เริ่มพิสูจน์ตนเองอย่างจริงจังอีกครั้ง

เมื่อปี พ.2532 พระอาจารย์ปลัดธีรวัตได้มรณภาพด้วยโรคหัวใจ ทำให้ข้าพเจ้าพยายามหาพระท่านอื่นที่มีคุณธรรมสูง เพื่อจะเป็นอุปัฏฐากตามฐานะของตน และเพื่อจะพิสูจน์สิ่งที่พระอาจารย์ได้ดูไว้ให้ เพราะนักวิทยาศาสตร์จะเชื่ออะไรง่ายๆ คงเป็นไปไม่ได้ จึงทำให้ข้าพเจ้าเสาะหาพระท่านที่ดังๆ แต่ก็ผิดหวัง และเนื่องจากข้าพเจ้าเห็นกิเลสตนเองบ่อย เมื่อสิ่งแวดล้อมก่อให้เกิดทุกข์กิเลสก็ก่อให้เกิดทุกข์มากขึ้นเพราะไปเห็นมัน จึงทำให้เกิดความลังเลในสิ่งที่พระอาจารย์ได้ดูไว้ ใจของตนเองก็ยากจะละกิเลสเหล่านี้ เพราะความทุกข์ที่ รุมมาพร้อมกันทุกด้านตลอดเวลาที่ผ่านมา 1 ปีกว่า จึงบังเกิดความคิดขึ้นมาว่า "จะจริงหรือเท็จก็จะต้องยก เอาไว้ไม่ต้องไปคำนึงหรือยึดถือ ให้ถือเอาการทำกรรมฐานเพื่อละเป็นหลักเป็นเครื่องพิสูจน์ เพราะถ้าละได้จริงเรื่องต่างๆ ที่ผ่านมาก็ไม่ถูกต้อง แต่ถ้าละไม่ได้ก็มีเค้าความจริงอยู่" ตั้งแต่นั้นข้าพเจ้า จึงเริ่มกำหนดกรรมฐานแต่ครั้งนี้จะกำหนด และการวางใจให้สวนทางกับที่ผ่านมา เพราะถ้ากำหนดแบบเก่า คือจะต้องภาวนาอย่างเข้มข้นไม่ขาดระยะ และจับให้ได้ว่ามีการผงกหรือดับขาดตอนของอารมณ์ ในช่วงไหนของคำภาวนา ซึ่งถ้าทำแบบนี้อารมณ์ก็เหมือนเดิม คือละกิเลสไม่ได้เพียงแต่ข่มไว้ได้ แต่ความทุกข์ที่เผาลนจิตใจก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม ทำให้ข้าพเจ้าคิดได้ว่าถ้าเพียงแต่สักแต่รู้ตามหลักที่พระพุทธเจ้า ทรงกล่าวว่า สักแต่รู้ สักแต่เห็น สักแต่ได้ยิน กับสิ่งที่มากระทบ ข้าพเจ้าจึงคิดว่าใช้คำภาวนาว่า "สักแต่รู้""สักแต่เห็น" "สักแต่ได้ยิน" เป็นตัวนำสติ และจะไม่ไปบังคับไม่ว่าจะง่วงนอน หรือจะเคลิ้มไปก็ไม่บังคับหรือฝืนให้มีสติ เพียงแต่ภาวนาว่า"สักแต่รู้" ถ้าภาวนาไม่ได้ก็เพียงแต่สักแต่รู้เท่าที่จะทำได้ จึงเริ่มทำกรรมฐาน วันแรกที่ทำกรรมฐานก็ยังติดอยู่กับอารมณ์เดิม พยายามปรับลงมาเพื่อให้อ่อนตัวในการภาวนาพยายามปรับอยู่ 2-3วัน จึงอ่อนตัวลงได้ ไม่ควบคุมแม้แต่ท่าที่นั่งกรรมฐาน ปล่อยให้เป็นธรรมชาติเพียงแต่สักแต่รู้ ให้เป็นปัจจุบันไม่ใช่พยายามให้ทันปัจจุบัน เพราะที่ผ่านมาทำไว้มากแล้ว พอขึ้นวันที่ 3 เมื่อกำหนดกรรมฐาน ความง่วงนอนก็เกิดขึ้นแต่เพียงสักแต่รู้เท่านั้นก็หลับคู่ไปโดยที่ไม่ไปบังคับ เป็นอย่างนี้อยู่ 2-3 วัน หลังจากนั้นจะไม่เผลอหลับแบบขาดสติ หลังจากนั้นตื่นอยู่ก็สักแต่รู้ว่าสติดี พอลงภวังค์จะหลับก็จะรู้ว่าสติไม่ดีเพราะเริ่มมีความมืดเข้ามาครอบครองจิต เหมือนกับผู้ที่นั่งอยู่บนรถไฟ วิ่งลอดอุโมงค์ เป็นช่วงๆ มืดสว่างๆ แต่ไม่เผลอหลับ หลังจากนั้นมืดสว่างก็จะเกิดเร็วขึ้นๆ จนมีแต่ความสว่างอย่างเดียว คือสติดีจิตมีความสว่างกำหนดกรรมฐานได้นานแต่เพียงสักแต่รู้เท่านั้น เมื่อทำมากๆ หลายวันเข้าวิปัสสนาญาณต่างๆ ก็เกิดขึ้น จิตก็เพียงแต่สักแต่รู้จริงมากขึ้นจะรู้อยู่เพียง 2 อย่างขณะที่ทำกรรมฐาน คือสักแต่รู้ร่างกาย เมื่อรู้ร่างกายน้อยลงก็สักแต่รู้อารมณ์หรือจิต เป็นไปอย่างนี้กลับไปกลับมา คือจะมีแต่รูปและนามเท่านั้นที่เห็นอยู่ เมื่อกำหนดกรรมฐานหลายวันเข้าก็เริ่มทิ้งทั้งหมด เป็นความว่างจากทุกอย่างในช่วงหนึ่ง ในขณะที่ว่างเริ่มนับไปเองจาก 1 ถึง 4 ก็ออกมารับรู้ปกติ เมื่อกำหนดกรรมฐานใหม่สักระยะหนึ่ง ก็เข้าสู่ความว่างเหมือนเดิมแต่นับได้ถึง 6 ก็ออกมารับรู้ปกติ เมื่อเริ่มกำหนดใหม่ ก็เข้าสู่ความว่างอีกนับได้ถึง 8 หลังจากนั้นไม่สนใจที่จะเข้าอีก

หลังจากนั้นอารมณ์ที่ยึดติดกับสิ่งที่มากระทบก็เบาลง มีความสุขสงบสบายติดต่อเป็นเวลาหลายวัน ทำให้เข้าใจฐานะของตนเอง และหันมาปฏิบัติตัวตามฐานะของตนเองมากขึ้น ให้เวลาลูกเมียมากขึ้น แทนที่คิดจะหนีไปบวชให้ภรรยาต้องทุกข์ และคลายความยึดถือเก่าๆ ลงมาก เพราะอารมณ์เห็นความว่างมากขึ้น และภาวนาสักแต่รู้กับอารมณ์ที่มากระทบ หรือที่เกิดขึ้นจากภายในของอารมณ์เอง และธรรมะที่พระอาจารย์สอนครั้งหลังสุด หลังจากอาจารย์มรณภาพไปแล้ว เป็นปริศนาธรรมในนิมิต เมื่อขณะที่ข้าพเจ้ามีความลังเลในเรื่องที่ผ่านมาดังกล่าวมาก จนฟุ้งซ่านเป็นความฝันดังนี้ ในคืนหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้าคิดมากในเรื่องที่ผ่านมาแล้วหลับไป ได้ฝันว่าอาจารย์ได้เหาะมาหาใกล้ที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ ฝ่ายข้าพเจ้านั้นปีติยินดีเป็นอย่างมากก็กล่าวว่า ผมจะไม่สงสัยลังเลในเรื่องที่อาจารย์ดูให้ ผมเชื่อและศรัทธาอาจารย์มาก ก็บังเกิดปีติขึ้นมากมาย แต่ท่านอาจารย์ท่านไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่เดินไปนั่งที่สูงกว่า ข้าพเจ้าก็นั่งกราบและนั่งดูพระอาจารย์สักพักหนึ่งผิวหนังและเนื้อ ของอาจารย์เริ่มหลุดออกเป็นชิ้นๆ จนเกือบหมดแล้วข้าพเจ้าก็ตื่น (ปริศนาธรรมอันนี้ไม่สามารถตีความหมายได้เลย ตั้งแต่ปี 2533 จนถึง วันที่ 2 มิถุนายน 2537 จึงสามารถตีออกมาได้ว่า อย่ายึดมั่นถือมั่นในตัวอาจารย์เลย มีเหตุผลอย่างไรจะได้อ่านในช่วงต่อไป)

ประมาณปี พ.ศ. 2533 แฟนของข้าพเจ้าก็ได้งานทำในกรุงเทพฯ เราต่างก็ได้งานทำแต่ต้องเลี้ยงลูก 1 คน ข้าพเจ้าและแฟนจึงตัดสินใจดาวน์คอนโดแถวถนนซอยนวลจันทร์ เราทั้ง 3 ต้องประหยัดอย่างสุดๆ หุงข้าวหนึ่งหม้อบางครั้งแกง 1 ถุง 5 บาทกิน 2 คน ผ่อนดาวน์หมดประมาณปีนิดๆ ประมาณ ปี 2534 เราทั้งสาม(รวมลูก) ก็ยังไปวัดไปวาทำบุญเป็นประจำ แต่คราวนี้จะระวังตัวมากขึ้นเพราะต้องรับผิดชอบลูกและสร้างครอบครัว แล้วข้าพเจ้าได้ไปหาหมอทำการตรวจเลือดครั้งแรก เกี่ยวกับโรคเจ็บปวดที่ข้อมือเป็นประจำว่าเป็นสาเหตุเพราะอะไร หมอตั้งธงไว้ว่าอาจเป็นเกาต์ตั้งแต่ครั้งแรก จึงทำการตรวจกรดยูริกในเลือด และตรวจน้ำตาล ได้ผลออกมาว่ากดยูริกในเลือดสูง และน้ำตาลประมาณ 120 หมอจึงวินิจฉัยว่าเป็นโรคเกาต์ จึงให้ทานยาควบคุมกรดยูริกเป็นประจำ อาการปวดข้อก็เหมือนจะดีขึ้น ส่วนการตระเวนหาพระเพื่อจะสนทนาด้วยข้าพเจ้าก็ทำไปตามที่โอกาสอำนวย

หลังจากนั้นแฟนก็ย้ายที่ทำงานไปต่างจังหวัด ก็ต้องขายคอนโดที่ได้ผ่อนดาวน์หมดพอดีได้เงินสดมาประมาณ 9 หมื่นกว่าบาท นับว่าเป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าเห็นปฏิกิริยาของเด็กอายุประมาณ 2 ขวบกว่า เห็นกระดาษเป็นแผ่นๆ ที่เรียกว่าเงินเป็นจำนวนมากๆ กองกระจายอยู่บนเตียง เขาจะทำตาโตและอุทานว่า “อือ. เงินมากจังเลย” จึงทำให้ข้าพเจ้าย้อนนึกไปสมัยที่ข้าพเจ้าอายุประมาณ 3 ขวบ คงเห็นเงินแม่ที่ซ่อนไว้จำนวนมาก จึงหยิบเอามาเดินไปโชว์เล่นในตลาดสมัยเด็กๆ

ปี 2535 ข้าพเจ้าจึงอยู่หอและย้ายที่ทำงานใหม่เป็นผู้แนะนำและสอนระบบโปรแกรม Word, Lotus, DBase ให้กับลูกค้าที่ซื้อคอมพิวเตอร์ ก็ได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นเดือนละ 5,000 บาท และยังเป็นอาจารย์สอนคอมพิวเตอร์เป็นรายได้พิเศษส่วนแฟนก็ไปอยู่ต่างจังหวัด

ช่วงนี้ระบบเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ได้พัฒนาขึ้นเป็น CPU 80286 แรม 16 แมค ฮาร์ดดิสก์ 30 – 120 แมค จอคอมพิวเตอร์เป็นแบบขาวดำ(โมโนโครม) หรือจอมีสี ดิสก์ไดร์ฟขนาดเล็กลง 3.5 นิ้ว พร้อมคีย์บอรด ตกราคา สามหมื่นกว่าบาทขึ้นไปต่อเครื่อง โปรแกรมที่ใช้ เป็น DOS 5 และเริ่มใช้ Windows 3.0 บน DOS ต่อมาก็พัฒนา CPU เป็น 80386

หลังจากนั้นแฟนย้ายกลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ จึงผ่อนดาวน์บ้านการเคหะแห่งชาติหมู่บ้านร่มเกล้าแถวลาดกระบังเป็นบ้านชั้นเดียวหนึ่งห้องนอน ผ่อนดาวน์เดือนละประมาณ 5,600 บาท จำนวน 18 งวด โดยกะว่าเอาเงินเก็บ 9 หมื่นบาทนั้นทยอยสมทบผ่อนดาวน์ไปเรื่อยก็พออยู่ได้ ส่วนเราก็เช่าห้องอยู่ในซอยอุดมสุขมีห้องน้ำในตัวตกเดือนละประมาณ 2,500 บาท รวมค่าน้ำค่าไฟฟ้า และแฟนก็บอกให้ข้าพเจ้าเลิกเป็นอาจารย์พิเศษสอนคอมพิวเตอร์ เพื่อให้เวลากับลูกและแฟนในวันเสาร์อาทิตย์ ข้าพเจ้าจึงเลิกเป็นอาจารย์สอนคอมพิวเตอร์

หลังจากนั้นก็เอาเงินเก็บไปทำบุญกฐินโดยขอเป็นเจ้าภาพกฐินทำบุญไป หนึ่งหมื่นบาท และเป็นเจ้าภาพผ้าป่าหลายครั้งรวมก็จ่ายไปประมาณหมื่นบาท จากเก้าหมื่นจึงเหลือเงินเก็บอยู่ประมาณ 5 หมื่นเพราะต้องเอาเงินไปสมทบจ่ายค่าดาวน์บ้านส่วนหนึ่ง เพราะเงินเดือนสองคนรวมกันแล้ว ไม่พอค่าใช้จ่ายต่อเดือนที่รวมทั้งเงินดาวน์บ้านการเคหะ ข้าพเจ้าแจกแจงให้ดูดังนี้
รายได้ เงินข้าพเจ้า 5
,000 + เงินเดือนแฟน 3,400 +รายได้พิเศษ 1200 เท่ากับ 9,600 บาท
รายจ่ายค่าห้องพัก 2
,500 + ค่าคนเลี้ยงลูก 3,000 ค่านมลูก 1,500 เท่ากับ 7,000 บาท
เป็นอันว่า เหลือ 2
,600 เป็นค่าใช้จ่าย
จิปาถะของพ่อกับแม่และค่ากินของครอบครัว ต้องประหยัดกันอย่างสุดๆ เงินค่าดาวน์บ้านการเคหะจึงต้องเอาเงินเก็บไปทยอยผ่อนดาวน์ เดือนละ 5,600 บาท

