ตอนที่ 2 ชีวิตช่วงวัยทำงาน

ข้าพเจ้าจบปริญญาตรี ปีการศึกษา 2525 รับปริญญาเดือนเมษา 2526 ที่รับปริญญาช้าไปเพราะช่วงนั้นเกิดน้ำท่วมหนักในกรุงเทพฯ ทางมหาวิทยาลัยจะเลื่อนออกไป การเตรียมตัวรับปริญญาของข้าพเจ้านั้นกระชั้นชิดมาก ข้าพเจ้าขาดความพร้อมในการเตรียมตัวหลายอย่างเพื่อนๆ จึงเหนื่อยแทนหลายคน ส่วนข้าพเจ้าก็ยังไปเข้ากรรมฐานที่คณะ 5 อีก ช่วงนั้นข้าพเจ้าเป็นที่รู้จักและเป็นที่กล่าวถึงของ พระ เณร เด็กวัด และแม่ชี และผู้ที่มาปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ว่าเรียนจบในคณะวิทยาศาสตร์รามคำแหงจบภายใน 3 ปี และทำกรรมฐานอย่างเอาจริงเอาจังและยังเป็นเด็กหนุ่มซึ่งมีน้อยมากที่จะมาปฏิบัติธรรมที่คณะ 5

แม่ของข้าพเจ้าก็ขึ้นมาจากพัทลุงเพื่อวันรับปริญญาของข้าพเจ้า พักอยู่ที่บ้านพี่เขย เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้พาแม่มาที่วัดมหาธาตุท่าพระจันทร์ ได้ทำบุญได้เห็นผู้ที่กำลังปฏิบัติธรรม หลังจากนั้นรู้สึกว่าแม่ไม่ได้ทำบุญที่คณะ 5 อีกเลย จนถึงทุกวันนี้ที่ข้าพเจ้าเขียนประวัติตนเองอยู่ แต่ด้วยผลอันนั้นแม่ก็ได้ปฏิบัติธรรมแนววิปัสสนากับหมออมราประมาณปี พ.ศ. 2548 ที่หมออมราได้ไปแนะนำสอนกรรมฐานกับผู้มีอายุทั่วประเทศ เพิ่มจากที่ข้าพเจ้าแนะนำให้ท่านกำหนดดูลมหายใจ พุทธ-โธ ตั้งแต่สมัยที่ข้าพเจ้าเรียนมหาวิทยาลัย และข้าพเจ้าก็แนะให้แม่อ่านหนังสือสวดมนต์หนังสือธรรมแนะนำให้ทำบุญตักบาตรจนท่านทำเป็นนิสัย แม่ท่านรู้จักทำบุญตั้งแต่ข้าพเจ้าแนะนำบ่อย ๆ เมื่อปี 2524 ปัจจุบันท่านก็รู้จักทำบุญและทำบุญเก่งแข่งกับอายุของท่านที่เพิ่มขึ้น

ด้วยฐานะข้าพเจ้าเมื่อจบมาคงหางานทำลำบากด้วยฐานะหลักฐานทางสังคม ข้าพเจ้าจึงยึดอาชีพการเป็นติวเตอร์ ซึ่งเป็นงานอิสระ สอนคณิตศาสตร์กับสถิติเบื้องต้นให้กับนักศึกษา ได้รับส่วนแบ่งจากเจ้าของสำนักติว 50- 50 เปอร์เซ็นต์ ต่อนักศึกษาที่มาสมัครเรียนในคอร์สที่ข้าพเจ้าสอน ในสมัยนั้นข้าพเจ้าเป็นติวเตอร์ก็มีนักศึกษามาเรียนกับข้าพเจ้าพอประมาณ รายได้ต่อเดือนประมาณ 2,000-3,000 บาท เรียกว่าพออยู่ได้ เพราะในสมัยนั้นจบปริญญาตรีแล้วเพิ่งรับราชการ ได้รับเงินเดือนประมาณ 2,800 บาทตามวุฒิ

ข้าพเจ้าจำได้ว่าข้าพเจ้าสอนในวันแรกๆ ข้าพเจ้านี้ประหม่าและสั่นมาก เพราะผู้ที่มาเรียนก็รุ่นน้องและมีผู้อายุพอๆ กัน และมีผู้ใหญ่อายุมากกว่าด้วย ข้าพเจ้าสั่นประหม่าอยู่หลายเดือน จนนักศึกษาบางคนยกมือประท้วงว่า ข้าพเจ้าสอนแล้วยังสั่นอยู่เลยทำให้เขาไม่มั่นใจในการเรียนกับข้าพเจ้า แต่ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีในภายหลัง

ในสมัยนั้นข้าพเจ้ายอมรับว่าบกพร่องงานทางโลก แต่จะดีเยี่ยมในงานทางปฏิบัติธรรม เพราะข้าพเจ้าไม่ค่อยได้ทุ่มเทกับงานการเป็นติวเตอร์เลย แต่จะทุ่มเทงานบุญและการปฏิบัติธรรม ข้าพเจ้าปรารถนาละวางกิเลสโดยเร็วพลัน ข้าพเจ้าได้ลืมคำอธิษฐานก่อนนอนเป็นประจำตอนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยปีที่ 2 และปีที่ 3 อย่างสิ้นเชิงไม่มีเหลือ สนใจแต่การภาวนากับการดับที่ปรากฏขึ้น ส่วนเงินที่ได้มาก็หาได้เก็บสะสมแม้กระทั่งเครื่องใช้ ได้เงินมาพอกินและทำบุญหมดเพราะคิดว่าจะต้องได้บวชอีกครั้ง พอปิดเทอมก็เข้ากรรมฐานที่คณะ 5 เป็นประจำ ข้าพเจ้าจึงมีความสงบและเยือกเย็น เหมือนเป็นผู้มีทุกข์น้อย ติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งปีกว่า

