ภาคพิเศษพิสดาร

ภาคต่อไปจะเขียนตามข้อมูล ที่พิเศษมากกว่าเรื่องข้างบนที่ปรากฏขึ้น

เรื่องต่างๆ ต่อไปนี้เป็นเรื่องพิสดารพันลึก จนข้าพเจ้าเองแต่งกลอนนี้ขึ้นมา

 

เกิดสิ่งที่พิสดารพันลึก                         เกินสามัญสำนึกนั้นมากหลาย

จริงหรือเท็จ เท็จหรือจริงกลับกลาย    ไม่ได้หมายสร้างขึ้นเพราะเราอยาก

สิ่งต่าง ต่างก็เกิดขึ้นมาเอง                   ใจก็เกรง กลัวหลงไปมาก

ด้วยเหตุพิสดารนั้นยังลาก                   เกิดมากมายหลากหลายเกินคาดคิด.

จึงปลงจิตปลงใจแล้วแต่เกิด   แต่ไม่เตลิดเกินไปหลงนิมิต

ไม่ปรุงแต่งจนก่อเกิดเห็นผิด               ด้วยดำรงจิตอยู่กับปัจจุบัน

ไม่นำจิตไปผลักไสหรือยึดมั่น             และไม่รั้นเกิดทุกข์เพราะเท่าทัน

มีสติปัญญาเป็นประกัน                       สิ่งที่เกิดนั้นก็เป็นเช่นนั้นเอง.

เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี                  จะชั่วดีก็ตามเหตุที่บรรเลง

สิ่งที่เกิดก็เกิดขึ้นมาเอง                        เพียงบรรเลงตามเหตุเท่านั้นเอย.

 

และก็กลัวและเกรงว่า ผู้อ่านจะรับไม่ได้ แต่เรื่องเหล่านี้ได้เกิดขึ้นจากที่ได้สนทนากับโอปปาติกะหรือเทพเทวดา พระพรหม ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกแตกต่างมากมาย ซึ่งข้าพเจ้าสมมุติตัวเองเป็นผู้เขียนเล่าเหตุการณ์ จึงเสนอข้อมูลตามนั้น เมื่อเรื่องเหล่านี้ได้ปรากฏขึ้นมาแล้วข้าพเจ้าในฐานะ ผู้เก็บและสัมผัสกับข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ จึงขอเสนอในฐานะเป็นข้อมูลให้เป็นที่ทราบกัน ว่าสิ่งเหล่านี้ก็มี แต่จะจริงหรือเท็จอย่างไรข้าพเจ้าก็ไม่สามารถชี้ชัดได้ เพราะเป็นข้อมูลที่สัมพันธ์ปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องเหมือนแผ่นต่อภาพที่ปรากฏทีละส่วน ให้ข้าพเจ้าได้ทราบและต่อกันเผยออกมาตามลำดับ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 เป็นต้นมา เริ่มแต่คุณดีภรรยาของข้าพเจ้าสามารถสื่อสัมผัสกับโอปปาติกะแบบสามารถสนทนากับข้าพเจ้าได้เหมือนคุยกันเป็นปกติ แยกเป็นเรื่องได้ดังนี้

 

เมื่อข้าพเจ้าได้ถูกมหากุศลผลักดันจนได้ชื่อว่าเป็นพระโพธิสัตว์ที่เที่ยงแท้แล้วในช่วงต้น ตามที่

1.ญาณของข้าพเจ้ากำหนดให้รู้ และ

2.ทดสอบกับแฟนและเพื่อนให้เหล่าเทพเทวดามายืนยันก็ยืนยันเช่นเดียวกัน และ

3.พระอาจารย์ที่ได้ชื่อว่าสอนกรรมฐานกับพระหรือผู้คนเป็นพันเป็นหมื่น และมีฐานะเป็นรองอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาของวัดมหาธาตุท่าพระจันทร์ภายหลังได้เป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาของวัดมหาธาตุท่าพระจันทร์ ได้ใช้สมาธิอภิญญาดูอดีตข้าพเจ้าจนทราบว่าข้าพเจ้าได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว และในชีวิตท่านพระอาจารย์ท่านน่าจะใช้กำลังสมาธิดูอย่างนี้ให้เพียงข้าพเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น ตามคำอธิษฐานของข้าพเจ้าที่อธิษฐานติดต่อกันทุกคืนหลังจากสวดมนต์ไหว้พระตอนเรียนมหาลัยอยู่ชั้นปีที่ 3 และพยายามถือศีลแปดอยู่ทั้งปีซึ่งผลการอธิษฐานนั้นและบุญกุศลที่พยายามถือศีลแปดก็ได้ส่งผลตามที่ปรารถนาไว้

 

ต่อไปก็เป็นเรื่องของผู้ที่ปรารถนาเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวาหรือซ้าย และผู้ปรารถนาเป็นพระอรหันต์ที่เป็นเอตทัคคะเลิศทางด้านต่างๆ ที่ข้าพเจ้าไม่เคยคาดคิดคาดหวังมาก่อน แต่สิ่งเหล่านี้ค่อยๆ ปรากฏและเผยออกมาตามลำดับชัดเจนขึ้นโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน จนข้าพเจ้าเองก็ไม่กล้าคาดคิดว่าจะต้องเป็นจริง เพราะไม่สามารถหาสิ่งพิสูจน์หรืออ้างอิงได้อย่างชัดแจ้งแบบวิทยาศาสตร์ที่เรียนมาได้

แต่เป็นข้อมูลที่ทยอยปรากฏขึ้นจากการพูดคุยกันจริงๆ ไม่ใช่เป็นการแต่งเรื่องขึ้นมาตามความประสงค์หรือต้องการของข้าพเจ้าเอง และข้าพเจ้าก็ไม่เคยคาดคิดว่า จะมีผู้ที่ปรารถนาเป็นมหาสาวกและได้รับพุทธพยากรณ์แล้วในสมัยของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้ามีความคิดว่าข้าพเจ้ามีฐานะต่ำต้อยมาตลอดตั้งแต่เกิดมาที่จำความได้ จนเจริญวัยเป็นผู้ใหญ่แล้ว และจะเตือนตนไม่ให้หลงตัวเองเป็นสำคัญ และแม้แต่ภรรยาข้าพเจ้าเองผู้สื่อสัมผัสก็ไม่เคยคาดคิดหรือประสงค์มาก่อน แต่เรื่องต่างๆ เหล่านี้ค่อยๆ เผยออกมาตามข้อมูลเองจากบุคคลที่เป็นโอปปาติกะเป็นร้อยเป็นหมื่นๆ ท่าน.

เหมือนแต่ละท่านเป็นแผ่นจิ๊กซอแต่ละแผ่นที่แตกต่างๆ กันจากหลายที่หลายทางในโลกของโอปปาติกะ ที่มนุษย์โลกส่วนมากไม่สามารถมองเห็นได้ และหาใช่ว่าจะอยู่ในจักรวาลนี้จักรวาลเดียว แต่กระจายอยู่ในหลายจักรวาล จนข้าพเจ้างง และประหลาดใจ จนเกือบรับไม่ได้กับข้อมูลที่ปรากฏขึ้นมาตามลำดับ แม้แต่ภรรยาเองก็กลัวว่าจะเป็นการวิปลาสไปกันใหญ่หรือเปล่า แต่เนื่องจากเราทั้งสองหาได้ไปยึดติดและปรุงแต่งให้ฟุ้งซ่านและหาได้สำคัญตนผิดไปจากการเป็นมนุษย์สามัญชนผู้หนึ่ง ดำเนินกิจกรรมในฐานะมนุษย์โลกได้อย่างปกติตามฐานะสังคม ไม่ได้วิปลาสหลงตนไปตามข้อมูลจนผิดแปลกไปจากสังคมของมนุษย์ยุคปัจจุบัน.

ดังนั้นข้อมูลเหล่านี้ถึงปรากฏให้ทราบมากมายและพิสดารก็หาทำให้ข้าพเจ้าและภรรยาดำรงตนผิดเพี้ยนหรือผิดปกติจากมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่งได้เลย.

ต่อไปขอเสริมความรู้เรื่อง พระอัครสาวก พระมหาสาวกผู้เป็นเลิศด้านต่างๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในการอ่าน

พระอัครสาวกเบื้องขวาหรือซ้าย มีอยู่สองท่านคือมีปัญญาเลิศ กับมีฤทธิ์เลิศ อย่างเช่นพระสารีบุตรและพระโมคัลลานะ บุคคลผู้ปรารถนาเป็นพระอัครสาวกนี้สร้างบารมียาวนานมาแค่ไหนไม่กำหนด แต่เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งเป็นครั้งแรก หลังจากนั้นก็จะสร้างบารมีต่อไปอีก 1 อสงไขยกับเศษแสนกัป ก็จะได้บรรลุเป็นพระอัครสาวก

พระมหาสาวกผู้เป็นเลิศด้านใดด้านหนึ่ง หรือเป็นเอตทัคคะ หรือสมัยหลังเรียกว่าพระอเสติ แค่คำว่า “พระอเสติ” นั้นไม่มีในพระไตรปิฎก เพราะเป็นคำที่ปรากฏในภายหลัง ตัวอย่างเช่น พระอานนท์ ที่เป็นเลิศทางพหูสูตร หรือนางวิสาขา ผู้เป็นเลิศทางให้ทานกับพุทธศาสนาฝ่ายอุบาสิกา ฯลฯ ซึ่งมีทั้งหมดประมาณ 80 ท่าน ส่วนการเวียนสร้างบารมียาวนานมาแค่ไหนก็หาได้กำหนด แต่เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้วหลังจากนั้นก็สร้างบารมีอีก แสนกัป ก็จะบรรลุเป็นพระอริยะตามฐานะที่เป็นเลิศนั้น.

 

วกมาเข้าสู่เรื่องข้าพเจ้า เมื่อปี พ.ศ. 2530 เมื่อข้าพเจ้าและภรรยาได้สื่อสัมผัสสามารถพูดคุยกันได้ใหม่ๆ เพื่อเรียนรู้ทั่วไปเกี่ยวกับภาษาและความเป็นอยู่ของเทวดาแต่ละชั้น และพระพรหมแต่ละชั้น และเรื่องปลีกย่อยต่างๆ มากมาย เป็นเวลาเดือนสองเดือน และการสื่อสัมผัสกับเทพเทวดาที่สามารถพูดคุยกันได้นี้ ท่านพระอาจารย์ก็ได้รับทราบจากภรรยา ด้วยภรรยาเกิดความประหลาดใจกับสิ่งแปลกๆ ที่เกิดขึ้น จึงได้โทร. ทางไกลปรึกษากับพระอาจารย์โดยตลอดจากพัทลุงมายังกรุงเทพฯ เพราะเขาเองก็แปลกประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเขาเองมาก กลัวตัวเองจะผิดปกติหรือผิดเพี้ยนหรือบ้า พระอาจารย์จึงถามขั้นตอนในการสื่อสัมผัสทั้งหมด ภรรยาก็เล่าเรื่องการภาวนาการบริกรรมคาถา และการวางใจให้เป็นหนึ่งเป็นกลางแยกออกจากร่างกายตนเอง แต่ยังรู้ตัวทุกอย่างหลังจากนั้นก็สามารถสื่อสัมผัสแบบพูดคุยกันธรรมดาได้ พระอาจารย์ก็บอกว่า ทำถูกต้องแล้ว เป็นของจริง ฝึกไปเรื่อยๆ ก็จะชำนาญขึ้น สิ่งเหล่านี้เป็นสัจจะจริง

หลังจากนั้นข้าพเจ้าและภรรยา ทั้งอัดเทปเสียงพูดภาษาเทพ ทั้งให้เขียนข้อความ ฯลฯ แต่เมื่อเวลาผ่านมาถึง 20 ปีในปัจจุบันข้อมูลเหล่านั้นก็โดนทิ้งขว้างสูญหายหมดแล้ว เพราะหาได้มีความสำคัญเมื่อกาลเวลาผ่านไป ด้วยเจตนาของข้าพเจ้าในตอนนั้นคือ เมื่อเราสามารถติดต่อกับโอปปาติกะทั้งเป็นเปรตเป็นเทพเป็นพรหมได้ ก็ประสงค์เพื่อจะแผ่เมตตาและอุทิศส่วนบุญที่ตนได้กระทำมามากในเวลาหลายปีที่ผ่านมา และสามารถแนะนำวิปัสสนากรรมฐานให้กับผู้ที่ไม่รู้ได้บ้าง

 

แต่ก็มีเหตุการณ์พลิกความคาดหมายเกิดขึ้นเมื่อ ปรากฏมีพระอรหันต์ที่เป็นเทพเทวดาเข้ามาสื่อสัมผัสโดยไม่คาดคิดมาก่อน ว่ามีพระอรหันต์ที่เป็นเทพเป็นพรหมที่ทรงสังขารในทิพย์สวรรค์ได้ด้วย แล้วเรื่องนี้ก็เป็นเสมือนจิ๊กซอแต่ละแผ่น ของแต่ละบุคคลแต่ละท่านที่เป็นโอปปาติกะ ที่ทยอยปรากฏออกมาอย่างช้าๆ จากแต่ละที่แต่ละทางแต่ละจักรวาลเป็นเวลาถึง 20 ปีกว่าจึงปรากฏภาพรวมได้อย่างชัดเจนขึ้น เพื่อบอกฐานะแท้จริง แต่ไม่สามารถทำให้ข้าพเจ้าไปยึดมั่นจนทำให้ข้าพเจ้าดำรงตนในฐานะเป็นมนุษย์สามัญชนผู้หนึ่งผิดเพี้ยนไปได้จากฐานะสังคมในยุคปัจจุบันคือประกอบทำมาหากินรักษาครอบครัวให้เจริญและดำเนินไปได้ตามปกติแบบเดียวกับชนทั่วๆ ไป และอยู่ในศีลในธรรมในการปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อละวางกิเลสให้เกิดปัญญาในการปล่อยวางตามปกติ(ไม่ใช่ปฏิเสธ คือผลักหรือยึดในสิ่งที่เป็นตรงกันข้าม จนต้องสับสน) เหตุการณ์เริ่มต้นเป็นดังนี้.

 

            ในคืนหนึ่งภรรยาได้สื่อสัมผัสซึ่งในวันนั้นเป็นวันพระ แล้วเทพอรหันต์เข้ามาสื่อสัมผัสโดยไม่ได้รับเชิญ แล้วท่านก็พูดตรงๆ เลยว่า ท่าน(อาตมา)เป็นพระอรหันต์ ผมก็ งง. เพราะไม่คิดว่าจะมีพระอรหันต์ที่เป็นเทพในสวรรค์ทรงสังขารอยู่ได้นาน คือคิดว่าเมื่อเทพหรือพรหมท่านบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วก็จะเข้านิพพานหมดจากภพนั้นในทันที จึงได้ถามพระคุณท่าน ผมไม่กล้าเรียกว่า พระคุณเจ้า เพราะยัง เอะๆ ใจไม่เชื่อสนิทใจ

เทพอรหันต์ท่านก็ตอบทำนองว่า “ก็ถูก แต่ไม่ใช่ในทันทีที่บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วจะต้องละสังขารในทันที สามารถดำรงสังขารอยู่ได้นานหรือไม่นานก็ตามฐานะของชั้นเทวดาหรือพรหมนั้นๆ อาจจะเพียงแค่ 1 วัน หรือหลายๆ วัน หรือหลายๆ ปี ของมนุษย์ก็ได้ตามฐานะของแต่ละชั้น หรือตามบารมีที่เหมาะสมที่ได้อธิษฐานไว้”

จึงทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้ก็มีด้วย เทพอรหันต์ก็บอกต่อไปว่า ท่านกำลังเทศนาสอนธรรมะให้กับเหล่าเทพโอปปาติกะอยู่ แต่ท่านมีความประสงค์จะอนุเคราะห์ข้าพเจ้า เพราะท่านก็ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้ามาก่อน แต่ได้ลาการปรารถนานั้นเสียแล้วจึงได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ และเห็นว่า ข้าพเจ้าน่าจะมีผู้ร่วมสร้างบารมีติดตามอยู่บ้างแต่ยังไม่กล้าหรือยังไม่มั่นใจแสดงตนเองออกมา แล้วท่านก็มองไปยังเทวดาทุกชั้นฟ้า แล้วประกาศก้องกับหมู่เทพเหล่านั้นว่า.

