พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ ราชิการามซึ่งพระเจ้า- ปเสนทิโกศล ให้จัดสร้างถวายใกล้พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ การจามของพระองค์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้เริ่มต้นว่า ชีว วสฺสสตํ ภคฺค ดังนี้.
            ความพิสดารมีว่า วันหนึ่งพระศาสดาประทับนั่ง ณ ท่าม กลางบริษัท ๔ ที่ราชิการาม ขณะแสดงธรรมทรงจามขึ้น. ภิกษุทั้งหลายได้พากันส่งเสียงเอ็ดอึงว่า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า จงทรงพระชนม์เถิด ขอพระสุคตเจ้าจงทรงพระชนม์เถิด. เพราะ เสียงนั้นได้ทำให้การแสดงธรรมหยุดลง. ลำดับนั้นพระผู้มีพระ- ภาคเจ้าจึงตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อ
            เขากล่าวในเวลาจามว่า ขอให้ท่านจงเป็นอยู่เถิด ดังนี้ เพราะเหตุ ที่กล่าวดังนั้น คนนั้นจะพึงเป็นอยู่ หรือจะพึงตายเป็นไปได้ไหม. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า เป็นไปไม่ได้พระพุทธเจ้าข้า. พระ- ศาสดาตรัสต่อไปว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอไม่ควรกล่าวใน เวลาเขาจามว่า ขอให้ท่านเป็นอยู่เถิด. ผู้ใดกล่าว ผู้นั้นต้อง อาบัติทุกกฏ. สมัยนั้นมนุษย์ทั้งหลาย กล่าวกะพวกภิกษุในเวลา ที่ภิกษุเหล่านั้นจามว่า ขอให้พระคุณเจ้าทั้งหลายจงเป็นอยู่เถิด. ภิกษุทั้งหลายตั้งข้อรังเกียจ ไม่พูดตอบ. พวกมนุษย์พากัน ยกโทษว่า อย่างไรกันนี่ สมณศากยบุตรเมื่อเรากล่าวว่า ขอให้ พระคุณเจ้าจงเป็นอยู่เถิด ไม่พูดตอบเลย. จึงพากันไปกราบทูล ความนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระองค์จึงตรัสว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย พวกคฤหัสถ์เขาถือมงคลกัน เมื่อคฤหัสถ์เขา กล่าวว่า ขอพระคุณเจ้าจงเป็นอยู่เถิด เราอนุญาตให้กล่าวตอบว่า ขอให้พวกท่านจงเป็นอยู่เถิด. ภิกษุทั้งหลายพากันกราบทูลถาม พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมดาการกล่าว โต้ตอบว่าจงเป็นอยู่เถิด เกิดขึ้นเมื่อไร. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาการโต้ตอบกันว่า จงเป็นอยู่เถิด เกิดขึ้นแต่โบราณกาล แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่า
            ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต เสวยราชสมบัติใน กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์อุบัติในตระกูลพราหมณ์ ตระกูล หนึ่งในแคว้นกาสี. บิดาของพระโพธิสัตว์ ทำการค้าขายเลี้ยงชีพ บิดาให้พระโพธิสัตว์ซึ่งมีอายุได้ ๑๖ ปี แบกเครื่องแก้วมณี เดินทางไปในบ้านและนิคมเป็นต้น ครั้นถึงกรุงพาราณสีให้หุง อาหารบริโภคใกล้เรือนของนายประตู เมื่อหาที่พักไม่ได้ จึงถาม ว่า คนจนมาผิดเวลาจะพักได้ที่ไหน. ครั้นแล้วพวกมนุษย์พวก เขาว่า นอกพระนครมีศาลาอยู่หลังหนึ่ง แต่ศาลานั้นมียักษ์ ยึดครอง ถ้าท่านต้องการก็จงอยู่เถิด. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า มาเถิดพ่อ เราจะไป อย่ากลัวยักษ์ ฉันจะทรมานยักษ์นั้นให้ หมอบลงแทบเท้าของพ่อ แล้วก็พาบิดาไปในที่นั้น. ลำดับนั้นบิดา ของพระโพธิสัตว์นอนบนพื้นกระดาน. ตนเองนั่งนวดเท้าให้บิดา. ยักษ์ซึ่งสิงอยู่ที่ศาลานั้น อุปฐากท้าวเวสวัณอยู่ ๑๒ ปี เมื่อจะได้ศาลานั้น ได้พรว่า บรรดามนุษย์ซึ่งเข้าไปยังศาลานี้ ผู้ใดกล่าวในเวลาที่เขาจามว่า ขอท่านจงเป็นอยู่เถิด และผู้ใด เมื่อเขากล่าวว่าจงเป็นอยู่เถิด แล้วกล่าวตอบว่าท่านก็เหมือนกัน ขอให้เป็นอยู่เถิด เว้นคนที่กล่าวโต้ตอบเหล่านั้นเสีย ที่เหลือ กินเสียเถิด. ยักษ์นั้นอาศัยอยู่ที่ขื่อหัวเสา คิดว่าจักให้บิดาพระ- โพธิสัตว์จาม จึงโรยผงละเอียดลงด้วยอานุภาพของตน. ผง ปลิวเข้าไปในดั้งจมูกของเขา. เขาจึงจามทั้งที่นอนอยู่เหนือพื้น กระดาน. พระโพธิสัตว์มิได้กล่าวว่า ขอท่านจงเป็นอยู่เถิด. ยักษ์จึงลงจากขื่อหมายจะกินเขา. พระโพธิสัตว์เห็นยักษ์ไต่ลง จึงคิดว่า เจ้ายักษ์นี้เองทำให้บิดาของเราจาม เจ้านี่คงจะเป็น ยักษ์กินคนที่ไม่กล่าวว่า ขอให้ท่านจงเป็นอยู่เถิดในเวลาเขาจาม ตนนั้นจึงกล่าวคาถาแรกเกี่ยวกับบิดาว่า :-
            ข้าแต่บิดา ขอท่านจงเป็นอยู่ ๑๒๐ ปี ขอ ปีศาจจงอย่ากินฉันเลย ท่านจงเป็นอยู่ ๑๒๐ ปี เถิด.
            ในบทเหล่านั้น พระโพธิสัตว์เรียกชื่อบิดาว่า ภคฺค. บทว่า อปรานิ จ วีสติ ความว่า ขอให้ท่านจงเป็นอยู่ ๑๒๐ ปีเถิด. บทว่า มา มํ ปิสาจา ขาทนฺตุ ความว่า ขอปีศาจจงอย่ากิน ข้าพเจ้าเลย. บทว่า ชีว ตฺวํ สรโทสตํ ความว่า ขอให้ท่านจง เป็นอยู่ ๑๒๐ ปีเถิด. อันที่จริง ๑๒๐ ปี เป็นการคาดคะเน แต่เป็น แค่ ๑๐๐ ปีเท่านั้น. ในที่นี้ท่านประสงค์ ๑๐๐ ปี ให้เกินไปอีก ๒๐ ปี.
            ยักษ์ได้ฟังคำของพระโพธิสัตว์แล้ว รำพึงว่า เราไม่ สามารถจะกินมาณพนี้ได้ เพราะเขากล่าวว่าขอให้ท่านจงเป็น อยู่เถิด แต่เราจะกินบิดาของเขา ว่าแล้วก็ไปหาบิดา. บิดาเห็น ยักษ์ตรงมาคิดว่า เจ้ายักษ์นี่คงจักเป็นยักษ์กินคนผู้ไม่กล่าวตอบ ว่า ขอให้ท่านจงเป็นอยู่เถิด เพราะฉะนั้นเราจักกล่าวตอบ แล้ว กล่าวคาถาที่ ๒ เกี่ยวกับบุตรว่า :-
            แม้ท่านก็จงเป็นอยู่ ๑๒๐ ปี พวกปีศาจ จงกินยาพิษ ท่านจงเป็นอยู่ ๑๒๐ ปีเถิด.
            ในบทเหล่านั้น บทว่า วิสํ ปิสาจา ได้แก่ ปีศาจจงกินยาพิษ ที่ร้ายแรง.
            ยักษ์ได้ฟังดังนั้น คิดว่าเราไม่สามารถกินได้ทั้งสองคน จึงถอยกลับ. ลำดับนั้นพระโพธิสัตว์ถามยักษ์นั้นว่า ดูก่อนเจ้ายักษ์ เพราะเหตุไรเจ้าจึงกินคนที่เข้าไปยังศาลานี้เล่า. ยักษ์ตอบว่า เพราะเราอุปฐากท้าวเวสวัณอยู่ถึง ๑๒ ปี แล้วได้พร. พระ- โพธิสัตว์ถามว่า เจ้ากินได้ทุกคนหรือ. ยักษ์ตอบว่า ยกเว้นคนที่ กล่าวตอบว่า ขอให้ท่านจงเป็นอยู่เถิด นอกนั้นเรากินหมด. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ดูก่อนยักษ์ เจ้ากระทำอกุศลไว้ในภพก่อน เป็นผู้ร้ายกาจ หยาบคาย ชอบเบียดเบียนผู้อื่น แม้บัดนี้เจ้าก็ ยังทำกรรมเช่นนั้นอีก เจ้าจักเป็นผู้ชื่อว่ามืดมาแล้วมืดไป. เพราะ ฉะนั้นตั้งแต่บัดนี้ไป เจ้าจงงดจากปาณาติบาตเป็นต้นเสีย พระ- โพธิสัตว์ทรมานยักษ์นั้น แล้วขู่ด้วยภัยในนรก ให้ยักษ์ตั้งอยู่ ในศีลห้า ได้ทำยักษ์ให้เหมือนคนรับใช้.
            วันรุ่งขึ้นพวกมนุษย์ซึ่งเดินทาง เห็นยักษ์และทราบว่า พระโพธิสัตว์ทรมานยักษ์สำเร็จ จึงพากันไปกราบทูลแด่พระ- ราชาว่า ขอเดชะมีมาณพคนหนึ่งทรมานยักษ์นั้นได้ทำให้เหมือน เป็นคนรับใช้ พระเจ้าข้า. พระราชารับสั่งให้หาพระโพธิสัตว์ แล้วทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเสนาบดี. และได้พระราชทานยศใหญ่ แก่บิดาของเขา. พระราชาทรงกระทำยักษ์ให้ได้รับพลีกรรม แล้วตั้งอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์ กระทำบุญมีทานเป็นต้น บำเพ็ญทางไปสวรรค์.
            พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วตรัสว่า คำ โต้ตอบว่า ขอให้ท่านจงเป็นอยู่เถิด ได้เกิดขึ้นแล้วในกาลนั้น แล้วทรงประชุมชาดก
            พระราชาในครั้งนั้นได้เป็นอานนท์ในครั้งนี้ บิดาได้เป็น กัสสป ส่วนบุตรได้เป็นเราตถาคตนี้แล.
            จบ อรรถกถาภัคคชาดกที่ ๕