ชีวิตครอบครัวก็อยู่กันอย่างปกติไม่คิดว่าจะมีอะไรพลิกผันทำงานไปกำหนดภาวนาไปทำบุญไป แล้วแวะหาสนทนากับพระไป และข้าพเจ้าก็คิดว่าข้าพเจ้าต้องพัฒนาตนเองเป็นโปรแกรมเมอร์ให้ ได้เพราะแม้ข้าพเจ้าจะสอนโปรแกรมดีเบสได้ พอเขียนโปรแกรมเป็น (ตอนแรกก็สมัครมาขอเป็นโปรแกรมเมอร์ แต่เจ้าของบริษัทไม่ต้องการ จึงย่อมเป็นผู้แนะนำและสอนโปรแกรมพื้นฐานหลังการขายคอม) แต่เมื่อได้เห็นน้องจางโปรแกรมเมอร์ประจำบริษัทจบวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จาก ม. กรุงเทพฯ เขียนโปรแกรมระบบบัญชี ก็รู้ตัวเองว่า ตัวเองยังเป็นเด็กอนุบาลของการที่จะเป็นโปรแกรมเมอร์

ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจซื้อเครื่องคอมที่เป็นของตนเองให้ได้และหัดเขียนโปรแกรมให้ดี เมื่อบอกกับแฟน แฟนตกใจเพราะเครื่องคอมเครื่องหนึ่งก็ประมาณสามหมื่นขึ้น กว่าจะคุยกับแฟนได้ลงตัวก็แทบแย่เหมือนกัน โดยบอกว่าซื้อชิ้นส่วนให้ช่างเครื่องที่บริษัทประกอบให้ รวมเบ็ดเสร็จแล้วประมาณ สองหมื่นบาท โดยไม่มีฮาร์ดดิสก์ เป็นอันว่าข้าพเจ้าได้เครื่องคอมเป็นของตนเองเครื่องแรก ปี พ.ศ. 2535 เป็นเครื่องประกอบเอง CPU 80286 จอโมโนโครม(ขาวดำ) เงินเก็บสะสมจาก 5 หมื่นบาทจึงเหลือไม่ถึง สามหมื่นบาท แล้วข้าพเจ้าหลังจากเลิกงานกลับบ้านก็นั่งขลุกหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อเรียนรู้ในการเขียนโปรแกรม แต่ก็ไม่ได้มากนักเพราะไม่มีความรู้ที่จะพัฒนาต่อให้เป็นระบบจริงๆ

ปกติพวกพนักงานจะทานข้าวเที่ยงที่ร้านป้าอาหารตามสั่งข้างบริษัทเป็นประจำ ในวันหนึ่งคุณหน่อง รู้ว่าป้าดูลายมือได้แม่น จึงให้ป้าดูลายมือป้าเลยทายคุณหน่องว่าต่อไปจะเป็นคนมีทรัพย์เป็นล้าน แล้วพนักงานคนอื่นก็ให้ดูกัน ก็ดูกันเป็นเรื่องปกติทั่วไป แล้วคุณจางโปรแกรมเมอร์ ตอนนั้นเงินเดือนเขาก็ 16,000 บาทไปแล้ว ป้าก็ดูให้แล้วว่า ต่อไปจะไม่ค่อยมีเงิน เพราะเก็บเงินไม่ค่อยอยู่ ไม่เหมือนคุณหน่องต่อไปจะมีเงินล้าน ข้าพเจ้าก็ไม่ค่อยเชื่อ เพราะคุณจางเงินเดือนสูงอย่างนี้เขียนโปรแกรมเก่งอย่างนี้อนาคตสดใส จะไม่มีเงินได้อย่างไร แล้วข้าพเจ้าก็ยื่นมือข้าพเจ้าให้ดู เพราะทุกคนต่างดูกัน เมื่อป้าเห็นมือข้าพเจ้าก็พูดว่า โอ. ต่อไปจะมีทรัพย์เป็นล้าน แล้วพนักงานคนอื่นก็พูดล้อๆ ว่าแล้วหนู/ผมไม่มีหรือ? ป้าก็บอกว่าพวกคุณมีทรัพย์หรือเงินเป็นล้านนั้นไม่มี ยกเว้นสองคนนั้น(คุณหน่องกับข้าพเจ้า)ต่อไปจะมีทรัพย์เป็นล้าน ป้ารับรองป้าดูไม่เคยพลาด เป็นอันว่าหมอดูทายข้าพเจ้าเป็นคนที่สองแล้วว่าข้าพเจ้าจะต้องมีเงินมีทรัพย์ แต่ข้าพเจ้าไม่เห็นวี่แววเลยจริงๆ เพราะจนจะแย่ จึงไม่ค่อยเชื่อเท่าไรด้วย

และต่อมาใครจะไปรู้ว่านโยบายในใจของเจ้าของบริษัทใหม่มีเล่ห์กล กำหนดให้พนักงานที่มีหน้าที่สอนแนะนำโปรแกรมอยู่ได้เพียงประมาณปีกว่าก็จะหาเหตุให้ออก เพื่อเอาเด็กใหม่เข้ามาหมุนเวียนกันไปเรื่อย เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการขึ้นเงินเดือนให้พนักงานแนะนำโปรแกรมเก่า เนื่องจากกฎหมายแรงงานขณะนั้นยังอ่อนอยู่มากๆ และสามารถหาพนักงานตำแหน่งนี้ทดแทนกันได้ง่าย ไม่เหมือนกับงานช่างเครื่องคอมและโปรแกรมเมอร์ ซึ่งต้องเชี่ยวชาญและต้องอาศัยประสบการณ์สูง

เมื่อข้าพเจ้าเข้ามาทำงานในบริษัทนี้วันแรก เห็นพนักงานรุ่นเก่าผู้หญิงคนหนึ่งโดนให้ออก และกำลังเก็บของไป ซึ่งก็คือข้าพเจ้านั้นแหละเข้ามาทำหน้าที่แทน แต่ข้าพเจ้าก็ไม่รู้เหตุผลกลใด แล้วผู้จัดการ(เจ้าของ)ให้คุณเจี๊ยบสอนงานข้าพเจ้า ซึ่งคุณเจี๊ยบ ข้าพเจ้าถือว่าเป็นคนทำงานเก่งและละเอียดมากๆ เรียกว่าเป็นผู้แนะนำบริหารหลังการขายได้ยอดเยี่ยมมากๆ ถึงแม้จะจบจากพาณิชยการมาและไต่จนจบปริญญาตรี และคุณเจี๊ยบก็ชมข้าพเจ้าว่ามีความรู้ดีและนิสัยดี ทั้งที่เราทั้งสองนับถือคนละศาสนากัน อยู่มาอีก 2 หรือ 3 เดือนพนักรุ่นเก่าชาย(คุรุจุฬา)ก็โดนให้ออก ทั้งที่ข้าพเจ้าเห็นเขาทำงานเก่งมีมนุษย์สัมพันธ์เก่งกว่าข้าพเจ้าเสียอีก ซึ่งมีการถกเถียงกันเล็กน้อยในที่ประชุมแต่ข้าพเจ้าก็ยังไม่รู้เรื่องอะไร แล้วก็รับพนักงานน้องใหม่เป็นพนักงานผู้หญิงจบ ม.ศว. โดยให้ข้าพเจ้าสอนงาน แต่น้องเขาอยู่ได้เดือนกว่าก็เปลี่ยนงานเพราะได้งานบริษัทซีเกตผลิตฮาร์ดดิสก์ จึงต้องรับพนักงานใหม่ได้ผู้หญิงอีกคนจบมาจาก ม.ศว. ให้ข้าพเจ้าสอนงาน

อีกประมาณ 4 หรือ 5 เดือนคุณเจี๊ยบเริ่มรู้ตัวว่าจะโดนให้ออกเพราะทางเจ้าของบริษัทเริ่มตำหนิเรื่องงานและกดดันกับคุณเจี๊ยบ ข้าพเจ้าก็ได้แต่ความเห็นใจคุณเจี๊ยบแต่ไม่รู้จะช่วยอย่างไรได้ ได้พูดคุยและสนิทสนมเหมือนเดิม แต่คุณเจี๊ยบยังไม่ย่อมบอกถึงเล่ห์กลของเจ้าของบริษัทให้กับข้าพเจ้าทราบ หลังจากนั้นก็รับพนักงานใหม่มาอีกคนเป็นผู้ชายจบจาก ม.ราม แล้วให้พนังงานใหม่ก่อนหน้านี้เป็นผู้สอนงาน ส่วนข้าพเจ้าก็รับงานเต็มที่ แล้วภายหลังคุณเจี๊ยบก็ไม่ได้รับการจ่ายงาน โดนกระทำแบบเดียวกับคนก่อนที่ถูกให้ออกไป ภายหลังคุณเจี๊ยบได้งานและโทร.บอกเล่ห์กลให้ข้าพเจ้าทราบแล้วทิ้งเบอร์โทรให้ข้าพเจ้าโทร. หาถ้าเกิดปัญหาแบบเขา แต่ข้าพเจ้าก็ยังงงๆ อยู่

แล้วเมื่อข้าพเจ้าทำงานได้ปีนิดๆ เมื่อรับพนักงานคนใหม่เป็นผู้ชายจบ ม.เอกชน ได้สักเดือนกว่าพอเป็นงานแล้ว ข้าพเจ้าก็โดนแบบคุณเจี๊ยบ แต่สำหรับข้าพเจ้านั้นง่ายกว่าคุณเจี๊ยบ คือสามารถให้ออกได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลากดดัน โดยเรียกข้าพเจ้าไปพบแล้วพูดว่า “ลูกค้าโทรมาตำหนิ ว่าคุณพูดว่าเหมือนกับว่าเขาโง่” ข้าพเจ้าได้ยินแล้วข้าพเจ้างงเลยครับ ข้าพเจ้านี่หรือพูดกับลูกค้าแล้วว่าเขาโง่ เป็นไปไม่ได้ยกเว้นจะพูดด้วยความขัดใจมีอารมณ์บ้างเมื่อลูกค้าทำไม่ได้เพราะไม่ยอมจำคำสั่งผิดซ้ำในกรณีเดิมหลายครั้งว่า “คุณต้องหัดจำคำสั่งบ้างนะ ไม่เช่นนั้นจะทำไม่ได้” เป็นข้ออ้างเดียวกับคนก่อนๆ ที่โดนบีบให้ออกแต่สำหรับข้าพเจ้านั้นง่ายกว่า บอกว่าให้เวลา 1 เดือนแล้วออกไป

เมื่อข้าพเจ้าได้ยินคำว่าให้ออกภายในสิ้นเดือนนี้ ทั้งที่ข้าพเจ้าเป็นคนกำหนดภาวนากรรมฐานอยู่โดยตลอด ใจของข้าพเจ้าหายวูบเมื่อคิดถึงลูกและแฟนและภาระหนี้ที่จะต้องจ่าย เงินเดือนแฟนคนเดียวต้องล้มละลายแน่นอน เพราะข้าพเจ้าคงหางานทำได้ยาก หน้าข้าพเจ้าจึงซีดเผือดทันทีใจวิว ถ้าอาการเป็นมากกว่านี้อีกสักนิดโดยไม่มีสติสมาธิอยู่ สามารถเป็นลมได้ทันที แล้วข้าพเจ้าก็ค่อยๆ เดินออกจากห้องของเจ้าของบริษัทอย่างช้าๆ ประคองตัวใจเหมือนหมดทุกอย่าง การกำหนดภาวนาหลุดหายไปหมดเอาไม่อยู่

เมื่อลงมาด้านล่าง น้องใหม่ผู้ชายเห็นหน้าข้าพเจ้าคนแรก แล้วพูดว่า “พี่ทำไมหน้าพี่ซีดขาวเผือดอย่างนี้ เหมือนจะเป็นลม” ข้าพเจ้าก็พูดกับน้องว่าไม่เป็นไร เพราะน้องๆ เหล่านั้นไฟแรงพยายามแสดงความเหนือกว่ากัน ความเอื้ออาทรระหว่างกันมีน้อย ข้าพเจ้าจึงไม่ได้บอกเล่ห์กลเหล่านั้นให้ฟัง แล้วข้าพเจ้าไปนั่งที่โต๊ะข้าพเจ้าเมื่อจิตเป็นทุกข์อย่างนี้ สติปัญญาก็บังเกิดให้เริ่มหาคำภาวนาที่เหมาะสม ก็นึกถึงคำภาวนาว่า “สัพเพสัตตา กัมมะสกา หัง กัมมะสะโก สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตนเองมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ข้าพเจ้าก็มีกรรมเป็นของตนเองมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์” หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ดูใจที่ทุกข์และภาวนาตลอดไปเรื่อยๆ จนเลิกงานข้าพเจ้าก็ขึ้นรถเมล์สาย 13 กลับที่พัก ซ.อุดมสุข ต้องขึ้นทางด่าน แต่ต้องใช้เวลาอีกประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าจึงจะถึงที่พัก ข้าพเจ้าก็ดูใจตนเองและภาวนาไปตลอด แต่ความทุกข์ความน้อยใจความรู้สึกตกต่ำต่ำต้อยนั้นมีมาก กระตุ้นให้นึกถึงฐานะอันต่ำต้อยในสังคมแทรกมาเป็นระยะเป็นช่วงๆ เมื่อใกล้ที่จะลงทางด่วนจิตก็เริ่มเหมือนจะโดนบล็อกให้แคบลงแล้วกระจายออกความทุกข์ใจต่างๆ เหมือนกับบรรเทาลง แต่สักระยะหนึ่งความรู้สึกให้ต้องทุกข์เรื่องต่ำต้อยต่างๆ ก็เข้ามาทุกข์เหมือนเดิม ข้าพเจ้าก็ยังกำหนดภาวนาไปเรื่อยๆ แต่คราวนี้จิตเริ่มแคบลงๆ ๆ แล้ววูบหายไปเลย รู้อีกทีอารมณ์เปลี่ยนไปหมดแล้ว ความทุกข์ใจต่างๆ โดนขุดทิ้งหมดไปเกินครึ่งและคงอยู่เพียงนิดหน่อย จนถึงที่พัก

ส่วนแฟนถึงที่พักก่อน เมื่อข้าพเจ้าเปิดประตูเข้าห้อง แฟนเห็นหน้าข้าพเจ้าที่ซีดอยู่ก็แปลกใจ แต่ไม่พูดอะไร ข้าพเจ้านั่งลงแล้วข้าพเจ้าบอกแฟนว่า ข้าพเจ้าโดนให้ออกสิ้นเดือนนี้ แต่ใจข้าพเจ้าตอนนี้วางไม่ได้ทุกข์เหมือนตอนขณะถูกให้ออกได้แล้ว แฟนจึงไม่พูดอะไรต่อ รุ่งเช้าก็ไปทำงานตามปกติ และเจ้าของบริษัทไม่จ่ายงานให้ข้าพเจ้าทำเลยคือให้เตรียมตัวออกอย่างเดียว