“ท่านผู้นี้(ชี้ที่ข้าพเจ้า) เป็นพระโพธิสัตว์ที่เที่ยงแท้แน่นอนแล้วที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า แต่ยังขาดผู้ที่ปรารถนาติดตามเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวาเบื้องซ้าย และผู้ที่ปรารถนาเป็นพระมหาสาวกที่เป็นเลิศต่างๆ ในสมัยของพระโพธิสัตว์ผู้นี้ยังไม่แสดงตัวแสดงตนออกมา ดังนั้นท่านผู้ใดปรารถนา นี้เป็นโอกาสของท่านที่จะแสดงตนอธิษฐานเพื่อความตั้งมั่นแห่งความปรารถนาของตนแล้ว จงแสดงตนปรารถนาอธิษฐานต่อหน้าพระโพธิสัตว์นี้เถิด”

แล้วพระอรหันต์ก็ถอนออกไปจากการสื่อสัมผัส รอให้ผู้ปรารถนาเข้ามาอธิษฐานต่อหน้าข้าพเจ้าแทน แต่ตอนนั้นใจของข้าพเจ้ารู้สึกแปลกๆ และขัดกับความรู้สึกของข้าพเจ้าที่ไม่ประสงค์ให้ผู้ใดติดตามที่จะต้องมาร่วมทุกข์กับข้าพเจ้า ที่ไม่ทราบว่าอีกเวลายาวนานกี่แสนกัป ข้าพเจ้าจึงจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้ เพราะด้วยใจหรือญาณของข้าพเจ้านั้นรู้สึกว่าข้าพเจ้าต้องสร้างบารมีไปอีกเป็นแสนกัปเป็นอย่างน้อย และไม่คิดว่าพระอรหันต์จะประกาศเชิญชวนกันอย่างนี้ แต่ข้าพเจ้าก็ปล่อยเลยตามเลยอะไรจะเกิด ก็เกิดเราเพียงดูและรับรู้ข้อมูลเท่านั้น.

 

สักพักไม่นานนักก็มีผู้มาสื่อสัมผัสกับภรรยา แล้วยกมือขึ้นพนมกล่าวคำอธิษฐานว่า “เราเป็นพระพรหมอยู่บนพรหมโลก และได้ส่งทิพย์โสตเพื่อฟังธรรมะ และได้ฟังเรื่องนี้โดยตลอด เราขอตั้งจิตอธิษฐานปรารถนาเป็นพระสาวกในสมัยของพระโพธิสัตว์องค์นี้ ที่เป็นเลิศทางด้าน โสตทิพย์(หูทิพย์)”

ด้วยการพนมมืออธิษฐานของพระพรหมนั้นข้าพเจ้าก็จำต้องยกมือพนมตอบแล้วกล่าวว่า “สาธุ ขอให้ท่านจงสำเร็จสมปรารถนาเถิด” สถานการณ์ให้เป็นไปอย่างนั้น ทั้งที่ใจยังแปลกๆ และขัดๆ อยู่

เมื่อพระพรหมองค์นั้นถอนจากสื่อสัมผัสไป ก็มีเทพอีกองค์หนึ่งเข้ามาสื่อสัมผัสและยกมือขึ้นพนมกล่าวคำอธิษฐานแต่ข้าพเจ้าจำไม่ได้แล้วว่าท่านปรารถนาเป็นมหาสาวกเลิศในสิ่งใด ข้าพเจ้าก็ยกมือพนมและกล่าวสาธุดังเดิม

เมื่อเทพองค์นี้ถอนการสื่อสัมผัสออกไปก็มีผู้มาสื่อสัมผัสอีกท่านหนึ่งยกมือพนมและกล่าวคำอธิษฐานว่า “เราเป็นพระพรหมฌาน 4 (เวหัปผลพรหม) เราปรารถนาเป็นอัครสาวกผู้มีปัญญาเลิศ ในสมัยของพระโพธิสัตว์องค์นี้ และเราก็ได้รับพุทธพยากรณ์มาแล้ว”

ข้าพเจ้าแปลกใจแต่ก็กล่าวสาธุเหมือนดังเดิม ด้วยข้าพเจ้างงประหลาดสงสัยเป็นอย่างยิ่งจึงถามไปว่า “เอ.. ท่านได้รับพุทธพยากรณ์แล้วหรือ

พระพรหมฌาน 4 ตอบว่า “เราได้รับพุทธพยากรณ์มาแล้ว”

ข้าพเจ้าจึงถามต่อไปว่า “ท่านรู้ได้อย่างไรว่า ท่านได้รับพุทธพยากรณ์มาแล้ว”

พระพรหมฌาน 4 ตอบว่า “ก็ในชาติที่ผ่านมาเราได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้บวชในพุทธศาสนาขณะที่พระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ แล้วเราก็ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธองค์”

ข้าพเจ้าก็พยักหน้าแบบแปลกๆ ใจ แล้วพระพรหมฌาน 4 นั้นก็ถอนการสื่อสัมผัสออกไป หลังจากนั้นก็เทพเข้ามาสื่อสัมผัสอีก ประมาณ 4 ท่าน ที่แสดงตนอธิษฐานต่อหน้าข้าพเจ้า หลังจากนั้นก็ไม่มีอีกเลย

พระอรหันต์ก็เข้ามาสื่อสัมผัสกับภรรยาข้าพเจ้าดังเดิม แล้วกล่าวว่า “มีเพียงแค่นี้หรือ? ทำไมน้อยจัง แต่ในเมื่อมีผู้เป็นอัครสาวกเบื้องขวาแล้ว ก็ต้องมีผู้ปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายที่มีฤทธิ์เป็นเลิศ”

แล้วพระอรหันต์มองไปทั่วชั้นฟ้า ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาอธิษฐานอีกเลย ข้าพเจ้าก็ แปลกใจว่าพระอรหันต์ทำอย่างนี้ด้วยหรือ? แต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป แล้วพระอรหันต์ได้พูดกับข้าพเจ้าว่า “ โพธิสัตว์น้อย มีเปรตผู้หนึ่งประสงค์ที่จะเข้ามา แต่มันกลัวว่าฐานะมันเองต่ำต้อยไม่กล้าเข้ามา โพธิสัตว์น้อยจะอนุญาตให้มันเข้ามาไหม

ข้าพเจ้าก็ตอบว่า “ได้ครับพระคุณท่าน”

พระอรหันต์ก็ถอนการสื่อสัมผัสออกไป สักพักหนึ่งร่างกายของภรรยาก็มีอาการสั่นเทิ้มพนมมือขึ้นแบบสั่นๆ แล้วกล่าว “อือๆ... ถึงเราเป็นเปรต แต่เราก็มีความศรัทธาปรารถนา เรามีปีติมากที่ได้มีโอกาสถึงแม้เราจะลำบากตามกรรมเก่าก็ตาม เราปรารถนาเป็นมหาสาวกในสมัยท่าน เราปรารถนาเป็นเลิศทางด้านพระอภิธรรม”

ข้าพเจ้าก็กล่าวสาธุเหมือนดังเดิม แต่ข้าพเจ้าได้พูดเสริมไปว่า “ถ้าสิ่งที่ท่านปรารถนาเป็นบุญกุศลจริง และสิ่งเหล่านี้เป็นสัจจะจริง ข้าพเจ้าก็อุทิศส่วนบุญที่ได้ทำมาแล้วให้แก่ท่านขอท่านจงอนุโมทนาสาธุในบุญที่ท่านปรารถนาและในบุญที่ข้าพเจ้าอุทิศให้เทอญ”

เมื่อเปรตนั้นกล่าวคำ “สาธุ” แล้วร่างกายของภรรยาข้าพเจ้าสะบัดอย่างแรงหลายครั้งแล้วยืดตัวเองขึ้นแล้วนิ่งไปพักหนึ่ง (เน้น เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริงๆ หาได้ปรุงแต่งเพื่อจะเขียนเรื่องขึ้นไม่ ตอนที่เกิดภาวะอย่างนี้ข้าพเจ้าก็กลัวอยู่เหมือนกันว่า ภรรยาจะเป็นอะไรไปหรือเปล่า)

แล้วผู้ที่สื่อสัมผัสกับภรรยาก็ได้กล่าวว่า “เราเป็นเทพที่พึ่งอุบัติใหม่ ได้หมดสภาพจากการเป็นเปรตแล้ว เราหมดทุกข์นั้นแล้ว ก็ด้วยการอธิษฐานตั้งมั่นในการปรารถนาเป็นมหาสาวกในสมัยของพระโพธิสัตว์องค์นี้ กับบุญกุศลที่ท่านอนุเคราะห์เรา เรามีความปีติยินดีเป็นอย่างมาก” แล้วเทพที่เกิดใหม่นั้นก็ถอนการสื่อสัมผัสออกไป

พระอรหันต์ก็เข้ามาสื่อสัมผัสแทนที่และท่านได้กล่าวพร้อมมองไปทั่วทุกชั้นฟ้าว่า “เหล่าเทพและพรหมทั้งหลาย สิ่งเหล่านี้เป็นสัจจะจริง พระโพธิสัตว์องค์นี้ก็เที่ยงแท้แน่นอนแล้วที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต แม้แต่เปรตผู้ที่มีความตั้งมั่นอธิษฐานปรารถนา ด้วยบุญนั้นก็ทำให้เปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิเป็นเทวดาได้ สิ่งเหล่านี้เป็นสัจจะจริง ท่านผู้ใดปรารถนาก็จงเตรียมจิตเตรียมใจไว้”

ในขณะที่พระอรหันต์เชิญชวนให้มีผู้ปรารถนาเป็นพระอรหันต์มหาสาวกในสมัยของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าแสลงใจจริงว่า เอ๊ะทำไม? พระอรหันต์ต้องทำอย่างนี้ด้วยมันผิดปกติไปหรือเปล่า แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ก็จะดูว่าจะออกมาเป็นรูปแบบใดกันแน่

แล้วพระอรหันต์ที่มาสื่อสัมผัสก็หันหน้ามาทางข้าพเจ้าพร้อมกับพูดอ่อนโยนว่า “โพธิสัตว์น้อย วันนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้ว ที่ร่างกายมนุษย์จะต้องนอนหลับพักผ่อน ส่วนอาตมาก็ต้องไปเทศนาธรรมะให้กับเหล่าเทพเทวดาพรหมต่อ”

แล้วพระอรหันต์ก็ถอนการสื่อสัมผัสออกไป พร้อมกับทิ้งเครื่องหมายคำถามอันใหญ่หลายอัน ให้ข้าพเจ้าและภรรยาแปลกประหลาดใจ และข้าพเจ้าก็พยายามจัดเรียงลำดับความเข้าใจ กับข้อมูลอันพิสดารนี้ แล้วเราทั้งคู่ก็นอนหลับสบายเพราะหาได้ไปปรุงแต่งให้ฟุ้งซ่าน เพราะความฟุ้งซ่านหรือสับสนจะโดนวิปัสสนาญาณดับและตัดออกจากใจด้วยประสบการณ์ที่ปฏิบัติมาอย่างยาวนาน

รุ้งเช้าวันใหม่เราทั้งสองก็ทำกิจกรรมตามปกติ จนถึงเวลา 3 ทุ่ม ภรรยาก็ตั้งจิตเพื่อสื่อสัมผัสอีกครั้งแต่ครั้งนี้ไม่ทราบว่าภรรยาข้าพเจ้าคิดอย่างไร กล่าวอธิษฐานออกมาว่า “ข้าพเจ้าก็อุทิศร่างเป็นทานในการสื่อสัมผัสจิตกับเหล่าเทพเทวดาและโอปปาติกะเพื่อเป็นประโยชน์แก่องค์โพธิญาณ และสนทนาธรรมะฟังธรรมะจากพระอริยะ”

ข้าพเจ้าฟังแล้วเฉยๆ ไม่คิดว่าอะไร ก็ตามใจแล้วแต่ภรรยาเอง และเมื่อภรรยาเข้าสมาธิสื่อสัมผัส เทพอรหันต์ก็เข้ามาสื่อสัมผัสทันที ยิ้มแล้วเรียกข้าพเจ้าว่า “โพธิสัตว์น้อย อาตมาพึ่งจะเทศนาธรรมะจบเมื่อครู่นี้เอง”

ข้าพเจ้าแปลกใจจึงถามไปว่า “พระคุณท่าน เทศนาธรรมะตั้งแต่เมื่อคืนวาน ไม่ได้หยุดพักเพิ่งจะจบเมื่อครู่นี้เองหรือครับ”

พระอรหันต์ตอบว่า “เป็นเช่นนั้น โพธิสัตว์น้อย แต่อาตมาได้ตั้งจิตไว้แล้วว่า จะอนุเคราะห์โพธิสัตว์น้อยให้สมบูรณ์ที่สุดก่อนที่อาตมาดับขันธ์นิพพานในอีกไม่กี่ราตรีข้างหน้า ดังนั้นกิจของอาตมายังไม่เสร็จสิ้น”

แล้วพระอรหันต์ท่านได้มองกวาดไปทั่วชั้นฟ้า พูดเป็นภาษาเทพกับเหล่าเทวดาต่างๆ แล้วหันมาที่ข้าพเจ้า แล้วพูดเป็นภาษาไทยว่า “พระโพธิสัตว์องค์นี้ ได้มีคู่บารมี(นางแก้ว) และอัครสาวกเบื้องขวาที่มีปัญญาเป็นเลิศ และได้รับพุทธพยากรณ์แล้วทั้ง 2 ท่าน ซึ่งยังไม่ปรากฏมีผู้ปรารถนามีฤทธิ์เป็นเลิศเลยกับพระโพธิสัตว์องค์นี้ ท่านผู้ใดปรารถนาก็จงมาอธิษฐานปรารถนาเถิด”

แล้วพระอรหันต์ก็ถอนการสื่อสัมผัสออกไป ภรรยาก็นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นเป็นพักหนึ่ง ก็เริ่มมีผู้มาสื่อสัมผัส แต่มีลักษณะปีติและสั่นน้อยๆ อยู่ยกมือพนม แล้วกล่าวว่า “เราเป็นเทพเป็นเจตภูตอยู่ที่กายของพระโพธิสัตว์ เราปรารถนาพุทธภูมิเช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์ เราสร้างบารมีมายาวนานแต่เรารู้ตัวว่าเรายังไม่ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้ามาก่อนเลย เราจึงอธิษฐานติดตามพระโพธิสัตว์ที่เที่ยงแท้แล้วเพื่อเรียนรู้ เราจึงได้มาเกิดเป็นเทพที่เป็นเจตภูตรักษาที่กายพระโพธิสัตว์ และเราได้เห็นมาตลอดถึงความทุกข์ในฐานะความต่ำต้อยของพระโพธิสัตว์ แม้แต่พระโพธิสัตว์ที่ได้รับพุทธพยากรณ์แล้วก็ยังต้องทุกข์จนคลอนแคลนอย่างนี้ เราเห็นแล้วเราจึงเบื่อหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิดที่ต้องทุกข์ต่อไป แต่ใจเราก็ยังปรารถนาเพื่อช่วยสัตว์ทั้งหลายอยู่ และเมื่อเห็นพระอรหันต์ท่านได้เทศนาธรรมะกับหมู่เหล่าเทพทั้งหลาย และพระอรหันต์ท่านได้แสดงฤทธิ์อันวิจิตรพิสดารเกินฤทธิ์ของเทพและพรหมทั้งหลาย เราจึงตัดสินใจแล้วว่าลาพุทธภูมิอันไม่รู้ว่าจะยาวนานอีกเท่าไหน ขออธิษฐานจิตปรารถนาเป็นมหาสาวกผู้แสดงฤทธิ์เป็นเลิศ ในสมัยของพระโพธิสัตว์องค์นี้เมื่อได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าด้วยเทอญ”

ข้าพเจ้าก็ยกมือพนมกล่าว “สาธุ ขอให้ท่านได้สำเร็จสมความปรารถนา” และข้าพเจ้าก็เข้าใจไปว่านี้คือมีผู้ปรารถนามีฤทธิ์เป็นเลิศแล้ว(เป็นการเข้าใจผิดที่ยาวนานมาก ถึง 17 ปี ต่อไปข้างหน้า)