แต่โรคภัยที่ข้าพเจ้าเป็นอยู่ก็คอยเป็นมากขึ้น จากที่เคยปวดบวมทรมาน(เน้นที่ทรมาน)ที่ข้อมือ ก็จะมีตำแหน่งปวดทรมานที่ใหม่เพิ่มขึ้น คือปวดที่เส้นคอที่ดึงระหว่างด้านข้างซ้ายและขวาสองเส้น วันดีคืนดีก็จะมีเส้นใดเส้นหนึ่งตึงและรั้งเจ็บปวดทรมานอย่างยิ่งเอี้ยวคอหรือหน้าไม่ได้ บางครั้งเป็นพร้อมกันทั้งสองเส้น ข้าพเจ้าต้องอดทนเพราะไม่กล้าไปหาหมอในกรุงเทพฯ เพื่อตรวจอย่างจริงจัง ข้าพเจ้าต้องอดทนเพื่อรอเวลาและโอกาสที่ดีในการบวชใหม่ ไม่ให้เหตุการณ์ซ้ำเดิม ที่จะทำให้ข้าพเจ้า พ่อแม่และญาติๆ ต้องทุกข์เหมือนครั้งที่ผ่านมา ข้าพเจ้าจึงไม่ไปชอบหรือสนใจผู้หญิงคนไหนเป็นพิเศษ แต่ข้าพเจ้าคงกลับไปอยู่บ้านลำปำจังหวัดพัทลุงไม่ได้ เพราะไม่มีงานให้ข้าพเจ้าทำสมกับความรู้ที่มีอยู่

ช่วงนี้พ่อข้าพเจ้าก็หยุดการทำงานเพียงขายอะไหล่รถจักรยานเล็กๆ น้อยๆ ได้วันละไม่กี่สิบบาท แล้วกินเงินดอกเบี้ยอย่างเดียว ส่วนแม่ขายของชำรายได้ก็เริ่มลดน้อยลงเพราะความเจริญเริ่มกระจายไปทั้งหมู่บ้าน จึงมีร้านขายของชำกระจายไปหลายที่ ดังนั้นในตลาดก็เริ่มมีคนมาซื้อของลดน้อยลง เรือจากที่ต่างๆ ที่วิ่งมาท่าเรือลำปำที่เป็นทางผ่านขนถ่ายสินค้าอย่างคึกคัก ก็เริ่มหดหายเพราะมีการสร้างถนนหนทางสะดวกขึ้น จึงนิยมเดินทางรถยนต์ ตลาดลำปำจึงเงียบเหงา รายได้ที่เคยได้มากจนเหลือเก็บสะสมของพ่อกับแม่ก็หยุดลงตั้งแต่นั้น เป็นเพียงขายของพออยู่พอกินไปเดือนๆ เท่านั้น บวกกับเงินที่เก็บไว้ ซึ่งมีจำนวนเท่าเดิมแต่มูลค่าจะลดลงตามเวลา เพราะดอกเบี้ยนั้นลดต่ำลงมาก เมื่อไม่ได้นำเงินไปลงทุนเพื่อเพิ่มมูลค่า จำนวนเงินเท่าเดิมแต่มูลค่าย่อมลดลงตามความเจริญและจำนวนปีที่ผ่านไป

ปลายปี 2526 และ ปี 2527 เครือข่ายในการทำบุญของคุณกุ้งและข้าพเจ้าขยายเพิ่มขึ้น มีทั้งเพื่อนที่หอและคนที่รู้จัก มีการทำสังฆทานเลี้ยงพระ ทำกฐินและผ้าป่า เพิ่มขึ้น มีสายการทำบุญคือ พี่ป๊อป พี่โต ที่เป็นผู้บริหารอยู่ห้างโรบินสันขณะนั้น ส่วนสายเพื่อนๆ รวมกันน่าจะเกิน 20 คน แล้วคุณกุ้งก็แนะนำเพื่อนผู้หญิงตอนเรียน ม.ศ. 4-5 มาเข้ากรรมฐาน คนหนึ่งคือคุณดีเป็นเพื่อนใหม่ช่วงแรกที่มาเข้ากรรมฐานอยู่ 7 วัน แล้วคุณดีก็วนเวียนปฏิบัติกรรมฐานเป็นประจำ ต่อมาก็มี คุณเหมียน คุณยิ้ม

แล้วกลุ่มกรรมฐานก็เพิ่มขึ้นเกือบ 20 กว่าคนทั้งหญิงและชาย ล้วนแต่เป็นผลงานของคุณกุ้ง เพราะข้าพเจ้าไม่ค่อยมีมนุษย์สัมพันธ์เท่าไร ข้าพเจ้าเป็นคนที่ชอบเก็บตัว แต่ก่อนข้าพเจ้าคิดว่าเป็นเพราะฐานะทางสังคมทำให้ข้าพเจ้าชอบเก็บตัว ทั้งที่แม่ข้าพเจ้าเป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์เก่งมาก แต่เดียวนี้กำแพงทางฐานะสังคมนั้นได้พังไปหมดแล้วและนานแล้ว แต่ข้าพเจ้าก็ยังเป็นคนชอบเก็บตัวเหมือนเดิม จึงรู้ว่ามันเป็นนิสัยเฉพาะตัวของข้าพเจ้าเอง

คุณดีตอนมาบวชชีพราหมณ์ใหม่ๆ พระอาจารย์ปลัดพนมเป็นผู้บวชให้ เมื่อคุณดีเห็นพระอาจารย์ คุณดีก็ศรัทธาท่านแต่นั้นมา และศรัทธามากกว่าหลวงพ่อพระเทพสิทธิมุนีซึ่งเป็นอาจารย์ของพระปลัดพนมเสียอีก ส่วนข้าพเจ้าและคุณกุ้งนั้นยังศรัทธาหลวงพ่อมากกว่าพระอาจารย์ปลัดพระพนม ทั้งที่ข้าพเจ้า คุณกุ้ง คุณดี คุณเหมียน คุณยิ้ม ต่างสนิทกับพระอาจารย์ยิ่งกว่าหลวงพ่อ และพระอาจารย์ก็เป็นผู้สอนรวมทั้งประคองกรรมฐานพวกข้าพเจ้าเสียมากกว่า ตั้งแต่แรกแล้ว ซึ่งข้าพเจ้ามองไม่เห็นคือมองข้ามไป

