ผลของการปฏิบัติธรรมแปลกๆ
ที่เกิดขึ้นภาคที่ 1
ในช่วงวันสองวันแรกก็ยังมีปัญหาระหว่างยุบหนอ-พองหนอ
กับสติที่จมูกดูลมหายใจอยู่พอถึงวันที่ 3 จึงปลงใจได้ว่า ยุบหนอ-พองหนอไม่ต้องภาวนา ดูลมหายใจเหมือนเดิม และภาวนาอย่างอื่นเช่น นั่งหนอ-ถูกหนอ เจ็บหนอ คิดหนอ เดินจงกรม
คืออะไรเด่นชัดที่สุดภาวนาสิ่งนั้นให้ทันเมื่อความกังวลเริ่มคลายจึงภาวนาสบายขึ้น
ตัวเริ่มเบา
มีอยู่ช่วงหนึ่งขณะนั่งกรรมฐานกำลังดูลมหายใจกระทบท้องอยู่เกิดตัวเบาสว่างนวล
เหมือนปุยเมฆ
มีความสุขปีติหูยังได้ยินเสียงภายนอกอยู่แต่เบามากสักพักหนึ่งมีเสียงกระสิบใสตรงที่จิตว่า
"ให้พยายามทำต่อไป
อย่าได้หยุด" หลังจากนั้นอีกประมาณ 10 หรือ 20 นาที ก็เป็นเวลาช่วงพักกรรมฐาน
ความจริงเวลาพักกรรมฐาน
ข้าพเจ้าก็ยังกำหนดภาวนาอยู่ทุกเวลาแต่อาจไม่เข้มข้นพอวันที่ 4 ของการเข้ากรรมฐานครั้งที่ 2 ข้าพเจ้าพิจารณาว่าเมื่อลมหายใจเข้า
ลมหายใจออกก็ต้องพิจารณาให้ทัน จึงต้องมีคำภาวนากำกับ ตกลงใจใช้คำภาวนาว่า "ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ " เมื่อหายใจเข้า และ "ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน" เมื่อหายใจออกโดยมีสติตั้งที่ปลายจมูกเป็นหลัก
และเมื่อหายใจเข้าต้องให้พิจารณาเห็นว่าลมไม่เที่ยงจริงต้องเปลี่ยนไปเป็นทุกข์คือทนอยู่ไม่ได้
เมื่อหายใจออก พิจารณาเห็นว่า ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนจริงๆ ยึดถือไม่ได้
ส่วนคำภาวนาอย่างอื่นก็ตามแบบของคณะ 5 ทุกอย่าง
พอวันที่ 7 หลังจากพักกรรมฐานช่วง 20.00 น
เป็นเวลาที่เตรียมตัวอาบน้ำข้าพเจ้าเห็นว่าช่วงนั้นมีคนใช้ ห้องน้ำกันมาก
จึงทำกรรมฐานรอไปเรื่อยๆ แล้วเอนกายลงนอนแต่กำหนดภาวนาอยู่
ความรู้สึกก็หายไปมารู้อีกครั้งคล้ายเป็นนิมิตที่ชัดเจน เห็นพระอายุประมาณ 50 ผิวขาวท้วมกำลังเดินขึ้นกุฏิ
ความรู้สึกก็ได้น้อมมาที่จิต ของตนเองและคำนึงขึ้นว่า เป็นพระนี้ดีหนอถ้าไม่มี
ราคะ โทสะ โมหะ จะอยู่อย่างสงบสุขหลังจากนั้นจิต ก็มีความรู้สึกเต็ม
แต่ไม่ได้รู้ที่ร่างกาย แล้วรวมตัวดิ่งลงภวังค์ลึก
ถอยขึ้นมารับความรู้สึกเหมือนเดิมแล้ว รวมตัวลงภวังค์ลึกไปอีก เป็นอยู่ 3 ครั้ง จึงขึ้นมารับรู้ทั้งตัวทันทีทันใด หลังจากนั้นร่างกายทุกส่วน
ก็สะบัดอย่าง รวดเร็วติดต่อกันหลายครั้ง คล้ายปลาที่โดนตีหัว
ต่อจากนั้นจิตใจวางเฉยมาก และไม่สนใจเรื่องที่ผ่านมา
จึงเตรียมตัวไปอาบน้ำ ขณะที่อยู่ในห้องน้ำพอตักน้ำรดตัวขันแรกก็นึกขึ้นว่า เอะ ! ที่ผ่านมาคืออะไร? จึงคิดเข้าข้างตนเองว่าเป็นมรรคผลนิพพาน
ก็บังเกิดตัวร้อนวูบวาบด้วยความดีใจ เมื่ออาบน้ำเสร็จขึ้นมาที่ห้อง
ได้พูดกับเพื่อนถึงอารมณ์ที่ผ่านมา แล้วเข้าใจว่าเป็นมรรคผลนิพพาน
หลังจากนั้นร่างกายร้อนวูบวาบมากขึ้น
มีปีติบังเกิดขึ้นอย่างมากมายคล้ายระลอกคลื่นที่กระทบฝั่ง
นอนไม่หลับต้องนั่งตัวโยกเพราะปีติทั้งคืน รุ่งวันใหม่ก็ยังมีปีติอยู่
หลังจากนั้นรู้สึกว่าผิวหนังและกล้ามเนื้อกระชับ ไม่มีอ่อนเพลียและง่วงนอนเลย
แถมดวงตาเริ่มมองเห็นรัศมีจากคนทั่วไป และรูปพระต่างๆ ในขณะปกติไม่ใช่ขณะนั่งสมาธิ
รัศมีของแต่ละคน นั้นแตกต่างกันตามระดับสมาธิ
หลังจากนั้นคุณกุ้งก็สามารถฝึกเห็นรัศมีจากบุคคลทั่วไปเหมือนกัน
บุคคลทั่วๆ
ไปรัศมีสีเหลืองอ่อนไม่ใสคลุมจางๆ สำหรับผู้ที่กำลังอ่านหนังสืออยู่
เป็นสีเหลืองอ่อนใสมากขึ้นพอกับผู้ที่เพิ่งเริ่มเข้ากรรมฐานวันแรกๆ
ที่เข้ามาทำกรรมฐานที่ทำจริง แต่ผู้ที่ทำกรรมฐาน จะทรงอยู่ตลอดเวลา
และผู้ที่ทำกรรมฐานที่ดีขึ้นก็จะมีสีใสมากขึ้นแล้วกระจายเป็นวงกว้างมากขึ้น
มีผู้ทำกรรมฐาน ถึงอีกระดับหนึ่ง จะมีรัศมีขาวนวลสว่างคลุมอาณาบริเวณกว้างประมาณช่วงแขนของตนเองซึ่งมีน้อยคน
แต่มีรัศมี ท่านผู้หนึ่งที่ต่างจากบุคคลทั่วไปมากและเป็นอยู่ตลอดเวลา
รัศมีของท่านเป็นสีเหลืองทองอ่อนเข้มข้นระยิบระยับ เคลือบผิวอย่างหนาแน่นห่างจากผิวประมาณครึ่งนิ้วถึงหนึ่งนิ้ว
แม้ว่าท่านจะเดินอยู่กลางแดดจ้าทามกลางฝูงชน รัศมีของท่านก็ยังคงอยู่
ทั้งที่ช่วงนั้นข้าพเจ้ายังมีความศรัทธาในตัวท่านน้อยอยู่มาก