หลังจากนั้นก็มีผู้มาสื่อสัมผัสมาอธิษฐานปรารถนาเป็นเลิศทั้งฝ่ายภิกษุภิกษุณีและอุบาสกอุบาสิกา แต่เหมือนกับว่าท่านเหล่านั้นนึกสิ่งที่ปรารถนาไม่ออก หรือไม่รู้ว่าปรารถนาเลิศในสิ่งใด จึงต้องทบทวนการปรารถนากันเป็นเวลานานในแต่ละท่านทำให้ข้าพเจ้าไม่สามารถจำได้เพราะสับสนและไม่ได้จดบันทึกไว้ เพราะเพียงไม่กี่ท่านที่กล่าวปรารถนาอย่างชัดเจนตรงกับตำแหน่งที่เป็นเลิศ ส่วนที่เหลือจึงปรารถนาเป็นพระอริยะหรือเป็นพระอรหันต์มหาสาวกไปเสีย มีจำนวนประมาณ 7-8 ท่าน จึงไม่สามารถจำตำแหน่งนั้นได้อย่างแม่นยำ

 

หลังจากไม่มีผู้มาอธิษฐานปรารถนาแล้ว พระอรหันต์ก็เข้ามาสื่อสัมผัสต่อและกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “โพธิสัตว์น้อย อาตมาก็ได้กระทำประโยชน์ให้กับพระโพธิสัตว์ก็เพื่อประโยชน์กับสรรพสัตว์ทั้งหลายในเบื้องหน้าจำนวนมหาศาล ตามที่อาตมาได้เคยปรารถนาพุทธภูมิ และเมื่อได้ลาพุทธภูมิแล้วก็ประสงค์อนุเคราะห์พระโพธิสัตว์ อาตมาก็ได้กระทำสมดังที่ตั้งใจแล้ว เพราะโพธิสัตว์ก็ได้ปรากฏมีผู้ปรารถนามีฤทธิ์ปรากฏขึ้นแล้ว และในอีกไม่กี่ราตรีมนุษย์หน้านี้อาตมาก็จะดับขันธ์นิพพาน”

หลังจากนั้นก็ยุติการสื่อสัมผัส และหลังจากนั้นประมาณสองหรือสามวันต่อมา ก็ได้สื่อสัมผัสกับพระอรหันต์องค์เดิมแล้วท่านกล่าวว่า “วันนี้และเวลานี้ อาตมาจะดับขันธ์นิพพานแล้ว

ท่านทั้งหลายจะขอพรสิ่งใดขอจงขอ อาตมาจะให้พรเป็นครั้งสุดท้าย”

เมื่อให้พรเสร็จท่านก็ดับขันธ์นิพพานในขณะที่สื่อสัมผัสกับภรรยาอยู่ ซึ่งเป็นที่อัศจรรย์กับภรรยามากถึงอารมณ์ความรู้สึกที่ปรากฏกับภรรยาที่จิตนั้นสื่อสัมผัสติดอยู่ โดยภรรยาบอกว่า จิตต่างๆ ที่มาสื่อสัมผัสกับเขานั้นจะมีลักษณะต่างๆ กันหาได้เหมือนกัน ถ้าเป็นเทพชั้นต่ำก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง เป็นเทพชั้นสูงก็จะเป็นอีกแบบหนึ่งตามกำลังสมาธิตามภพภูมิของชั้นนั้น แต่ละท่านแต่ละคนก็มีข้อปลีกย่อยต่างกันในรายละเอียดที่อารมณ์จิตมาสัมผัส

ในกรณีที่เป็นพระอรหันต์นั้นจิตจะเบาสว่างสงบปลอดโปร่งมาก สื่อสัมผัสแล้วจะไม่เหนื่อยแถมทำให้สดชื่นขึ้น ถ้าเป็นจิตของเทพที่มีจิตหนักหรือโอปปาติกะอื่นๆ จะเหนื่อยตามฐานะกำลังของภพภูมินั้นๆ

ในกรณีที่เป็นพระอรหันต์ดับขันธ์นิพพานตอนสื่อสัมผัสอยู่เป็นอย่างนี้ จิตที่เบาสว่างสงบปลอดโปร่งที่สัมผัสอยู่นั้น จะค่อยๆ คลาย จางแล้วสลายจนหมดสิ้นในขณะที่สัมผัสอยู่จนไม่เหลืออะไร (นี้ตามคำบอกเล่าของภรรยา อาจจะขาดตกพกพร่องอยู่บ้าง)

 

แล้วหลังจากนั้นครอบครัวข้าพเจ้าและภรรยาพลิกผันให้ต้องลำบากทุกข์มากมายขึ้นไปอีกเป็นปีต้องแยกกันอยู่กับลูกและภรรยา ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักนี้เป็นความทุกข์ที่มากเพิ่มไปอีกจากที่ทุกข์อยู่แล้วในฐานะสังคมของข้าพเจ้า จึงทำให้เห็นว่าทางดับวางละกิเลสได้อย่างหมดสิ้นเท่านั้นจึงเป็นทางที่ประเสริฐ จึงเกิดการสับสนกับการปรารถนาพุทธภูมิที่เกิดจากใจภายในของข้าพเจ้า และคิดว่าการปฏิบัติของข้าพเจ้าที่ผ่านมานั้นมันเข้มข้นและมุ่งมั่นเกินไปจนทำให้เกิดขาดปัญญาที่แท้จริง .

เมื่อเวลาผ่านมาเกือบปีก็สามารถรวมครอบครัวมาอยู่ด้วยกันพออยู่ได้ ข้าพเจ้าจึงวางการปรารถนาพุทธภูมินั้นออกไปก่อน ขอตั้งเอาการปฏิบัติธรรมให้สมบูรณ์เป็นที่สุดเป็นเครื่องพิสูจน์ ถ้าละกิเลสดับกิเลสได้ความปรารถนานั้นก็ไม่เป็นจริง ถ้ายังวางละไม่ได้ก็ถือว่าสิ่งปรารถนานั้นก็ยังเป็นสัจจะจริง

ข้าพเจ้าเริ่มพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติจริงๆ ตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2532 หลังจากพระอาจารย์ได้มรณภาพไปแล้ว ดังนั้นเรื่องสื่อสัมผัสกับโอปปาติกะ ข้าพเจ้าจะไม่ไปข้องแวะเกี่ยวกับเรื่องพุทธภูมิเลย คือไม่สนใจไม่คุยสานต่อด้วย จนข้าพเจ้าวางเรื่องพุทธภูมิได้อย่างหมดสิ้นจากใจ จากอารมณ์ที่หวั่นไหว แม้แต่ความคิดก็หาได้ไปสนใจอีกเลยด้วยการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องในอีก 5 ปีต่อมาเมื่อเข้าโคตรภูญาณอย่างสมบูรณ์ตามฐานะ เมื่อ มิถุนายน พ.ศ. 2537.

เสมือนไม่มีเรื่องพุทธภูมิอยู่ในใจในสามัญสำนึกของข้าพเจ้าอีกเลย และเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกเป็นเวลาถึง 5 ปี ดังที่ข้าพเจ้าได้เขียนไว้แล้วด้านบน ข้าพเจ้าสามารถวางความคิดความปรารถนา การปรุงแต่งต่างๆ ในเรื่องพุทธภูมิได้อย่างสิ้นเชิงออกไปจากจิตสำนึก มีสติสมาธิกำหนดแต่ความว่าง “เป็นเช่นนั้นเอง”, “สัพเพสัตตากัมมะสกา อหังกัมมะสะโก” “เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเป็นธรรมดา” และจิตบรรลุถึงความว่างจริงๆ เสมือนไม่มีอะไร

ช่วงนี้จะเกิดญาณแปลกๆ ขึ้น เมื่อดำเนินจิตไปสู่ความว่างสงบอยู่ พอจิตไหวไปคำนึงอะไรขึ้นมา ก็เกิดภาวะญาณและนิมิตปรากฏให้ทราบ มีเหตุการณ์ที่เด่นชัดดังนี้

ญาณรู้

ประมาณ ปี 2540 พนักงานที่ทำงานเดียวกับข้าพเจ้า จะว่าเป็นลูกน้องก็ไม่เชิง แต่พนักงานคน นี้ต้องทดสอบโปรแกรมที่ข้าพเจ้า เขียน เพื่อเอาไปใช้งานในส่วนของงานที่น้องทำ วันหนึ่งน้องมาปรึกษาข้าพเจ้าว่า ที่ อพาร์ทเม้นท์ มีแขกคนหนึ่งที่อยู่อพาร์ทเม้นท์ เดียวกัน ทำกรงดักนกเขาได้ 4 - 5 ตัว น้องคนนี้ สงสารนกเขานั้นมาก อยากให้ถูกปล่อยให้มีอิสระ ขณะที่คุยกันอยู่ ข้าพเจ้าครุ่นคิดอย่างสงบ เพื่อจะแนะนำ ก็ได้เห็นภาพนกเขาบินออกไปอย่างมีอิสระ ข้าพเจ้าจึงแนะว่าลองไปขอร้องแขกคนนั้นดู เผื่อเขาจะปล่อย หลังจากวันนั้น น้องก็นำเรื่องมาปรึกษาข้าพเจ้าอีกว่า ได้ไปขอร้องให้แขกคนนั้นปล่อย เขาก็ไม่ยอมปล่อย ขอซื้อเขาก็ไม่ขาย น้องบอกเขาว่ามันบาปนะที่ เอามากักขัง แขกบอกว่าเขาจะเลี้ยงไว้ฟังเสียงและดูเล่น น้องหมดหนทาง ข้าพเจ้าจึงบอกน้องว่า วันหลังถ้ามีโอกาส ให้ขอร้องให้ปล่อยอีก หลายวันต่อมาน้องก็ทำตามที่บอก แต่แขกคนนั้นไม่ยอมปล่อยนกเขาทิ้งเวลาผ่านมาเป็นเดือน เมื่อถึงวันเกิดของน้อง น้องก็จัดงานกันที่อพาร์ทเม้นท์ โดยที่ไม่ต้องขอร้องแขกคนนั้นๆ บอกกับน้องว่า จะปล่อยนกเขาทั้งหมดเพื่อเป็นของขวัญวันเกิดให้น้อง ก็เป็นเรื่องที่แปลกอยู่เหมือนกัน

- วันที่ 23 ตุลาคม 2541 ข้าพเจ้าขับรถไปทำบุญที่จังหวัดชลบุรี และได้แวะเที่ยวที่หาดบางแสน ต้องขับรถตลอดกลับถึงบ้านก็เย็นแล้ว ก่อนเข้านอนเวลา ประมาณ 3 ทุ่ม ข้าพเจ้าก็เริ่มทำกรรมฐานเมื่อเข้าสู่ความสงบ แต่เนื่องจากต้องเพ่งอยู่กับการขับรถมาเกือบทั้งวัน จิตก็เสมือนตัวเองขับรถพุ่งไปข้างหน้าตลอดบนถนนที่เป็นทางยาวพุ่งไปเรื่อยๆ แล้วค่อยมีฝนตกพรำๆ แล้วตกมากขึ้นเรื่อย น้ำเริ่มมาก ขึ้นจนท่วมถนนแล้วเริ่มไหลแรงขึ้นเรื่อยๆ จนแรงมากและเป็นคลื่นแรง แล้วจิตข้าพเจ้าก็หลุดออกจากมโนภาพนั้นเป็นภาวะปกติ ก็กำหนดกรรมฐานต่อ แล้วเข้านอน วันรุ่งขึ้นก็บอกกับภรรยาว่า จะมีน้ำท่วมหนักปิดถนน พอเที่ยง วันที่ 24 ตุลาคม 2541 ภรรยาเปิดทีวี ก็มีข่าวว่า น้ำท่วมที่จังหวัดชุมพร และรถไฟสายใต้ไม่สามารถวิ่งได้ (หมายเหตุ ช่วงก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าไม่ได้ติดตามข่าวเลย จึงไม่ทราบข่าว เรื่องพายุ และในกรุงเทพฯ นั้นหมดหน้าฝนไปแล้ว หลังจากนั้นมีพายุและน้ำท่วมในหลายประเทศ เช่นฟิลิปปินส์ และประเทศในแถบทวีป อเมริกา มีคนเสียชีวิตรวมเป็นจำนวนพันคน)

- ญาณรู้อายุขัยเบื้องหน้า เพราะประมาณกลางเดือนตุลาคม 2541 ขณะที่อยู่ในสมาธิลึกเกิดนึกถึงชีวิตของตนเอง ที่จะเป็นไปใน อนาคต โดยไม่ตั้งใจ ก็เกิดเป็นแสงสว่างของชีวิตเป็นปีๆ จนถึงอายุ 58 ปี พอปีหลังจากนั้นแสงสว่างของชีวิตก็มืดลงไป แต่ยังเป็นปีๆ อยู่ประมาณ 5-10 ปี ทำให้รู้ว่าข้าพเจ้าจะมีชีวิตทำกิจกรรมตามปกติจนถึง 58 ปี หลังจากนั้นอาจจะบวชหรือเจ็บป่วยหรือไม่ค่อย ได้ทำกิจกรรมการงานทางโลก หรือตาบอดเห็นลางๆ และจบชีวิตในช่วงอายุ 64-68 ปี หรือประมาณ 70 ปี ซึ่งต้องรอการพิสูจน์อีก 20 กว่าปีข้างหน้า (แต่สิ่งเหล่านี้ อาจเปลี่ยนแปลงได้ ถ้ามีกรรมตัดรอน หรือบุญพิเศษส่งผล)

- เมื่อปี 2541 ขณะที่ข้าพเจ้า อยู่ในสมาธิลึกๆ อยู่ในอารมณ์เดียว ว่างอยู่ไม่มีความรู้สึกที่กายแม้แต่นิดเดียว จิตเกิดแวบนึกถึงพระเพื่อนที่เพิ่งบวช บังเกิดเป็นภาพพระห่มจีวร และบังเกิดญาณรู้มาทันทีว่า พระเพื่อนรักษาพรหมจรรย์ ได้ตลอด ผมเลยแนะให้พระเพื่อนเรียนทางพระ ขณะนี้ปี 2543 พระเพื่อนก็ยังบวชอยู่ และกำลังเรียนเปรียญ 3 ประโยค ถ้าเป็นไป ตามญาณรู้ที่ปรากฏ และไม่มีอะไรอย่างร้ายแรงมาขัดขวาง พระเพื่อนคงบวชไปเรื่อยๆ ไม่สึกออกมาแน่ ซึ่งขณะนี้ปี พ.ศ. 2551 ท่านเป็นมหาแล้ว และยังบวชเป็นพระภิกษุอยู่

และในปี 2541 นี้แหละ ที่พ่อของข้าพเจ้าได้เสียชีวิต อายุท่านก็ 83 ปี และเกิดภาวะดังที่ผมได้เขียนเล่าไว้แล้วข้างบน เรื่องพุทธภูมิที่ผุดขึ้นจากจิตใต้สำนึกโดยไม่คาดคิดเพราะเหตุนั้นทำให้ข้าพเจ้าต้องทบทวนเรื่องพุทธภูมิใหม่ทั้งหมด ว่าสิ่งที่ล้างได้วางได้ก็เพียงแต่อยู่ในขั้นจิตสำนึกเท่านั้น แต่จิตใต้สำนึกนั้นไม่สามารถล้างหรือวางได้อย่างเด็ดขาด แต่ก็เป็นสิ่งที่ดีทำให้เกิดมีปัญญาหลายร้อยหลายพันนัยในทางธรรม และก็ไม่ไปหวั่นไหวในเรื่องพุทธภูมิ ที่มากระทบว่าเราว่าเป็นหรือไม่เป็นพระโพธิสัตว์ ให้ใจต้องซัดส่ายและยึดมั่นเป็นตัวตนจนเกิดเป็นมานะที่มากมายแล้วก่อเป็นทุกข์อีก

เมื่อทราบว่าการปรารถนาพุทธภูมิ นั้นเป็นมหากุศลที่ไม่สามารถลบล้างจากจิตใต้สำนึกได้แล้ว เพราะได้พิสูจน์มาแล้วเป็นเวลาถึง 10 ปี ที่ได้ล้างหมดสิ้นไปจากจิตสำนึกและไม่บังเกิดขึ้นเลยเป็นเวลา 5 ปี แต่เมื่อเพียงมีช่องนิดเดียวก็โผล่ขึ้นมาจากจิตใต้สำนึกโดยไม่ทันตั้งตัวเกินคาดคิดอย่างสิ้นเชิง.

เมื่อรู้ตัวเองชัดเจนอย่างนี้แล้วข้อมูลต่างๆ ก็ไหลเข้ามาให้รับรู้ตามลำดับๆ แต่ใจนั้นหาได้วิปลาสผิดเพี้ยนปรุงแต่งจนดำรงตนให้ผิดปกติไปจากการดำเนินชีวิตในชีวิตประจำวันของมนุษย์อย่างสามัญชนผู้หนึ่ง คือจิตสามัญสำนึกหาได้ไปยึดมั่นถือมั่น เพราะทุกอย่างดำเนินไปเองตามฐานะและสภาวะของธรรมที่ว่า

 

เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงดับ

 

เมื่อมีญาณรู้เกิดขึ้นอย่างชัดเจนดังด้านบน ดูในสิ่งที่ตนเองประสงค์ที่จะทราบ ดังนี้

เวลาผ่านไปเกือบปี ก็นึกถึงเรื่องที่พระอาจารย์ดูอนาคตไปไม่ถึงในสมัยที่ข้าพเจ้าบรรลุ ดังนั้นข้าพเจ้าน่าจะเข้าสมาธิดูว่าพระโพธิสัตว์ผู้ที่ จะบรรลุก่อนข้าพเจ้ามีกี่ท่าน กันแน่

ครั้งที่ 1 จึงอธิษฐานแล้วเข้าสมาธิ จนทิ้งความรู้สึกทางกายและความนึกคิดจนหมด เหลือแต่ใจที่รู้สึกอยู่ บังเกิดภาพนิมิตขึ้นมาเป็นผู้ชายกายสีเหลืองอ่อนท่านแรกกายใหญ่ ท่านที่สองกายเล็กครึ่งหนึ่งของท่านแรก และเสมือนท่านทั้งสองเคลื่อนหรือวิ่งเรียงตามลำดับเข้ามาหาจิตที่รู้ โดยท่านที่มีกายใหญ่ผ่านแวบหายไปก่อนแล้วท่านที่มีกายเล็กกว่าวิ่งเข้ามาแล้วแวบหายไป หลังจากนั้นจิตก็ถอนสู่ภาวะปกติ

ครั้งที่ 2 วันต่อมา และครั้งที่ 3 วันต่อมา เพราะปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าไม่คอยปักใจเชื่ออะไรง่ายๆ จะต้องพิสูจน์ซ้ำหลายครั้ง แม้แต่การได้สมาธิในครั้งแรก เมื่อถอนออกมาเป็นปกติ ข้าพเจ้าต้องทรงอารมณ์นั้นเข้าไปทางเดิมอีกครั้งหรือสองครั้งในช่วงเวลานั้น จึงจะปล่อยผ่านไป เช่นเดียวกันในการอธิษฐานดูครั้งที่ 2 นั้นจิตเกิดอ่อนกำลังหรือเบลอไปเสียก่อนไม่บังเกิดนิมิตแล้วถอนออกมา วันที่ 3 ครั้งที่ 3 จิตพอจะบังเกิดนิมิตแต่เพราะเกิดไปจดจ้องภาพที่จะเกิดนิมิตมาก จึงไม่เป็นนิมิตที่บังเกิดขึ้นเองตามญาณที่ควรจะเป็น แล้วถอนออกจากสมาธิ เป็นอันว่าล้มเหลวทั้ง 2 ครั้ง การดูนิมิตนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย พระอาจารย์จึงสอนย้ำเรื่อง การฉลาดในนิมิตและฉลาดในญาณที่ปรากฏนิมิต

ครั้งที่ 4 วันต่อมา ก็อธิษฐานเข้าสมาธิอีก เมื่อทิ้งความรู้สึกทางกายทิ้งความรู้สึกนึกคิดเหลือแต่จิตที่รู้ ก็บังเกิดเป็นนิมิตพระพุทธรูปเล็กคล้ายพระเครื่องสีฟ้าใสมีรัศมีกระจายออกมาทรงอยู่พักใหญ่ แล้วพลิกหายไปเป็นนิมิตธรรมดาเป็นผู้ชายกายสีเหลืองอ่อนยืนกอดอกอยู่ นิมิตนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่มีการเคลื่อนไหว หลังจากนั้นก็ถอนออกจากสมาธิ

หมายเหตุ การปรากฏของนิมิตมีอยู่สองช่วง ขอเรียกว่าช่วงนิมิตตื้น กับช่วงนิมิตลึก ช่วงนิมิตตื้นได้แก่พอเข้าสมาธิยังไม่ทันทิ้งความรู้สึกทางกายทั้งหมดนิมิตก็ปรากฏให้ทราบแล้ว นิมิตลึกได้แก่เข้าสมาธิทิ้งความรู้สึกทางกายและความรู้สึกนึกคิดเหลือแต่ใจรู้อย่างเดียวนิมิตก็ปรากฏขึ้น

   สรุป จากการได้ทดลองใช้ญาณรู้ที่ตนเองได้ในภายหลังนี้ดูไปแล้ว จากนี้ไปจะมีพระโพธิสัตว์มีบารมีเต็มก่อนข้าพเจ้า เพียง 2 ท่านเท่านั้น และจากจิตสามัญสำนึกของตนเองที่รู้ผุดขึ้นมาบวกกับจากการที่พระอาจารย์ดูไปไม่ถึง เข้าใจไปว่ายังมีเวลาเป็นแสนๆ มหากัป จึงจะถึงสมัยของตนเองได้ตรัสรู้

ก็มีอยู่ครั้งหนึ่งก็ประสงค์ที่จะรู้ว่า ตนเองได้เกิดเป็นอะไร ในสมัยของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันจึงไม่ได้รับพุทธพยากรณ์ จึงอธิษฐานเข้าสมาธิเพื่อจะรู้ เมื่อเข้าสมาธิก็เกิดสภาวะรู้ขึ้นมาว่าตนเองมีส่วนจมูกปากยื่นออกไปเหมือนนก จึงคิดว่าตนเองนั้นเกิดเป็นนก(แต่ภายหลังเกิดความสับสนระหว่างนกทั่วไปกับครุฑ) ในสมัยพระพุทธเจ้าทรงมีพระชนม์ชีพอยู่จึงไม่มีโอกาสได้รับพุทธพยากรณ์ แต่ในตอนที่เข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเมื่อปี 2526 นั้นได้เกิดสัญญาอย่างแรงกล้าว่าชาติที่แล้วตนได้เกิดเป็นเทวดาดังนี้.

เมื่อเริ่มทำกรรมฐานในปี พ.ศ. 2526 ได้สักพักหนึ่งแล้ว หลังจากเอนกายผิงหมอนกึ่งนั่งกึ่งนอน สัญญาเก่าในท่าที่สบายนั้นปรากฏขึ้นอย่างรุนแรง ว่าอาการท่านี้ในอดีตตนเองเป็นเทวดา และมีเหล่าเทพ 4 หรือ 5 ท่านเป็นบริวารอยู่นั่งอยู่ในบริเวณใกล้ๆ กำลังสนทนากันอยู่ และสัญญาการเป็นเทวดาเมื่อชาติที่แล้วปรากฏให้ทราบหลายครั้ง เช่น 1. การฝันเหมือนจริงว่าตนได้ไปชมและสนทนากับเทวดาบนสวรรค์ 2. ขณะนอนเล่นอยู่ เสมือนสายตามองทะลุหลังคาขึ้นไปบนอากาศเห็นท้องฟ้าและเมฆ พร้อมทั้งวิมานและเจดีย์สีทองล้อมรอบด้วยกำแพงสีทอง อย่างชัดเจนเหมือนตาเห็น แต่หาได้สนใจเพราะประสงค์ในการทำกรรมฐานละกิเลสเท่านั้น

และในปี พ.ศ. 2542 ได้มีเทวดาเข้ามาสื่อสัมผัสโดยไม่ได้รับเชิญ มายืนยันว่าในชาติที่แล้วข้าพเจ้าเกิดเป็นอะไรดังนี้ เทวดาท่านนี้ได้มาสื่อสัมผัสทางจิต(มาพร้อมทั้งกายเลย) แล้วกล่าวว่า "พอดีผ่านมาเห็นท่านก็เกิดจำได้เลยแวะมาสนทนา"

ข้าพเจ้าจึงถามว่า "ท่านได้พบกับข้าพเจ้าเมื่อไหร่?"

เทวดาบอกว่า "เมื่อชาติที่แล้วของท่าน"

ข้าพเจ้าจึงถามไปอีกว่า "ชาติที่แล้วข้าพเจ้าเจอท่านอย่างไร?"

เทวดาท่านเหล่าให้ฟังว่า "ท่านพร้อมบริวารได้ลงจากสวรรค์ชั้นดุสิต มายังชั้นดาวดึงส์เพื่อจะบูชาพระเขี้ยวแก้วพระธาตุของพระพุทธเจ้า ณ จุฬามณีเจดีย์ ในวันเพ็ญ 15 ค่ำ และเราพร้อมเหล่าบริวารก็ได้ขึ้นไปจากชั้นจาตุมไปยังชั้นดาวดึงส์เพื่อจะไปบูชาพระเขี้ยวแก้วเหมือนกัน แล้วท่านก็แวะเข้ามาหาเราสนทนากับเรา และกล่าวธรรมะให้เราฟัง หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันกลับวิมานตนเอง"

ข้าพเจ้าจึงถามเทวดาว่า "ท่านเกิดเป็นเทวดามานานแล้วหรือยัง?"

เทวดาตอบว่า "ไม่นานแต่ก็เป็นแสนปีของโลกมนุษย์แล้ว"

ข้าพเจ้าจึงถามเทวดาต่อไปอีกว่า "ท่านมีบริวารมากไหม?"

เทวดาตอบว่า "มีมากมายมากจึงไม่ได้นับว่ามีเท่าไร"

แล้วเทวดาก็พูดย้อนถามข้าพเจ้าว่า "ท่านไม่น่าลงมาเกิดบนโลกมนุษย์เลย โลกมนุษย์หาได้มีความสบายเหมือนในวิมานของเราเลย แถมกลิ่นยังเหม็นเป็นที่สุด เราก็ต้องทนกลิ่นเหม็นนี้เพื่อมาสนทนากับท่าน"

ข้าพเจ้าจึงตอบไปว่า "เกิดเป็นมนุษย์นั้นสามารถสร้างบุญกุศลได้ดีกว่าเป็นเทวดา ส่วนความลำบากหรือกลิ่นเหม็นนั้นเมื่อเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็ปรับสภาพแบบมนุษย์ก็หาได้ลำบากหรือเหม็นมาก กลายเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์โลก"

ข้าพเจ้าจึงถามย้อนกลับไปว่า "วิมานของท่านมีกลิ่นหอมเป็นอย่างไร?"

เทวดากล่าวให้ฟังว่า "มีกลิ่นหอมระรื่นอยู่ตลอดเวลา เอาแล้วละเราต้องไปแล้วนะเพราะทนกลิ่นไม่ค่อยไหวแล้ว"

หลังจากนั้นก็ยุติการสนทนา

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 ข้าพเจ้าและภรรยาเริ่มสื่อสัมผัสกับเทพพระอริยะหรือพระอรหันต์เพื่อสนทนาธรรมะบ่อยขึ้น แต่ถ้าถามท่านว่า ชาติที่พระพุทธเจ้ามีพระชนม์ชีพอยู่ข้าพเจ้าเกิดเป็นอะไร หรือในอนาคตจะเกิดเป็นอะไร ท่านจะบอกปัดเป็นประจำว่า “โยม อย่าถามเลย มันไม่ใช่สิ่งที่เป็นสาระ ไม่เป็นสิ่งที่เป็นสรณะ”

แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าได้ถาม พระอรหันต์ที่มาสื่อสัมผัสสอนธรรมะว่า “ในสมัยที่ผมจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ผมมีชื่อว่าอะไรครับ

พระอรหันต์ท่านตอบชัดเจนเลยว่า “โพธิสัตว์น้อยจะมีชื่อว่า สุภัคทะ”
แล้วท่านก็ไม่บอกอะไรต่อ ข้าพเจ้าจึงไม่ทราบว่า เป็นชื่อ สุภัคทะโพธิสัตว์ ในชาติสุดท้ายหรือมีชื่อ สุภัคทะพุทธเจ้า แต่ข้าพเจ้าเข้าใจและเชื่อว่า เป็นชื่อ สุภัคทะพุทธเจ้า

ด้วยการสื่อสัมผัสสนทนาธรรมะ และเหล่าเทพที่เป็นพระอริยะมาสื่อสัมผัสบ่อย จึงทำให้เหล่าเทพต่างๆ ทั้งจักรวาลนี้และจักรวาลอื่นสนใจมาฟังธรรมะ มีจำนวนมากมายจนนับเป็นตัวเลขไม่ถ้วนหรือไม่ได้ ตามคำบอกเล่าของเหล่าเทพที่อยู่ใกล้ชิดกับข้าพเจ้าและภรรยาบอกให้ทราบ.

การสื่อสัมผัสเพื่อการสนทนาธรรมะ และการสื่อกับพระอริยะหรือพระอรหันต์สอนธรรมะ ก็ดำเนินไปตามปกติ มีบางครั้งข้าพเจ้าได้ถามเทพที่มาสื่อสัมผัสอย่างใกล้ชิดว่า ในชาติที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ข้าพเจ้าเกิดเป็นอะไร? เทพเหล่านั้นจะบ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบ และบอกว่าให้รู้เองให้ระลึกให้ได้เอง แต่ข้าพเจ้าก็ระลึกไม่ได้เลย รู้แต่ว่าเป็นนกเลยไม่ได้รับพุทธพยากรณ์

ข้าพเจ้าและภรรยาสื่อสัมผัสสนทนากับเหล่าเทวดา และสื่อสัมผัสให้เหล่าเทพพระอริยะและพระอรหันต์สอนธรรมะสนทนาธรรมะต่อมาเป็นเวลาถึง 5 ปี โดยมีเรื่องธรรมะเป็นหลัก และไม่สามารถทราบข้อมูลส่วนตัวของข้าพเจ้าที่ประสงค์จะทราบจากเทพเหล่านั้นอีกเลย มีแต่แนะนำให้ข้าพเจ้าไประลึกเองให้ได้ นี้แหละหนอเหล่าเทวดาเมื่อท่านเห็นว่าไม่สมควรบอกท่านก็ไม่บอก ไม่ว่าอย่างไรท่านก็ไม่บอก รวมเวลาที่ข้าพเจ้าถามเรื่องนี้มาแต่เหล่าเทวดาไม่บอกเลยประมาณปี พ.ศ. 2531 ถึง พ.ศ.2547 ร่วมเวลา 16 ปี และในช่วง 5 ปีท้ายนั้นถามอย่างไรๆ ก็ไม่ยอมบอกถึงเรื่องในชาติที่แล้วของข้าพเจ้า

แต่เมื่อปี พ.ศ. 2547 เทวดาต่างๆ เห็นว่าข้าพเจ้าคงระลึกไม่ได้แน่เพราะผ่านมาหลายปีแล้วจึงทยอยบอกเรื่องต่างๆ ดังนี้ ปลายปี พ.2547 หลังจากโอปปาติกะ หรือเหล่าเทวดาที่ใกล้ชิด ไม่ยอมบอกเรื่องราวของชาติที่แล้วของข้าพเจ้า มาเป็นเวลาเกือบ 17 ปี เพื่อให้ข้าพเจ้ารู้ด้วยสมาธิตัวเอง แต่ข้าพเจ้ากลับโมเมไปโมเมมา ตามจินตนาการที่ประสงค์ฝึกหัดแต่งเรื่องสั้น เป็นนักเขียนสมัครเล่น ประมาณปี พ.2541-42 กลายเป็นเรื่องจินตนาการมากกว่า เทพเหล่านั้นก็เคยกล่าวว่า เป็นจินตนาการของข้าพเจ้าเอง แล้วบอกว่า จินตนาการนั้นจินตนาการได้ เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ แต่การเผยแพร่ออกไป จะเป็นกุศลหรืออกุศลอยู่ที่เจตนา ข้าพเจ้าจึงถามว่า อย่างนั้นข้าพเจ้าเผยแพร่ออกไป แล้วบอกให้ทราบว่า นี้เป็นเรื่องจินตนาการ เป็นเรื่องแต่ง ก็คงไม่ผิดอะไรใช่ไหมครับ?

เทพเหล่านั้นก็บอกข้าพเจ้าว่า แล้วแต่ท่าน พิจารณาเอาเองก็แล้วกันนะ!

เมื่อเวลาผ่านมา ประมาณ 7 ปี ก็คือปลายปี 2547 เทพที่ใกล้ชิดเหล่านั้นก็คงเห็นว่า ข้าพเจ้าไม่สามารถระลึกชาติก่อนได้โดยตลอดอย่างถูกต้องแล้ว จึงได้ทยอยบอกประวัติชาติที่แล้วให้ข้าพเจ้าทราบ ข้าพเจ้าจึงเห็นสมควรเอานิทานเรื่องแต่งจากจินตนาการออกไปเสีย แต่จะเล่าจากการได้ยินได้ฟังจากโอปปาติกะที่เป็นเทพชั้นดุสิตดังนี้

เมื่อมีโอปปาติกะที่เป็นเทพได้สื่อสัมผัส และท่านบอกว่า ท่านเป็นเทพบริวารของข้าพเจ้าเมื่อชาติที่แล้ว ประกอบกับด้วยความสงสัยของข้าพเจ้า ว่าในสมัยที่พระพุทธเจ้ามีพระชนม์ชีพอยู่ข้าพเจ้าเกิดเป็นอะไรกันแน่ จึงถามตรงๆ ไปว่า

"ในสมัยที่พระพุทธเจ้ามีพระชนม์ชีพอยู่ ผมเกิดเป็นอะไร?"

เทพตอบว่า "ท่านเป็นเทวดาบนชั้นดุสิต"

ข้าพเจ้า งง เพราะขัดกับที่ผมเห็นในสมาธิระดับตื้นๆ ว่าเป็น จมูกปากยื่นออกเป็นนก ตัวเหมือนคน ข้าพเจ้าจึงพูดว่า

"แต่ในสมาธิ ที่ผมเห็นเป็นครุฑ นี่ครับ"
เทพตอบว่า "เราไม่ทราบว่า ท่านไปเห็นได้อย่างไร แต่เราทราบว่าท่านเป็นเทพชั้นดุสิต และเราก็เป็นบริวารของท่านในชั้นดุสิต"

ข้าพเจ้าสงสัยเพิ่มไปอีก จึงถามไปว่า "ตามที่รู้มาว่า เมื่อเทพเจ้าของวิมานจุติ(ตาย) วิมานต่างๆ ก็ดับหมดสิ้นไปด้วยไม่ใช่หรือ? แล้วท่านยังอยู่ได้อย่างไร"

เทพตอบว่า "เราไม่ทราบ ทราบแต่ว่า เหล่าวิมานและเทพต่างๆ ยังคงอยู่เหมือนเดิม มีแต่ตัวท่านเท่านั้นที่จุติ โดยไม่บอกกล่าวบอกลาผู้ใด"

ข้าพเจ้า งง จึงถามไปว่า " ตั้งแต่สมัยที่ผมเป็นเทพชั้นดุสิต จนถึงเดี๋ยวนี้ ระหว่างนั้นผมได้ไปเกิดเป็นอะไรบ้างครับ?"

เทพก็ตอบว่า "ท่านไม่ได้ไปเกิดเป็นอะไรเลยในระหว่างนั้น"

ข้าพเจ้าก็กล่าวว่า " ผมสับสนไปหมดแล้ว เป็นอะไรกันแน่ครับ"

เทพพูดว่า "อย่างนั้นท่านต้องสื่อคุยกับเทพท่านที่ใกล้ชิด อยู่ในเหตุการณ์กับท่านตอนนั้นดีกว่า"

หลังจากนั้นก็ทำการสื่อกับเทพท่านใหม่ เมื่อมาสื่อสัมผัส แล้วท่านก็บอกว่าท่านเป็นเทพที่ดูแลวิมานและเหล่าเทพแทนไปก่อน

ข้าพเจ้าจึงถามย้ำว่า "ในสมัยที่พระพุทธเจ้ามีพระชนม์ชีพอยู่ ผมเป็นเทพชั้นดุสิตจริง และแน่นอนหรือ?"

หมายเหตุ เรื่องต่อไปนี้ได้รับทราบจากหลายท่าน ที่มาบอกให้ทราบ แต่ข้าพเจ้าขอสรุปลงว่าเป็นเพียงท่านเดียวเพื่อไม่ให้เยินเย่อ

เทพก็บอกว่า "จริง เราขอยืนยัน เมื่อพระพุทธเจ้าได้อุบัติขึ้นในโลก และเมื่อท่านและบริวารรวมเราอยู่ด้วย ได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ ขณะที่ไปถึง พระพุทธองค์ทรงตรัสแนะนำว่าท่านเป็นโพธิสัตว์บนชั้นดุสิตนำบริวารมาเพื่อประสงค์ฟังธรรมะ และเมื่อได้ฟังเทศนาจากพระพุทธองค์ ท่านบังเกิดความศรัทธามาก เมื่อกลับมายังวิมานของท่าน ท่านก็ไม่สนใจในทิพย์สมบัติอันใด ไม่สนใจแม้แต่คู่ครองของท่าน ปฏิบัติธรรมตั้งมั่นอยู่ในศีล ไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ใด ปฏิบัติตนเสมือนเป็นผู้ที่บวชถือเนกขัมมะอยู่ จนคู่ครองของท่านต้องปฏิบัติตามท่านไปด้วย

เมื่อพระพุทธเจ้าดับขันธ์ปรินิพพาน ท่านมีความอาลัยและโศกเศร้าอย่างมาก เมื่อเสร็จกิจจากขันธ์พระพุทธองค์ ท่านกลับวิมานและไปอยู่ในที่เฉพาะตน ห้ามไม่ให้ใครเข้าไปหาและเยี่ยมเป็นอันขาด แม้กระทั่งคู่ครองของท่านก็ห้ามเข้าไปหา แล้วท่านไม่รับอาหารทิพย์ นั่งเข้าสมาธิตั้งแต่นั้น คู่ครองของท่านเข้าไปหาท่านก็ไม่เปิดรับ ต้องอยู่ในบริเวณด้านนอกอย่างเดียว นางเศร้าโศกเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นนางก็ไม่รับอาหารทิพย์ และเพียรเฝ้าท่านอยู่อย่างนั้น ท่านนั่งสมาธิ และไม่รับอาหารทิพย์เป็นเวลาประมาณ 7 ราตรี แล้วท่านก็ออกจากการนั่งสมาธิ ออกมาพบกับเหล่าเทพบริวาร แต่ท่านก็ไม่ได้กล่าวอะไรเลย แล้วท่านก็หายจุติจากชั้นดุสิตมายังโลกมนุษย์ทันที ไม่มีใครตั้งตัวได้ทันเลย โดยที่วิมานและบริวารของท่านยังอยู่ครบบริบูรณ์ หลังจากนั้นคู่ครองของท่าน ก็จัดสรรให้เหล่าเทพดูแลกันตามฐานะ แล้วก็จุติหายไปจากชั้นดุสิต ไปเกิดยังโลกมนุษย์ ตามท่านไปในเวลาใกล้ๆ โดยไม่บอกกล่าวกับผู้ใดเหมือนท่าน"

เมื่อข้าพเจ้าได้ทราบเรื่องแล้ว ก็ยุติการสื่อสัมผัสในวันนั้น แต่ใจของข้าพเจ้าก็ยังสับสนอยู่ระหว่างที่เห็นว่าเป็นนก กับเทพชั้นดุสิตอยู่ และการเกิดตายระหว่างนั้นตามเรื่องที่จินตนาการที่แต่งเป็นนิยายไว้ ว่าอย่างไรน่าเป็นเรื่องใกล้เคียงกว่ากันแน่ มีจุดไหนที่จะพิสูจน์คำของเทพเหล่านั้นได้ ก็เกิดความคิดขึ้นมาในเรื่อง ประมาณ 7 ราตรี ของสวรรค์ชั้นดุสิต หลังจากพระพุทธเจ้าดับขันธ์ปรินิพพาน จะเท่ากับกี่ปีโลกมนุษย์ พอที่จะเป็นตัวพิสูจน์คำของเทพเหล่านั้นได้

จากที่ทราบว่า 1 วันของสวรรค์ชั้นดุสิต เท่ากับ 400 ปี ของโลกมนุษย์ ดังนั้น 7 วันของสวรรค์ชั้นดุสิต ก็เท่ากับ 2,800 ปีโลกมนุษย์

แต่จากคำว่า ประมาณ 7 ราตรี ก็อาจหมายความว่าไม่ถึง 7 วันเต็ม คือ 6 วันกว่า ถ้าเป็น 6 วันเต็มก็เท่ากับ 2,400 ปีโลกมนุษย์

แต่ข้าพเจ้าเกิดใน ปี พ.2502 ซึ่งก็คือเป็นระยะเวลาอยู่ที่ประมาณ 6 วันกว่าหรือประมาณ 7 ราตรี ของสวรรค์ชั้นดุสิต หลังจากพระพุทธเจ้าดับขันธ์ปรินิพพาน ตามที่เทพชั้นดุสิตเหล่านั้นบอกก็ใกล้เคียงกับความเป็นจริงตามข้อมูลที่มีอยู่ ที่เปรียบเทียบเวลามนุษย์โลกกับเทวดาชั้นต่างๆ ตามตำรา ซึ่งภรรยาข้าพเจ้าเขาไม่มีความรู้วันเวลาของสวรรค์ชั้นต่างๆ เลย

เมื่อข้าพเจ้าได้ทราบดังนี้ ความสงสัยอยากทราบถึงความเป็นอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต ก็บังเกิดขึ้นดั้งนั้นเมื่อมีโอกาสสื่อสัมผัส ก็จะถามซอกแซกไปเรื่อย
มีอยู่ครั้งหนึ่ง มีโอกาสได้สื่อกับเทพที่ใกล้ชิดอีก จึงได้ถามเทพนั้นว่า "ในชาติที่แล้วขณะที่ผมเป็นเทพชั้นดุสิต ผมมีบริวารเท่าใดครับ?"

เทพนั้นตอบว่า "มีอยู่ สองพันท่านที่ติดตามใกล้ชิด"

ข้าพเจ้าจึงถามว่า "แล้ววิมานและบริเวณนั้นกว้างใหญ่ไหมครับ"

เทพนั้นตอบว่า "กว้างใหญ่พอประมาณ"

ข้าพเจ้าจึงถามว่า "แล้วคู่ครองของผมอยู่วิมานเดียวกับผมหรือ?"

เทพนั้นตอบว่า " อยู่คนละวิมาน คู่ครองของท่านมีวิมานของตนเองบังเกิดขึ้น ไม่ไกลจากอาณาบริเวณของท่าน และมีเหล่าเทพใกล้ชิด 500 ท่าน และท่านทั้งสองก็ไปๆ มา ระหว่างวิมานทั้งสองเป็นประจำ"

ข้าพเจ้าอยากทราบความเป็นอยู่ของเหล่าเทพและวิมานจัดเรียงกันอย่างไร? จึงถามไปว่า "ท่านอาศัยอยู่ในวิมานที่ผมอยู่ใช่ไหม?"

เทพนั้นตอบว่า "เราไม่ได้อยู่ในกลุ่มเทพ สองพันท่านนั้น แต่อยู่ในวิมาน ในอาณาบริเวณของท่าน"

ข้าพเจ้าจึงถามเทพนั้นว่า "อย่างนั้นในอาณาบริเวณวิมานของผม ก็มีวิมานอยู่อีกหรือ?"

เทพนั้นตอบว่า "ก็เหมือนหมู่บ้าน สมมุติว่านี้เป็นบ้านท่าน ก็มีบ้านอื่นอยู่ถัดกันไปรายล้อม เป็นหมู่บ้าน"

ข้าพเจ้าจึงถามว่า "อย่างนั้น ก็มีเทพจำนวนมากที่อยู่รายล้อม"

เทพนั้นตอบว่า "ก็มีมากพอประมาณ"

ข้าพเจ้าถามว่า "แล้วสวรรค์ชั้นดุสิตกว้างไหม"

เทพนั้นตอบว่า "เราก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ากว้างใหญ่เพียงไหน"

ข้าพเจ้าจึงถามว่า "แล้วท่านได้ไปเที่ยวชม ที่วิมานอื่นๆ ในพิภพดุสิตบ้างไหม?"

เทพนั้นตอบว่า "เราไม่ได้ไปไหน ในที่อื่นเลย"

ข้าพเจ้าจึงถามว่า "เอาอย่างนั้นท่านไม่เบื่อหรือ?"

เทพนั้นตอบว่า "ไม่หรอกท่าน เพราะในเหล่าวิมานที่อยู่อาศัย ก็มีทุกอย่างพร้อมแล้ว ไม่ได้ลำบากตรงไหนเลย เทพทั้งหลายบนชั้นดุสิตก็เป็นเทพที่มีศีลมีธรรม โดยธรรมชาติแล้วกิเลสหยาบนั้นเบาบางมาก ไม่เหมือนมนุษย์ที่ต้องแสวงหา จึงไม่มีกิจอันใดที่จะต้องไปเที่ยวชมอย่างนั้น ยกเว้นจะมีแต่ภารกิจที่ท่านจะให้ไปทำเมื่อท่านเป็นเทพชั้นดุสิต แต่ไม่เคยมีกิจใดที่ท่านเรียกใช้เลย ตั้งแต่เราเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตนี้"

ข้าพเจ้าก็คิดว่าก็จริงนะแล้วกล่าวว่า "ก็จริงเหนอะ ขนาดผมอยู่ในเมืองใหญ่ ก็ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหน วันๆ หนึ่งก็อยู่กับบ้านและที่ทำงาน"

ข้าพเจ้าจึงพูดถามต่อ "อย่างนั้นในตอนนั้นผมก็สามารถใช้ให้เทพในเหล่าวิมานนั้น ได้ทุกท่านสิ! โอ ผมเป็นใหญ่ในที่นั้นหรือ?"

เทพนั้นตอบว่า "ใช่ ท่านเป็นใหญ่ เปรียบดังราชาของเทพเหล่านั้น มีภารกิจอันใดจะใช้เทพองค์ไหนก็ได้ในอาณาบริเวณของท่าน แต่ในปัจจุบันนี้ท่านเป็นมนุษย์ ที่มีฐานะตามเป็นจริงของภพภูมิต่ำกว่าเรามาก"

ข้าพเจ้าย้อนดูตัวเองแล้วพูดว่า " อือๆ จริงๆ เหนอะ"

เพราะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ทำให้ข้าพเจ้าแต่งกลอนได้บทหนึ่งคือ

 

นอบน้อมปฏิบัติตามพุทธองค์                         จวบจนทรงดับขันธ์ปรินิพพาน
ด้วยศรัทธาแน่นในกมลสันดาน                      จึงอธิษฐานงดทิพย์กะยาหาร

ถวายชีพเป็นพุทธบูชา                         น้อมบารมีมาเพื่อโพธิญาณ
นั่งสมาธิสงบนิ่งในทิพย์วิมาน                         จนเนินนานจวนชีพจะดับขันธ์

จึงเคลื่อนกายหาเทพบริวาร     ด้วยประมาณเห็นพักตร์ก่อนจากกัน
แล้วทำการอธิมุติดับขันธ์                    ก็เป็นอันสำเร็จสมดังบารมี

   หมายเหตุ เมื่อประมาณต้นปี 2552 ก็ได้มีโอกาส ได้ลองเข้าสมาธิถอยลำดับชาติแห่งต้น ที่เป็นมนุษย์ในปัจจุบันนี้ ก็ได้เห็นว่าชาติที่แล้วเป็นเทวดา มีอาภรณ์ที่สวมใส่บางเบาสบาย ทรงนิมิตนั้นอยู่สักพักหนึ่ง ก็ถอยลงไปอีกก็เห็นเป็นปีกสีขาวขนาดใหญ่ ที่แผ่ออกกำลังบินอยู่ อย่างอิสระ แล้วนิมิตสมาธินั้นคงอยู่แค่นั้นแล้วถอนออกมาเป็นปกติ

จึงทราบชาติภพของตนเองลำดับไปถึง 2 ชาติ คือชาติที่แล้วนั้นได้เกิดเป็นเทพเทวดา และชาติถัดจากเทพเทวดานั้นได้เกิดเป็นนกสีขาวปีกกว้าง

 

*********** ผูกเป็นเรื่องตามจินตนาการ ******

จึงบังเกิดกลอนและบทความช่วงก่อนหน้านั้นอีกส่วนหนึ่ง ส่วนต่อไปนี้จริงหรือเท็จก็กำหนดไม่ได้เพราะออกจากตัวเองที่ปรุงแต่งไป ตามจินตนาการ ไม่ใช่เกิดจากญาณจากสมาธิ

ได้มาเกิดเป็นนกสีขาวปีกกว้างใหญ่เสวยกรรมในฐานะสัตว์เดรัชฉาน ออกหากินตามประสาสัตว์อยู่ วันหนึ่งขณะบินอยู่ ถูกลูกธนูปักตรงโคนปีกแห่งตน ตกจากกลางอากาศ แทบจะสิ้นชีวิต

แล้วมีเจ้าชายท่านหนึ่งได้ช่วยรักษา ประคับประคองไว้ แล้วได้กล่าวธรรมะเตือนสติเหมือนดังพระพุทธพจน์ว่า

 

“เจ้าจงอย่าเบียดเบียดชีวิตผู้อื่นอีกเลย เมื่อเจ้าไม่เบียดเบียนชีวิตผู้อื่น วิบากกรรมที่เป็นผลให้ผู้อื่นเบียดเบียดชีวิตเจ้าก็จะไม่มี”

เมื่อนกนั้นหายดีแล้ว เจ้าชายองค์นั้นทรงปล่อยให้เป็นอิสระ และได้เตือนว่า

“เจ้าจงรักษาตนให้พ้นภัย อย่ามาหากินในถิ่นมนุษย์อีกเลย”

นกนั้นก็บินจากไปด้วยความอาลัยต่อผู้มีคุณสูงนั้น.

 

เมื่อเป็นนกอยู่นั้นหนา              เหินเวหาถูกศรปักตรง

เจ็บปวดปีกจงร่อนลง                          พระองค์ทรงช่วยและให้ธรรม

เสียงแห่งธรรมนั้นจับใจ                      เราเลื่อมใสในเนื้อธรรม

ระลึกถึงธรรมเป็นประจำ                    รักษาธรรมจนเนินนาน

 

ไม่เบียดเบียนแม้ใครใคร                      นำใส่ใจเป็นกรรมฐาน

เวลาผ่านไปตามกาล                            จนชีวาวานหมดสิ้นไป

ผุดเกิดเป็นเทพเทวา                             บุญนั้นหนานำพาไป

เสวยสุขอย่างสดใส                              แล้วส่งใจเฝ้าพระองค์

 

( อาจจะด้วยบุญบารมีที่สร้างสมมา เมื่อได้อธิษฐานจุติลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ก่อนที่พระบรมมหาโพธิสัตว์ ลงจุติลงมาเกิดเพื่อตรัสรู้เป็นพระศรีศากยมุนีโคตมพุทธเจ้า วิมานและเหล่าบริวารนั้นคงอยู่เหมือนเดิม โดยเทพบริวารไม่ใส่ใจหรือรู้ว่าบางช่วงเจ้าวิมานนั้นได้อธิษฐานลงไปเกิดเป็นมนุษย์แล้ว เพราะเป็นเรื่องปกติ จึงเสมือนครองอยู่ที่วิมานตลอด เมื่อเกิดเป็นมนุษย์และอาจจะด้วยวิบากกรรมเก่าหรือกรรมที่เศร้าหมองที่ได้ทำใหม่ ขณะที่เป็นมนุษย์มาตัดรอนตอนสิ้นชีวิต ด้วยวิบากกรรมพาให้เกิดเป็นนก แล้วได้พบฟังคติธรรมจากเจ้าชายเตือนสติกลับไปเกิดเป็นเทวดาในวิมานเดิมนั้น ในเวลาที่อธิษฐานมาเกิดเป็นคนแล้วเป็นนกเวลาในมนุษย์โลกประมาณ 100 ปี ซึ่งเสมือนเป็นเวลาเสี้ยวของหนึ่งวันในสวรรค์ชั้นดุสิต จึงเสมือนว่าเจ้าของวิมานหาได้ไปไหนเลย หลังจากนั้น จึงได้ลงมาเฝ้าฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าอีกครั้ง จนศรัทธาเป็นล้นพ้น และถ้าอธิษฐานมาเกิดลงบนมนุษย์โลกก็ไม่ทันแล้ว จึงถือศีลคล้ายภิกษุสงฆ์บนวิมานนั้นเอง และงดทิพย์กระยาหาร เมื่อพระพุทธเจ้าดับขันธ์นิพพาน เพื่อสร้างบารมีอย่างยิ่งยวดต่อมาเป็นเวลาถึงประมาณ 7 ราตรี จึงเป็นที่ทราบกันของเหล่าเทวดาและบริวารทั้งหลาย)
**** จบส่วนข้อมูลที่จินตนาการขึ้นมาเอง ที่ไม่ได้เป็นข้อมูลจากสมาธิหรือจากผู้อื่นโดยตรง ****

 

แต่ข้อมูลจากเทพพระอริยะในการสื่อสัมผัสช่วงหลังท่านเปรยให้ทราบว่า ในตอนที่พระพุทธเจ้ามีพระชนม์ชีพอยู่นั้นข้าพเจ้าเกิดเป็นสัตว์ แต่ไม่บอกเจาะจงว่าเป็นสัตว์อะไรอย่างแม่นมั่นบางท่านก็ว่าเป็นช้าง(ก็สับสนน่าดู) ได้พบพระพุทธเจ้าและพระองค์ให้ธรรมะ และฟังธรรมะของพระพุทธเจ้ารู้ความ หลังจากนั้นอยู่ในศีลในธรรม จนสิ้นชีวิต แล้วไปเกิดเป็นเทพชั้นดุสิตดังเดิม ข้าพเจ้าจึงนึกถึงญาณแห่งตนที่ปรากฏว่าเป็นนก ก็เกิดจินตนาการไปจนจบ.

และในช่วงนั้น ตอนสื่อสัมผัสสนทนาธรรมะเทพที่ใกล้ชิด ก็เตือนบอกข้าพเจ้าว่า “แม้แต่พระอินทร์ในจักรวาลอื่น ก็ยังติดตามเฝ้ามองท่านโดยตลอด” เทพใกล้ชิดนั้นบอกข้าพเจ้าถึงสองครั้งในเวลาต่างกัน แต่ข้าพเจ้าหาได้สนใจและคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ เรื่องจักรวาลอื่นเรื่องพระอินทร์จากจักรวาลอื่นเป็นไปไม่ได้แค่ข้อมูลตอนนี้ก็สับสนมากแล้ว จึงหาได้สนใจและเมื่อเวลาผ่านไปข้าพเจ้าก็ลืมไปอย่างสนิท หลังจากนั้นเมื่อสื่อสัมผัสสนทนาธรรมะจากเทพพระอริยะแล้วพอมีเวลาข้าพเจ้าก็สนทนากับเทพบริวารเก่าเป็นประจำ แต่ประมาณปลายปี 2547 เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ในขณะที่ข้าพเจ้า กำลังสนทนากับเหล่าเทพบริวารเก่า ดังนี้.

ข้าพเจ้าก็ชวนคุยเรื่องต่างๆ ที่ข้าพเจ้าสงสัย เรื่องชาติก่อนข้าพเจ้าเป็นอย่างไร? อยู่อย่างไร? แล้วค่อยสื่อสัมผัสกับเทพบริวารอื่นตามลำดับอีกหลายท่าน แล้วอยู่ๆ เกิดมีเทพนารีเข้ามาสื่อสัมผัส แบบไม่ได้รับเชิญ พูดจาดีและอ่อนหวานในเชิงตัดพ้อว่า "เราเป็นเทพนารีซึ่งเคยเป็นภรรยาท่านผู้หนึ่งซึ่งมีทั้งรูปร่างหน้าตาสวยงามมีชาติกุลเป็นถึงราชธิดา แต่ท่านกลับไม่รักเรากลับไปรักหญิงชาวป่า ซึ่งเทียบกับเราไม่ได้เลย ทั้งความสวยงามและชาติตระกูล"

ข้าพเจ้าเป็นงงไปเลยและคิดว่า ภรรยาที่เป็นมนุษย์ที่เขาสื่อให้อยู่นี้เขาคิดอย่างไร ความคิดข้าพเจ้าก็วิ่งปรูดทันทีว่าจะตอบโต้อย่างไร? จึงพูดไปว่า "ในชาติก่อนนั้นหญิงชาวป่าคนนั้นอาจเป็นคนที่อยู่ในศีลในธรรม และรักเรามากก็ได้ เราจึงไปอยู่ไปรักกับเขา"

เทพนารี ก็สวนขึ้นมาว่า "เรานี้รักท่านมากเป็นที่สุด ยอมสละให้ท่านได้ทุกอย่าง ให้ท่านมากกว่าหญิงชาวป่าผู้นั้นให้ท่านเสียอีก เป็นไหนๆ แต่ท่านสละทิ้งทุกอย่างไปรักไปอยู่กับหญิงชาวป่าผู้นั้น"

ข้าพเจ้าก็เอะใจว่ามาแปลกจึงกล่าวไปว่า "หญิงชาวป่าผู้นั้นอาจดี มีคุณธรรมและอาจยอมสละชีวิตเพื่อผมในชาตินั้นก็ได้"

เทพนารีก็สวนกลับมาอีกว่า "เรานี้ก็รักท่านยอมสละชีวิตเพื่อท่านได้เช่นกัน ท่านก็ยังสละเราไปได้ไปรักกับหญิงชาวป่าไม่มีสกุล เรานี้แค้นท่านมากแต่ก็ยังรักท่านอยู่"

โอ๊ย.. ข้าพเจ้าตั้งรับไม่ทันจึงตอบไปว่า “หญิงชาวป่าผู้นั้นอาจมีคุณธรรมที่พิเศษที่ตรึงใจต่อผมในชาตินั้นก็ได้”

เทพนารีก็สวนกลับมาอีกว่า "แล้วผู้หญิงที่เป็นมนุษย์คนนี้ละ ไม่ได้สะสวยไม่ได้มีฐานะดีกว่าเราเลย ท่านรักเขาด้วยเหตุใด"

อุ่ยเล่นถามกันอย่างนี้เราจะตอบอย่างไรดี จึงพูดออกไปว่า "ก็เขาไม่ได้รังเกียจฐานะข้าพเจ้าเมื่อพบกันและรักข้าพเจ้า เขายอมสละหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อผมได้ ผมจึงรักเขา"

เทพนารีก็สวนกลับถามแบบเอาจริงเอาจังมาว่า "ระหว่างเราที่เป็นเทพนารี กับมนุษย์ผู้หญิงนี้ท่านรักใครมากกว่ากัน?

ถามอะไรไม่รู้แปลกๆ ข้าพเจ้าจึงตอบไปว่า "ผมก็รักภรรยาที่เป็นมนุษย์นี้มากกว่าซิ"

เทพนารีถามว่า "ท่านรักอะไรในตัวผู้หญิงนี้"

ข้าพเจ้าตอบ "ผมรักเพราะเขาติดตามผม ยอมสละประโยชน์ตนเพื่อประโยชน์ให้ผมสร้างคุณความดีได้"

เทพนารีกล่าวอย่างตัดพ้อและขุ่นเคืองว่า "แม้แต่หญิงมนุษย์นี้ท่านก็ยังรักมากกว่าเรา"

แล้วเทพนารีกล่าวต่อว่า "เราขอถามท่านว่า ระหว่างหญิงผู้นี้กับพุทธภูมิท่านรักอะไรมากกว่ากัน"

อุ่ยถามปัญหาอะไรก็ไม่รู้ ข้าพเจ้าจึงตอบว่า "ผมต้องรักพุทธภูมิหรือสัพพัญญุตญาณมากกว่าอยู่แล้ว"

เทพนารีสวนกลับมาแบบข้าพเจ้างงเลยว่า "ระหว่างภรรยาท่านต้องตาย กับพุทธภูมิ ให้เลือกว่าท่านจะเลือกช่วยชีวิตภรรยาท่าน หรือพุทธภูมิ"

โอ๊ย.. ถามอะไรอย่างนั้น ข้าพเจ้าจึงตอบว่า "เป็นเรื่องสมมุติ ไม่ใช่เรื่องจริงแล้วผมจะเลือกทำไม?"

เทพนารีถามย้ำ และกล่าวอย่างหนักแน่นและดุ "ท่านต้องเลือก"

ข้าพเจ้าจึงตอบแบบเชิงวิชาการว่า "ถ้ากล่าวตามสัจจะ ตามเป็นจริงแล้ว ผมก็ต้องเลือกพุทธภูมิ"

เมื่อเทพนารีได้ฟังดังนั้น ก็กล่าวเยอะเย้ยทันทีว่า "เราไม่เสียใจแล้ว ท่าน(ภรรยาข้าพเจ้า)ดูซิ เขารักพุทธภูมิมากกว่าท่านเสียอีก ท่านไม่น้อยใจเสียหรือ?"

ภรรยาที่กำหนดจิตอย่างสงบนิ่งแยกจากกายเพื่อสื่อสัมผัส ก็ถอนออกมาพูดว่า "แม้ร่างที่เราอุทิศเพื่อการสื่อสัมผัสนี้ เราก็อุทิศเพื่อประโยชน์เขา แล้วเราจะไปเสียใจน้อยใจที่เขารักพุทธภูมิมากกว่าเราได้อย่างไร?"

เมื่อภรรยากล่าวจบก็กำหนดจิตสงบนิ่งอีก แล้วภรรยาจากที่นั่งขัดสมาธิก็ลุกขึ้นนั่งคุกเข่าต่อหน้าข้าพเจ้า พนมมือขึ้นกราบแล้วกล่าวว่า "เราเป็นองค์อมรินทร์ แปลงมาเพื่อลองใจท่าน เราเห็นความมั่นคงของท่านแล้วเราศรัทธายิ่ง และเราขอขมาต่อท่านที่เราได้มาลองใจท่าน" แล้วก้มลงไหว้ข้าพเจ้าเพื่อขอขมา แล้วก็จากไป

ภรรยาก็แปลกใจ ข้าพเจ้าก็แปลกใจ ว่ามีอย่างนี้ด้วยหรือ?

 

เมื่อพระอินทร์ไปแล้ว ข้าพเจ้าและภรรยาต่างก็แปลกใจ แล้วข้าพเจ้าถามภรรยาว่า "ตอนสื่อสัมผัส เขากล่าวถึงหญิงอื่น และพาดพิงมาถึงเธอ เธอไม่มีปฏิกิริยาจะตอบโต้บ้างหรือ?"

ภรรยาตอบว่า "ก็กำหนดใจให้สงบนิ่งแยกออกไปต่างหาก เพราะอยากจะรู้อยู่เหมือนกันว่าจะเป็นอย่างไรต่อ"

ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่าอย่างนั้นลองสัมผัสกับเทพที่ใกล้ชิดถามดูสิว่าเกิดอะไรขึ้น ภรรยาก็เข้าสมาธิแล้วสื่อสัมผัส หลังจากมาสื่อสัมผัสแล้วทักทายกันเป็นที่รู้กันว่าเป็นใครแล้ว ข้าพเจ้าก็ถามว่า "ท่านที่แปลงมาเป็นพระอินทร์จริงหรือ?"

โอปปาติกะตอบ "เป็นพระอินทร์จริงๆ "

ข้าพเจ้าจึงถามต่อไปว่า "ตามที่อ่านในพระไตรปิฎก พระอินทร์เป็นถึงโสดาบัน แล้วท่านจะทำอย่างนี้หรือ? ทำเพื่ออะไร?"

โอปปาติกะตอบ "ท่านเป็นพระอินทร์จริง แต่เรื่องอื่นที่เหลือเราไม่อาจบอกท่านได้ อย่าให้เรากล่าวเลย ไม่ใช้กิจของเราที่จะกล่าว"

ข้าพเจ้าจึงหยุดถาม แล้วยุติการสื่อเพียงแค่นั้น และไม่ได้สื่อสัมผัสอีกนาน

 

ต่อมาอีกประมาณเดือนกว่า ภรรยาข้าพเจ้าประสงค์ฟังธรรมะจากเทพอริยะ แต่ข้าพเจ้ากำลังนอนจะหลับ ข้าพเจ้าจึงต้องลุกขึ้นมาเป็นคู่สนทนา ซึ่งข้าพเจ้าก็เคยถามภรรยานานมาแล้วว่า "เธอสื่อสัมผัสเอง ฟังเอง ถามเอง ได้หรือไม่?"

ภรรยาตอบว่า "ทำได้แต่ไม่มีความมั่นใจ เพราะไม่สามารถแยกได้ชัดเจน ระหว่างพูดเองและถามเองในใจ นั้นแยกได้ยาก เหมือนกับอุปาทานไปเอง ต่างกับการสื่อเพื่อสนทนากับเธอ ใจเราสงบนิ่งแยกต่างหากโดยสิ้นเชิง ปากพูดก็พูดไปเองไม่ได้คิด เวลาถูกถามปากก็ตอบไปเอง โดยไม่คาดคิดมาก่อน สามารถแยกได้ชัดเจนกว่า"

เมื่อสื่อกับเทพอริยะท่านก็สอนธรรมะ สรุปรวมลงอยู่ที่ การมีสติ ความไม่ยึดมั่นถือมั่น การปล่อยวาง การเกิดดับ ของสังขาร หรือรูปและนาม หลังจากนั้นข้าพเจ้าถามเรื่องสัพเพเหระ ในสิ่งที่ข้าพเจ้าอยากรู้ต่างๆ ร่วมเวลาก็เป็นชั่วโมงๆ ก็รับพรแล้วยุติการสื่อสัมผัส

เมื่อเทพพระอรหันต์ ท่านได้เทศนาและสนทนาธรรมะเสร็จท่านก็ถอยไป จึงเลิกการสื่อสัมผัส ข้าพเจ้าล้มตัวลงนอนเพราะเที่ยงคืนกว่าแล้ว แต่ภรรยาก็บอกว่าเดี๋ยวๆ ยังมีผู้สะกิดใจประสงค์จะสนทนาต่ออีก ข้าพเจ้าก็ต้องลุกขึ้น พูดว่า เอาก็ได้ซิ

หมายเหตุ เป็นการพูดคุยสนทนากันในทำนองนี้ จึงหาได้ตรงกันทุกคำทุกประโยค

เมื่อได้ทักทายถามกันกับผู้ที่ประสงค์สนทนา ข้าพเจ้าก็ประหลาดใจมาก เพราะท่านบอกว่า “เราคือองค์อมรินทร์ ได้เห็นท่านมาตลอดและได้เกิดความศรัทธาในความตั้งมั่นของท่านอย่างมาก แต่เรายังไม่แน่ใจ“

ข้าพเจ้าจึงถามต่อไปว่า “ท่านเป็นองค์อมรินทร์ องค์เดียวกับที่มาลองใจผมเมื่อประมาณ เดือนกว่ามาแล้วใช่ไหม

พระอินทร์ตอบว่า “ใช่ และหลังจากนั้นมาเราเฝ้าติดตามท่านอย่างใกล้ชิดตลอด และวันนี้เมื่อพระอรหันต์ได้เทศนาจบ ความศรัทธานั้นมากยิ่งทวีคูณ ทนอยู่ไม่ได้จึงต้องมาสนทนากับท่าน”

ข้าพเจ้าจึงถามต่อด้วยความสงสัยว่า “ท่านเป็นองค์อมรินทร์ ท่านเดียวกับที่เป็นพระโสดาบันในสมัยที่พระพุทธเจ้ามีพระชนม์ชีพหรือเปล่า

พระอินทร์ตอบว่า “เป็นคนละท่านกัน องค์อมรินทร์องค์ก่อนนั้น ท่านได้เปลี่ยนภพเปลี่ยนฐานะด้วยธรรมบารมีที่สูงขึ้นไปแล้ว เราจึงได้ขึ้นมารับตำแหน่งเป็นองค์อมรินทร์แทน”

หมายเหตุ องค์อมรินทร์ท่านกล่าวจริงของท่าน ว่าท่านเป็นองค์อมรินทร์และขึ้นมารับตำแหน่งจากองค์ก่อนแต่เป็นคนละจักรวาลกันกับจักรวาลนี้ แต่ข้าพเจ้าเข้าใจผิดว่าท่านเป็นองค์อมรินทร์ในจักรวาลที่เราอยู่นี้ ที่องค์อมรินทร์เคยเป็นพระโสดาบันที่กล่าวถึงในพระไตรปิฎก และข้าพเจ้าก็เข้าใจผิดว่าท่านขึ้นมารับตำแหน่งแทนเป็นองค์อมรินทร์ของจักรวาลนี้ ตั้งแต่นั้นมาเป็นเวลาถึง 3 ปี จนถึงวันที่ 14/10/50 ปัญหาต่างๆ ก็ได้คลายให้ทราบว่าเป็นคนละองค์กันเพราะเป็นคนละจักรวาลกัน และพระอินทร์หรือองค์อมรินทร์ที่เป็นพระโสดาบันที่มีการกล่าวถึงในพระไตรปิฎกที่ปกครองชั้นดาวดึงส์ในจักรวาลนี้ พระองค์ก็ยังอยู่ไม่ได้เปลี่ยนภพภูมิใดๆ เลย นับว่าเป็นการเข้าใจผิดของข้าพเจ้าอย่างใหญ่นักตลอดเวลา 3 ปี ที่ผ่านมา

ข้าพเจ้าจึงถามว่า “ท่านมาสนทนาในเรื่องใดหรือ

พระอินทร์ตอบว่า “เราเห็นท่านและสิ่งที่ท่านกระทำ ศรัทธาในความตั้งมั่นของท่านทั้งสอง จึงปรารถนาจะร่วมช่วยเหลือท่านทั้งสอง แต่อีกใจหนึ่งปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้า ทั้งสองอย่างนี้ขัดแย้งกันในจิตของเรามาตลอดตั้งแต่เมื่อได้เฝ้ารับเรื่องของท่านทั้งสองมาแต่ต้น”

พระอินทร์จึงถามข้าพเจ้าว่า “เราอยู่ระหว่างเหยียบเรือสองแคม และด้วยปัญญาของท่าน ท่านเห็นว่าเราควรพิจารณาอย่างไรดี

ข้าพเจ้าก็อึ้งนิ่งไปพักหนึ่งความคิดก็แวบขึ้นมาถามพระอินทร์ไปว่า “ท่านปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าด้วยความเป็นเทพท่านรู้หรือเปล่าว่าท่านได้รับพุทธพยากรณ์เป็นพระนิยตโพธิสัตว์มาแล้วหรือยัง ? ”

พระอินทร์ก็นิ่งไปแล้วตอบว่า “เมื่อทบทวนดีแล้วเรายังไม่เคยได้รับพุทธพยากรณ์เป็นพระนิยตโพธิสัตว์มาก่อนเลย แต่อาจจะได้รับพุทธพยากรณ์ในกาลเบื้องหน้าอันใกล้ก็ได้ แต่เมื่อมาได้เห็นท่าน เห็นความตั้งมั่นของท่าน และเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นกับท่าน จิตใจเราประสงค์ช่วยท่านร่วมสร้างบารมีกับท่าน แต่ยังลังเลอยู่ จึงมาสนทนากับท่าน”

ข้าพเจ้าจึงพูดไปว่า “อย่างนั้นก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของท่านแล้วครับ ขึ้นอยู่ที่จิตใจของท่าน ผมไม่สามารถชี้นำหรือชักชวนได้”

หลังจากนั้นพระอินทร์ก็นิ่งเงียบไปนาน จนข้าพเจ้าคิดว่าเลิกสนทนาไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงถามภรรยาว่า “ไปแล้วเหรอ

ภรรยาจึงพูดว่า “ยังอยู่ ยังอยู่” แล้วเข้าสมาธินั่งนิ่งต่อ

สักพักหนึ่งพระอินทร์ก็สนทนาต่อพูดว่า “เราได้พิจารณาแล้ว เราตัดสินใจแล้ว เรามีความศรัทธาต่อความตั้งมั่นอันเป็นที่เที่ยงแท้ของท่าน และการดำเนินไปของท่านมาตลอด และแม้เราได้ร่วมสร้างบารมีกับท่านเราก็ย่อมสามารถช่วยสรรพสัตว์ทั้งหลายได้อย่างมากมายในเบื้องหน้า และเมื่อยังไม่มีผู้ใดในชาตินี้ แสดงตนตั้งสัจจะอธิษฐานว่าปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายในสมัยท่านเลย”

ข้าพเจ้าได้ฟังแล้วข้าพเจ้า งงๆ นิดหนึ่ง แล้วพระอินทร์พนมมือขึ้นกล่าวสัจจะว่า “ดังนั้นต่อหน้าพระอรหันต์ และเหล่าเทพทั้งหลาย เราขอตั้งสัจจะอธิษฐาน ปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายมีฤทธิ์เป็นเลิศของพระโพธิสัตว์องค์นี้ด้วยเทอญ”

ข้าพเจ้าก็กล่าวคำ “สาธุ”

หลังจากนั้นพระอินทร์ก็พูดเปรยๆ กับข้าพเจ้าว่า “เราได้เลือกแล้ว เราได้ตั้งมั่นแล้ว”

แล้วถอนออกไป พักใหญ่ ข้าพเจ้าคิดว่าหมดแล้วสะกิดภรรยา แต่ภรรยาพูดว่า “ยังมีอีก ยังมีอีก”

แล้วเหล่ามเหสีและบุตรของพระอินทร์ ต่างมากล่าวแสดงตนกล่าวสัจจะว่า “จะติดตามร่วมสร้างบารมีกับองค์อมรินทร์ เป็นพระอริยะในสมัยเดียวกัน” ทีละท่านทีละท่าน ข้าพเจ้าก็กล่าว สาธุ ทีละท่าน

แล้วก็มีท่านหนึ่งเข้ามากล่าวสัจจะวาจาว่า “เราเป็นตัวแทนผู้ติดตามองค์อมรินทร์ สองหมื่นห้าพันท่าน ต่างก็มีจิตตั้งสัจจะอธิษฐานร่วมกันสร้างสมบารมีร่วมกับองค์อมรินทร์ เป็นพระอริยะร่วมสมัยเดียวกับท่านองค์อมรินทร์”

ข้าพเจ้าก็กล่าว “สาธุ” หลังจากนั้นพระอินทร์เข้ามาสนทนาว่า “ภารกิจที่เราลังเล มาเป็นเวลานานก็ได้จบแล้ว ท่านทั้งสองควรได้พักผ่อน ถนอมร่างกายของท่าน” แล้วยุติการสื่อสนทนา

แต่ข้าพเจ้ายัง งง ๆ จับต้นชนปลายไม่ถูก เพราะคิดไปว่า ผู้ที่ปรารถนามี ฤทธิ์ เป็นเลิศ ได้กล่าวสัจจะวาจาแล้วเมื่อ เกือบ 20 ปีมาแล้ว ก็คือเทวดา ที่รักษาอยู่กับตัวข้าพเจ้า ไม่เป็นการชนกันหรือ ข้าพเจ้าจึงให้ภรรยาสื่อสัมผัสกับ เทวดาอารักที่อยู่กับตัวข้าพเจ้า หลังจากทักทายว่าเป็นใครแล้ว

ข้าพเจ้าจึงถามท่านว่า “ไม่ใช่ว่า ท่านได้เคยปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายที่มีฤทธิ์เป็นเลิศแล้วหรือ

เทวดาอารักตอบว่า “ตอนนั้นเราไม่ได้อาจเอื้อมปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย เราปรารถนาเป็นพระอรหันต์ผู้แสดงฤทธิ์เป็นเลิศ”

ข้าพเจ้าก็ถึงบางอ้อ ...... จึงจะเลิกการสนทนา แต่แฟนบอกว่ายังมีอีกท่าน จึงทักทายถามท่านที่มาใหม่ ก็ทำให้ข้าพเจ้าประหลาดใจ

เมื่อท่านบอกว่า “เราเป็นพระพรหมผู้ซึ่งปรารถนาเป็นอัครสาวกผู้มีปัญญาเลิศในสมัยท่าน เพื่อมาบอกให้ท่านทราบว่า ตามที่เราระลึกได้นั้นตั้งแต่อดีตชาติอย่างมากมาย เรา ท่าน และ องค์อมรินทร์องค์นี้นั้น ได้เกิดร่วมกันสร้างสมบารมีมายาวนานแล้ว ไม่ใช่พึ่งมาเกิดแต่ในปัจจุบันชาตินี้ การที่องค์อมรินทร์ตั้งสัจจะอธิษฐานปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายในสมัยท่าน เป็นสิ่งที่ควรแล้ว”

หลังจากนั้นพระพรหมก็จากไป ข้าพเจ้าก็มองดูนาฬิกา ประมาณตี 2 แล้วจึงล้มตัวลงนอน ตื่นมาอีกที ก็ประมาณ 7.30 น. เข้าห้องน้ำเสร็จภรรยาก็บอกว่า ยังมีผู้สะกิดสื่อสัมผัสอีก ซึ่งเป็นเช้าวันเสาร์ ข้าพเจ้าก็ว่า “เอาก็เอา”

หลังจากนั้น โอปปาติกะ ก็เข้ามาตั้งสัจจะอธิษฐานต่อหน้าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็กล่าวสาธุ ทีละท่านๆ ๆ ๆ จนถึงเวลา ประมาณ 9.00 จึงยุติ ได้ทำกิจวัตรประจำวัน.. หลังจากนั้นเป็นเวลาติดต่อ 1-2 เดือน ก็โอปปาติกะมาตั้งสัจจะอธิษฐาน เป็นประปราย แล้วยุติหายไป จนแทบลืมเลือน

 

ข้าพเจ้าจึงตั้งข้อสังเกตดังนี้ เมื่อประมาณ เกือบ 18 ปี จากก่อน เรื่องนี้เกิด(เมษายน พ.ศ. 2548) ก็คือ พ.ศ. 2530-31 นั้น เทพพระอรหันต์ ก็ได้เชิญชวนผู้ที่ปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย(เพราะผู้ที่ปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องขวาได้ปรากฏให้ทราบแล้ว) ให้ออกมาแสดงสัจจะอธิษฐาน หลายครั้งหลายคราแต่ไม่มีใครกล้าแสดงสัจจะอธิษฐาน จนข้าพเจ้า งงๆ ในพฤติกรรมของพระอรหันต์ แต่เมื่อถึงช่วงนี้ข้าพเจ้าก็ถึงบางอ้อ.... คือท่านรู้อยู่แล้ว แต่กระตุ้นเพื่อให้ผู้ปรารถนาอัครสาวกเบื้องซ้าย นั้นแสดงตนออกมากล่าวเอง แต่ก็ไม่สำเร็จในสมัยนั้น เพราะยังลังเลไม่รู้ตนในฐานะ และพระพรหมผู้ที่ปรารถนาอัครสาวกเบื้องขวาก็เก็บงำเรื่องไว้โดยไม่กล่าวสิ่งใดทั้งที่พอรู้ได้ด้วยอภิญญาของท่าน แต่ปล่อยให้เรื่องต่างๆ สุกงอมไปตามกรรมและวาสนา จนเจ้าตัวคือองค์อมรินทร์ ตัดสินใจเด็ดขาดแสดงสัจจะความปรารถนา ขึ้นมาเอง เพราะองค์อมรินทร์ไม่สามารถมีอภิญญากว้างขว้างอย่างท่านพระพรหม หรือเทพพระอรหันต์ ซึ่งได้รู้อยู่ก่อนแล้ว

 

เป็นอันว่า ตั้งแต่ ปี 2530 ถึงต้นปี 2548 (18-19 ปี) มีโอปปาติกะแสดงกล่าวสัจจะอธิษฐานให้ข้าพเจ้ารับรู้ต่อหน้าข้าพเจ้าทั้งผู้เดียวและรวมกลุ่มที่กล่าวเป็นวาจาให้ทราบที่จะร่วมสร้างบารมีกับข้าพเจ้าโดยที่ท่านเหล่านั้นมาเอง ข้าพเจ้าไม่ได้ไปชักชวนท่านเหล่านั้นเลยแม้แต่ท่านเดียว เพราะข้าพเจ้าไม่มีจิตใจไปชักชวนใครให้มาร่วมทุกข์กับข้าพเจ้าที่ต้องวนเวียนในวัฏสงสารอันยาวนานประมาณแปดแสนกัป มีประมาณถึง สี่หมื่นท่าน (40,000 ท่าน)

 

กาลเวลาผ่านมาถึง 2 ปีกว่า ก็หาได้คาดคิดว่าจะมีเหตุการณ์อย่างสองครั้งข้างบน 1. เมื่อประมาณปี 2530 และ 2. ต้นปี 2548 และข้าพเจ้าก็หาได้สนใจไปแล้ว แต่เหตุการณ์ในทำนองเดียวกันได้บังเกิดขึ้นอีก เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2550 ห่างมาเพียง 2 ปี กว่า เหตุการณ์มีดังนี้

ได้มีผู้ประสงค์จะสื่อสัมผัสสนทนา(ช่วงหลังสื่อสัมผัสสนทนาเรื่องสัพเพเหระ และนานๆ ทีจะทำ) ก็หาได้สนใจอะไร?

ข้าพเจ้าจึงถามว่า “ท่านเป็นใครครับ

ผู้ที่มาสื่อสัมผัสบอกว่า “อาตมา เป็นเทพซึ่งพึ่งบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ด้วยความเพียรของตนเอง อาตมาปฏิบัติธรรมด้วยตนเองมาตลอด จึงไม่เคยทำประโยชน์ต่อผู้ใด และอาตมารู้ว่าจะดับขันธ์นิพพานในเวลาไม่ช้านี้”

ข้าพเจ้าจึงตอบ “ครับ แล้วพระคุณเจ้าประสงค์สิ่งใดหรือครับ

เทพอรหันต์ตอบ “อาตมาจึงมาถาม โพธิสัตว์น้อย ว่าจะทำประโยชน์ผู้อื่นในขณะนี้จะทำอย่างใดได้บ้าง”

ข้าพเจ้าก็ งง และนิ่ง แล้วพูดว่า “อย่างนั้นพระคุณท่าน บอกปัญหาที่ผมสงสัยในพุทธภูมิได้ไหม? ทั้งเรื่องระยะเวลา อายุขัย และชื่อ”

เทพอรหันต์กล่าวว่า “นั้นไม่ใช่สาระ เอาไว้ก่อน”

ข้าพเจ้าก็กะยันกะยอพูดว่า “อย่างนั้นก็บอกเพียงแค่ ชื่อของพระพุทธเจ้าในสมัยที่ผมตรัสรู้ก็พอ

เทพอรหันต์ตอบ “เท่าที่อาตมาทราบด้วยญาณ ของตนเองขณะนี้ ในสมัยที่ท่านได้ตรัสรู้ ชื่อสุภัตทะพุทธเจ้า”

หลังจากคุยกันเล็กน้อย ข้าพเจ้าก็บอกพระอรหันต์ว่า “ในการทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นในช่วงจำกัดมีแต่ให้ธรรมะแก่สัตว์ทั้งหลายเท่านั้นครับ”

เทพอรหันต์กล่าวว่า “จะให้ธรรมะอย่างไร? อาตมากล่าวไม่ถูกเริ่มไม่เป็น

ข้าพเจ้าพูดว่า “อย่างนั้นผมจะถามนำท่าน ก็แล้วกัน และเชิญโอปปาติกะทั้งหลายมาฟังธรรมเถิด”

ข้าพเจ้าจึงถามว่า “ที่ผ่านมาก่อนที่บรรลุจนถึงบรรลุเป็นพระอรหันต์นั้น พระคุณเจ้าปฏิบัติอย่างไร

เทพอรหันต์ก็ตอบว่า “อาตมา ก็ปฏิบัติธรรมอย่างมีสติ รู้กายและใจอยู่ตลอดเวลาไม่ได้สุงสิงยุ่งเกี่ยวกับใคร เห็นเป็นความไม่เที่ยง ไม่ยึดมั่นและปล่อยวาง ปฏิบัติอยู่แต่ผู้เดียว”

หลังจากนั้นข้าพเจ้าถามนำเรื่อง ศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา เรื่องพละ(พละ 5 แต่ท่านแยกแยะเป็นคำศัพท์ ไม่ได้จนกว่าถามนำให้ท่านอธิบายตามที่ท่านปฏิบัติ) ถามนำจนไม่มีอะไรไม่เหลืออะไร ที่ยึดมั่นหลุดพ้นจากกายสังขาร ก็ใช้เวลาพอสมควร

ข้าพเจ้าจึงบอกท่านว่า “พระคุณเจ้าได้ทำประโยชน์ต่อผู้อื่นได้สมบูรณ์แล้ว ตามเวลาที่พอมีอยู่”

แล้วเทพอรหันต์ก็กล่าวว่า “อาตมาได้ทำประโยชน์ตนสมบูรณ์แล้ว และได้ทำประโยชน์แก่ผู้อื่นพอสมควรแล้ว ถึงเวลาที่อาตมาจะดับขันธ์แล้ว ท่านทั้งหลายจะขอพรอันใดที่พอเป็นไปได้ตามวาสนาบารมีก็จงขอเถิด”

หลังจากนั้นก็ขอพรเสร็จ เทพอรหันต์ท่านก็ดับขันธ์ไป พรที่ข้าพเจ้าขอ คือ “ขอให้ใจของข้าพเจ้าเป็นธรรม คิดก็เป็นธรรม กล่าววาจาก็เป็นธรรม กระทำสิ่งใดก็เป็นธรรม เพื่อประโยชน์ตนและผู้อื่นอย่างถึงพร้อม” (ความจริงเทพพระอรหันต์ ได้มาสื่อสัมผัสสนทนาธรรมะและแสดงธรรมก็หลายครั้ง และทุกครั้งที่ท่านจะดับขันธ์ ท่านก็จะบอกให้ขอพรกับท่านก่อนทุกท่านไป)

หลังจากเมื่อเทพอรหันต์ท่านดับขันธ์ไปแล้ว ข้าพเจ้าก็คิดว่าหมดการการสนทนาแล้ว แต่ภรรยาก็บอกว่ายังมีผู้ประสงค์มาสนทนาอีก ข้าพเจ้าก็เอ้าคุยก็คุย

ก็กลายเป็นว่า เทพต่าง ๆ ก็มาบอกชื่อ และปรารถนาร่วมสร้างบารมีเป็นพระอริยะหรือพระอรหันต์ เอตทัคคะกับข้าพเจ้าอีกหลายๆ ท่าน รวมทั้งท้าวมหาเทพที่ปกครองส่วนหนึ่งของชั้นจาตุม ปรารถนาเป็นพระอรหันต์เอตทัคคะผู้มีบริวารมากเป็นเลิศในสมัยของข้าพเจ้า และมีเทพต่างๆ อีกหลายๆ ท่านที่แสดงความปรารถนากล่าววาจาต่อหน้าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็กล่าวคำ “สาธุ” จนจำไม่ไหว

แต่ก็มีท่านหนึ่งกล่าวว่าท่านชื่อ องค์อมรินทร์ (อินทร์) กล่าวสัจจะวาจาปรารถนาเป็นพระอรหันต์เอตทัคคะทางด้านผู้มีฤทธิ์

ข้าพเจ้าจึง งง ในชื่อจึงถามว่า “ท่านเป็น องค์อมรินทร์ ที่เป็นราชาของเทวดาชั้นดาวดึงส์หรือ

เทพนั้นตอบว่า “เราเป็นเทวดาชั้นจาตุม ชื่อ อมรินทร์ หรือ อินทร์ เป็นเทพผู้ใหญ่ปกครองอยู่ในทิศหนึ่งของชั้นจาตุม ท่านลองฝึกแยกกายทิพย์ให้ได้ แล้วเราจะพาท่านไปเที่ยวในวิมานส่วนของเรา”

ข้าพเจ้าจึงตอบว่า “ผมไม่เคยฝึก ส่วนมากจะเป็นอานาปานสติ กับสติปักฐาน 4 น่ากลัวจะแยกกายทิพย์ออกไปลำบากแล้วครับ”

เทพอินทร์พูดว่า “ท่านน่าจะฝึกให้ได้นะ จะได้มาดูความสวยสดงดงามของความเป็นทิพย์ที่ตระการตา”

หลังจากนั้นก็มีเทพฝ่ายมาร เป็นถึงพญามาร ก็เข้ามาสนทนา กล่าวว่า “เราเป็นพญามาร แม้เราเป็นเทพที่เกิดในอาณาประเทศของฝ่ายมาร แต่ใจเราหาได้เป็นมารแล้ว เราก็ปรารถนาในสิ่งที่เป็นกุศล จึงขอตั้งสัจวาจาปรารถนาเป็น พระอรหันต์ทรงเอตทัคคะ(ข้าพเจ้าจำไม่ได้แล้วว่าเลิศด้านไหน?)ในสมัยของท่าน”

ข้าพเจ้าก็กล่าวคำ “สาธุ”

หลังจากนั้นพญามารถามข้าพเจ้าว่า “เมื่อต้องการรักษาใจที่เป็นเทพนั้นควรมีคุณธรรมอย่างไร

ข้าพเจ้าก็ตอบว่า “ใจที่เป็นเทพ นั้นคือการมี หิริ และโอตตัปปะ คือมีความละอายเกรงกลัวต่อบาป แม้แต่มนุษย์ ถ้ามีหิริโอตตัปปะมนุษย์นั้นก็มีจิตใจเป็นเทพ”

พญามารถามต่ออีกว่า “แล้วจะปฏิบัติอย่างไร

ข้าพเจ้าก็ตอบไปว่า “ก็ให้ปฏิบัติตามศีลและธรรม ของพระพุทธเจ้า และการมีสติอยู่ทุกเมื่อ”

พญามารมีความพอใจแล้วจากไป

เมื่อเทพทั้งหลายกล่าวสัจจะอธิษฐานหมดแล้ว แต่ข้าพเจ้ายัง งง ๆ อยู่ เรื่องชื่อ อมรินทร์ ซึ่งเป็นชื่อของพระอินทร์ราชาของเทพชั้นดาวดึงส์ ข้าพเจ้าจึงขอให้ภรรยาสื่อสัมผัสกับ องค์อมรินทร์ หรือพระอินทร์ราชาของเทพชั้นดาวดึงส์ พอภรรยาเข้าสมาธิท่านก็มาเลยแปลกดี โดยปกติไม่ค่อยกล้าสื่อสัมผัส เพราะเคยสื่อสัมผัสแล้วท่าน จะส่งจิตมาบอกว่ามีกิจมากไม่มีเวลามาสนทนากันได้ หรือว่าขณะนี้ เทวดาทั้งหลายต่างมาประชุมกันฟังการสนทนาธรรมะของเทพพระอรหันต์ที่ได้บรรลุใหม่กับข้าพเจ้า และพระอรหันต์จะดับขันธ์นิพพานในเวลานั้น ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ได้เพราะไม่มีตาทิพย์

ข้าพเจ้าจึงถามว่า “ท่านเป็นองค์อมรินทร์ ราชาของเทพดาวดึงส์ใช่ไหมครับ

พระอินทร์ตอบ “ใช่เราคือ องค์อมรินทร์”

ข้าพเจ้าจึงพูดว่า “เอ่ะ ทำไม? ชื่อเหมือนกัน แต่เป็นเทวดาคนละชั้น”

ข้าพเจ้ากล่าวต่อไป “ แต่ปรารถนา ซ้ำกันนี่ครับ”

พระอินทร์นิ่งเงียบเฉยคล้ายกับจะอะไรๆ กับข้าพเจ้าเพื่อให้ข้าพเจ้ารู้ แต่ข้าพเจ้าก็ยังไม่เข้าใจ

แล้วพระอินทร์กล่าวอย่างช้าๆ ว่า “เราไม่ได้ปรารถนาเป็น เอตทัคคะ แต่เราปรารถนาเป็น อัครสาวกเบื้องซ้าย”

ข้าพเจ้าก็นึกได้ ก็ “อ้อ ใช่ๆ ผมเข้าใจผิดครับ”

พระอินทร์ก็ยิ้ม แล้วกล่าวอนุโมทนาสาธุ ในบุญกุศลที่เกิดขึ้น แล้วจากไป

 

วันต่อมาข้าพเจ้าก็หาได้สนใจด้วยเห็นเป็นเรื่องปกติ เพราะวางใจ 3 ประการคือ

1. จริงหรือเท็จก็ได้ แต่สิ่งเหล่านี้บังเกิดขึ้นเอง จนเป็นปกติเพราะเกิดครั้งใหญ่มาแล้ว ถึง 3 ครั้งรวมครั้งนี้ด้วย

2. ถ้าเป็นเท็จ แต่เราก็ไม่ได้หลงเพราะไม่ได้แสวงหา และสามารถดำรงชีวิตในความเป็นมนุษย์โลกในสังคมได้ตามปกติ ไม่ได้เพ้อฝันอะไรต่อจากนั้นมากมายจนจิตใจผิดปกติ จนทำภารกิจทั่วๆ ไปในฐานะความเป็นคนไม่ได้

3. เวลาอีกตั้งยาวนานตั้งหลายแสนกัป ไปปรุงแต่งเรื่องผู้ร่วมสร้างบารมีมากเกินไปทำไม? และใจความรู้สึกในปัจจุบัน ที่เป็นเรานี้ เมื่อเวลาเปลี่ยนไปก็ดับหมดสิ้นไปแล้ว ไม่มีเหลืออยู่ในอนาคตอีกตั้งหลายแสนกัป แล้วจะไปปรุงแต่งให้ร้อนรนและวิปลาสไปทำไม?

 

แต่ก็เป็นที่พอประเมินได้ว่า ครั้งใดที่มีมหาเทพหรือเทพผู้ใหญ่ มาตั้งสัจจะปรารถนา หลังจากช่วงนั้นก็จะมีเทพและโอปปาติกะ มาตั้งสัจจะอธิษฐานต่อ ต่อมาเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2550 พญานาคราช ราชาของนาคราชทั้งหลาย เป็นผู้อยู่ในศีลดำรงตนบำเพ็ญตบะอยู่ในสมาธิเป็นส่วนมากประมาณ 2 พันปี เป็นผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ แต่รู้ตนว่ายังไม่แน่นอน และในชาตินี้ได้เกิดเป็นพญานาคราช ซึ่งไม่สามารถปฏิบัติธรรมให้ถึงซึ่งฌาน และมรรคผลนิพพานได้ จึงตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าในชาตินี้สามารถสร้างตบะมีกำลังสมาธิเท่ากับฌานได้เพียงชั่วแวบเดียวปรากฏให้เห็น ก็จะเปลี่ยนใจปรารถนาเป็นพระมหาสาวกที่ทรงเอตทัคคะ แล้วด้วยผลของตบะที่บำเพ็ญมาถึง สองพันกว่าปี กำลังสมาธิก็สามารถเข้าสู่ อนุโลมและโคตรภู ของฌานได้ (แต่ไม่สามารถบรรลุฌาน เพราะเป็นผลของวิบากกรรมตามภูมิ) ปรากฏขึ้น ก็มีความยินดีมาก ด้วยได้เห็นเทพอรหันต์ ได้สนทนากับข้าพเจ้าเรื่องสมาธิ ที่พระอรหันต์กล่าวว่า สัตว์เดรัชฉานก็สามารถบำเพ็ญตบะได้มีกำลังสมาธิเท่ากับฌานได้ แม้ว่าจะเกิดเพียงแวบเดียว พญานาคราชก็เกิดศรัทธา และรู้ว่าข้าพเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์

หลังจากนั้นได้โอกาสมาสนทนากับข้าพเจ้า แล้วประกาศสัจจะอธิษฐานว่า “ข้าพเจ้าปรารถนาเป็นภิกษุอรหันต์ ที่เป็นเอตทัคคะทางบำเพ็ญตบะดำรงอยู่ในสมาธิเป็นเลิศ” ต่อจากนั้น คู่ครองของพญานาคราช บุตรและธิดา ก็ได้มาตั้งสัจจะอธิษฐานตาม

เวลาต่อมาหลังจากนั้นเหล่าบริวารอีก 4 ก็ได้มาตั้งสัจจะอธิษฐานเช่นกัน รวมทั้งเหล่าโอปปาติกะที่อยู่แถวนั้นที่ได้ยินได้ฟังเกิดศรัทธา ก็มาตั้งสัจจะอธิษฐานอีกหลายท่าน

 

ข้อมูลต่าง ๆ จากการสื่อสัมผัส เกี่ยวกับพุทธภูมิ และองค์ประกอบของแต่ละท่าน เหมือนแต่ละท่านเป็นภาพต่อ ที่เอามาต่อกันให้ถูกต้องจึงจะเห็นภาพรวมที่ชัดเจนขึ้น แต่ถ้าส่วนไหนที่ข้าพเจ้าจำไม่ได้หรือไม่สนใจก็จะเกิดการสับสนดังเกิดกรณีนี้ขึ้น