คุณดีนี่แหละเป็นคนชี้แนะให้ข้าพเจ้าและคุณกุ้งได้เห็น ภายหลังข้าพเจ้าก็เห็นจริงด้วย ตั้งแต่นั้นมากลุ่มเราก็สนิทกับพระอาจารย์มากขึ้น เข้าออกหาพระอาจารย์ได้ตลอด โดยมีคุณดีเป็นตัวหลักฝ่ายผู้หญิง ตามปรกติพระอาจารย์ไม่ค่อยเปิดรับแขกจากภายนอก มีเพียงไม่กี่ท่านเท่านั้นที่เข้าออกในกุฏิพระอาจารย์ได้ในช่วงเวลานั้น

ข้าพเจ้าพยายามไม่สนใจผู้หญิงจึงไม่เปิดใจไปชอบใครเพราะกลัวความทุกข์ที่จะติดตามมาตั้งแต่ต้น แต่ข้าพเจ้าชอบผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหญิงและชายตามประสาคนปฏิบัติธรรม เมื่อมีเพื่อนผู้หญิงมาปฏิบัติธรรมโดยไม่ท้อถอย ข้าพเจ้าจึงเกิดนึกชอบคุณดี และยอมไปติวภาษาอังกฤษที่คุณดีติดอยู่เป็นการส่วนตัว จนคุณดีผ่านทั้งสองเล่มในสองเทอม เกิดกลายเป็นความชอบความรักเป็นการส่วนตัว ส่วนคุณดีก็ไม่ได้รังเกียจข้าพเจ้าแม้รู้ฐานะทางสังคมของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้ายังไม่เคยเจอผู้หญิงคนไหนที่ข้าพเจ้าชอบเมื่อทราบฐานะทางสังคมของข้าพเจ้าแล้วไม่แสดงความรังเกียจ ก็เห็นมีแต่คุณดีคนเดียว

หลังจากนั้นกลุ่มเราทั้งหลายก็รวมกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่นในการทำบุญและทำกรรมฐาน งานติวเตอร์ของข้าพเจ้าก็ไปได้ดี ชื่อติวเตอร์เซียมเริ่มเป็นที่รู้จักในหน้ารามบ้าง ทั้งที่ข้าพเจ้าไม่ได้ทุ่มเทกับงานติวเลย สนใจแต่การปฏิบัติธรรมและกลุ่มทำบุญ จนคุณดีพูดว่าข้าพเจ้าว่า “งานติวของเซียมเหมือนเป็นงานเล่นๆ ไม่เอาจริงเอาจังเลย”

หลังจากนั้นเราทั้งกลุ่มได้รวมกันไปทำกรรมฐานที่คณะ 5 วัดมหาธาตุท่าพระจันทร์ถึง 14-15 คน รวมพระธุดงค์ ที่มาธุดงค์แถวแฟลตคลองจั่น ที่ข้าพเจ้าและคุณดีชวนท่านจนยอมไปปฏิบัติธรรมด้วย 1 รูป จนพระอาจารย์ต้องเปิดห้องเรียนสอนอภิธรรมให้ปฏิบัติธรรม 1 ห้องเพราะที่คณะ 5 จะล้น ก็เป็นอันว่าได้รู้จักกับหลวงพี่โชติดังเรื่องที่เล่าให้ฟังแล้วด้านบน

ประมาณปลายปี 2528 – 2529 ผู้ที่วนเวียนเข้ากรรมฐานที่คณะ 5 วัดมหาธาตุบ่อยๆ เป็นประจำก็คือ ข้าพเจ้า คุณกุ้ง และคุณดี ส่วนคุณเหมียนและคุณยิ้มนั้นตามมาในช่วงภายหลัง ดังนั้นข้าพเจ้าคุณกุ้งและคุณดี ทั้ง 3 คน จึงเข้านอกออกในกุฏิของพระอาจารย์ได้เป็นประจำ

เมื่อข้าพเจ้ามีความรักความใคร่เกิดขึ้น ความทุกข์ก็ย่อมเกิดขึ้นตามมาด้วย และเป็นทวีคูณขึ้นด้วยความทุกข์เรื่องฐานะทางสังคม ซึ่งกลัวว่าญาติๆ ของคุณวันดีรับไม่ได้ ข้าพเจ้ามีความกดดันมากด้วยกิเลสของความรักความใคร่และทางสังคมจนหาทางออกไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงกดตัวเองตัดสินใจปฏิบัติธรรมอย่างยิ่ง จึงตั้งใจทำวิปัสสนากรรมฐานด้วยความเพียรอย่างติดต่อกัน ถ้ายังละกิเลสไม่ได้ หรือยังมีความทุกข์อยู่ในจิต จะไม่ย่อมผ่อนความเพียรลงมา พอถึงวันที่ 5 หรือ 6 ขณะที่ทำกรรมฐานจนหลับไปลงภวังค์พักใหญ่ ก็เปลี่ยนมาเป็นความฝันว่า "ขณะนั้นข้าพเจ้าเป็นพระอยู่ ได้มีโต๊ะและพระรูปอื่นๆ นั่งรอบโต๊ะบนโต๊ะมีแก้วน้ำซึ่งมีน้ำอยู่เกือบเต็มแก้ว แล้วพระต่างๆ ได้พูดทำนองว่า ถ้าผู้ใดได้ดื่มน้ำที่อยู่ในแก้วศีลก็จะบริสุทธิ์ ข้าพเจ้าก็จึงหยิบแก้วน้ำนั้นมาดื่มพอดื่มหมดแก้ว พระต่างๆ ก็หัวเราะกันใหญ่ ว่าข้าพเจ้าได้ดื่มเหล้าไปแล้ว ข้าพเจ้ามีความเสียใจอย่างยิ่งจึงวิ่งเข้ากุฏิตนเอง ปิดห้องมืด กดอารมณ์ตนเองจนนิ่งลึกลงไปๆ จนกลายเป็นสมาธิที่ลึก เพียงจุดเดียวเฉยนิ่งอยู่อย่างนั้น จากจุดสมาธินิ่งลึกๆ จิตเกิดไหวตัวพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับตะโกนออกมาจากสมาธิลึกๆ ว่า "ข้าอยากเป็นพระพุทธเจ้า" อย่างสุดกำลัง ขึ้นจากก้นบึ้งของจิต แล้วจิตรวมตัวเป็นจุดแสงสว่างเท่าดาวประกายพรึกที่เคยได้มา จากนั้นจุดแสงสว่างเริ่มแกว่งหมุนเป็นเลข 8 คล้ายเครื่องหมาย อินฟินิตี้ ในสัญลักษณ์ทางวิทยาศาสตร์ แกว่งแบบห่างๆ แล้วเคลื่อนที่เร็วขึ้น กระชับขึ้นๆ หลายๆ 10 รอบ จนแน่นแล้วจึงระเบิดเสียงดังสนั่น ออกมาพร้อมกับรู้สึกตัวทันที"