แต่ศรัทธาในตัวหลวงพ่อ มากกว่า ท่านผู้นี้คืออาจารย์
เมื่อข้าพเจ้าสามารถเห็นรัศมีจากผู้อื่นทำให้ข้าพเจ้ามีความหลงในตัวเองมาก ว่าเป็น
พระอริยะไปแล้ว
ซึ่งสิ่งพิเศษไม่ใช่มีแค่นี้
คือขณะที่นอนกำหนดอยู่พอเคลื่อนลงภวังค์ กายในเริ่มแยกจากร่างกายออกมา
พอรู้ตัวก็รีบเข้าร่างกายตัวเองตามเดิม เพราะกลัวว่าออกไปแล้วมาเข้าร่างเดิมไม่ได้
ซึ่งจะทำให้ทำคุณประโยชน์ ต่อพุทธศาสนาไม่ได้ดังที่ตั้งใจ เป็นเช่นนี้หลายครั้ง
แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่แปลก คือเมื่อจิตกำลังเคลื่อนออกจากร่างกาย ได้มองเห็นคน
2 คน คนหนึ่งกำลังกวักมือเรียก การมองเห็นตอนนั้นยังเห็นไม่ชัดเจน
และด้วยความวิตกที่ผ่านมา ทำให้ต้องรีบเข้าร่างกายตนเองตามเดิม อีกอย่างหนึ่งข้าพเจ้ามีญาณรู้เหตุการณ์ปัจจุบันได้แม่นยำ ดังมีเรื่องดังนี้
ขณะที่
ข้าพเจ้ากำลังเดินขึ้นชั้น 2 ของคณะ
5
ปกติมีคนเดินขึ้นลงเป็นประจำขณะนั้นข้าพเจ้าได้มองไปบนหลังคา ชั้น 1 สุดขอบหลังคาคณะ มองเห็นคล้ายกับคลื่นความร้อนตอนที่มองบนถนนในช่วงตอนเที่ยง
จิตก็แวบขึ้นมา ว่าไฟไหม้
เลยบอกให้เด็กวัดไปดูและมาทราบผลภายหลังว่าไฟกำลังไหม้หมอนเก่าที่โดนทิ้งไว้บนหลังคา
และไม่รู้ ว่าใครสูบบุหรี่ทิ้งก้นบุหรี่บนหมอนพอดี
เนื่องจากสถานการณ์เป็นเช่นนี้บวกกับช่วงนี้ ข้าพเจ้ากำหนดภาวนาแล้ว
มีการวูบหายไปบ่อยๆ และจะมีญาณรู้อีกอย่างคือ
ถ้าขาดหลวงพ่อและอาจารย์ผู้ที่สอนกรรมฐานตามแนว ยุบหนอ- พองหนอ
อย่างจริงจัง คณะ 5 จะรุ่งเรืองน้อยลงในด้านกรรมฐาน
ทำให้ข้าพเจ้าหลงมากขึ้นว่าข้าพเจ้ากำลังจะเป็นพระอรหันต์
ซึ่งอาจมีอายุไม่เกิน 7 วันตามตำรา
ทำให้ข้าพเจ้า อยากจะบวชมาก และการที่เห็นรัศมีของผู้อื่นได้ไม่ใช่ว่าจะมีเพียงแต่ข้าพเจ้าคนเดียว
เพื่อนข้าพเจ้าก็สามารถทำ ได้ด้วย ทำให้เรา 2 คนพากันหลงไปใหญ่
ทั้งที่ได้มีเสียงเตือนมาห้ามหลายครั้งว่าให้หยุด ซึ่งเสียงนี้ได้ยินเพียง
สองคนคือข้าพเจ้าและเพื่อนเท่านั้น แต่กำลังโมหะของข้าพเจ้ามีมากกว่า
และมีเหตุการณ์ที่ทำให้หลง หลายอย่าง ดังนี้
อย่างที่ 1
คืนหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้านอนสนทนากับเพื่อน และมีเด็กวัดคนหนึ่งนอนอยู่ใกล้ๆ
คงหลับไป แล้วลุกขึ้นมา นั่งผมชี้ แล้วลงกราบที่ปลายเท้าข้าพเจ้า
อย่างที่ 2 คือ ช่วงพักเที่ยงกรรมฐานข้าพเจ้ากับเพื่อนชอบเดินไปโบสถ์ใหญ่
เพื่อไปไหว้พระธาตุและพระประธานจะต้องเดินผ่านคณะ 1 พอจะย่างเข้าคณะ 1 มีลมมาหอบข้างหลังทั้ง 2 คน พอย่างเข้าประตูโบสถ์ ก็จะมีลมมาหอบข้างหลัง
เมื่อกราบพระเสร็จพอย่างออกประตูโบสถ์ ก็จะมีลมมาหอบข้างหลังอีก
ความรู้สึกนี้ไม่ใช่ข้าพเจ้ารู้สึกคนเดียวเพื่อนข้าพเจ้าก็เป็นด้วย ทำให้เกิดความหลงมากขึ้น
ข้าพเจ้าได้ไปขอบวชกับหลวงพ่อ แต่หลวงพ่อท่านไม่ตอบตกลง
อย่างที่ 3
คือในช่วงพักเที่ยง
ข้าพเจ้าต้องไปไหว้เจดีย์พระธาตุก่อนทุกครั้งที่จะเข้าไปไหว้พระในโบสถ์
ตามธรรมดาในสมัยนั้นในบริเวณวัดมหาธาตุท่าพระจันทร์จะมีแม่ค้าเข้ามาค้าขายกันเต็มไปหมด
ยกเว้นในกำแพงแก้วของอุโบสถ
แต่ก็ยังมีแม่ค้าเดินขายพวกมาลัยดอกไม้อยู่หน้าพระธาตุเจดีย์ และหน้าโบสถ์
วันหนึ่งเมื่อข้าพเจ้ากับกุ้ง เดินผ่านเข้ากำแพงชั้นใน
มองตรงไปที่พระธาตุเจดีย์ที่อยู่ไกลข้างใน
ข้าพเจ้าก็เห็นแม่ค้าเดินขายพวกมาลัยดอกไม้ เดินขวางไปขวางมาทำให้ผู้ที่มาบูชาพระธาตุเจดีย์ลำบาก
เพราะบางแม่ค้าอยู่บนราวบันไดด้านบน
และผู้ทำบุญไหว้หรือกราบพระธาตุอยู่ด้านล่าง ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า
แม่ค้าพวกนั้นทำไม่ถูกขีดขวางคนที่มาทำบุญด้วยศรัทธา กุ้งก็ว่า ใช่ๆ
เราทั้งสองคนจึงเดินตรงไปยังพระธาตุเจดีย์ แล้วข้าพเจ้าก็ทำใจตนเองให้กว้างใหญ่
ให้เกิดการเกรงขาม เมื่อข้าพเจ้าและคุณกุ้งไปถึงเชิงพระธาตุเจดีย์
พวกแม่ค้าพวกมาลัยต่างๆ ที่ยืนอยู่บนเชิงบันไดด้านบน ต่างก็กรูลงมาอยู่ด้านล่างจนหมด แล้วเกิดพระอาทิตย์ทรงกรดขึ้น
แล้วคุณกุ้งเดินปลีกตัวไปยืนอยู่ริมด้านข้าง
ปล่อยให้ข้าพเจ้ายืนไหว้และระลึกถึงพระธาตุ