หลังปีใหม่ พ.ศ. 2536 ข้าพเจ้าทำงานอยู่ที่ทำงานไป 3-4 วัน เพื่อรอรับเงินเดือนแล้วออก ข้าพเจ้าก็มืดทึบไม่รู้ว่าจะหางานทำได้อย่างไร? แต่แล้วก็นึกถึงเจี๊ยบขึ้นมา เพราะเขาให้เบอร์โทร. ไว้ จึงโทร.ไปบอกเจี๊ยบ เจี๊ยบก็พูดว่า “ว่าแล้วมันต้องทำกับเซียมเหมือนที่ทำกับเจี๊ยบและคนอื่นๆ ที่ออกไปก่อนหน้า” แล้วเจี๊ยบก็ชวนข้าพเจ้าไปทำงานด้วย เขาได้ทำงานที่ใหม่ ซ้อเจ้าของบริษัทใจดีมาก และขาดพนักงานแนะนำการใช้โปรแกรมเฉพาะเกี่ยวกับ POS และระบบคลังของห้างสินค้าขนาดใหญ่ ซึ่งต้องใช้คนที่มีความรู้และเก่ง จึงหาคนทำได้ยาก

หนทางที่มืดทึบเปิดสว่างให้ข้าพเจ้าทันที และข้าพเจ้าก็ได้ไปสมัครงานที่บริษัทบอมซิสเต็ม ตรงสี่แยก อ.ส.ม.ท. ทั้งซ้อทั้งพี่นบ(วิทยาศาสตร์จุฬา)เจ้าของบริษัทใจดีจริงๆ ใจดีตลอด 3 ปี แม้กระทั่งจนข้าพเจ้าเปลี่ยนงานที่เหมาะสมกับความสามารถของข้าพเจ้าเอง และข้าพเจ้าจะขอเล่าเรื่องการปฏิบัติกรรมฐานและประสบการณ์ในขณะที่ทำงานอยู่บอมซิสเต็มในเวลา 3 ปีต่อไปนะครับ

ช่วงนั้นข้าพเจ้าได้ให้เวลากับการพัฒนาการเขียนโปรแกรมที่เป็นระบบมากขึ้น ด้วยได้รูปแบบโปรแกรมและแนวคิดจากบอมซิสเต็ม เลิกงานถึงห้องพักประมาณ หกโมงเย็นแล้วข้าพเจ้าจะนั่งออกแบบพัฒนาโปรแกรมด้วยโปรแกรมฟอกเบสคิดเองทำเองทั้งหมดจนถึงเที่ยงคืนถึงตีหนึ่งเป็นประจำ จนภรรยาข้าพเจ้าเครียดมาก ทั้งตำหนิโกรธเคืองและจะเอาค้อนตีคอมพิวเตอร์ให้พังให้ได้ ข้าพเจ้าจึงให้เหตุผลกับแฟนว่า ข้าพเจ้าต้องการเป็นโปรแกรมเมอร์ เพราะฐานะการงานจะมั่นคงกว่า และข้าพเจ้าก็สามารถเขียนโปรแกรมขายได้ พอข้าพเจ้าเขียนระบบโปรแกรมได้เป็นรูปเป็นร่างแล้วข้าพเจ้าก็เพลาลง และข้าพเจ้าได้ขายโปรแกรมชุดแรกได้เงินมา 25,000 บาท แฟนข้าพเจ้าก็เข้าใจ

หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ได้ย้ายครอบครัวไปอยู่ที่หมู่บ้านเคหะร่มเกล้า สมัยนั้น พ.ศ. 2536 ถนนก็เป็นทางเล็กๆ เดินทางลำบากข้าพเจ้าจึงต้องอาศัยเดินทางด้วยทางรถไฟตรงสถานีรถไฟลาดกระบังเป็นประจำพร้อมทั้งแฟน ลงตรงที่จุดพักชั่วคราวที่อโศก แล้วโรคปวดข้อของข้าพเจ้าเริ่มเพิ่มขึ้นยาที่กินเพื่อคุมกรดยูริกเอาไม่อยู่แล้ว การปวดบวมที่ข้อไม่ใช่อยู่ที่มือซ้ายด้านเดียวแล้ว ข้อมือขวาก็เป็นด้วย บางครั้งข้อเข่าและข้อเท้าก็เป็นด้วยเดินลำบากเพราะเจ็บแต่ด้วยข้าพเจ้ายังหนุ่มจึงยังฝืนให้ทุกอย่างยังดูปกติได้ ภายหลังข้าพเจ้าจึงตัดสินใจเลิกกินยาคุมกรดยูริกเพราะมันเป็นมากขึ้นยาไม่สามารถช่วยอะไรได้ จนข้าพเจ้าเบื่อหน่ายในสังขารตนเอง และยังอยู่ในช่วงพิสูจน์ตนเองระหว่างการที่จะละกิเลส กับการปรารถนาพุทธภูมิด้วยการปฏิบัติธรรมให้ถึงที่สุด ข้าพเจ้าเลยตัดสินใจไม่กินเนื้อสัตว์ตั้งแต่นั้นมา เมื่อไม่ทานเนื้อสัตว์อาการทุกอย่างก็บรรเทาพอให้สามารถทำงานได้ปกติ และพออดทนอยู่ได้ ส่วนการปฏิบัติกรรมฐานภาวนาที่กำหนดอยู่เป็นประจำก็ยังไม่เข้มข้นมากนัก

แต่งานข้าพเจ้านั้นต้องเดินทางไปบริการแนะนำการใช้และการแก้ปัญหาโปรแกรมหลังการขายจึงต้องออกไปหาลูกค้าบ่อย ทั้งร้านหนังสือของบริษัทซีเอ็ด และอื่นๆ ทั่วกรุงเทพฯ ในสมัยนั้นบริษัทเริ่มขายโปรแกรมให้กับห้างในต่างจังหวัดได้ดี ห้างในต่างจังหวัดเช่นที่ กาญจนบุรี สระบุรี โคราช ขอนแก่น กระบี่ หาดใหญ่ นครศรีธรรมราช และเชียงใหม่ ข้าพเจ้าจึงต้องออกไปหาลูกค้าต่างจังหวัดบ่อย อย่างน้อยเดือนละครั้ง ครั้งละประมาณ 4- 5 วัน และภายหลังจะไปคนเดียว(บินเดี่ยว)พักตามโรงแรมข้าพเจ้าจึงมีโอกาสไปหาพระตามต่างจังหวัดเพื่อสนทนามากขึ้น และด้วยพักโรงแรมคนเดียวข้าพเจ้าจึงมีเวลาปฏิบัติกรรมฐานได้เข้มและเต็มกำลังขึ้นเพราะจะสงบมากวิปัสสนาญาณก็ปรากฏได้ง่าย สมาธิก็สมบูรณ์มากขึ้น เมื่อกลับมากรุงเทพฯ อยู่บ้านก็กำหนดกรรมฐานมากจนเกิดเบื่อหน่ายแห้งแล้งอยู่เป็นเวลา 2 เดือนกว่า ดังเหตุการณ์ที่ข้าพเจ้าเคยเขียนไว้ที่เกี่ยวพันกับการปฏิบัติธรรมและสนทนากับชีและพระต่อไปนี้

เรื่องที่ 1 พอดีกับงานที่ทำให้โอกาสเพราะต้องออกต่างจังหวัดบ่อย ในช่วงปีปลายปี พ.2536 - 2537 ได้ไปดูแลและสอนระบบคอมพิวเตอร์ถึง จังหวัดกระบี่ เมื่อว่างจากงานข้าพเจ้าก็ไปวัดต่างๆ ในจังหวัด เพื่อสอบหาพระที่ประสงค์ ยากยิ่งกว่าหาทองเสียอีก จึงหาวัดที่มีสำนักปฏิบัติ เพราะโอกาสที่จะพบมากกว่าวัดธรรมดา แต่ก็ยังไม่มีจึงได้ความคิดว่าน่าจะหาแม่ชีที่ปฏิบัติ เพราะหญิงชายมีโอกาสเท่ากันในธรรมอันสงบ เดินหาแม่ชีที่มีคุณสมบัติดังกล่าวก็เหมือนเดินอยู่ในป่า หลงทางเหมือนกับเดินหาพระ แต่คำว่าแสวงหาถ้าเป็นคนฉลาดย่อมเก็บเกี่ยวสิ่งที่วิเศษไว้กับตน ไม่ใช่มุ่งให้ได้แต่สิ่งที่ตนประสงค์ ยังมีสิ่งอื่นที่ดีปนอยู่ควรจะพิจารณาเพื่อเป็นประโยชน์ตน ไม่ใช่เป็นคนปิดทางขวางตนเอง หลังจากที่ข้าพเจ้าเดินหาแม่ชีมาหลายท่านก็ไม่สมหวัง ขณะที่เดินผ่านแม่ชีท่านหนึ่งแม่ชี ซึ่งกำลังนั่งอยู่บนชานกุฏิสวมเสื้อผ้าเก่าๆ อายุก็แก่มากแล้ว แต่ความรู้สึกที่กระทบกับข้าพเจ้า แม่ชีคนนี้เหมือนไม่มีอะไรเลยหมดอาลัยในชีวิต เสมือนผู้ไม่มีหวังในชีวิตเสียแล้ว แล้วข้าพเจ้าเดินผ่านไปเพื่อที่จะไปหาแม่ชีที่มีผู้อื่นแนะนำ สนทนากับแม่ชีที่มีผู้แนะนำในธรรมมะได้รับความอิ่มเอิบใจทั้งคู่ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้สิ่งที่ประสงค์ จึงต้องเดินทางกลับทางเดิม ผ่านกุฏิแม่ชีองค์ท่านที่เสมือนไม่มีอะไร จึงคิดว่าน่าจะแวะเขาไปสนทนา จึงเข้าไปถามว่า "แม่ชีสบายดีหรือ?" ด้วยสำเนียงใต้ ท่านก็ตอบเป็นสำเนียงใต้ "สบายดี ลูก" ข้าพเจ้าจึงถามต่อ "ไม่มีความทุกข์หรือ?" ท่านตอบ "ไม่มี ลูก" ข้าพเจ้าเริ่มเอะใจ จึงถามว่า "แม่ชีมีความโกรธอยู่หรือไม่?" ท่านตอบ "ไม่โกรธใครแล้วลูก" ข้าพเจ้าเริ่มแปลกใจเพิ่มขึ้นจึงถามตรงว่า "แม่ชียังมีความขุ่นเคือง หรือปฎิฆะอยู่หรือไม่?" ท่านตอบว่า "ไม่มีอยู่เลยลูก แม้แต่เขามายืนด่าต่อหน้าแม่ชีไม่มีแล้ว แต่กลับสงสารเขาเสียอีก" ข้าพเจ้าประหลาดใจมากเลยคิดสอบสวนตั้งแต่ต้น โดยถามว่า "เมื่อแม่ชีนั่งหลับตาหรือนั่งสมาธิมีพวกนิมิตหรือวูบวาบบ้างไหม? " ท่านตอบว่าไม่มีเลยลูกมันมีแต่ความว่างเฉยๆ " ข้าพเจ้าถามต่อ "เป็นอย่างนี้มากี่ปีแล้ว?" ท่านตอบ "เป็นมา 2 ปีกว่า น้องสาวเป็นมาก่อนแต่ไม่ยอมบอกยายพอมาบอก ยายโกรธอยู่หลายวัน หลังจากนั้นยายก็เป็นเหมือนน้องสาว นี้เป็นลูกนะที่ยายบอกเพราะลูกถามตรงๆ คนอื่นยายไม่เคยบอกใครเลยแม้กระทั่งน้องสาว" (หมายเหตุ คนที่มายืนด่าแม่ชีก็เป็นแม่ชีคนหนึ่งที่บวชชี แต่มีความขัดใจในเรื่องกุฏิที่พัก ที่แม่ชีผู้เฒ่าเข้ามาพักเสียก่อน จึงโกรธอยู่ฝ่ายเดียว ยืนด่าเกือบทุกวัน วันหนึ่งหลังจากยืนด่าแล้วเข้าห้องน้ำ แล้วไม่รู้ว่าเป็นอะไรสิ้นใจตายในห้องน้ำ) ข้าพเจ้าถามต่อว่า "น้องสาวยายอยู่กุฏิไหน?" ท่านตอบ "อยู่ข้างใน" ข้าพเจ้าจึงสอบสวนต่อว่า "ตอนที่ยายจะเป็นอย่างนี้มันเป็นอย่างไร? เป็นตอนไหน? ผมอยากทราบ" ท่านตอบว่า "ตอนจะเป็นไม่รู้ว่าเป็นเวลาใดยายกำหนดใจอยู่ตลอดเวลา พอเช้าขึ้นมา มันไม่เอาอะไรแล้ว มันไม่เอาเอง เงินทองก็ไม่เอา ไม่ไปจับไม่ไปแตะต้องเลย เอาใส่ห่อผ้าแจกเขาหมด" ข้าพเจ้าเริ่มเข้าจุดประสงค์ของตนถามว่า "แม่ชีสามารถระลึกชาติได้ไหม?" ท่านตอบว่า "ยายทำไม่ได้และไม่รู้ว่าทำปรือ? รู้แต่ละวางแล้วว่างไปเอง ส่วนเรื่องพูดธรรมะยายก็ไม่รู้เพราะไม่ได้เรียนมาไม่เหมือนน้องสาวเขาพูดเรื่องธรรมะได้เพราะเขาเรียนมาบ้าง ถ้าจะคุยเกี่ยวกับธรรมะให้ไปคุยกับน้องสาว" ข้าพเจ้าจึงถามอายุแม่ชีๆ บอกว่าอายุประมาณ 83 ปี แล้วแม่ชีบวชมากี่ปี ท่านบอกว่าบวชมาประมาณ 6-7 ปี ข้าพเจ้าสอบถามต่อได้ทราบว่าน้องสาวแม่ชี อายุประมาณ 60 ปี บวชชีมาประมาณ 10 กว่าปี ข้าพเจ้าจึงสอบสวนอารมณ์กรรมฐาน ที่เกิดกับแม่ชีตั้งแต่ต้นก็เป็นแนวสติปัฏฐาน 4 หรือวิปัสสนากรรมฐานจริง เพราะแม่ชีไม่เคยศึกษามาจึงพูดเกี่ยวกับอารมณ์ล้วนๆ ให้ทราบ

พอสนทนาสักพักใหญ่แม่ชีผู้น้องสาวที่กล่าวถึงก็เดินเข้ามา แม่ชีผู้พี่จึงกล่าวมาว่า "ลูกนี้มีบุญจริงๆ ธรรมดาน้องสาวนานๆ จึงจะมาสักที" หลังจากนั้น ก็เชิญท่านนั่ง ข้าพเจ้าจึงทำการสอบถามทำนองเดียวกับที่ผ่านมา ก็ได้นำความน่าปีติให้กับ ข้าพเจ้า เพราะตั้งแต่ศึกษามาสอบถามมาจนปัจจุบันไม่มีใครพูดอย่างนี้กับข้าพเจ้าเลย ถ้าบุคคลที่กล่าวไม่มีส่วนที่เป็นจริงบ้างข้าพเจ้าคงไม่ศรัทธา เพราะศึกษามาก็มากพอ ปฏิบัติก็มากพอ ผ่านโลกด้านนี้มามากพอ แต่จุดประสงค์ของข้าพเจ้าที่จะพิสูจน์ก็เป็นหมันเพราะแม่ชี 2 ท่านไม่สามารถระลึกชาติได้เลย สนทนากันจนค่ำ ข้าพเจ้าก็ซื้อสิ่งของทำบุญกับท่านทั้ง 2 ตามฐานะเพราะท่านทั้ง 2 ไม่เก็บเงิน ข้าพเจ้าก็กลับกรุงเทพฯตามหน้าที่ เดือนถัดมาข้าพเจ้าก็ได้มีโอกาสไปกระบี่อีกตามหน้าที่ และข้าพเจ้าเห็นว่าอยู่โรงแรมคนเดียวห่างไกลจากครอบครัวความวุ่นวายน้อยลง จึงเริ่มกำหนดกรรมฐานตามกำลังเพราะสงบ พอเสร็จภารกิจจากงาน จึงทำการเสาะหาพระอีกตามที่ต้องการพิสูจน์ หาจนเหนื่อยอ่อนจึงต้องไปหาแม่ชีผู้น้องท่านเดิม นั่งสนทนาธรรมะ ข้าพเจ้าก็พยายามพูดคุยสะกิดให้ท่านลองใช้ความสามารถพิเศษ แต่ท่านก็กล่าวทำนองว่าถ้าทำได้ท่านดูให้แล้ว แต่ท่านไม่มีจริงๆ ข้าพเจ้าก็ต้องกลับอย่างผิดหวังเข้ากรุงเทพฯ พอปลายเดือนใหม่ข้าพเจ้าก็ต้องลงไปกระบี่อีก ข้าพเจ้าก็กำหนดกรรมฐานตามกำลังเพราะอยู่โรงแรมคนเดียว แต่ครั้งนี้กำหนดทุกอย่างได้ดีขึ้น พอเสร็จจากงานก็ไปหาพระตามเดิม ก็พบกับความผิดหวังอย่างเคยจึงแวะไปสนทนาธรรมะกับแม่ชีท่านเดิมอีก ขณะสนทนาก็กำหนดจิตพิจารณาตาม บางครั้งอารมณ์เกือบจะขาดจากกัน และข้าพเจ้าก็พยายามสะกิดความสามารถจากท่านก็ไม่สำเร็จเหมือนเก่าเลยต้องกลับกรุงเทพฯ ผิดหวังอีก เมื่อถึงปลายเดือนใหม่ข้าพเจ้าก็ได้ไปกระบี่อีก ก็ประพฤติตนเหมือนเดิม กำหนดกรรมฐานตามกำลัง เพราะสัปปายะหาพระผิดหวังสุดท้ายก็แวะสนทนาธรรมะกับแม่ชีท่านเดิม สนทนาธรรมะไปพิจารณาตามไป แต่ใจก็ยังอยากสะกิดท่านในเรื่องของคุณพิเศษ จึงได้พูดถึงเรื่องการสื่อสัมผัสเทวดาพระพรหมต่างๆ ของภรรยาและข้าพเจ้าได้สอบถามปัญหาต่างเหล่านี้ ก็ได้รับคำตอบโดยดี แต่ก็ยังต้องการพิสูจน์ยังต้องถามหาพระอยู่เป็นประจำ ท่านเลยพูดส่วนกลับมาทำนองว่า จะไปถามอะไรกับคนอื่นแม้เทพเทวดาก็เถอะ จะให้คำตอบอะไรได้ถ้ายังมีกิเลสอยู่ ข้าพเจ้าเริ่มมีความขุ่นเคืองเล็กน้อย ท่านก็พูดต่อไปว่า "ขอโทษอย่าโกรธยาย ที่ต้องพูดแบบนี้ ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ให้ถือการปฏิบัติเป็นหลัก เมื่อปฏิบัติถูกต้องกำหนดกรรมฐานถูกทางมันย่อมละได้สักวันใดสักวันหนึ่งตามเวลาวาสนาบารมี ไม่ต้องไปถามผู้ใด" คำพูดเหล่านี้ทำให้ข้าพเจ้าได้สติ ก็ทำการสนทนาธรรมะกันต่อ สนทนาธรรมะไปข้าพเจ้าก็ใช้สติพิจารณาไป อารมณ์เกือบจะดับมิดับแหล่ ก็ถอยกลับมาเป็นปกติอีก เมื่อมีสติพิจารณาสักเพียงแต่รู้ ตามธรรมะที่สนทนากันครั้งนี้อารมณ์รวมกันดับจากกัน แล้วข้าพเจ้าจำอารมณ์ได้ตลอดคงอารมณ์นั้นได้ มากำหนดกรรมฐานที่โรงแรมกรรมฐานดำเนินได้อย่างดี


จบเรื่องที่ 1

ด้วยเหตุเรื่องเหตุข้างบนเมื่อกลับมากรุงเทพฯ ข้าพเจ้าก็ยังปฏิบัติธรรมอยู่ตลอดเวลา(เน้นตลอดเวลา) เกิดความเบื่อหน่ายแห้งแล้งอยู่ 2 เดือน ไม่สนใจเรื่องบนเตียง จนแฟนประชดอยู่เนืองๆ แต่ข้าพเจ้าก็วางเฉย กลับถึงบ้านก็ปฏิบัติธรรมในห้องอยู่อย่างนั้น ไม่ว่าจะโดนประชดก่อให้เกิดความรำคราญอย่างหนักก็นั่งกำหนดกรรมฐานวางใจเฉยอยู่อย่างนั้น

แล้วในคืนวันหนึ่งแฟนก็พยายามประชดสร้างความรำคาญกับข้าพเจ้าอีก แต่ข้าพเจ้าก็นั่งกำหนดกรรมฐานวางใจเฉยไม่ตอบโต้ แฟนกับลูกจึงออกจากห้องแล้วไปเปิดทีวี ข้าพเจ้าได้ยินเสียงละครในทีวีชัดเจนเพราะห้องไม่ได้ปิดมิดทั้งหมดเพียงแต่กั้นห้องแต่ปิดไม่ถึงเพดานจึงมารู้ที่ใจ แล้วกำหนดรู้ที่หู ภาวนาว่า “ได้ยินหนอ”ๆ ๆ จนเพียงแต่ได้ยินเสียงแต่หาได้กำหนดว่าเสียงนั้นเป็นเสียงอะไร และเห็นว่าเสียงนั้นเดี๋ยวดังเดี๋ยวเบา เดี๋ยวเงียบเห็นความไม่เที่ยงของเสียงและการได้ยินของเสียง จึงไม่ยึดมั่นในความหมายของเสียงที่กระทบสักแต่ได้ยิน แล้วจิตจะแคบเล็กลงๆ สักแต่รู้ว่าเป็นเสียงที่กระทบกับหูเท่านั้น แต่ข้าพเจ้าเกิดเผลอ ไปเพ่งภาวนาเพื่อจับๆ จับๆ ให้ทันๆ จนเกิดภาวะเครียดตึงเกร็งโดยไม่รู้ตัว เกิดภาวะลั่นเพลี้ยะเหมือนฟ้าฝ่า ข้าพเจ้าก็ได้สติขึ้นว่าได้ภาวนาเพ่งจนเครียดตึงเกินไปแล้ว เพียงสักแต่ได้ยิน สักแต่รู้ สักแต่กำหนดภาวนา แล้วปล่อยวางก็พอ ข้าพเจ้าจึงภาวนา “ยินหนอ” ๆๆ แบบสักแต่ได้ยิน หลังจากนั้นทั้งจิตทั้งความรู้ว่ามีความรู้สึกก็ดับวูบหายไปพักหนึ่ง แล้วผุดขึ้นมารับรู้ขึ้น พร้อมกับคำนึงขึ้นว่า “แม้แต่เสียงที่กำหนดก็ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้” และเมื่อรู้สึกเต็มตัวก็คำนึงว่า “แม้แต่ใจความรู้สึกก็ยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเป็นตนไม่ได้”

ตั้งแต่นั้นมาความรำคาญใจความหงุดหงิดใจโดยไม่มีสาเหตุก็หายไปจากใจโดยสิ้นเชิง ความแห้งแล้งต่างๆ หายไปหมดสิ้น ความปรารถนาพุทธภูมิก็หายหมดไปจากจิตสำนึกคือไม่คำนึงถึงไม่ไปสนใจ ปฏิเสธวางความปรารถนานั้นได้โดยไม่หวั่นไหว แล้วปฏิบัติตนตามฐานะปกติ และเกิดความแตกฉานทางธรรมแตกออกเป็นร้อยๆ นัย มีความสงบไม่สนใจพุทธภูมิไป 5 ปี ดังเรื่องที่เขียนไว้หลังจากผ่านภาวะอย่างข้างบนไปแล้ว ทยอยเป็นเรื่องๆ ต่อไปนี้


การสนทนาธรรมะกับหลวงพ่อพุทธ

เมื่อประมาณเดือนมิถุนายน 2537 ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปแนะนำระบบจุดขายและต๊อก ให้กับห้าง ท๊อฟฟี และห้างคลังพลาซ่า ที่จังหวัดนครราชสีมา หลังจากเลิกงานของวันหนึ่ง 17.00 น. ข้าพเจ้าได้ขึ้นรถสองแถว สาย 7 หรือ 8 เพื่อไปวัดป่าสารวัน ซึ่งเป็นวัดหลวงพ่อพุทธ นับว่าเป็นโชคดีของข้าพเจ้า หลวงพ่อพุทธอยู่วัดพอดี และท่านมีแขกอยู่ 2-3 คน ข้าพเจ้าจึงเข้าไป และนั่งรออยู่ ท่านก็หันมาถามข้าพเจ้าว่า "มีปัญหาเรื่องอะไร?" ข้าพเจ้าก็ตอบว่า "ต้องการมาคุยธรรมะกับหลวงพ่อ" ท่านก็ไม่ว่าอะไร ข้าพเจ้าก็นั่งเฉยอยู่ เพื่อให้ท่านได้สนทนากับผู้ที่มาก่อน เมื่อท่านสนทนากับผู้ที่มาก่อนจนหมดการสนทนา ซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก แล้วท่านหันมาทางข้าพเจ้าแล้วพูดว่า "มีอะไรพูดมา" ข้าพเจ้าจึงถามว่า "การกำหนดภาวนาวางอารมณ์อย่างไรจึงจะถูก" ท่านตอบว่า "การกำหนดภาวนานั้นวางใจให้เป็นกลางเพียงแต่รู้ก็พอ" ข้าพเจ้าจึงถามต่อว่า "เพียงแต่รู้เป็นการกำหนดให้เป็นปัจจุบันไม่ไปปรุงแต่งอารมณ์ ใช่ไหมครับ?"ท่านตอบว่า " ใช่วางใจให้เป็นกลางตามรู้มันอย่างเดียวให้ทัน คุณก็เข้าใจแล้วนี่ " ข้าพเจ้าถามต่อ "การวางใจกำหนด ภาวนาของสมถะกับวิปัสสนากรรมฐานก็คล้ายกันใช่ไหมครับ" ท่านตอบว่า "การวางใจเป็นกลางคล้ายกัน ถ้าเป็นวิปัสสนาต้องมีสติกำหนดรู้อารมณ์ให้ทันตามรู้มันให้ทันวางใจเพียงแต่รู้ไม่ต้องไปปรุงแต่งมัน มันจะเป็นอะไรก็ต้องตามให้ทัน" ช่วงนี้ข้าพเจ้าไม่ถามต่อเพื่อปล่อยโอกาสให้ท่านสนทนากับแขกที่มาใหม่ 2 คน สังเกตได้ว่าเวลามีโทรศัพท์โทรเข้ามาท่านก็จะรับเป็นปกติ ซึ่งขณะนั้นเวลาประมาณ 18.00. ท่านก็สนทนากับแขกที่มาใหม่เสร็จ แล้วหันมาพูดกับข้าพเจ้า "ยังมีอะไรอีก?" ข้าพเจ้าตอบว่า "ยังมีเรื่องแปลกแตกต่างจากผู้อื่นในการทำกรรมฐานมาเล่าให้ท่านฟัง เพื่อให้หลวงพ่อวินิจฉัยให้ด้วย" หลวงพ่อกล่าวว่า "เอาเล่ามา" ข้าพเจ้าเริ่มเล่าตั้งแต่ทำกรรมฐานเมื่ออายุ 10 กว่าปี จนเข้าทำกรรมฐานที่คณะ 5 วัดมหาธาตุเมื่อปี 2526 เรื่อยมาจนประสบการณ์ที่ได้เจอกับแม่ชีวัดถ้ำเสือ ปี 2537 เกือบละเอียด ซึ่งช่วงนี้โทรศัพท์เข้ามาท่านก็ไม่รับให้บอกไปว่ากำลังติดธุระ และประมาณ 19.20. มีพระประมาณ 10 กว่ารูปรอที่จะเข้ามาหาท่านและเดินเข้ามาหาท่าน ท่านก็บอกว่าให้รอก่อนกำลังคุยกันอยู่ แล้วข้าพเจ้าเล่าต่อไปจนเวลาประมาณ 19.45. จนจบ ซึ่งท่านก็ตั้งใจฟังตั้งแต่ต้น นับว่าเป็นพระกรรมฐานเพื่อกรรมฐานจริง ไม่ถือตัวถือตน ยอมรับฟังสิ่งใหม่ในอารมณ์กรรมฐานของผู้อื่นซึ่งก็คือหัวใจของศาสนาพุทธ ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลยและไม่มีอาการเบื่อหน่ายในการฟัง ทั้งที่ท่านมีฐานะเป็นพระผู้ใหญ่ และมีชื่อเสียงมากรูปหนึ่งซึ่งต่างจากพระผู้มีชื่อเสียงรูปอื่นๆ ที่ข้าพเจ้าสนทนามา ท่านเป็นพระที่ข้าพเจ้ามีความประทับใจเป็นอย่างมาก เมื่อข้าพเจ้าเล่าจบ ท่านก็วินิจฉัยให้ และวินิจฉัยให้ตรงตามเหตุผลที่ควรยึดถือปฏิบัติ ตามเนื้อหาที่เล่ามา

หลังจากนั้นท่านก็เริ่มเล่าอารมณ์กรรมฐานของท่านให้ฟัง ตั้งแต่เมื่อยังเป็นพระหนุ่มตอนที่เป็นมหา แล้วท่านก็เริ่มฝึกกรรมฐานอย่างจริงจัง โดยพิจารณาลมหายใจเป็นหลักโดยมีสติรู้ที่ปลายจมูก หายใจเข้าภาวนาว่า พุทธ หายใจออกภาวนาว่า โธ โดยวางใจเป็นกลาง เมื่อภาวนาไปเรื่อยๆ หลายวันเข้าลมหายใจเริ่มแผ่วเบาลง เมื่อหลายวันเข้าไปอีกเสมือนไม่มีลมหายใจ คำภาวนาก็หายไปแต่เมื่อเอามือมาใกล้ที่จมูก ยังมีลมหายใจแผ่วเบามาก จนลมหายใจหมดไปชั่วขณะหนึ่งเมื่อรู้ตัวขึ้นมาก็คิดว่าตนเองตายไปแล้ว พอรู้สึกตัวเต็มที่ ก็รู้ว่ายังไม่ตายเพราะยังนั่งอยู่จะตายได้อย่างไร เป็นอย่างนี้อยู่หลายวัน ก็คิดขึ้นมาได้ว่าถ้าตายก็ต้องนอนตายไม่นั่งอยู่อย่างนี้ พอทำกรรมฐานถึงคืนวันหนึ่งก็ตั้งใจไว้ว่าถ้าจะตายคืนนี้ต้องนอนตายไม่ใช่นั่งอย่างนี้ พอถึงจุดกรรมฐานเดิมก็หงายหลังมือกางล้มตัวลงภาวนาดูลมจนไม่มีลมแล้วมาพิจารณาถึงความตาย ของสังขารร่างกายคือต้องน้อมนึกไปก่อนด้วยสติที่ทัน พอถึงจุดหนึ่งไม่ต้องน้อมนึกจิตจะเป็นนิมิตมาเอง แต่สติและใจต้องเป็นกลางเพียงแต่รู้ตามให้ทัน นิมิตก็จะเกิดขึ้น เป็นร่างกายของตนเองนอนตายอยู่ แล้วเริ่มขึ้นอืด เริ่มเน่า จนเหลือโครงกระดูก แล้วโครงกระดูกเริ่มสลาย กลายเป็นผงเถ้า แล้วปลิวไปจนหมด ไม่เหลืออะไรเลย ที่จะยึดมั่นถือมั่นได้ หลังจากนั้นจิตก็สงบ และมีสุขนิ่งอยู่อย่างนั้น จนสว่าง 3 โมงเช้าจึงเริ่มถอนออกมาเป็นปกติ ซึ่งโยมอุปัฏฐากจะเข้าไปเรียกหลายครั้งแล้วแต่ไม่กล้า แต่พอตัดสินใจเรียกจริงๆ ท่านก็ตื่นขึ้นมาก่อน แล้วท่านก็กล่าวว่าความโกรธนั้นมีน้อยแล้ว ไม่ค่อยเห็น และท่านได้พูดตามภาษาคนตรงว่า แต่ถ้าลองคิดแกล้งให้มันโกรธใครสักคนหนึ่งเวลาสนทนากันอยู่ มันก็โกรธจริงๆ และก็โกรธจนปากสั่นห้ามมันไม่ค่อยอยู่ และท่านได้เล่าถึงผลสมาธิให้ฟังอีกว่า วันหนึ่งมีโยมเอารถมารับไปกิจนิมนต์ข้ามจังหวัด นั่งรถได้สักพักใหญ่ ท่านมีอาการคล้ายกับหน้ามืด ท่านก็เลยรีบเข้าสมาธิทันที นิ่งไปนาน พอรู้สึกตัวก็เอามือไปลูบแขนอีกข้าง มีลักษณะคล้ายกับเกล็ดเล็กๆ ใสๆ ติดฝ่ามือมาเลยเล่าอาการให้โยมทราบ พอโยมทราบก็พาท่านเข้าโรงพยาบาล หมอทำการตรวจเลือด ก็ทราบว่ามีน้ำตาลในเลือดสูงมาก แล้วถามโยมว่าก่อนมาท่านมีอาการช็อกแล้วหรือยัง โยมตอบว่ายัง หมอบอกว่าถ้าน้ำตาลสูงขนานนี้ ผู้ป่วยต้องช็อกแล้ว ผลของสมาธิที่ท่านเล่ามาข้าพเจ้าเชื่อสนิท เพราะเหตุการณ์ทำนองนี้ได้เกิดขึ้นกับข้าพเจ้ามาก่อนแล้ว

ดังเรื่องของข้าพเจ้ามีดังนี้ เมื่อต้นปี 2527 ข้าพเจ้ายังทำกรรมฐานติดต่อมาเป็นเวลา 1 ปีกว่า และข้าพเจ้าได้ไปอาศัยอยู่กับบ้านของเพื่อนคนหนึ่งในกรุงเทพฯ อยู่กัน 2 คนข้าพเจ้าจะกำหนดกรรมฐานจนดึกดื่นเกือบทุกคืน มีอยู่วันหนึ่งเมื่อเพื่อนไปเรียนหนังสือส่วนข้าพเจ้าจบแล้วแต่ยังว่างงานอยู่ เพราะทำกรรมฐานจนดึก จึงไม่อยากตื่นเช้านอนซมอยู่อย่างนั้นเพราะมีอาการไข้ ร้อนก็ร้อนเพราะเป็นเดือนพฤษภาคม แถมในห้องไม่มีพัดลม ตัดสินใจลุกขึ้นทันทีประมาณ 9.30. ตรงไปยังตู้เย็นเพื่อจะดื่มน้ำ พอเปิดตู้เย็นก็มีไอเย็นกระทบหน้าทันที เอามือขวายกกระปุกน้ำแล้วเปิดฝากระปุกเอามือซ้ายหยิบแก้ว แล้วกำลังรินน้ำจากกระปุกลงแก้ว เกิดมีอาการคล้ายหน้ามืด จึงตั้งสติพยายามหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ พอนั่งถึงเก้าอี้ก็หมดความรู้สึก มารู้สึกอีกครั้งเหมือนกับเอาลวดมาพันรอบศีรษะเป็นตาข่าย แล้วขันให้แน่นเข้าเจ็บจนเกินที่จะประมาณได้ ซึ่งตอนนี้ไม่รู้สึกที่ร่างกาย แล้วจิตถามตนเองว่า ข้าเป็นใคร? ข้าชื่ออะไร? ข้าอยู่ที่ไหน? หลังจากนั้นก็มาถ่วงลงที่เท้า เป็นความรู้สึกไม่ใช่ที่ร่างกาย มีความเจ็บปวดมาก แล้วก็มารู้สึกที่ร่างกายเต็มตัว อยู่ในท่าเดิมที่กำลังรินน้ำอยู่ แต่มันสั่นไปหมด นี้เป็นผลดีของสติสมาธิที่ควบคุมร่างกายและสมองไม่ให้ผิดปกติ ข้าพเจ้าจึงมีความเชื่อว่าสติสมาธิสามารถควบคุมสิ่งที่เกิดเฉียบพลันกับสมอง และจิตใจได้ ไม่ให้ผิดปกติไปในทางที่เป็นผลเสีย นี้เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าเล่ายืนยันที่หลวงพ่อท่านกล่าวไว้ และด้วยความที่ท่านเป็นพระตรงถ้าเป็นพระผู้ใหญ่ผู้อื่นคงจะไม่เล่าให้ฟัง เพราะกลัวเสียหน้า คือท่านเพิ่งออกจากโรงพยาบาล เนื่องจากเกิดอุบัติเหตุ รถชน ทำให้ท่านปากแตก คือร่องระหว่างริมฝีปากล่างกับคางไปกระแทกกับหน้ารถ ทำให้หนังและเนื้อแตกและฉีกขาด และสาเหตุเช่นนี้ ท่านบอกว่า มีลูกศิษย์ คนหนึ่งซื้อรถใหม่ และมานิมนต์ให้ท่านนั่ง เพื่อเป็นสิริมงคล ขับไปแล้วเกิดอุบัติเหตุ นี้ละหนอท่านที่ไม่ปิดบังผู้อื่นเพื่อยกย่องตนเอง หาได้ยากมากนัก สิ่งที่เล่ามานั้นเป็นคุณสมบัติของหลวงพ่อพุทธที่ข้าพเจ้าสัมผัสมาในช่วงเวลา 3 ชั่วโมง

พระเถระผู้เจนโลกไม่แสดงชื่อเสียงแต่ธรรมะกินใจ

ประมาณปลายเดือน มิถุนายน 2537 ข้าพเจ้าได้มีโอกาสแนะนำระบบคอมพิวเตอร์ที่นครราชสีมาอีกครั้ง และระหว่างโรงแรมกับที่ทำงานข้าพเจ้าต้องเดินผ่านวัดสะลักทุกครั้ง ได้เห็นป้ายเชิญชวนให้ประชาชนมาทำบุญ จัดภัตตาหารถวายพระ 200 รูป ซึ่งเป็นพระเจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ ทางภาคอีสานของฝ่ายเถรวาทมาประชุมร่วมกัน ข้าพเจ้าก็กะว่าเมื่อปัญหาของงานน้อยลงเมื่อเลิกงานก็จะเข้าไปเพื่อสนทนาธรรมะกับท่านเหล่านั้น เมื่อข้าพเจ้าเคลียร์ปัญหาต่างๆ หมดแล้ว พอเลิกงาน 17.00 น. ข้าพเจ้าก็ตรงไปวัดสะลัก เป็นช่วงที่พระเถระต่างๆ กำลังพักพอดี บางท่านเดินซื้อของ บางท่านขึ้นไปนั่งพักผ่อน บางท่านก็เอนกายลงนอน บางท่านรวมกลุ่มสนทนากัน ในที่พัก เมื่อข้าพเจ้าเข้าที่ตึกหลังนั้นก็เริ่มถามว่า "มีพระท่านใดที่ท่านเก่งกรรมฐาน" ก็มีพระบอกว่า "มีท่านมหา (แต่ข้าพเจ้าจำชื่อไม่ได้) ท่านนี้พอมีความรู้อยู่ เห็นท่านเดินอยู่เมื่อตะกี้ ลองขึ้นไปที่พักสิ! อาจจะอยู่" ข้าพเจ้าเดินขึ้นไปเรื่อย ถามไปเรื่อยจนถึงที่พัก ของพระเถระต่างๆ ข้าพเจ้าสอดส่ายตาหาดูเห็นพระแก่อยู่ 2 รูปกำลังสนทนากันอยู่ ส่วนพระกลุ่มอื่นอยู่ใน อิริยาบถต่างๆ กันที่ข้าพเจ้าจะเข้าไปสอบถามลำบาก ข้าพเจ้าเลยตรงไปหาพระแก่ๆ สองรูป ซึ่งรูปหนึ่งหูก็ไม่ค่อยได้ยินเวลาพูดก็พูดเสียงดัง ส่วนอีกรูปหนึ่งอายุอ่อนกว่า เป็นผู้ที่ฟังเสียมากกว่า ข้าพเจ้าจึงเข้าไปถามท่านถึงพระมหารูปนั้น พระแก่ที่พูดเสียงดังบอกข้าพเจ้าว่า ลงไปข้างล่างเดี๋ยวก็ขึ้นมา แล้วถามว่าข้าพเจ้ามีธุระอะไร เป็นสำเนียงอีสานซึ่งข้าพเจ้าฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้บ้าง แต่จับใจความได้ ข้าพเจ้าจึงตอบไปว่า "ต้องการหาพระที่ท่านเก่งกรรมฐานเพื่อจะสนทนาธรรมะ" แล้วข้าพเจ้าหันไปมองท่านที่หนุ่มกว่าเพราะท่านสงบดี สายตาข้าพเจ้าจ้องตรงสายตาของท่านพอดี มันช่างเฉยอะไรอย่างนั้นคล้ายกับแม่ชีที่ข้าพเจ้าเจอที่กระบี่ เหมือนกับไม่มีอะไรเหลืออยู่ในดวงตาของท่านเลย

ข้าพเจ้าจึงถามว่า "หลวงพ่อรู้เกี่ยวกับกรรมฐานหรือเปล่า" ท่านที่หนุ่มกว่าก็เฉยไม่พูดทำให้ข้าพเจ้าอยากจะสนทนาด้วย แต่ท่านไม่ปล่อยให้โอกาสเลย ส่วนพระแก่ๆ รูปนั้นก็พยายามที่จะสนทนากับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ฟังแต่ไม่ค่อยจะเข้าใจเพราะเป็นภาษาทางภาคอีสาน พอสักครู่หนึ่งพระมหาที่ข้าพเจ้าถามหาก็ขึ้นมา พร้อมกับเครื่องคิดเลขที่เมื่อเวลากดแล้วจะมีเสียงบอกค่าต่างๆ ซึ่งเป็นของแปลกของท่าน และมาลองกดให้พระต่างๆ ดู และพระรูปอื่นบอกว่าข้าพเจ้าถามหาอยู่ ท่านจึงเข้ามาหาข้าพเจ้า ที่กำลังคุยกับพระเถระ รูปที่แก่แต่ยังจับใจความอะไรไม่ได้ เมื่อพระมหาเข้ามาแล้วถามว่าข้าพเจ้ามีธุระอะไร? ข้าพเจ้าบอกว่า "จะมาคุยการปฏิบัติกรรมฐานกับท่าน" ท่านมหาก็เริ่มสอนเลยว่า "การกรรมฐานต้องนั่งสมาธิภาวนารู้อยู่ ไม่สนใจอะไร?" ข้าพเจ้าเลยถามว่า "แล้วมันจะวางละได้อย่างไร?" ท่านมหาพูดต่อ "ก็ต้องนั่งกำหนดภาวนาวิปัสสนา ให้มันลืมความทุกข์ที่ผ่านมาคือให้มันลืมไปเลย" ข้าพเจ้าก็คิดว่ามันจะลืมได้อย่างไร ก็เลยถามไปอีกว่า "ในตอนนั่งนั้นมันลืม แต่พอตอนออกกรรมฐานไม่ลืมแล้วจะวางละได้ตรงไหน?" และตอนนี้ท่านมหาเริ่มนิ่งหน้าเริ่มแสดงความขุ่นเคืองเล็กน้อย สักพักหนึ่งทำท่าจะลุกขึ้น ฝ่ายพระเถระรูปที่มีอายุน้อยกว่า ก็กล่าวออกมาว่า "ออ! อัตตานั้นเอง" พระมหาก็ลุกขึ้นเดินออกไปแบบไม่สบอารมณ์เท่าไร ฝ่ายพระเถระรูปที่มีอายุน้อยกว่า ท่านก็ขยับตัวไปที่นอนของท่านแล้วเอนกายลงนอนไม่ใส่ใจอะไรเลย

ฝ่ายพระเถระรูปที่แก่กว่าท่านก็พยายามจะพูดกับข้าพเจ้าด้วยสำเนียงอีสาน บอกว่าพระเถระรูปที่ขยับไปนอนท่านเป็นพระที่เทศน์เก่งเป็นที่หนึ่ง และเป็นเจ้าคณะอำเภอ ทำให้ความรู้สึกข้าพเจ้าทึ่งทันที ที่ท่านไม่ยอมพูดอะไรเลยนอกจากประโยคเดียวที่กล่าวมา ข้าพเจ้าก็เลยคิดว่าน่าจะคุยกรรมฐานพระเถระแก่รูปนี้ เพื่อได้สิ่งที่ดีบ้าง ข้าพเจ้าเลยถามถึงอายุของท่าน ท่านบอกว่าอายุประมาณ 84ปี หูไม่ค่อยได้ยินให้พูดดังๆ ข้างหูก็จะได้ยิน ข้าพเจ้าเลยถามต่อว่า "หลวงพ่อเริ่มทำกรรมฐานตั้งแต่เมื่อไหร่?" ท่านบอกว่า "เริ่มทำกรรมฐานเมื่อปี พ.2485" ด้วยสำเนียงอีสาน ข้าพเจ้าฟังเป็น พ.2535 แล้วท่านก็พูดต่อ "ให้ลูกลองพิจารณา ขน ผม เล็บ ฟันหนัง และความตายดูเสียมันจะดี" ข้าพเจ้าถามต่อ "เริ่มแรกหลวงพ่อทำกรรมฐานแบบไหนก่อน" หลวงพ่อบอก"เริ่มแรกก็ดูลมหายใจเข้าออก แต่ทำผิดไปคือไปดูตามลม เวียนหัวไปหมด ที่หลังได้อ่านหนังสือธรรมะเป็นภาษาบาลีเจอ (ท่านก็พูดเป็นภาษาบาลีแต่ข้าพเจ้าจำไม่ได้) มีความหมายว่า เฝ้าดูไม่ใช่ตามดู (แล้วท่านก็ชี้ที่ปลายจมูก) ให้สติอยู่ตรงนี้ พอมันสงบนิ่งให้พิจารณาความตาย พิจารณาร่างกาย ทั้งผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ตับ ไต ไส้ ปอด ของดี ของเสีย หลวงพ่อทำอย่างนี้ มันก็วางไปจริงนิ่งสงบสุขอยู่อย่างนั้นเป็นวันๆ เลย พระเมื่อสมัยก่อน ฉันข้าวเย็นเกือบทุกองค์ ดูหนังกลางแปลงที่เข้ามาฉาย แต่พอหลวงพ่อได้ถึงตอนนี้ ข้าวเย็นก็ไม่ฉันแล้ว หนังกลางแปลงก็ไม่อยากไปดูเอง"

พอถึงตอนนี้ข้าพเจ้าเลยย้อนถามอีกครั้งว่า "หลวงพ่อเริ่มทำกรรมฐานเมื่อไหร่?" ตอนนี้ท่านตอบอย่างชัดเจนว่า "หลวงพ่อเริ่มทำกรรมฐานเมื่อ ปี พ.2485" ข้าพเจ้าถึงบางอ้อทันที เลยถามต่อว่า "หลวงพ่อบวชเมื่ออายุกี่ปี" ท่านตอบว่า "บวชเมื่ออายุ (26 หรือ 29 ปีข้าพเจ้าจำไม่ค่อยได้) ก่อนมาบวชมีครอบครัวแล้ว" ข้าพเจ้าถามว่า "หลวงพ่อเคยทำกรรมฐานที่ใดบ้าง" ท่านตอบว่า "เมื่อปี พ.2502 ก็เคยไปทำกรรมฐานแนวยุบหนอ พองหนอ ที่วัดมหาธาตุเพราะเขาเกณฑ์ไป แต่ทำยุบหนอ พองหนอ ไม่ค่อยได้ มันติดที่ปลายจมูกมากกว่า เลยเฝ้าดูลมมาเรื่อย เมื่อไรจะให้มันสบาย ก็ดูจนลมนิ่งแล้วพิจารณาความตายก็สงบนิ่งไปเป็นเวลานานสบายดี บางทีนั่งดูลมอยู่เกิดสว่างโล่ง คนอื่นก็เห็น แล้วที่ไม่ใช่คนมาบอกที่ซ่อนของบ้างก็ไม่สนใจมีบางตนเอาของมาให้ไม่เคยรับเขาเลยวางลูกแก้วให้อันหนึ่ง ใสสวยดีบางคืนก็เรืองแสง ยังเก็บอยู่ที่วัดยังไม่ให้ใคร" แล้วถามถึงงานที่ข้าพเจ้าทำ แผ่นดิสก์คอมพิวเตอร์ที่ข้าพเจ้าถือไปด้วย ข้าพเจ้าก็อธิบายให้ท่านฟัง แล้วข้าพเจ้าก็ขอตัวกลับ ท่านก็ย้ำว่าพิจารณาดูความตายนะ!

เมื่อข้าพเจ้าถึงโรงแรม หลังจากทานอาหารอาบน้ำเสร็จก็เริ่มทำกรรมฐาน พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ความตาย ความตายนี้ข้าพเจ้าพิจารณาได้ชัดเจนมาก สามารถมีมโนภาพได้ชัดเจน ก็เนื่องจากข้าพเจ้าเคยเห็นมาก่อนที่เป็นของจริง คือตอนที่พี่ชายคนที่สติไม่ดีตาย ข้าพเจ้าดูแลพี่ตั้งแต่พี่ป่วยพาไปหาหมอจนทานข้าวด้วยตนเองไม่ได้ และตอนกำลังตายหลังจากตาย ลักษณะร่างกายและสีผิวต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลง ได้อารมณ์กรรมฐานที่เรียกว่าดีมากพิจารณาอยู่เป็นเวลานาน พอถึงจุดหนึ่งลงภวังค์ อารมณ์ทุกอย่างวางเฉยสงบนิ่ง ไม่มีความรู้สึกที่ร่างกาย แล้วจิตก็กล่าวมาเองว่า "ไม่สุข ไม่ทุกข์" อารมณ์นั้นคงอยู่สักพักก็มารับเต็มร่างกาย ที่เล่าได้อย่างนี้ไม่ใช่ว่าไปสังเกตทุกอย่างตอนที่กำลังเป็น มันเป็นไปแล้วสงบไปแล้ว จึงมาใช้สัญญาใหม่ย้อนดูสิ่งที่ผ่านมา เพราะเวลาทำกรรมฐาน ควรปล่อยใจให้เป็นกลางมีสติให้รู้ทันกับอารมณ์ที่กำลังพิจารณาแล้วปล่อยวางไปเรื่อยๆ ส่วนธรรมะที่ข้าพเจ้าได้จากพระเถระที่ไม่สนใจอะไรเลย แต่ปัญญาคมคือ "การวางละต้องว่างให้จริง ไม่เหมือนลิงหลอกเจ้า" เหมือนเป็นการตำหนิตัวข้าพเจ้าเอง และมีอะไรเงื่อนงำอยู่ที่ข้าพเจ้าคาดคิดไม่ถึง ที่จะบังเกิดเมื่อข้าพเจ้าพิสูจน์ตัวเองถึงที่สุด

เมื่อความสำคัญมั่นหมายว่าตนเองปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ได้หายไปจากความนึกคิด เพราะปรารถนาหรือไม่ปรารถนาก็จะไม่ทำให้จิตใจข้าพเจ้าต้องทุกข์ร้อนและสับสน ปลายปีวันที่ 5 ธันวาคม พ.2537 ข้าพเจ้าก็ได้รับสัญชาติไทย หลังจากนั้นความมั่นคงในชีวิตในหน้าที่การงาน และความสมบูรณ์ของครอบครัว ย่อมเพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะพื้นฐานต่างๆ ไม่ว่าความรู้ความสามารถ ข้าพเจ้าสะสมไว้อย่างพร้อมแล้ว เงินเดือนขั้นสุดท้ายในตอนนั้น 11,000 บาท แล้วข้าพเจ้าก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น วิชา

ในช่วงปี 2538-2539 นี้เอง ข้าพเจ้าสนใจเรื่องจิตว่าง และการปล่อยวางเป็นอย่างมาก จึงกำหนดภาวนาน้อมจิตให้ว่าง ปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นเป็นเสียส่วนมาก เป็นเวลาติดต่อกันเป็นเวลายาวนาน จนถึงในค่ำวันหนึ่งขณะที่นั่งกรรมฐานโดยกำหนดภาวนา “ปล่อยวาง ๆ”, “ไม่ยึดมั่นถือมั่น ๆ” ทำจิตให้ว่างๆ สภาวะความรู้สึกต่างๆ ค่อยๆ คลายค่อยวาง แล้วความรู้สึกหรือจิตเหมือนอยู่ในกรอบเป็นหนึ่งสงบอยู่ช่วงหนึ่ง หลังจากนั้นก็พลิกเข้าไปสู่ความว่างสงบและนิ่งเป็นหนึ่งสว่างสดใสมีสติเป็นความว่างที่มีแต่อุเบกขาอยู่ ว่างจากอารมณ์ใดๆ รู้แต่ว่างสดใสเป็นอุเบกขาทรงอยู่อย่างนั้นพักหนึ่ง แล้วค่อยถอนออกมารับรู้อารมณ์อื่นๆ แล้วรู้สึกชัดทั่วตัว แต่การรู้สึกตัวชัดนั้น ก็เสมือนว่าความว่างและสงบสดใสเป็นอุเบกขานั้นอาบทั้งกายและใจ เป็นเวลาติดต่อกันหลายวันทีเดียว และข้าพเจ้าเข้าใจได้ว่า จิตว่าง เป็นอย่างนี้เองๆ แต่ยังไม่ทราบว่าตามบัญญัติเป็นสมาธิระดับไหน ในช่วงนั้น ภายหลังเมื่อได้ศึกษาเทียบเคียงในพระไตรปิฎกมากขึ้นจึงทราบชัด

หมายเหตุ เพราะนานมาแล้วถ้าจำไม่ผิด ปกติเมื่อเข้าสมาธิแบบใหม่ได้ครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อถอนมารู้สึกตัวก็จะเข้าไปใหม่อีกครั้ง เป็นอย่างนี้เสมอ หลังจากนั้นก็จะทิ้งสภาวธรรมนั้นไป

เมื่อเริ่มต้นปี พ.ศ.2538 ข้าพเจ้าก็เปลี่ยนงานไปเป็นโปรแกรมเมอร์ที่บริษัทเอื้อกุลที่เปิดใหม่ตำแหน่งผู้จัดการรับเงินเดือน 16,000 บาท และข้าพเจ้าได้ผ่อนดาวน์ทาวน์เฮาส์ สองชั้น 18 ตารางวา แต่ไม่มีงานเขียนโปรแกรมเพิ่มขึ้นข้าพเจ้าทำงานที่บริษัทเอื้อกุลประมาณปีกว่า แล้วคุณไบ่ได้แนะนำบริษัทใหม่ให้ข้าพเจ้าทราบว่าเขารับตำแหน่งโปรแกรมเมอร์ เพราะข้าพเจ้าเคยบอกคุณไบ่ว่าอยากทำงานที่สมกับความสามารถตนเอง

เป็นอันว่า 16 เมษายน พ.ศ. 2539 ข้าพเจ้าก็ได้เป็นโปรแกรมเมอร์อย่างเต็มตัวในตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายพัฒนาระบบ โดยเริ่มที่เงินเดือน 25,000 บาท ข้าพเจ้าต้องเขียนโปรแกรมพัฒนาระบบสต็อกเอกสารภายในและบิลการขายของบริษัททั้งหมดด้วยตัวเองทั้งหมดซึ่งเป็นงานที่หนักมาก บางครั้งเขียนโปรแกรมจนเบลอเดินกลับบ้านเหมือนพื้นไม่เสมอกัน และเวลานอกกลางคืนฝันเห็นโค้ดการเขียนโปรแกรมลอยเต็มไปหมด และคุณไบ่เคยโทร.มาคุยและบอกข้าพเจ้าว่า “ไม่กลัวว่าคุณวิชาจะทำไม่ได้ แต่ที่กลัวคือสุขภาพของคุณวิชามากกว่า” เพราะคุณไบ่เห็นข้าพเจ้าปวดข้อและปวดจนไข้ขึ้นหลายครั้ง แต่ข้าพเจ้าสามารถฟันฝ่าเขียนโปรแกรมสร้างควบคุมสต็อกของบริษัทได้อย่างถูกต้อง ระบบบิลระบบเอกสารภายในเกี่ยวกับการขาย และสต็อกเป็นรูปแบบขึ้น และด้วยการบริหารที่ดีของผู้บริหารทำให้บริษัทสามารถผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 ได้อย่างดี โดยเน้นไปที่กำหนดภาวนา “ปล่อยวาง” เป็นเช่นนั้นเอง” , และทำจิตให้ว่างๆ การปฏิบัติธรรมก็ค่อยๆ กระชับขึ้นมากขึ้นเองไปตามลำดับ ติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน

และในช่วงหลังจากนั้นข้าพเจ้าได้ลงโฆษณาย่อยฟรี ให้ผู้ที่สนใจธรรมะและปฏิบัติธรรมโทร.เข้ามาสนทนากับข้าพเจ้าได้ในช่วงเวลา 21.00-23.00 ณ. แล้วปี 2540 ข้าพเจ้าได้ย้ายไปอยู่บ้านทาวน์เฮาส์หลังใหม่ ภายหลังได้ซื้อรถเก๋งขับไปทำงานคันแรกราคา 100,000 บาท และข้าพเจ้าก็เริ่มได้รับการรักษาที่เป็นระบบถูกต้องขึ้น โดยใช้สิทธิ์ประกันสังคมที่โรงพยาบาลลาดพร้าว เป็นอันว่าที่หมอคลินิกตรวจเลือดและวิเคราะห์ว่าข้าพเจ้าเป็นโรคเกาต์เพราะมีกรดยูริกสูงเมื่อ 8 ปีที่แล้ว จนประมาณ 4-5 ปีต่อมาแม้ทานยาลดกรดยูริกในกระแสเลือดแล้วไม่ได้ผลกลับลุกลามเพิ่มขึ้น จนข้าพเจ้าต้องตัดสินใจไม่ทานเนื้อสัตว์และเลิกทานยาลดกรดยูริก อาการของโรคก็พอบรรเทาดำเนินไปได้อีก 3 ปีอาการของโรคก็เริ่มเป็นมากขึ้น เมื่อได้รับการรักษาอย่างเป็นระบบก็ตรวจพบว่าที่จริงแล้วข้าพเจ้าเป็นโรครูมาตอยด์ ไม่ใช่เป็นโรคเกาต์ จึงได้รับการทานยาแก้ปวดข้อกับยากดโรครูมาตอย แต่ยาทั้งสองอย่างมีผลข้างเคียงสูงเมื่อรับประทานไปเป็นเวลานาน ก็ถือว่าเป็นการบรรเทาวิบากกรรมของการเจ็บปวดอักเสบทรมานได้มากแล้ว

ส่วนเมื่อข้าพเจ้าไม่สนใจเกี่ยวกับความเป็นพระโพธิสัตว์นานแล้ว ก็เกิดปัญหาขึ้นจนได้ ดังเรื่องที่เคยเขียนสนทนาในเว็บลานธรรมไว้ตัดมาส่วนหนึ่งต่อไปนี้

หายไปหลายวัน วันนี้ได้เข้าอินเตอร์เน็ตอย่างเป็นปกติ จึงจะเล่าเรื่องบันเทิงธรรมให้ฟัง แต่ก่อนเล่าข้าพเจ้าขอแยกความเห็นให้พิจารณาก่อน ในการวางใจ เพื่อความเข้าใจ ในธรรมชาติของการศึกษาที่จะไม่เป็นโทษในภายหลัง จึงควรทำความเข้าใจ สภาวะการรับรู้ดังนี้

1.การมีสติรู้สภาวะความเป็นจริงของรูปและนาม (ปฏิบัติธรรมอยู่)

2.ภาวะความเป็นจริงทางวิชาการตามหลักฐานะ ทางสังคม ทางฐานะ การเป็นอยู่และความเป็นมนุษย์ ทำให้ไม่หลงภาวะทางสังคม ฐานะ และไม่หลงภพภูมิ

3.ภาวะความคิด ต้องรู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ สนใจคิดเรื่องอะไรอยู่ กำลังจมอยู่ในความคิดเรื่องอะไรอยู่ ก็จะไม่ทำให้หลงไปในความคิด จนลืมภาวะทางฐานะของความเป็นมนุษย์

4.ภาวะจินตนาการ คือบางครั้งก็ต้องปล่อยให้ไหลไปตามจินตนาการณ์ เหมือนดังปล่อยสายว่าว ในขณะที่เล่นว่าวอยู่ แต่ไม่หลงลืมขาดสติ จากภาวะความเป็นจริงทางสังคมทางฐานะและความเป็นมนุษย์

เมื่อเราเข้าใจและแยกแยะได้ทั้ง 4 ข้อ ได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะมีเรื่องอัศจรรย์ พิลึกลั่น กับตัวเอง หรือได้ยินได้ฟังเรื่องจากผู้อื่น ก็จะไม่ทำให้เรามีอารมณ์ความคิดความเห็นผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง ตามข้อ 2.ได้ สามารถย่อให้สั้นลงเพียง 3 ข้อสำหรับคนทั่วไปดังนี้

1.ความจริงทางโลก

2.ความคิด

3.จินตนาการ

ถ้ามีสติปัญญาแยกแยะได้ และดำรงความเป็นจริงทางโลกได้ ไม่ว่าจะมีเรื่องพิสดารหรือพิลึกเกิดขึ้นกับตนเอง หรือได้ยินได้ฟังมา โอกาสวิปลาสไปหรือผิดเพี้ยนไหลตามหรือจมอยู่ จนกู่ไม่กลับนั้นมีน้อยมากๆ

สำหรับข้าพเจ้าความจริงทางโลก คือ ข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ ชื่อนี้ นามสกุลนี้ มีอาชิพนี้ มีตำแหน่งนี้ จบการศึกษาแค่นี้ มีฐานะทางสังคมอย่างนี้ มีครอบครัวอย่างนี้ เรียนจบมาทางวิทยาศาสตร์มาอย่างนี้ ซึ่งไม่ควรหลงฐานะนี้อย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะคิด จะจินตนาการ หรือประสบเหตุการณ์ที่อัศจรรย์หรือพิลึกอย่างไรก็ตามแต่ ดังนั้นสามารถรับรู้สิ่งที่แปลกแล พิสดารได้มากมายเกินโลกของความเป็นจริงของคนทั่วไป โดยที่ไม่ผิดเพี้ยนไปจากคนทั่วๆ ทั้งอารมณ์และพฤติกรรม ดำรงตนอยู่ได้อย่างเป็นปกติ

เอาละครับเกริ่นนำเสียมากมาย เรื่องบันเทิงธรรมเป็นเรื่องที่ประสบมาจริง แต่จะเป็นจริงหรือไม่นั้นไม่สามารถพิสูจน์ได้

จากความเห็นเก่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาเมื่อเกือบ 20 ปีมาแล้ว และเข้าใจว่า เทพผู้ปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายมีพร้อมแล้วจากที่ขาดอยู่ แต่หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้รับความทุกข์ยากบีบเค้นทั้งทางสังคมทางชีวิต ทางฐานะ อย่างมาก และเนื่องจากวิปัสสนาญาณยังล่อเลี่ยงอยู่ ยังกำหนดสติอยู่เป็นส่วนมาก จึงอยากหนี อยากหลุดอยากพ้นเต็มกำลัง และพระอาจารย์ก็ได้มรณภาพไปแล้ว จึงตั้งใจอย่างหนักแน่นว่า จะพิสูจน์ตนเองอีกครั้ง โดยเอาการปฏิบัติธรรมนี้เป็นสิ่งวัด จะพยายามคลายความคิดการจินตนาการเรื่องพุทธภูมิลงเรื่อยๆ โดยการปล่อยวางไม่ยึดมั่นถือมั่นเป็นหลัก ปฏิบัติอยู่เรื่อยๆ ตามแบบของคนมีครอบครัว เกิดสมาธิเห็นความว่าง แล้วเกิดปัญญาเห็นว่า

ถ้าครอบครัวไม่ตั้งมั่น แล้วเราจะหนีไปสร้างบารมีอะไรได้ จะมีแต่ความห่วงและความทุกข์ติดตามเราเหมือนกับเงาตามตัว เพราะความตัดช่องน้อยไม่รับผิดชอบ จึงให้ใจและเวลากับครอบครัวมากขึ้น

เมื่อเวลาผ่านไปเป็นเวลา 5 ปี เกิดวิปัสสนาญาณ ตัดขาดความนึกคิดและจินตนาการเรื่องพุทธภูมิจากจิตสำนึกอย่างสิ้นเชิง ปัญญาเห็นความไม่ยึดมั่นถือมั่นในทั้งหมดทั้งสิ้น (ก็พูดยากเหมือนกันสำหรับผู้ไม่เห็น) สรุปเป็นอันว่า เรื่องพุทธภูมิหมดจากความคิดและจินตนาการที่เป็นจิตสำนึกที่รู้สึกได้ คือไม่มีผลต่อจิตใจอีกเลย

ส่วนเรื่องการสื่อสนทนากับโอปปาติกะนั้นยังสนทนากันอยู่แต่เป็นเรื่องทั่วๆ ไป ไม่บ่อยนัก นานครั้ง แต่เมื่อข้าพเจ้าออกปากกล่าวเรื่อง ความปรารถนาพุทธภูมิหมดไปจากใจและความคิดของข้าพเจ้าเสียแล้ว โอ่โอ้มีเรื่องเลย โอปปาติกะผู้ที่มาสื่อสัมผัสได้แบ่งออกเป็น 3 ส่วนตามปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นคือ

 
โอปปาติกะ ส่วนที่ 1.

เข้ามาเตือน บอกว่า "ท่านไม่สามารถที่จะล้มเลิกการสร้างบารมีได้อย่างแน่นอนแล้ว"

ข้าพเจ้ากล่าวว่า "ความคิดความรู้สึกปรารถนาพุทธภูมิไม่มีในใจผมแล้วนี่ครับ และผมก็ไม่ไปยึดมั่นถือมั่นด้วยเสียแล้ว"

โอปปาติกะกล่าวว่า "ถึงอย่างไร ท่านก็ไม่สามารถล้มเลิกได้อย่างแน่นอน เป็นสัจจะเที่ยงแท้แน่นอนแล้ว" แล้วจากไป

โอปปาติกะส่วนที่ 2.

ในวันต่อๆ มา โอปปาติกะส่วนที่ 2. เข้ามาตัดพ้อต่อว่า "ท่านล้มเลิกปรารถนาได้อย่างไร? เราได้ติดตามท่านมานาน อย่างน้อยสุดก็จะได้บรรลุสมัยท่าน ท่านทำอย่างนี้ทำให้เราต้องทุกข์และเศร้าหมองไปด้วย"

ข้าพเจ้ากล่าวว่า "ในเมื่อใจผมไม่มีความยึดมั่นถือมั่นเรื่องพุทธภูมิแล้วนี่ครับ และท่านก็สามารถปฏิบัติธรรมจนบรรลุมรรคผลนิพพานได้นี่"

โอปปาติกะกล่าว "เราก็ได้ปฏิบัติธรรมแล้ว แต่ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ในปัจจุบันนี้ เราจึงปรารถนาติดตามท่าน ท่านไม่น่าทำอย่างนี้เลย" แล้วจากไป

โอปปาติกะส่วนที่ 3.

เข้ามาด้วยความโกรธ และขุ่นเคืองข้าพเจ้าอย่างมาก เมื่อมาสื่อสัมผัสต่อว่าข้าพเจ้าทันที "ท่านทำไม่ถูก ท่านทำอย่างนี้ได้อย่างไร เราอุตส่าห์ยึดท่านเป็นที่พึ่ง สุดท้าย แต่เมื่อท่านทำอย่างนี้เราหมดศรัทธาและโกรธเคืองท่านอย่างมาก"

ข้าพเจ้าก็ตอบว่า "อ้าว.. ในเมื่อใจผมไม่มีความยึดมั่นถือมั่นเรื่องพุทธภูมิแล้ว จะทำอย่างไรได้?"

โอปปาติกะตอบกลับมาด้วยความขุ่นเคือง ว่า "อย่างนั้นเราท้าให้ท่านไป อธิษฐานยกเลิกการปรารถนาพุทธภูมิต่อเจดีย์พระธาตุ หรือพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ท่านกล้าไหมละ?"

ข้าพเจ้าเฉยไม่เห็นจะเป็นสาระสำคัญอะไร จึงตอบไปว่า "ในเมื่อใจไม่มีความยึดมั่นถือมั่นแล้ว จะอธิษฐานหรือไม่อธิษฐาน ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่สาระสำคัญอะไรเลย"

โอปปาติกะโกรธมากแล้วกล่าวว่า "อย่างนั้นเราจะไม่คุยกับท่านแล้ว ไม่มาสัมผัสสนทนากับท่านอีกต่อไปแล้ว ไม่ใส่ใจและติดตามท่านแล้ว" แล้วจากไปอย่างโกรธเคือง

หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ยังสนทนากับเทพที่กลางๆ ที่มาสื่อสัมผัสอยู่ แต่น้อยลงเรื่อยๆ และจิตใจข้าพเจ้าก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นในพุทธภูมิจริงๆ เสียด้วยซิ พัฒนาญาณและสมาธิได้ดีขึ้นมาก เบาละเอียดกว่าเดิมมากนัก

จบจากที่ยกมาบางส่วนจากการสนทนาในเว็บบอร์ด

หมายความว่าผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิเพื่อจะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ถ้าเกิดเปลี่ยนใจก็อาจจะมีปัญหาอยู่บ้างเหมือนกัน ซึ่งต้องพิสูจน์วัดความเป็นสัจจะธรรมกันต่อไป

แต่เมื่อปี 2541 ได้เกิดเหตุการณ์ขึ้นดังนี้ ประมาณเดือนสิงหาคม 2541 ในช่วงประมาณทุ่มหนึ่งข้าพเจ้าบังเกิดอารมณ์เศร้าและเบื่อหน่ายในจิตใจเองโดยไม่ทราบสาเหตุ ติดต่อเป็นเวลาเกือบ 4 ชั่วโมง และช่วงที่อารมณ์นี้เป็นอยู่ข้าพเจ้าก็ถามตัวเองว่า เราเป็นอะไรอย่างนี้ และอารมณ์ที่เกิดขึ้นผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ นั้นได้หายไปจากใจเรามานานแล้ว (ข้าพเจ้ามองข้ามความรู้ที่นอกเหนือจากจิตสามัญสำนึก เพราะปัจจุบันข้าพเจ้าใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ในการตัดสินปัญหาและพิสูจน์เป็นหลัก ดังนั้นสิ่งใดที่เกิดขึ้นมาเองโดยไม่มีเหตุผลทางวิทายาศาสตร์ หรือหาสาเหตุไม่ได้ ข้าพเจ้าก็จะปล่อยทิ้งไป จิตจึงสงบ) แล้วข้าพเจ้าหลับไป รุ่งวันใหม่ประมาณตี 5 ข้าพเจ้าก็ได้รับโทรศัพท์จากพี่สาวที่อยู่ภาคใต้ว่า พ่อได้เสียชีวิตแล้วตั้งแต่เมื่อคืนที่โรงพยาบาลพัทลุง

เรื่องราวตั้งแต่พ่อป่วยและเข้าโรงพยาบาลข้าพเจ้าไม่ทราบข่าวเลย เพราะพ่อได้สั่งห้ามไม่ให้โทรศัพท์ไปหาลูกที่อยู่กรุงเทพฯ จนกว่าพ่อตายไปแล้ว เพราะพ่อกลัวว่าลูกจะเสียเวลางาน และเสียค่าใช้จ่ายที่จะต้องมาคอยเฝ้าดูอาการเป็นเวลาหลายวัน นิสัยพ่อของข้าพเจ้าตระหนี่เป็นอย่างนี้มาตลอดไม่สามารถแก้ได้ และเชื่อมั่นในตนเองสูงจนสุดโต่งไม่เชื่อในเรื่องบุญเรื่องกรรม ดังนั้นกรรมดีที่เป็นกุศลจริงๆ มีน้อย แต่มีกรรมที่เป็นอกุศลเล็กๆ น้อยๆ มีมาตลอด

เมื่อพ่อข้าพเจ้าเสีย(ตาย)ไปประมาณ 1 เดือน ก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาส สนทนากับพระอาจารย์กรรมฐานรูปหนึ่ง และได้เล่าเรื่องประสบการณ์ที่ผ่านมาให้ท่านวินิจฉัย ท่านก็วินิจฉัยว่า เรื่องที่ผ่านมาทั้งหมดนั้นเห็นจริงแต่อาจไม่เป็นจริง และท่านให้เหตุผลว่าเพราะคนที่มีสมาธิ จะปรากฏภาพต่างๆ ได้มากมาย ข้าพเจ้าก็ยอมรับในการวินิจฉัยของท่าน เพราะในขณะนั้นข้าพเจ้าไม่มีความปรารถนาปรากฏขึ้นในใจ แต่มีข้อขัดแย้งในจิตใจลึกๆ ว่า อาจารย์กรรมฐานผู้นั้น รู้เห็นจริงจากปัญญาญาณของท่าน หรือวิเคราะห์ประเมินเอาจากประสบการณ์การได้ยินได้ฟังเท่านั้นหาได้เกิดจากญาณปัญญาไม่ เมื่อกลับบ้านข้าพเจ้าก็กำหนดกรรมฐานตามปกติ แต่เนื่องจากความขัดแย้งในเรื่องญาณของพระกรรมฐานผู้นั้นในจิตลึกๆ นี้และทำให้จิตใจข้าพเจ้าหวั่นไหวเมื่อเข้าสมาธิ จิตก็จะเอาข้อกังขานี้มาดูวิเคราะห์ในสมาธิลึกๆ อีกที เมื่อจิตเศร้าหมองตัดสินใจอะไรไม่ได้ จิตก็หาทางออกเองโดยพิจารณาไปว่า

-ไม่ว่าสิ่งใดที่ว่าแกร่งดังหินผา แข็งแกร่งดังเหล็กเพชร หรือเข้มแข็งยิ่งกว่าสิ่งใด ย่อมมีการสลายหรือเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อโดนพายุของกาลเวลาพัดผ่านได้อยู่ เป็นธรรมดาของทุกสิ่งที่ยังตกอยู่ในวัฏฏะสงสาร แต่ทุกอย่างก็เป็นไปตามลำดับของเหตุปัจจัยของสมมุติสัจจะ จะไปปฏิเสธหรือยอมรับตามอำนาจใจอันมีโมหะ ที่ยังไม่รู้จริงย่อมยังไม่ได้

-อาจจะเป็นไปได้การภาวนา ไตรลักษณ์ อันได้แก่ อนัตตา โดยมีตัวเองเป็นที่ตั้ง หรือภาวนา อนิจจัง โดยมีตัวเองเป็นที่ตั้ง ก็อาจทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน โดยไม่ยอมรับ ในสิ่งที่เกินวิสัยที่ตัวเองกระทำได้ หรือไม่รู้จริงหรือผิดแปลกไปจากสิ่งที่ตนเองเห็นและเข้าใจ แล้วสรุปรวมว่าไม่แน่นอนตามกฎไตรลักษณ์ หรือปฏิเสธในสิ่งนั้น เพราะเกินวิสัยที่จะทราบได้ นี้ละหนอจิตใจที่ยังมีโมหะของข้าพเจ้า น่าเวทนาอย่างยิ่ง

ทำให้ข้าพเจ้าเหมือนยืนอยู่บนทาง 3 แพร่ง จะไปยึดปรารถนาพุทธภูมิก็ไม่ใช่ จะไปเชื่อพระกรรมฐานที่วินิจฉัยตอนนี้ก็ไม่ใช่แล้ว และจะเชื่อจิตใจที่นึกคิดว่าตนเองไม่ปรารถนาพุทธภูมิก็ไม่ใช่ หลังจากนั้นข้าพเจ้าสลัดความรู้สึกนี้ออกไป เพราะมีภารกิจในการทำงานตามหน้าที่

ต่อมาอีก 10 กว่าวัน ก็บังเกิดมีเหตุการณ์ ที่ผิดจากความคาดหมายของข้าพเจ้าอย่างสิ้นเชิง เมื่อ วันที่ 4 ตุลาคม พ.2541 ทำให้ข้าพเจ้าต้องมาพิจารณาเหตุการณ์นั้นอยู่อีก 2 วัน จึงได้ข้อสรุป เหตุการณ์วันที่ 4 ตุลาคม พ.2541 มีดังนี้ เพื่อให้บิดาที่ตายไปแล้วซึ่งได้มาสื่อสัมผัสกับภรรยาและได้ทราบว่ากำลังจะไปเกิดเป็นอสุรกายในเวลานั้น เพราะบิดานั้นทำบุญเพียงน้อยนิด แต่ทำกรรมเล็กๆ น้อยๆ มาตลอด ถึงแม้อุทิศส่วนบุญที่ทำมาแล้วให้ก็ยังไม่ดีขึ้น และใจข้าพเจ้าวางเฉยและถอยความเชื่อในการสื่อสัมผัสไปเกือบ 5 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 แต่อยู่ๆ ได้มีเทวดาอารักษ์ได้แทรกมาสื่อสัมผัสมาบอกว่า

"ให้ท่านลองใช้สัจจะบารมีที่ได้ปรารถนาพุทธภูมิเผื่อจะช่วยได้"
   ข้าพเจ้าก็พูดตอบไปว่า
"
เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าปรารถนาแต่นิพพาน ไม่สนใจพุทธภูมิ"
   เทวดาอารักษ์ก็กล่าวว่า
"เวลาพ่อของท่านมีน้อยแล้วจะไปจุติเป็นอสุรกายอยู่แล้ว ถ้าไม่รีบช่วยตอนนี้ก็จะไม่ทันการ"
   โดยที่ใจข้าพเจ้าขณะนั้นปรารถนาแต่นิพพานเพียงอย่างเดียว โดยไม่สนใจในพุทธภูมิ เมื่อเกิดสถานการณ์ดังกล่าวข้างบน ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า "เอาก็ลองดูไม่ได้เสียหายอะไร และใจของข้าพเจ้าขณะนี้ ไม่ได้ติดใจในเรื่องพุทธภูมิ เพียงแต่พูดธรรมดาเผื่อมีประโยชน์ต่อพ่อที่ตายไปแล้วบ้าง"
   จึงพนมมือแบบไม่เชื่อมั่นและกล่าวอย่างธรรมดาๆ แบบไม่เชื่อมั่นว่า
"ด้วยสัจจะบารมี ถ้าข้าพเจ้า
ปรารถนาในพุทธภูมิ" (แต่ในใจลึกๆ สะกิดคิดขึ้นมาว่า ถ้าให้พ่อพ้นทุกข์แม้เราจะทุกข์เพราะปรารถนาพุทธภูมิก็ต้องยอม) กล่าวถึงนี้และใจลึกๆ สะกิดไม่ทันจบประโยค จิตเสมือนกดตัวเองหรือโดนกดให้นิ่งรวมตัวกันเป็นจุดแน่นนิ่งอยู่กลางลำตัวอย่างนั้น ไม่สามารถกล่าวอะไรต่อไปได้แม้พยายามจะพูด บังเกิดปีติมากมายจนสั่นสะท้านไปทั้งตัวทั้งใจจนน้ำตาไหลซึม และบิดาที่มาสื่อสัมผัสกับภรรยา บังเกิดปีติอย่างมากมายทำให้ภรรยาที่สื่อสัมผัสอยู่สั่นสะท้านเป็นเวลาพักใหญ่

มันเป็นไปเองอยู่เหนือความคาดหมายของข้าพเจ้าโดยสิ้นเชิงตั้งตัวไม่ทัน แล้วความปรารถนาพุทธภูมิที่เป็นอนุสัยลึกๆ ใต้จิตสำนึกค่อยๆ แผ่ขึ้นมาเต็มทั้งจิตใจ แล้วค่อยกล่าววาจาอุทิศส่วนบุญให้กับบิดา ที่ตายไปแล้วได้ แต่ปีติยังคงอยู่

ซึ่งเป็นสิ่งพิสูจน์ว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา 5 ปี ความปรารถนาพุทธภูมินั้นเป็นอนุสัยสงบนิ่งอยู่ภายในไม่แสดงให้ปรากฏ แม้แต่ความนึกคิดที่วางความปรารถนาทิ้งไปแล้ว หรือกำลังของสมาธิ หรือกำลังของวิปัสสนา ที่กำจัดความปรารถนานี้ออกจากความรู้สึกนึกคิดไปแล้ว ก็ไม่สามารถถอนรากถอนโคนความปรารถนานี้ไปได้เลย จะปรากฏเหตุการณ์ออกมานอกเหนือความคาดหมาย

สรุปเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็มีแต่ปัญญาเห็นว่าเป็นเช่นนั้นเอง ปีติหยาบต่างๆ ความหวั่นไหวต่างๆ ว่าเราเป็นหรือไม่เป็นโพธิสัตว์ หรือเราจะเป็นหรือจะไม่เป็นพุทธเจ้าก็โดนกวาดออกไปจากจิตสำนึก ใจก็สงบสบายดำรงตนอยู่อย่างปกติสุข เพราะเป็นเช่นนั้นเอง อิทัปปัจจยตา เมื่อเหตุนี้มี สิ่งนั้นจึงมี เมื่อเหตุนี้ดับ(ไม่มี) สิ่งนั้นจึงไม่มี(ดับ)

ต่อมาภายหลังเมื่อข้าพเจ้าเอานิมิตที่เกิดกับข้าพเจ้ามาเขียนโปรแกรมบนคอมพิวเตอร์ กำหนดเป็นจุดวิ่งเป็นวงกลมสีเหลือง แทนที่จุดสมาธิ ที่เป็นจุดใสสีเหลืองในนิมิตวิ่งเป็นเลข 8 เหมือนเครื่องหมายอินฟินิตี้ โดยวงกลม 1 รอบแทนเลข 8 หรืออินฟีนิติ้ 1 รอบ โดยใช้นิ้วสัมผัสหรือกดปุ่มคีย์บอร์ดเป็นตัวกำหนดความถี่ของวงกลมแต่ละรอบ เพราะในนิมิตนั้นจุดสมาธิที่สว่างจะเริ่มวิ่งเป็นเลข 8 ขนาดใหญ่ก่อนเมื่อครบรอบก็จะวิ่งเร็วขึ้นเครื่องหมายเลย 8 หรืออินฟินิตี้ก็กระชับเล็กลงมาตามรอบที่จุดสมาธิวิ่ง ดังนั้นจุดสมาธิก็จะวิ่งเร่งขึ้นตามความถี่ที่มากขึ้นตามรอบเลข 8 ที่เล็กลงจนถึงที่สุดก็ระเบิดออกมารับรู้ภาวะปกติ ดังนั้นในโปรแกรมก็กำหนดให้วงกลมที่เป็นแสงสีเหลืองเล็กลงตามความถีที่กดปุ่มคีย์บอร์ด และมีโปรแกรมนับจำนวนรอบแสดงเป็นตัวเลขให้ทราบเมื่อสิ้นสุดขบวนการ เมื่อข้าพเจ้าใช้สัญญาเก่านึกถึงความถี่ในนิมิตที่ผ่านมากดปุ่มคีย์บอร์ด เทียบกับวงกลมที่ปรากฏบนจอคอมพิวเตอร์ ผลปรากฏออกมา อยู่ที่ 38 รอบ 39 รอบ 40 รอบ 41 รอบ 42 รอบ ซึ่งจะอยู่ในช่วงนี้เป็นส่วนมาก เมื่อทำการเฉลี่ยออกมาก็ตกอยู่ที่ 40 รอบ ก็คือ 40 อินฟินิตี้ หรือ 40 อสงไขย ถ้าตีความหมายเข้าข้างตัวข้าพเจ้าตามนิมิตนั้นข้าพเจ้าก็สร้างบารมี เกือบจะเต็ม 40 อสงไขยแล้ว เพราะที่ทราบมาข้าพเจ้าสร้างบารมีแบบศรัทธาพุทธเจ้า

ผู้อ่านคงจะคิดว่าศรัทธาพุทธเจ้านี้คืออะไร ข้าพเจ้าจะแยกพระพุทธเจ้าตามประเภทให้ทราบนะครับ ซึ่งมีอยู่ 3 ประเภทคือ 1. พระปัญญาพุทธเจ้า 2. พระศรัทธาพุทธเจ้า 3. พระศรัทธาพุทธเจ้า

เมื่อมีพระพุทธเจ้า 3 ประเภท ดังนั้นการสร้างบารมีตอนเป็นพระโพธิสัตว์ก็ย่อมแตกต่างกันเรื่องระยะเวลา ดังนี้

1. ปัญญาพุทธเจ้า สร้างบารมีตอนเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นเวลา 16 อสงไขย จึงจะได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งเป็นครั้งแรกว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน หลังจากนั้นพระโพธิสัตว์นั้นก็ต้องสร้างบารมีต่อเป็นเวลา 4 อสงไขยกับอีกเศษแสนกัป จึงจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง

2. ศรัทธาพุทธเจ้า สร้างบารมีตอนเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นเวลา 32 อสงไขย จึงจะได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งเป็นครั้งแรกว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน หลังจากนั้นพระโพธิสัตว์นั้นก็ต้องสร้างบารมีต่อเป็นเวลา 8 อสงไขยกับอีกเศษแสนกัป จึงจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง

3.วิริยะพุทธเจ้า สร้างบารมีตอนเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นเวลา 64 อสงไขย จึงจะได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งเป็นครั้งแรกว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน หลังจากนั้นพระโพธิสัตว์นั้นก็ต้องสร้างบารมีต่อเป็นเวลา 16 อสงไขยกับอีกเศษแสนกัป จึงจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง

หมายเหตุ คำว่า 1 อสงไขย ก็คือระยะเวลาที่ กัป(จักรวาลที่มีโอกาสที่พระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นได้)เกิดและดับไป และเกิดเป็นกัปใหม่แล้วดับไปอีก จนนับจำนวนครั้งไม่ได้ หรือจำนวน 1 ตามด้วยเลข 0 จำนวน 140 ตัว

คำว่า 1 กัป ก็คือระยะเวลาที่ โลกจักรวาลที่มีโอกาสที่พระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นได้เกิดขึ้นจนกระทั่งดับไป เรียกว่า จำนวน 1 กัป แต่ไม่ใช่ว่าทุกกัป(โลกจักรวาลที่มีโอกาสมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นได้) ที่เกิดขึ้นจะมีพระพุทธเจ้าทุกครั้ง บางกัปหรือติดต่อหลายๆ กัป ก็อาจไม่บังเกิดมีพระพุทธเจ้าก็ได้

เมื่อเริ่มขึ้นปี 2542 ระบบโปรแกรมที่ข้าพเจ้าเขียนนั้นเริ่มเป็นระบบที่มีโครงสร้างเข้าที่เข้าทางขึ้น และข้าพเจ้าก็เริ่มใช้อินเตอร์เน็ต และสนทนาธรรมะในอินเตอร์เน็ตจนถึงปัจจุบัน ทั้งในเว็บพันธุ์ทิพย์(www.pantip.com) และลานธรรมะเสวนา(larndham.net) ส่วนข้าพเจ้าก็ได้เขียนเว็บส่วนตัวขึ้นมาคือเว็บ http://vichadham.com ซึ่งท่านผู้อ่านสามารถอ่านแนวคิดและธรรมมะหรือเรื่องต่างๆ เพิ่มเติมในเว็บส่วนตัวของข้าพเจ้าได้ครับ