ข้าพเจ้าไม่เคยเลยที่ตั้งความปรารถนา ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าอย่างตั้งใจตั้งแต่เกิดมาจนถึงปัจจุบันนี้เพราะสำนึกในความต่ำต้อยของตนเองในสังคม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นทำให้ข้าพเจ้าต้องมาทบทวนตัวเองใหม่ แล้วเริ่มคลายวิปัสสนากรรมฐานลงมาเพียง แต่ทรงอารมณ์ไว้ กิเลสในการยึดมั่นในพุทธภูมิมีมากขึ้นทุกวัน ทั้งที่ข้าพเจ้าไม่เชื่อใจตัวเอง พยายามห้ามปรามตัวเองบ่อยๆ จนสงบไม่ปริปากบอกกับใครเลยสักคน จนวิปัสสนาญาณกลบความปรารถนานั้นได้

แล้วเหตุการณ์ที่ข้าพเจ้าเป็นทุกข์เรื่องความรักและฐานะทางสังคมนั้นได้คลายอย่างปลิดทิ้ง เมื่อผู้ปกครองคุณดี คือพี่สาวและญาติยอมรับในตัวข้าพเจ้าเพราะเห็นว่าเป็นคนดีและไม่ได้รังเกียจเรื่องฐานะทางสังคมนั้น ข้าพเจ้าจึงเป็นแฟนกับคุณดีได้อย่างปกติชนทั่วไปและเป็นที่ยอมรับของเพื่อนๆ ข้าพเจ้าจึงเข้าช่วยประคองการเรียนของคุณดีได้อย่างเต็มที่ และไม่มีข้อกังขาของกลุ่มเพื่อนๆ เป็นอันว่าเรื่องความรักดำเนินไปได้ดีและสังคมกับเพื่อนก็ดำเนินไปได้อย่างปกติ

แต่เรื่องนิมิตประหลาดที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้านั้นข้าพเจ้าไม่ได้ปริปากบอกกับใครและข่มไว้ เป็นเวลาประมาณ 1 เดือน แล้วเหมือนกรรมจะชักนำไปทางนั้นในวันหนึ่ง ข้าพเจ้า คุณดี คุณกุหลาบ และอาจจะมีอีกคนสองคนอยู่ในเหตุการณ์ คุยกันเรื่องทั่วไป แล้วไม่ทราบว่าใครยกเรื่องพระโพธิสัตว์ขึ้นมาสนทนา ข้าพเจ้าจึงนึกถึงเรื่องนิมิตที่ข้าพเจ้าได้เจอมากับตนเอง แล้วข้าพเจ้าเริ่มเล่านิมิตที่เกิดกับข้าพเจ้าด้านบนให้ฟัง เมื่อข้าพเจ้าเล่าอยู่ ไม่รู้ว่าความปรารถนานั้นมาจากไหนแต่มันฟุ้งจากภายใต้จิตจากภายใน เหมือนดังกระแสน้ำอันมหาศาลพร้อมทั้งลมพายุอันรุนแรงที่โดนกักขังไว้ แล้วกำแพงกักขังนั้นได้พังทลายลงมาอย่างสิ้นเชิง ถาโถมจนจิตใจทั้งหมดทั้งมวลสะท้านไปด้วยความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าต้องข่มอย่างสุดกำลังเพื่อควบคุมกิริยาตนเองให้เป็นปกติ จนเล่าจบ

ข้าพเจ้าข่มใจไม่เชื่อตนเอง เพราะปรารถนานิพพานโดยเร็วพลันเนื่องจากชีวิตที่ผ่านมานั้นข้าพเจ้ามีความทุกข์ทางสังคมเสียมากกว่า แต่ความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเหมือนม้าพยศ เหมือนกระทิงบ้า เหมือนมังกรคะนองฤทธิ์ จนข้าพเจ้าไม่สามารถดำรงใจให้เป็นปกติได้เลยมันทรมานด้วยความปีติบวกกับความอยากปรารถนาอย่างมหาศาลที่ข้าพเจ้าต้องข่มด้วยใจและกำลังญาณไม่ให้ไปปรารถนา ข้าพเจ้าต้องข่มต้องทุกข์อยู่อย่างนี้เป็นเวลาประมาณ 1 เดือน ซึ่งคุณดีรับรู้และเห็นอยู่โดยตลอด

และในช่วงที่ข้าพเจ้าเข้ากรรมฐานอยู่ คุณดีก็เข้ากรรมฐานด้วย ปฏิบัติกรรมฐานได้วันสองวันความปรารถนานั้นถาโถม จนข้าพเจ้าทนอยู่ไม่ได้เมื่อพักกรรมฐานช่วงเย็นข้าพเจ้าก็ตรงไปยังพระธาตุเจดีย์ คุณดีก็ตามไปด้วย เพราะข้าพเจ้าบอกคุณดีว่าข้าพเจ้าจะไปกราบอธิษฐานที่พระธาตุเจดีย์เพียงแค่นั้น ไม่มีจิตที่จะชักชวนคุณดีอธิษฐานตามหรือตามไปด้วย

อธิษฐานเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าต่อพระธาตุเจดีย์ครั้งแรก

เมื่อข้าพเจ้าไปถึงพระธาตุเจดีย์ ก็เป็นช่วงเหมาะมากที่ประตูเจดีย์นั้นเปิดสามารถเข้าไปไหว้ข้างในได้ ตามปกติเจ้าหน้าที่ไม่ค่อยเปิดให้เข้าไป ด้วยความศรัทธาด้วยปีติและความปรารถนาที่ก่อเกิดมาเป็นเวลายาวนานได้รับการปลดปล่อย ข้าพเจ้าอธิษฐานด้วยใจอันแรงกล้าด้วยกริยาอันควบคุมได้ เอ่ยวาจาอธิษฐานตามปกติธรรมดาว่า "จะสร้างบารมีให้สมบูรณ์มากที่สุดเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า"