พระธรรมและพระสงฆ์อยู่ผู้เดียว พร้อมทั้งแสงอาทิตย์สว่างจ้าขึ้น
เมื่อข้าพเจ้าไหว้เสร็จแล้วคุณกุ้งก็เข้ามาไหว้ลำดับต่อไป
แล้วเราก็เดินเข้าไปกราบพระในโบสถ์
แล้วมีลมหอบมาด้านหลังทุกครั้งดังที่เล่าในเหตุการณ์ที่ 2 ขณะเดินกลับคณะ 5 ข้าพเจ้าได้ถามคุณกุ้งว่า
ทำไมตอนนั้นไม่ไหว้พระธาตุพร้อมกับข้าพเจ้า แล้วคุณกุ้งตอบว่า ผมรู้ด้วยใจว่า
เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้น เฉพาะเซียมคนเดียวเท่านั้น
ผมจึงหลีกออกไปก่อน
อย่างที่ 4 ถ้านอนแล้วเกิดฝัน
จะไปไหนก็จะเห็นตัวเองเหาะลอยไป เป็นประจำหรือไม่ถ้ายืนอยู่บนพื้นก็จะกระโดดทีเดียวเหาะได้ไกลมากๆ
มีอยู่คืนหนึ่งฝันว่า ข้าพเจ้าอยู่ที่คณะ 5 ข้าพเจ้าจะไปบูชาเจดีย์พระธาตุนั้น
ข้าพเจ้าก็กระโดดลอยไปยังพระธาตุ เพียงครั้งเดียวหรือสองครั้งก็ถึง
ขณะที่ลอยอยู่ในอากาศกำลังจะลงที่หน้าลานพระเจดีย์ ได้เห็นผู้คนมากมายหน้าตาดีต่างมาบูชาพระธาตุเจดีย์อยู่เบื้องล่างหน้าลานพระเจดีย์
เมื่อผู้คนเหล่านั้นเห็นข้าพเจ้าลอยลงมาจากกลางอากาศ ก็เคลื่อนตัวแยกฮือออกเหลือพื้นที่ให้ข้าพเจ้าได้ลงยืนตรงหน้าพระธาตุเจดีย์
ให้ข้าพเจ้าได้ไหว้บูชาพระธาตุเจดีย์ ในความฝัน
หลังจากนั้นข้าพเจ้ากำหนดกรรมฐานเข้มมากขึ้น
มีเหตุการณ์อีกอย่างหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้ากำลังรับประทาน อาหารเที่ยง
และกำหนดภาวนาไปพอเอาสติไปตั้งที่มือ ขณะกำลังช้อนอาหารและพิจารณา ว่ามือไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
มือเกิดเคลื่อนเปลี่ยนแปลงไปเองโดยอัตโนมัติ แต่ไม่ไปบังคับมันปล่อยให้เป็นไปตามปกติ
พอมาพิจารณาที่ร่างกายๆ ก็เคลื่อนคู้ลง
ไม่ไปบังคับมันซึ่งความจริงบังคับได้แต่เพราะอยากจะดูว่าเป็นอย่างไรต่อ
ร่างกายเคลื่อนมากขึ้นและแรงขึ้นเอง จนทำให้ผู้อื่นตกใจกันใหญ่
แล้วเด็กวัดเข้ามาหามเพราะคิดว่าเป็นลมบ้าหมู
ความจริงแล้วในชีวิตข้าพเจ้าไม่เคยเป็น พอเด็กวัดจับแบกจิตจึงเริ่มมารวมตัวที่ทรวงอกเป็นสีเหลืองทองสบาย
ตกลงบ่ายนั้นข้าพเจ้าทำกรรมฐานในห้องหัวกะโหลกจนถึง
20.00 น เป็นช่วงที่อาจารย์สอบอารมณ์ ข้าพเจ้าไม่อยาก ที่จะลงไปสอบอารมณ์พอเวลาประมาณ 20.10 น เหมือนกับมีอะไรดึงจิตข้าพเจ้า ให้ลงไปสอบอารมณ์อย่างรวดเร็ว
ต้องรีบลงมากึ่งเดินกึ่งวิ่งลงมาสอบอารมณ์ ให้กับอาจารย์ เวลาที่ผ่านๆ
มาจนถึงช่วงนี้ เมื่ออาจารย์ถามว่ามีอารมณ์ ใดที่จะให้อาจารย์แก้ไข
ข้าพเจ้าจะตอบว่าไม่มีเป็นส่วนใหญ่ ทำให้อาจารย์ไม่ทราบข้อมูลจากข้าพเจ้ามากนัก
มีอยู่วันหนึ่งขณะพักกรรมฐาน
ข้าพเจ้ากับคุณกุ้งเดินผ่านหน้ากุฏิพระอาจารย์ ที่เปิดประตูอยู่ พระอาจารย์ก็กวักมือเรียกข้าพเจ้ากับคุณกุ้งเข้าไป
เมื่อเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้วอาจารย์จึงถามขึ้นมาว่า พวกเธอมาทำกรรมฐานทำไม?
คุณกุ้งตอบว่า มาทำกรรมฐานก็เพื่อสืบทอดพระศาสนา ในวันข้างหน้า เผื่อแทนอาจารย์และหลวงพ่อ
พระอาจารย์ก็ตอบ อือๆ
แล้วคุณกุ้งก็เล่าให้ฟังว่า
ปัจจุบันนี้เราทั้งสองคนสามารถมองเห็นรัศมีจากคนทั้งหลาย
และสิ่งของที่คนศรัทธา
พระอาจารย์ก็ถามว่า พวกเธอมองเห็นในขณะที่หลับตา หรือลืมตา
เราก็กล่าวว่า เห็นในขณะลืมตา แม้ในขณะปกติ และขณะนี้ก็เห็นรัศมีของพระอาจารย์อยู่
ซึ่งแปลกว่าผู้อื่นทั้งหมด
คือรัศมีสีเหลืองทองระยิบระยับเคลือบติดผิวอย่างหนาแน่นประมาณ ½ ถึง
พระอาจารย์ก็ตอบ จริงหรือ?
แล้วพระอาจารย์ก็นิ่งเข้าสมาธิเงียบไปแวบหนึ่ง
พร้อมทั้งข้าพเจ้าและคุณกุ้งเห็นรัศมีของพระอาจารย์แวบไปหายไปขณะหนึ่ง
แล้วเกิดขึ้นเหมือนเดิมตามปกติ แต่เราทั้งสองไม่กล้าถามอะไร จึงสิ้นสุดการสนทนา
แล้วคุณกุ้งได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า
ตอนที่ข้าพเจ้าไปเรียนภาคฤดูร้อน คุณกุ้งทำกรรมฐานต่อตามปกติ
วันหนึ่งคุณกุ้งขี้เกียจกำหนดภาวนา นั่งสมาธิหลับตาเฉยเพียงแต่รู้ ได้สักพักหนึ่ง
ก็ได้ยินเสียงพระอาจารย์พูดว่า ....
ต้องกำหนดภาวนาด้วย ไม่ใช่เพียงแต่รู้เฉยๆ
คุณกุ้งจึงรู้ว่าพระอาจารย์นั่งอยู่ข้างหน้าและแปลกใจว่าท่านรู้ได้อย่างไร?
เนื่องจากการที่อยากบวชเพื่อบำรุงศาสนา ข้าพเจ้าจึงได้ทำการตกลงกับคุณกุ้งว่าจะไปบวชที่บ้านเกิด
ส่วนคุณกุ้งก็จะไปบวช ที่บ้านของตนเอง รวมเวลาการทำกรรมฐานครั้งที่ 2 เป็นเวลา 18 วันแล้วออกจากกรรมฐาน
ข้าพเจ้ากับคุณกุ้งก็กลับไปพักที่หอ
เพื่อต่างก็เตรียมตัวกลับไปบวชที่บ้านตนเอง ข้าพเจ้าก็ไปดูผลสอบที่มหาวิทยาลัย
ข้าพเจ้าก็สามารถสอบผ่านได้ทั้ง 3 วิชา เป็นอันว่าข้าพเจ้าจบอย่างแน่นอน
เป็นอันว่าตั้งแต่เริ่มมาเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงจนจบภายในเวลา 3 ปี
ข้าพเจ้าใช้เงินทั้งค่ากินค่าที่พักและค่าเล่าเรียน ประมาณ 4 หมื่นบาทกว่าๆ
เท่านั้น หลังจากนั้นจัดเก็บเสื้อผ้าคืนหอพักให้กับป้าเตือน
โดยให้หม้อหุงข้าวกับจรัลใช้ไปก่อน แล้วกลับบ้านเกิดทันที
เมื่อข้าพเจ้าได้บวชพระอย่างยากลำบาก
พอถึงบ้านขออนุญาตพ่อ
แม่บวชทันทีท่านก็ใจดีมากอนุญาตให้บวช พ่อของข้าพเจ้าหลังจากรู้ข้าพเจ้า เรียนจบ โดยใช้เวลาเรียน 3 ปี ตามที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้
ความกดดันเก่าก่อนที่มีอยู่ก็สลายไปเกินครึ่ง และมีความภูมิใจ ในตัวข้าพเจ้า
เป็นเพราะคนรอบข้างกล่าวชมเรื่องการเรียนของข้าพเจ้ามาตลอด
เป็นอันว่าข้าพเจ้าชนะใจ พ่อได้ระดับหนึ่ง
เมื่อพ่อแม่อนุญาตให้บวช
ข้าพเจ้าก็ไปนอนที่วัดซึ่งเป็นวัดกุฏิฝ่ายเถรวาทไม่ยอมค้างคืนที่บ้าน
ท่านสมภารก็ช่างใจดี ให้ข้าพเจ้าไปพักที่กุฏิร้างเป็นที่เก็บโลงศพเก่าไม่มีไฟฟ้า
ต้องจุดเทียนเวลากลางคืน และข้าพเจ้าต้องเอากระดาษมาปูพื้น
เพราะพื้นเป็นไม้เก่ามากมีมอดกินจึงระคายเท้ามาก มีอยู่คืนหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนั่งกรรมฐานมีเหตุการณ์ที่แปลกได้ยินเสียงวัตถุตกลงบนกระดาษข้างหน้าที่นั่งกรรมฐานอยู่
จึงค่อยลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ดูตรงพื้นข้างหน้าเจอจิ้งจกตัวใหญ่หันหน้ามาตรงกัน
และตาของจิ้งจกกำลังจ้องตรงมาที่ตาของข้าพเจ้าๆ
เห็นตาของมันออกเทาปนแดงแวววับเพราะต้องแสงเทียน แล้วมันเอาส่วนหัวของตัวเอง
เคาะกับกระดาษดังโป๊กๆ 3-4 ครั้ง จึงค่อยคลานออกไป อย่างนี้คนโบราณว่าจิ้งจกทัก
แต่ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าทักเรื่องอะไร?
เมื่อถึงคืนก่อนวันบวชก็มีการทำพิธี
ถ้าเป็นภาคกลางเรียกว่าขวัญนาค และในพิธีคืนนั้นมีคนเมาคนหนึ่ง
รบกวนอยู่ในงานทั้งที่ไม่ได้รับเชิญ ส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่น
พอเสร็จพิธีข้าพเจ้าบอกให้กลับบ้าน เขาไม่ยอมกลับ ข้าพเจ้าจึงไม่สนใจ
สักพักหนึ่งเกิดเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นป้ามีอายุคนหนึ่ง
ซึ่งข้าพเจ้ารู้จักอย่างดีเกิดล้มฟุบลงไป เดินไม่ได้
จึงจัดเตรียมรถเข็นเพื่อจะเอากลับบ้านของเขา
แต่คนเมาคนนี้ได้เข้ามาพูดกับข้าพเจ้าว่า
"ถ้ามึงต้องการให้ เขาเดินได้
มึงต้องเอามือไปลูบฝ่าเท้าเขาแล้วเอามาลูบหัวมึง"
ตอนนั้นข้าพเจ้าไม่พอใจอย่างมาก
เพราะเป็นการสบประมาทกัน เนื่องจากข้าพเจ้าเป็นนาคแล้วถือศีล 8 และข้าพเจ้ารู้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า
คนนี้ต้องการจะมารบกวนในพิธีบวช ตั้งแต่ตอนกลางวันและติดตามข้าพเจ้ามา
คนนี้มีคาถาอาคมเวลามองข้าพเจ้าจะหลับตาข้างขวาเป็นประจำ ข้าพเจ้า จึงพูดดังๆ ว่า "มึงไปให้พ้น! ไม่ต้องมารบกวน มึงกวนมากไปแล้ว"
คนเมาคนนั้นพูดตอบมาดังๆ
ว่า "มึงยัง เด็กไม่สิ้น
กลิ่นน้ำนมคาถาอาคมมึงไม่เก่งไปกว่ากู" มีการถกเถียงกันเล็กน้อย
พี่ชายข้าพเจ้าจึงกันคนเมาคนนี้ให้กลับบ้าน แต่ไม่ยอมกลับจะนอนในบ้านให้ได้
พี่ชายจึงพาไปนอนบนศาลาใกล้ๆ กับบ้าน โดยพี่ชายไปนอนเป็นเพื่อน
คืนนั้นทั้งคืนคนเมาคนนี้ท่องคาถาดังๆ พร้อมกระทืบเท้าลงบนพื้นศาลา
คืนนั้นก็แปลกพอข้าพเจ้า
เริ่มเคลิ้มจะหลับก็จะได้ยินคล้ายกับเสียงแตรรถบีบเสียงดังให้ตื่นขึ้นทุกครั้ง
เลยไม่ต้องนอนทั้งคืน วันรุ่งขึ้นก่อนทำพิธีโกนผม กำนันพ่อของอ้น ก็มาบอกเปรยๆ
ให้ฟังว่า ไอ้โนราขี้เมานั้น
มันร่ายคาถาดังๆ กระทืบพื้นศาลาทั้งคืนมันเอาจริง
แล้วกำนันก็ไป
พอถึงเวลาโกนผม
มโนราขี้เมาคนนี้คงสร่างเมาและคลายโกรธแล้ว ยังมานั่งแซวว่าหัวข้าพเจ้าสวยเรียกว่าหัวบาตรเป็นหัวของพระแล้วยิ้ม
ไม่มีเหตุการณ์อะไรรุนแรง แล้วพูดแบบอารมณ์ดีว่า กูดูฤกษ์แล้ว มึงจะไม่ได้บวช และมึงก่อนจะลงมาเกิด มีคนชี้คนทักให้รู้ขณะที่จะมาเกิดจึงมีคน(มาร)คอยขัดขวางอยู่เรื่อยๆ ก็จบเรื่องจากมโนราแก่คนนั้นไป
หลังจากนั้นพี่ชายคนที่นอนบนศาลากับคนเมา
ได้ไปรับพระอุปัชฌาย์และพระกรรมวาจาจารย์ ส่วนพวกข้าพเจ้าไปเตรียมบวชที่วัด
โดยข้าพเจ้าและผู้ที่มาในงานบวช ก็ได้เข้าในอยู่ในอุโบสถแล้ว นั่งรออยู่
โดยมีเจ้าอาวาสนั่งอยู่เบื้องหน้า หน้าพระประธาน ปัญหาที่ไม่คาดคิดได้เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า เมื่อพี่ชายกลับมา ไม่มีพระอุปัชฌาย์มาด้วย
และบอกว่า พระอุปัชฌาย์ไม่ยอมมาบวชให้ ข้าพเจ้านั้นสลดใจ ญาติของข้าพเจ้าก็สลดใจ
ท่านเจ้าอาวาสที่นั่งอยู่หน้าพระประธาน เกิดภาวะคล้ายๆ
ตกใจเหมือนจะมีอะไรมาหล่นทับ เงยหน้าขึ้นมองด้านบนเกิดอาการผวา
พร้อมทั้งอุทานออกมาว่า โอ่ ๆ
อะไร ๆ แต่เมื่อเห็นคนอยู่จำนวนมาก ก็ควบคุมตัวเองได้
แล้วพูดว่า
นาคนี้
มีเทวดาเบื้องสูงรักษา
แล้วท่านเจ้าอาวาสท่านก็พูดปลอบใจ
เหตุที่เกิดปัญหาขึ้นเพราะพี่ชายไปพูดว่าข้าพเจ้าเพิ่งเรียนจบมาใช้เวลา 3 ปีถึงแม้เป็นลูกคนญวน ทำให้
พระกรรมวาจาจารย์เดินหนี พระอุปัชฌาย์จึงไม่ยอมมาบวชให้ หลังจากนั้นข้าพเจ้าตัดสินใจไปตามพระอุปัชฌาย์ซึ่งเป็นท่านเจ้าคุณ
อ้อนวอนท่านๆ ก็ไม่ยอม โดยให้เหตุผลว่า
ในการจะบวชพระนั้นถ้าเกิดในที่ประชุมคัดค้าน ก็ไม่สามารถบวชให้ได้
ข้าพเจ้าต้องกลับมาที่วัดเดิมไม่ได้บวช
ดังนั้นต้องนุ่งขาวห่มขาวศีรษะล้าน
ช่วงนี้ไม่ต้องพูดถึงว่าจิตใจของข้าพเจ้า บิดามารดาข้าพเจ้าญาติข้าพเจ้าเป็นเช่นไร? ในช่วงนี้ข้าพเจ้าเริ่มพอรู้แล้วว่าข้าพเจ้ากำลัง
หลงอยู่ แต่กระแสโมหะ
กำลังเด่นชัดอยู่ ความรู้แค่นี้ยังให้มันหายไปทันทีไม่ได้
ข้าพเจ้าต้องอยู่ในฐานะเช่นนี้ถึง
6 - 7 วันแล้วก็มีคนที่รู้จักกันบอกว่า
ท่านเจ้าคุณวัดฝ่ายธรรมยุตสามารถบวชให้ได้ เลยได้ไปฝากตัวกับท่านเจ้าคุณ
ท่านเจ้าคุณตอบตกลง
และได้ให้ไปหาพระกรรมวาจาจารย์ท่านก็รับปากว่าจะบวชให้โดยให้บวชพร้อมกันกับนาคอื่นอีก
6 นาค ต้องรอไปอีก 7-8 วัน
โดยพักและค้างคืนอยู่ที่วัด
แล้วระหว่างที่รอข้าพเจ้าก็ทำกรรมฐานต่อ
โดยพิจารณาลมหายใจตามที่กล่าวมา มีเหตุการณ์ในตอนหนึ่งขณะนอนพิจารณาดูลมหายใจอยู่
ความรู้สึกตัวก็หายไปเหลือแต่จิตอย่างเดียว สว่างนวลมีปีติเล็กๆ มีสุขเด่นกว่า
ทรงอยู่พักใหญ่แล้วถอนมารู้ทั่วตัว แล้วเริ่มกำหนดภาวนาใหม่ ก็มีอาการเหมือนเดิมครั้งนี้ใสกว่าเก่า
มีปีติสุขละเอียดมากกว่าเก่า ทรงอยู่นานกว่าแล้วถอยออกมาปกติ
แล้วก็ไม่พยายามทำต่อเพียงแต่ทรงอารมณ์กรรมฐานไว้ จนถึงวันที่ได้บวชสมใจดังที่ตั้งใจไว้
แต่ไม่ใช่ว่าอุปสรรคของข้าพเจ้าจะหมดเพียงเท่านี้ยังมีต่ออีก
ข้าพเจ้าบวชได้ไม่เกิน 15 วัน
รองเจ้าอาวาสกลับมาจากกรุงเทพฯ ในวันที่กลับมาก็ได้ไปฉันเพลร่วมกันเป็นปกติพระทุกรูปต้องมาฉันเพลร่วมกันพอฉันเพลเสร็จข้าพเจ้ากำลังจะลุกขึ้นกลับกุฏิ
รองเจ้าอาวาสได้ถามชื่อข้าพเจ้าๆ ตอบว่าชื่อ เซียม
ท่านกล่าวทำนองว่า
ชื่อของข้าพเจ้าดูถูกกันและถ้าท่านอยู่ในวันที่ข้าพเจ้ากำลังจะบวช
ท่านจะไม่ยอมให้บวช ต่อจากนั้นพูดเกี่ยวกับการเมืองต่อท้าย
ข้าพเจ้ารู้ทันที่ว่าข้าพเจ้าอยู่อย่างลำบากเสียแล้ว
มีอยู่ครั้งหนึ่งขณะบวชอยู่ข้าพเจ้าประสงค์จะบริจาคโลหิต
เพราะตอนเข้าเรียนปี 1 ข้าพเจ้าเคยบริจาคโลหิตมาแล้วประมาณ 3-4 ครั้งแล้วหยุดไปเลือดข้าพเจ้าก็ไม่เคยมีปัญหา
ข้าพเจ้าจึงอยากไปบริจาคโลหิตที่โรงพยาบาลจังหวัดพัทลุง
ขณะที่ข้าพเจ้าบริจาคโลหิตเมื่อโลหิตเต็มจำนวนในถุง พยาบาลเห็นเข้าก็แปลกใจ
ก็บอกกับพยาบาลกันเองแบบให้ข้าพเจ้าได้ยินว่า โลหิตเสียใช้ไม่ได้
แต่สามารถสกัดเอาเฉพาะเกล็ดเลือดมาใช้ได้ แล้วพยาบาลก็ไม่แนะนำอะไรข้าพเจ้าเลย
ว่าเลือดเสียต้องให้ไปตรวจสาเหตุของโลหิตเสียเพื่อรักษาโรค
ข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจเพียงคิดว่าเลือดข้าพเจ้าคงไม่ดีไม่สามารถบริจาคโลหิตได้อีกแล้ว
แต่ไม่คิดว่าตนเองต้องติดโรคร้ายแรงอะไร เพราะข้าพเจ้าไม่เคยเที่ยวผู้หญิงและมีผู้หญิง
นี้แหละหนอกรรมเมื่อมันส่งผลแล้วมันต้องปกปิดหนทางรอดทั้งหมดเพื่อให้ได้รับกรรมนั้นโดยเต็มกำลังของวิบากกรรม
ส่วนรองเจ้าอาวาสนั้นเมื่อท่านจะพูดกับพระต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นพระนวกะหรือพระผู้ใหญ่เรื่องการเมือง
แล้วดึงเรื่องเข้ามาที่ข้าพเจ้าว่าไม่ควรให้บวชต่อถ้าต้องการบวชไม่สึกท่านพูดบ่อยจนพระนวกะที่เป็นเพื่อนพระด้วยกันมาบอกกับข้าพเจ้า
และบอกว่าข้าพเจ้าอยู่ลำบากหลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ดำเนินตามศาสนากิจไปเรื่อยๆ
จนใกล้ออกพรรษา
หมายเหตุ หรือเป็นเพราะว่า
ข้าพเจ้าเป็นคนที่มีฐานะทางสังคมที่ต่ำอยู่แล้ว เมื่อเรียนเก่งจนเด่นจนเรื่องข้าพเจ้าเป็นที่รู้กันไปทั้งเมือง(เพราะเรื่องที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แต่ไม่ได้เรียนนี้ดังมาก จนเป็นที่กล่าวกันทั้งเมืองในช่วงนั้น)
มีบางท่านบางคนที่มีอคติอยู่แล้วเมื่อเห็นหรือรู้ว่าข้าพเจ้าเด่นเกินไป
ก็ไม่ชอบต้องการต้านต้องการขัดขวางตั้งแต่ได้ยินเรื่องราวตั้งแต่ต้นโดยที่ไม่รู้จักหน้าค่าตากันเลย
เพราะมีผู้อื่นที่มีฐานะทางสังคมแบบข้าพเจ้าก็สามารถบวชได้อย่างปกติ
ไม่ถูกขัดขว้างเลยแม้แต่คนเดียว
เท่าที่ข้าพเจ้าสังเกตเวลาที่ข้าพเจ้ากลับมาจากการบิณฑบาตตอนเช้าต้องผ่านหน้ากุฏิของท่านเป็นประจำเพราะเป็นทางผ่าน
แล้วท่านต้องกระแอมเหมือนคนที่อึดอัดใจเกือบทุกครั้งแล้วมีอยู่เช้าครั้งหนึ่งก่อนออกพรรษาไม่กี่วัน ขณะที่กลับจากบิณฑบาต ผ่านหน้ากุฏิท่านๆ ก็กระแอมแล้วเรียกข้าพเจ้าทำนองจะคุยด้วย
ข้าพเจ้าก็หยุดรอท่านๆ เข้ามาพูดว่า "ผมว่าคุณสึกดีกว่า ถ้าคุณยังทำกรรมฐานตามแนววัดมหาธาตุและไปวัดมหาธาตุ"
ข้าพเจ้าหยุดคิดอยู่ชั่วครู่
เพราะพระผู้ใหญ่ท่านอื่นแม้แต่ท่านเจ้าคุณ ก็รู้ว่าข้าพเจ้าทำกรรมฐานมาจากวัดมหาธาตุ
ท่านยังสนับสนุนไม่มีตำหนิเลยถ้าอย่างนี้คงมีกรรมร่วมกันมา
และข้าพเจ้ารู้ตัวอย่างแน่ชัดว่า ยังหลงอารมณ์กรรมฐานอยู่ข้าพเจ้าจึงพูดตอบว่า "ท่านต้องการให้ผมสึก
ดังนั้นผมจะสึกให้ท่านและขออโหสิกรรมซึ่งกันและกัน"
ข้าพเจ้าสังเกตเห็นหน้าตาท่านมีชีวิตชีวาขึ้นและยิ้มน้อยๆ
อย่างผู้ชนะ
หลังจากนั้นพอออกพรรษาวันที่ข้าพเจ้ากำลังจะสึกจากพระ
ขณะนั่งอยู่หน้ากุฏิของตน จิตเขาก็อาลัยอาวรณ์ผ้าเหลืองขึ้นมากเองเป็นเวลายาวนานตลอดจนสึกจากพระ
แล้วข้าพเจ้าได้กลับขึ้นกรุงเทพฯ ช่วงนั้นฝนตกหนักมากที่กรุงเทพฯ
และข้าพเจ้าก็ได้เข้าทำกรรมฐานที่คณะ
5 วัดมหาธาตุท่าพระจันทร์ต่อโดยไม่ไปแวะพักที่ไหน
และก็ได้พบกับคุณกุ้งที่สึกจากการบวชพระที่บ้านเกิดมานานแล้วเพราะบวชเพียง 7 วัน
ส่วนข้าพเจ้าบวชเข้าพรรษาครบ 100 วันพอดี
ช่วงนี้ข้าพเจ้าสามารถสละความหลงเก่าได้ไปมากแล้ว
และจะไม่ให้หลงเป็นเช่นที่ผ่านมาอีกเมื่อเริ่มทำกรรมฐานวันแรก
ก็ยังพิจารณาลมหายใจอยู่ เพราะกำหนดท้องพองหนอ-ยุบหนอไม่ได้ จะอึดอัดมาก และท่านอาจารย์เคยกล่าวว่า ผู้ที่มีปัญญาเมื่อมาอยู่สำนักไหนก็ต้องเรียนรู้สำนักนั้นได้
ข้าพเจ้าจึงเกิดความคิดขึ้นได้ว่า
ในเมื่อภาวนา พองหนอ-ยุบหนอ
ไม่ได้ต้องหาอย่างอื่นที่ไม่ใช่พิจารณาลมหายใจที่เป็นฐานจึงคิดได้ว่ากำหนด
ได้ยินหนอ ที่หูดีที่สุด เพราะเสียงที่มากระทบหูนั้นไม่ว่ากลางคืนกลางวันจะมีเสียงอยู่เสมออีกอย่างหนึ่งเพราะสติของข้าพเจ้ามีความเคยชินอยู่ที่จมูกเป็นประจำจะแยกมาที่หูคงไม่ยากนัก
ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าไม่กำหนดพิจารณาลมหายใจอีกจะเดินจงกรม
นั่งกรรมฐาน ภาวนานั่งหนอ-ถูกหนอ
รู้หนอ คิดหนอ เจ็บหนอ ง่วงหนอ ตามสิ่งที่บังเกิดเด่นชัด
พออารมณ์นั้นหายไปก็จะมาจับ ได้ยินหนอ เป็นหลัก
บางครั้งกำหนดได้ยินหนอต่อกันเป็นชั่วโมง
แต่มีอุปสรรคอย่างหนึ่งที่คอยขัดขวางอย่างรุนแรงคือความชาบนใบหน้า
เมื่อพยายามเปลี่ยนฐานของกรรมฐาน จึงผลักความชามารวมเป็นก้อนตรงระหว่างคิว
และมีอาการรุนแรงขึ้นด้วยแต่ก็ไม่ใส่ใจ
จะเห็นว่าบทความที่ผ่านมาไม่ได้เขียนเกี่ยวกับวิปัสสนาญาณเพราะว่าอารมณ์วิปัสสนาญาณนั้นละเอียด
ถ้าเขียนไปจะเกิดความสับสนกับผู้อ่าน
ข้าพเจ้าจึงเขียนเฉพาะอาการที่ปรากฏเด่นชัดเท่านั้น
หลังจากที่ข้าพเจ้าภาวนายินหนอเป็นหลัก
ข้าพเจ้าเริ่มทำกรรมฐานวันหนึ่งประมาณ 20 ชั่วโมง
และภาวนาจนหลับไปเองเมื่อร่างกายต้องการพักผ่อนกระทำติดต่อกันจนถึงวันที่ 7 ของการเข้าทำกรรมฐานครั้งนี้ และในวันนั้นหลังสอบอารมณ์ 21.00 น เมื่อทำการอาบน้ำเสร็จข้าพเจ้าก็ทำกรรมฐานต่อตามปกติ
ความชาบนใบหน้าบังเกิดขึ้นมากจนทนนั่งไม่ไหวจึงกำหนดนอนกรรมฐาน ภาวนาได้ยินหนอเป็นหลัก
เมื่อกำหนดมากเข้าเหน็บชาเริ่มจับตั้งแต่มือที่วางทับอยู่บนอกแล้วเคลื่อนมาตามลำตัวจนถึงใบหน้า
จึงคอยมารวมที่บริเวณหูที่กำหนด
ขณะนั้นจิตข้าพเจ้าวางแล้วว่าถ้าเกิดพิการหรือเกิดผิดปกติทางระบบประสาทก็ยอมเสี่ยงเพราะที่ศึกษามามีบุคคลเป็นเช่นนี้ก็ไม่เป็นอะไร
เมื่อศรัทธาในธรรมจริง เพราะข้าพเจ้าศรัทธาจริงๆ
จึงกำหนดกรรมฐานต่อความชาก็มารวมที่บริเวณหูมากขึ้น
เมื่อมากขึ้นความรู้สึกก็หายไปชั่วระยะหนึ่งมารู้สึกอีกครั้งรู้เฉพาะจิต
ไม่มีร่างกาย แต่ยังภาวนาอยู่ว่า "ยินหนอ ยินหนอ ยินหนอ" ได้ 3
ครั้งก็ขาดความรู้สึกทันทีทันใดหรือที่เขาเรียกว่าดับ มันเสมือนไฟฟ้าดับไปทันที
พอรู้สึกตัวก็รู้สึกทันทีสติเต็มตัวทันใด ไม่มีความชาหลงเหลืออยู่เลย แถมร่างกายยังกระฉับกระเฉงมีปีติสุขที่นิ่มนวลกว่าที่ผ่านมา
ซึ่งครั้งนี้ข้าพเจ้าไม่ให้ความหลงเข้ามาครองใจเหมือนที่ผ่านมาเพราะที่ผ่านมาเป็นบทเรียนที่เจ็บปวดทางใจที่มากพอแล้ว
หลังจากนั้นมีสติกำหนดภาวนาได้ละเอียดขึ้นและภาวนาได้เป็นเวลานาน
สะดวกขึ้นความชาเป็นก้อนระหว่างคิ้วมีอยู่
แต่ไม่ได้รบกวนอะไรมากตั้งใจทำกรรมฐานต่อไป
ช่วงนั้นไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง
เพราะเรียนก็เรียนจบแล้ว
หนังสือหนังหาไม่ได้จับอีกเลย โครงการเรียนต่อปริญญาโทก็ไม่มีแรงกระตุ้นที่อยากให้เรียนต่อ
เรียนรู้กายใจตนเอง ทดลองบนกายและใจตนเอง และดับกิเลสและทุกข์ที่ใจตนเองดีกว่า
เรียกว่าเป็นช่องว่างของชีวิตจึงทำกรรมฐานต่อไปไม่หยุด
แถมมีความละเอียดขึ้นสามารถภาวนาได้ยินหนอติดต่อเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง
หรือชั่วโมงครึ่งได้
ซึ่งการปฏิบัติธรรมของข้าพเจ้านั้นอยู่ในความสนใจของพระอาจารย์โดยตลอด
โดยที่ข้าพเจ้าไม่รู้ตัว วันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้าปฏิบัติไปเกิดเฉยมากๆ
คืออารมณ์มันวางเฉยเบื่อซื่อบื้อ
ในตอนภาคบ่ายนั้น พระอาจารย์ก็ได้มาสะกิดเรียกข้าพเจ้า แล้วบอกว่า เซียมๆ เดี๋ยวไปธุระเป็นเพื่อนอาจารย์หน่อย แล้วพระอาจารย์พาข้าพเจ้าขึ้นแท็กซี่ไปโรงพยาบาลพระมงกุฎเพื่อเยี่ยมคนไข้
พระอาจารย์ก็ชวนแท็กซี่คุยเพียงไม่กี่คำ หลังจากนั้นแท็กซี่ก็คุยยาว
ข้าพเจ้าก็ฟังจนคลายสมาธิลง และได้คุยกับพระอาจารย์บ้างเล็กน้อย
ตอนขากลับพระอาจารย์ก็พูดว่า คนที่มีสมาธิเยอะๆ มากๆ เวลาสงบมันก็นิ่งเฉยไปเลยเหนอะ
ปัจจุบันเมื่อข้าพเจ้าพิจารณาทบทวนไปในภายหลังจึงรู้ว่าพระอาจารย์มีเจตนาช่วยแก้กรรมฐานให้ข้าพเจ้า
แต่ข้าพเจ้าไม่รู้และไม่ทราบเอาเลยในตอนนั้น
ในช่วงหลังจากนั้นอาจารย์ให้ทำกรรมฐานเพิ่มเติมคือพรหมวิหาร 4 ภาวนาแผ่เมตตา "อะหัง สุขิโท โหมิ" (ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุข)
แผ่เมตตาให้กับตัวเองจนสงบจนสบายขึ้น แล้วแผ่ให้กับสรรพสัตว์คือ "สัพเพ
สัตตา สุขิตา โหนตุ" (ขอให้สัตว์ทั้งหลายมีความสุข) ก่อนที่จะภาวนากรรมฐานหลักประมาณ 10 ถึง 15 นาที หรือหลังกรรมฐานหลัก
ซึ่งช่วงนี้ให้อะไรมาข้าพเจ้าก็รับ
ปรากฏเหตุการณ์แปลกอยู่ตอนหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้าภาวนาแผ่เมตตาอยู่ใจก็น้อมไปทุกทิศจริงๆ
มีปีติขนลุกทั้งตัวสักระยะหนึ่งแต่ยังแผ่เมตตาต่อ
แล้วค่อยลงภวังค์จิตขึ้นรับอารมณ์ภาวนาต่อ แต่หนืดมากคล้ายกับคนที่ถีบจักรยานลงในหลุมโคลนแล้วความรู้สึกขาดทันทีทันใด
ขึ้นมารับรู้อารมณ์ปกติแต่มีปีติสุขมาก
ส่วนกรรมฐานหลักข้าพเจ้าก็กำหนดโดยไม่ขาดระยะ
จะว่ากำหนดภาวนาทั้ง 24
ชั่วโมงก็ว่าได้ ในวันหนึ่งจะนอน 4 ชั่วโมง และในขณะที่นอนก็ภาวนากำหนด
ได้ยินหนอ จนหลับหายไปเมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาก็ภาวนาได้ยินหนอติดต่อเป็นไปเอง นับว่าเมื่อไรเมื่อมีความรู้สึกอยู่ก็ไม่ขาดจากการภาวนานอกจากหลับ
เป็นเช่นนี้ติดต่อกัน 6-7 วัน
พอถึงเช้ามืดหลังจากทำกรรมกรรมฐานมา
24 วันในการเข้าทำกรรมฐานครั้งนี้ พอจิตขึ้นมาจากภวังค์หลับ รับรู้เพียงอารมณ์ที่รู้สึกที่หูไม่ทันรู้ทั่วร่างกาย
ก็กำหนดภาวนาทันที ซึ่งสติมีความเร็วมาก
พอภาวนาที่จุดนั้นก็เกิดความเจ็บที่ภาวนาขึ้นแต่ไม่สนใจภาวนาต่อก็มีความเจ็บมากขึ้น
ความคิดก็แว่บขึ้นมาว่าจะภาวนายินหนอหรือ เจ็บหนอดี ก็เกิดความคิดขึ้นว่าภาวนา
ยินหนอต่อ เพราะทำมาอย่างนี้แล้ว ก็เลยตัดสินใจภาวนา ยินหนอต่อ ภาวนาเร็วขึ้น
ความเจ็บก็เพิ่มมากขึ้น
จนเกิดแสงสว่างสีเหลืองอ่อนเท่ากับดาวประกายพรึกเจ็บเจียนตายแต่ก็ไม่กลัว
เพราะที่ผ่านมาครั้งก่อนไม่เป็นอะไร ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะเป็นมากกว่ามากหลายเท่าตัว
คำภาวนาเร็วขึ้นมาก ความเจ็บทวีคูณขึ้น แสงสว่างจ้าขึ้นใสมากขึ้น
เป็นมากขึ้นจนชีวิตนี้กำลังจะตายจากจึงเกิดความหน่วงของจิตคล้ายกับรถที่วิ่งมาอย่างเร็วมาก
แล้วเบรกกะทันหันชะลอตัวลงแล้วคำภาวนาคงที่ ความเจ็บคงที่ แสงสว่างคงที่
เสมอเรียบได้สักระยะหนึ่ง (ขอให้เข้าใจด้วยว่าช่วงนี้ใดๆ
ในโลกนี้ไม่มีอะไร นอกจากจุดนี้จุดเดียว)
หลังจากนั้นจิต
ก็มีการ เกิด ดับ คือแสงของจิตดับ ความเจ็บขาดเป็นช่วงๆ ประมาณ 7 - 8
ครั้งที่ชัดเจนที่สุดและอีกหลายครั้งที่ไม่ชัดเจนหลังจากนั้นจิตก็ตกจากที่สูงดิ่งลงเหมือนคนกำลังตกเหวลงมาข้างล่างแล้วขาดหายไปชั่วเวลาไม่นานจากนั้นจิตยกขึ้นมารับอารมณ์เพราะจิตไม่มีร่างกาย
มีความสุขและเอกคะตาแล้วจิตพิจารณาอารมณ์ว่า "นี้เป็นมรรคผลนิพพาน"
แต่ด้วยความกลัวหลงจนวิปลาสเหมือนที่ผ่านมาจึงพิจารณาว่า "ไม่ใช่หนอ! อารมณ์สุขอย่างนี้
เป็นอารมณ์ของพรหม"
พอพิจารณาเสร็จหลังจากนั้น
ช่วงเวลาไม่นานก็บังเกิดเป็นดวงสีเหลืองอ่อนเท่าดวงดาวขึ้นมาหลังจากนั้นรู้สึกโคลงเคลงคล้ายกับคนที่อยู่ในท้องเรือใหญ่โดนคลื่นกระทบ
แล้วรู้สึกทั่วตัวในท่านอนหงายคู้เข่าด้านขวามือสองข้างทาบบนอกเหมือนอย่างเดิมกับตอนแรกที่กำหนดกรรมฐานเข้าภวังค์จนออกมาหลังจากนั้นกำหนดกรรมฐานก็จะมีความสุขความสบายอาบทั่วทั้งจิตและร่างกาย
และเวลากำหนดกรรมฐานมีอาการดับขาดตอนบ่อยคือนั่งกำหนดกรรมฐานก็ดับไปทันทีและสติบังเกิดขึ้นเต็มตัวทันที
ช่วงนั้นคุณกุ้งได้ลากรรมฐานกลับไปบ้านก่อนแล้ว
ข้าพเจ้ายังทำกรรมฐานต่อรวมเวลาเข้ากรรมฐานครั้งนี้ 1 เดือนกว่าประมาณ 40 วัน ร่างกายข้าพเจ้าผ่ายผอมไปมาก
แต่ก่อนออกกรรมฐานประมาณ
1 อาทิตย์ ซึ่งในต้นปี 2526
เป็นปีที่น้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯติดต่อเป็นเวลาประมาณ 1 เดือน
ทำให้เกิดมีความเสียหายทั่วไป มหาวิทยาลัยต้องปิดการเรียนการสอนและเลื่อนการรับปริญญา
เพราะเหตุนี้เป็นผลดีต่อข้าพเจ้าเพราะทางมหาวิทยาลัยได้ส่งจดหมายตั้งแต่ตอนบวชพระ
ให้ติดต่อทางมหาวิทยาลัยๆ ต้องการหลักฐานเพิ่มเติม
แต่ในช่วงนั้นทางมหาวิทยาลัยติดต่อข้าพเจ้าไม่ได้เนื่องจากน้ำท่วม
พอน้ำเริ่มลดก่อนมหาวิทยาลัยเปิดทำการไม่กี่วัน
ขณะนั้นข้าพเจ้าก็ทำกรรมฐานที่ คณะ 5 วัดมหาธาตุอยู่และได้ขออนุญาตพระอาจารย์ออกไปทำธุระ (ไม่มีใครทราบปัญหาของข้าพเจ้า) คือออกไปดูรายชื่อผู้จบการศึกษาในปี
พ.ศ.2525 ที่ทางสภามหาวิทยาลัยอนุมัติและผู้มีสิทธิ์ในการรับปริญญา
ปรากฏว่าไม่มีรายชื่อของข้าพเจ้า แต่ใจข้าพเจ้าก็เฉยเพราะมีสติสมาธิอยู่ตลอด
เมื่อทำกรรมฐานครบ
40 วัน
ข้าพเจ้าจึงออกจากกรรมฐานออกไปหาที่พักเพราะยกเลิกหอพักเก่าก่อนที่จะกลับไปบวชที่บ้านเกิด
ต้องขออาศัยชั่วคราวอยู่หอพักกับจรูญจรัลและดำ เนื่องจากไม่มีเงินที่จะเช่าเอง
หลังจากที่พักลงตัวก็
ก็ตัดสินใจติดต่อกับทางมหาวิทยาลัยโดยกะว่าจะไปขอร้องทางมหาวิทยาลัยโดยไม่มีหลักฐานเพิ่มเติมเลย
แต่เนื่องด้วยความกรุณาของทางมหาวิทยาลัยครั้งนี้กลับมีชื่อของข้าพเจ้าบนบอร์ดที่ทางสภามหาวิทยาลัยอนุมัติให้จบการศึกษา ทำให้ข้าพเจ้าได้รับปริญญาเหมือนกับผู้อื่น
และช่วงนั้นจิตใจของข้าพเจ้าวางเฉยเพราะติดอยู่กับกรรมฐานมากกว่า แม้แต่ก่อนวันที่สมเด็จพระเทพฯประทานปริญญาบัตร ข้าพเจ้าก็ยังไปอยู่ในวัดทำกรรมฐาน แล้วออกมารับปริญญานับว่าการต่อสู้กับอุปสรรคทางการเรียนปริญญาตรีจบลง
หลังจากนั้นยังมาเข้าทำกรรมฐานที่คณะ 5 ท่าพระจันทร์ อีกหลายครั้งