่นแล จึงชื่อว่า สูงสุด.
พระโพธิสัตว์แสดงธรรมถวายพระราชา
ด้วยคาถานี้ ด้วยประการฉะนี้ ละกามทั้งหลาย บวชเป็นฤๅษี เข้าป่าหิมพานต์ ทำอภิญญา
๕ สมาบัติ ๘ ให้เกิดแล้ว ได้มีพรหมโลกเป็นที่ไป ในเบื้องหน้า.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม ชาดกว่า พระราชาในครั้งนั้น ได้มาเป็นอานนท์
บริษัทได้มา เป็นพุทธบริษัท ส่วนปุโรหิต ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ
อรรถกถาสีลวิมังสนชาดกที่ ๖