ต่อหน้าพระธาตุเจดีย์ของพระพุทธเจ้า หลังจากนั้นใช้เวลานานหลายเดือนความปีติในความปรารถนาจึงจางคลายเป็นปกติ อื.. กำลังมหากุศลจิตนี้ช่างมากมายยิ่งนัก กำลังสมาธิและวิปัสสนาญาณที่ข้าพเจ้าเจริญอยู่และความทุกข์ทั้งหลายที่ประสบมาไม่สามารถสกัดกั้นไว้ได้

เมื่อข้าพเจ้าได้ไหว้และกล่าววาจาอธิษฐานพระธาตุเจดีย์เสร็จ ซึ่งอยู่คนละด้านกับคุณดีที่กำลังไหว้พระธาตุเจดีย์ที่อยู่คนละมุมกันไม่สามารถได้ยินกันได้ ก็ทำให้ข้าพเจ้าแปลกใจอย่างมากหลังจากที่คุณดีเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรคือจะอธิษฐานในเรื่องทั่วไปแต่ใจนั้นได้ผุดขึ้นมาเองให้อธิษฐานว่า “ขอเป็นคู่ครองร่วมสร้างบารมีกับเซียมทุกภพทุกชาติ เมื่อเซียมบรรลุมรรคผลนิพพานในสมัยใด ขอให้ข้าพเจ้าบรรลุมรรคผลนิพพานในสมัยนั้นด้วย”

เมื่อทราบดังนี้ข้าพเจ้าหาได้ยินดีที่คุณดีอธิษฐานอย่างนี้เลย กลับกลัวว่าเขาต้องทุกข์ไปกับเราโดยไม่รู้จุดหมายยาวนานแค่ไหนไปทำไม แต่คุณดีบอกว่าสิ่งนี้ผุดขึ้นมาให้อธิษฐานเองไม่ได้คิดตั้งแต่แรก ด้วยข้าพเจ้าเกิดความคิดกลัวว่าผู้อื่นจะต้องติดตามทุกข์ไปกับเราโดยไม่รู้จุดหมาย ข้าพเจ้าจึงตั้งจิตว่าจะไม่โน้มน้าวชักชวนให้ผู้ใดติดตามข้าพเจ้าเลยตั้งแต่นั้นมา เพราะแม้แต่ข้าพเจ้าเองตลอดเวลาที่ผ่านมาต้องผ่านความทุกข์ทรมานก็ปรารถนาที่จะพ้นทุกข์โดยเร็วพลัน

ภายหลังคุณดีได้เข้าไปสนทนากับพระอาจารย์พร้อมกับชีพราหมณ์อีก 2 ท่าน (ข้าพเจ้าไม่ทราบนะครับ) แล้วชีพราหมณ์ทั้ง 3 ต่างก็บอกถึงความปรารถนาในใจของตนให้พระอาจารย์รับทราบ เมื่อคุณดีบอกถึงการอธิษฐานของตนต่อพระธาตุเจดีย์อาจารย์ก็แปลกใจและประหลาดใจ ที่ทราบว่าข้าพเจ้าไปอธิษฐานปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าต่อหน้าพระธาตุ และคุณดีอธิษฐานตาม เพราะข้าพเจ้าปฏิบัติกรรมฐานมากับพระอาจารย์ 4 ปีกว่า พระอาจารย์ไม่เคยได้ยินหรือเห็นทิศทางความประสงค์ของข้าพเจ้าว่าอยากหรือปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าเลย แล้วพระอาจารย์ถามว่า “ปกติพระธาตุเจดีย์ไม่ค่อยเปิดประตูให้คนเข้าไปข้างในนี้”

คุณดีบอกว่า “ก็เห็นประตูเปิดอยู่จึงเข้าไปไหว้และอธิษฐาน”

พระอาจารย์ก็พูดว่า “อย่างนี้ก็เป็นบุญบารมีแล้ว ในพุทธศาสนาเหตุบังเอิญไม่มี มีแต่กรรมบันดาล”

เมื่อออกกรรมฐานแล้วแต่ข้าพเจ้ากับคุณดี หรือข้าพเจ้าคุณดีหรือคุณกุ้ง ก็ยังมาแวะเวียนทำบุญที่คณะ 5 ถวายน้ำปานะ บริจาคเงินเล็กๆ น้อยให้เป็นอาหาร หรือค่าน้ำไฟ และทำบุญกับพระอาจารย์ ซึ่งเป็นช่วงที่ข้าพเจ้ากับคุณดีทำบุญมากขึ้นตามฐานะ และข้าพเจ้าจึงเกิดความคิดขึ้นมาว่าอยากจะถามพระอาจารย์ทำนองว่า “เมื่อข้าพเจ้าปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า แล้วข้าพเจ้าได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าแล้วหรือยัง” แต่ข้าพเจ้าก็ยังเกรงใจไม่กล้าถาม จนความอยากเพิ่มขึ้น ข้าพเจ้าจึงถามพระอาจารย์ ครั้งแรกพระอาจารย์ก็บอกว่า ให้ไปดูเอง แต่ท่านก็ไม่ได้แนะนำวิธีดูเองว่าดูอย่างไร

ข้าพเจ้าจึงคิดว่า วางใจให้กลางๆ ว่างๆ แล้วภาวนาในสิ่งที่ประสงค์จะรู้ด้วยใจกลางๆ
- 1. เริ่มทดสอบตัวเองโดยเข้าสมาธิภาวนาถามตนเองว่า "ได้รับการพยากรณ์จากพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ แล้วหรือยัง" จนบังเกิดเป็นนิมิต รูปมือกาง 5 นิ้วแล้วกำมือตรงหน้า" ซึ่งในขณะนั้นข้าพเจ้าไม่สามารถตีความหมายได้ แต่รู้ว่าเสมือนกรรมกำหนดไว้แล้ว
หลังจากนั้นอีก 1 วันก็คิดว่า วันก่อนอาจจะมีใครหรืออะไรหลอก กำมือให้เห็น จึงทดลองใหม่
- 2.
ทำการทดสอบตนเองอีกครั้งโดยการเข้าสมาธิภาวนาถามตนเองว่า "ได้รับพยากรณ์แล้วหรือไม่?" จนบังเกิดเป็นนิมิต ในที่มืดแล้วมีประตูเปิดออกเป็นทางสว่าง ซึ่งในขณะนั้นข้าพเจ้าไม่สามารถตีความหมายได้ แต่รู้ว่าเสมือนทางเปิดให้แล้ว

แม้สิ่งที่ให้รู้ปรากฏให้ทราบถึง 2 ครั้งแล้ว แต่ก็ยังไม่ปักใจ คุณดีก็อยากจะช่วยแต่ไม่รู้จะช่วยอย่างไร อยู่มาวันหนึ่ง คุณดีก็บอกว่า สมัยเด็กเล็กๆ เขาได้เล่นกับน้องแบบ ทำเป็นนั่งสมาธิ แล้วบอกน้องๆ ว่า “ข้าเป็นผู้รู้ ใครอยากรู้อะไรถามข้าได้” ข้าพเจ้าก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า คุณดีได้ฝึก ปฏิบัติธรรมมาติดต่อกันก็ประมาณ 3 ปี แล้ว สติสมาธิเขาก็น่าจะสมบูรณ์ระดับหนึ่งแล้ว จึงลองให้เขานั่งสมาธิแบบทำให้ใจว่างๆ นิ่งสงบอยู่ แล้วข้าพเจ้าลองถามดูว่าจะมีปฏิกิริยาอะไรบ้าง แต่คุณดีกลับนั่งเฉยไม่มีกริยาใดๆ ที่จะพูดออกมา หลังจากนั้นเมื่อออกจากสมาธิ ข้าพเจ้าถามคุณดีว่า เป็นอย่างไรบ้างเวลาข้าพเจ้าถาม คุณดีบอกว่ามันพูดไม่ได้ แต่มีคำตอบเหมือนผุดขึ้นในใจ แต่ไม่สามารถพูดได้ เพราะมันจะกลายเป็นตัวเขาเองพูด

แล้วข้าพเจ้าก็เกิดความคิดขึ้นเหมือนกับพวกนักเล่นกลที่แสดงที่ให้คนหนึ่งนอนหงายราบ แล้วอีกคนหนึ่งถาม ก็น่าจะมีคำตอบได้ ข้าพเจ้าจึงบอกให้คุณดีฟังให้คุณดีนอนหงายราบทำสมาธิแล้วทำใจให้ว่างสงบนิ่ง คุณดีก็บอกว่าลองดู หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ไหว้พระระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ แล้วตั้งสัจจะเอ่ยออกวาจาว่า “ขอเชิญเหล่าเทพเทวดา ช่วยมาบอกในสิ่งที่ผมต้องการทราบให้ได้ทราบด้วย โดยให้คุณดีที่นอนราบอยู่ ถ้าสิ่งที่ถามนั้นถูกและจริงขอให้พยักหน้า ถ้าสิ่งที่ถามนั้นไม่ถูกไม่จริงขอให้ส่ายหน้า”

หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ถามคำถามคุณดีที่นอนหงายอยู่ ก็พยักหน้าและส่ายหน้าโดยที่คุณดีไม่ได้คิดแม้แต่นิดหรือต้องการพยักหรือส่ายหน้าแม้แต่นิดเดียว แล้วเทพเทวดาทั้งหลายต่างยืนยันพยักหน้าว่าข้าพเจ้าปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้ามาตั้งแต่ชาติก่อนๆ นานมาแล้ว และยังพยักหน้าว่า ข้าพเจ้าได้รับพุทธพยากรณ์มาแล้วด้วย

การพิสูจน์หนที่ 3 จึงเกิดขึ้น เพราะข้อมูลจากคุณดีคนเดียวยังไม่เป็นคำตอบที่มั่นใจได้
- 3. ด้วยความที่เรียนจบมาทางวิทยาศาสตร์ นิสัยของการพิสูจน์เพื่อให้ถึงที่สุดจึงมีอยู่มาก วันต่อมาได้ทดลองกับคุณเหมียนที่ไม่ค่อยเชื่อ และไม่ทราบเรื่องนี้อย่างแท้จริง แต่ร่วมทำกรรมฐานกันมา ทดลองให้สื่อกับเทพเทวดาที่มายืนยัน ทั้งที่เพื่อนคนนี้ไม่เคยรู้และไม่เคยทำมาก่อน โดยให้เขานอนหงายราบลงไม่ต้องพูดอะไร ทำใจให้สงบนิ่งอย่างเดียว แล้วข้าพเจ้ากับคุณดีที่เคยลองทำมาแล้วโดยบังเอิญ ทำการไหว้พระและพูดธรรมดา อันเชิญเทพเทวดาให้ท่านได้มายืนยัน โดยกำหนดกติกาขึ้นมาเองว่าเมื่อข้าพเจ้ากับเพื่อนอีกคนถาม ถ้าเป็นความจริงให้ผงกศีรษะ ถ้าไม่จริงให้ส่ายศีรษะ เมื่อสิ้นสุดการทดลองและได้สนทนากับเพื่อนคนใหม่ที่สื่อสัมผัส เขาบอกว่ามันผงกศีรษะและส่ายหน้าเองในแต่ละคำถาม โดยที่เขาไม่ได้สั่งและไม่ได้คิด เพียงแต่มีสติทำใจให้เป็นกลางนิ่งอย่างเดียว แต่เมื่อถึงตอนที่ถามว่า ข้าพเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ใช่ไหม? เขาก็ลองพยายามเกร็งและผืนคอตัวเองไม่ให้ผงกศีรษะ(ตามประสาเพื่อนที่ไม่คอยเชื่อและลองกันเล่น) แต่เหมือนโดนบังคับให้ผงกจนได้ พอถึงคำถามที่ว่า ข้าพเจ้าได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้ามาแล้วใช่ไหม? เพื่อนบอกว่าครั้งนี้พยายามเกร็งเต็มที่ไม่ให้ส่ายหรือผงกศีรษะเป็นอันขาด ฝืนจนคอนี้เมื่อยไปหมด แต่ในที่สุดต้องผงกศีรษะจนได้ต้านไว้ไม่อยู่ ส่วนในคำถามอื่นๆ เขาปล่อยให้เป็นไปเอง เพราะเป็นคำถามธรรมดา ทำให้เพื่อนคนนี้แปลกใจไม่ใช่เล่น (หลังจากนี้ไป เป็นเวลา 1 ปี คุณดีสามารถฝึกการสื่อสัมผัสโดยการพูดคุยกันได้ตามปกติ ไม่ต้องให้นอนแล้วส่ายหรือผงกศีรษะอีกต่อไป)

ข้าพเจ้าขอร้องอาจารย์อีกหลายเดือนต่อมา และคุณดี (ที่ศรัทธาอาจารย์จริงตั้งแต่เริ่มเข้าทำกรรมฐาน) ได้พูดสนับสนุนให้อาจารย์ฟังว่า "ดูให้เขาเถอะคะ ได้หรือไม่ได้ค่อยว่ากันอีกที ไม่ได้เสียหายอะไร" อาจารย์ก็ตอบตกลงและพูดว่า "ที่อาจารย์ดูให้ เธออย่าปักใจเชื่อ เพราะการพยากรณ์ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าพยากรณ์แล้วจะเป็นจริง 100% ที่อาจารย์ดูให้จะได้หรือไม่ได้เธออย่าเสียใจ"

ถึงตอนนี้ข้าพเจ้าเพิ่งนึกออกว่าตัวเองเคยอธิษฐานเมื่อ 5-6 ปี ทั้งที่ลืมไปแล้ว ตอนเรียนมหาวิทยาลัยปีที่ 2 และ 3 จึงได้บอกกับอาจารย์ว่าข้าพเจ้าได้เคยอธิษฐานว่า "ไม่ทราบว่าสร้างบารมีอะไรมา ถ้าสร้างมาเกิน 2 ใน 3 ก็จะสร้างต่อ ถ้าน้อยกว่าก็ขอยกเลิก และขอให้ได้เจอกับพระอนาคามีหรือพระอรหันต์ ที่มีอภิญญาช่วยบอกให้ทราบด้วย" เป็นเวลาประมาณ 1 ปี และพยายามถือศีล 8 อยู่ทั้งปี ก่อนที่จะเข้าทำวิปัสสนากรรมฐานที่คณะ 5 วัดมหาธาตุ

อาจารย์พูดว่า "ต้องมีอภิญญาหรือ?"

ข้าพเจ้าพูดเสริมว่า "สามารถระลึกชาติของผู้อื่นได้ก็พอ"

อาจารย์จึงบอกให้ข้าพเจ้านั่งสมาธิ ส่วนข้าพเจ้าคิดว่าอาจารย์ดูไม่น่าเกี่ยวกับข้าพเจ้าจึงนั่งหลับตา คิดถึงการเตรียมตัวติวให้นักศึกษาไปเรื่อยๆ สักประเดี๋ยวเดียวข้าพเจ้าได้ยินอาจารย์พูดว่า "เซียม ! เธอทำใจให้สงบหน่อย อาจารย์ดูไม่เห็น"

ข้าพเจ้าลืมตาขึ้นและแปลกใจว่าอาจารย์รู้ว่าข้าพเจ้าใจไม่สงบจริง แล้วอาจารย์ได้อธิบายให้ฟังว่า "ถ้าเธอทำใจไม่สงบอาจารย์ดูเธอไม่เห็นมันมัวๆ เพราะอาจารย์ต้องดูผ่านเธอ และก็อย่าภาวนาอะไรเพราะถ้าภาวนาอาจารย์ก็จะเห็นแสงสว่างอย่างเดียว"

หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ตั้งใจนั่งอย่างดี (แต่สักพักหนึ่งบังเกิดคล้ายนิมิตขึ้นมาเองไม่ชัดเจนนัก เหมือนมีผู้ที่เป็นอมตะผู้หนึ่ง ลอยอยู่กลางอากาศไกลออกไปได้ชี้เป็นลำแสงตรงมาที่หน้าผากของข้าพเจ้า ทำนองว่าข้าพเจ้าจะเป็นอมตะเหมือนกับเขา คล้ายนิยายการ์ตูนที่ได้อ่านผ่านสายตามา จึงไม่กล้าที่จะบอกกับใครในเวลานั้นแม้แต่อาจารย์หรือคุณดี) อาจารย์ก็นั่งสมาธิดูเป็นเวลาพักใหญ่ประมาณ 10 นาทีกว่าหรือมากกว่านั้น แล้วอาจารย์ออกจากสมาธิพูดว่า "อือ! น่าปีติๆ"

ข้าพเจ้าลืมตาขึ้นดูอาจารย์ ขณะนั้นอาจารย์กำลังลูบและชี้ที่แขนของอาจารย์ แล้วพูดต่อไปว่า "ดูสิ ขนของอาจารย์ลุก คนสมัยก่อนตัวโตมากจริงๆ เธอน่ะได้รับพยากรณ์แน่นอนแล้ว"

ข้าพเจ้าจึงถามอาจารย์ว่า "อาจารย์ไปเห็นอะไร? พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันหรือเปล่า?"

อาจารย์อธิบายว่า "อาจารย์ได้ดูให้เธอย้อนจนถึงพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ซึ่งคนสมัยก่อนตัวใหญ่โตมากเห็นเธอกับแฟนของเธอ(เป็นฆราวาส) กำลังทำบุญกับพระพุทธเจ้า แล้วพระพุทธเจ้าทรงเทศนาให้ฟัง หลังจากนั้นก็จะเดินกลับ ได้ชี้ไปที่เธอ และกล่าวในทำนองที่ว่าเธอจะได้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอนในอนาคต แล้วเดินจากไป"

ข้าพเจ้าถามอาจารย์ว่า "อาจารย์เห็นชัดเจนไหม?"

อาจารย์ตอบว่า "เห็นเหมือนกับตาเห็น ชัดเจนเหมือนดูทีวีสี"

การที่อาจารย์ดูให้อย่างนี้ ทำให้ข้าพเจ้ามีปีติมาก และมีความยึดมั่นเพิ่มขึ้น แต่ก็มีความสงสัยลังเลตามวิสัยของนักวิทยาศาสตร์ที่เรียนมาทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งข้าพเจ้าจะคอยถามพระอาจารย์เป็นระยะๆ ในเวลาต่อไป

มีอยู่วันหนึ่งเมื่อเราทั้งสาม ข้าพเจ้า คุณกุ้ง คุณดี จะเข้าไปหาพระอาจารย์ ก็มีสามีภรรยาคู่หนึ่งออกจากห้องพระอาจารย์ แล้วเราทั้งสามคนก็เข้าไปกราบพระอาจารย์ แล้วพระอาจารย์ได้เอารูปวาดรูปหนึ่งให้เราทั้งสามดู แล้วถามว่า “พวกเธอคิดว่า รูปนี้คือรูปอะไร”

เราสามคนก็ตอบในทำนองเดียวกันว่า “น่าจะเป็นรูปวิญญาณ”

พระอาจารย์ก็บอกว่า “อือ... อาจารย์ก็คิดอย่างนั้น”

แล้วอาจารย์ก็พูดต่อไปว่า “อาจารย์เห็นพวกเธอทำวิปัสสนากรรมฐานมานานแล้วหลายปี ประสบวิปัสสนาญาณก็มากแล้วขึ้นๆ ลงๆ มีสมาธิระดับหนึ่งและคงไม่หลง อาจารย์จะสอนให้เธอใช้ ทิพย์จักขุงอุปาทายะนัง เพื่อดูนิมิตและญาณรู้ที่ปรากฏ”

พวกเราจึงถามว่า “ทิพย์จักขุงอุปาทายะนัง ต่างกับทิพย์จักษุ อย่างไร

พระอาจารย์ตอบ “ทิพย์จักษุ นั้นเป็นกำลังของอภิญญา แต่ทิพย์จักขุงอุปาทายะนังนั้นใช้กับผู้ที่มีสมาธิที่น้อยกว่า ยังไม่ถึงขั้นอภิญญา แต่ต้องฉลาดในนิมิตที่ปรากฏ และฉลาดในญาณรู้ที่ปรากฏกับนิมิตนั้น จึงจะแม่นยำและถูกต้องแน่นอน”

พวกเราจึงถามว่า “แล้วจะทำอย่างไรครับ”

พระอาจารย์สอนว่า “พวกเธอมีกำลังสมาธิก็พอสมควรแล้ว ก็ให้เธอกำหนดกรรมฐานเพื่อให้เกิดสมาธิ หลังจากนั้นก็อธิษฐานสิ่งที่จะดู แล้วกำหนดสมาธิโดยภาวนา “ทิพย์จักขุงอุปาทายะนัง” ไปเรื่อย นิมิตและญาณรู้ก็จะปรากฏ ให้ทราบและเมื่อชำนาญและฉลาดในนิมิตและญาณ ก็จะแม่นยำขึ้น”

หลังจากนั้นพวกเราทั้ง 3 ก็ไปฝึกกัน และพระอาจารย์ได้ให้พวกเราทดสอบดู ประมาณ 3 ครั้ง สรุป ที่ได้คือ รูปนิมิตที่ปรากฏขึ้นของทั้งสามคนไม่เหมือนกัน แต่ชี้ในสิ่งเดียวกัน และญาณรู้ก็บ่งบอกในสิ่งเดียวกันคล้ายกัน สิ่งที่แปลกใจคือบอกสิ่งเดียวกันคล้ายกันเป็นตัววัดในตอนนั้น แต่ไม่รู้ว่าเป็นความจริงหรือเท็จในขณะนั้น

ในการทดลองครั้งหนึ่ง พระอาจารย์ให้ ทุกคนดูว่าในกายข้าพเจ้ามีอะไรอยู่บ้าง ข้าพเจ้าก็นั่งสมาธิดูไปในตัวข้าพเจ้า ส่วนแฟน(คุณดี) และคุณกุ้ง ก็เพ่งเข้ามาดูในตัวข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่สามารถเห็นอะไรเลยในตัวข้าพเจ้า หลังจากเสร็จการดู

พระอาจารย์ถามคุณดีว่า “ เห็นอะไรบ้าง”

คุณดีตอบว่า “เห็นเป็นเงาผู้หญิง อยู่ในกายเขา”

พระอาจารย์จึงถามคุณกุ้งว่า “เธอเห็นอะไรบ้าง”

คุณกุ้งก็ตอบว่า “เห็นเป็นผู้หญิงอยู่ในกายเขา”

แล้วอาจารย์ถามข้าพเจ้าว่า “เซียม เธอ เห็นอะไร”
ข้าพเจ้าตอบว่า
“ผมไม่เห็นอะไรครับ ก็เหมือนกับกำหนดภาวนาธรรมดา”
แล้วพระอาจารย์ถามคุณดีว่า “แล้วเธอรู้ว่าอย่างไร”
คุณดีตอบว่า “รู้ว่า เป็นเจตภูตที่เป็นผู้หญิงอยู่ในกายเขา”
พระอาจารย์ จึงถามคุณกุ้งทำนองเดียวกัน คุณกุ้งตอบว่า “รู้ว่ามีวิญญาณผู้หญิงอยู่ในกายเขา”
พวกเราจึงถามพระอาจารย์ว่า “แล้วอาจารย์เห็นอะไรในกายผม”
พระอาจารย์ก็ยิ้มแล้วพยักหน้า จึงเป็นการเรียนจบเรื่องทิพย์จักขุงอุปาทายะนัง แต่ยังวัดไม่ได้ว่าเป็นจริงหรือเท็จอย่างไร เพราะยังไม่ใช้ไปดูเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า แต่ภายหลังมีหลายเรื่องที่ดูไว้ตอนนั้น ที่ทยอยปรากฏเป็นจริง แต่ข้าพเจ้าและแฟนไม่คอยใช้นิมิตและญาณรู้ไปดูอะไร อาจเป็นเพราะว่าใจยังไม่ยอมรับเนื่องจากพิสูจน์อะไรไม่ได้ในตอนนั้น ส่วนคุณกุ้งนั้นเขาฝึกทิพย์จักขุง จนเห็นเปรต เทวดา พรหม และสัมผัสกันทางใจได้บ้าง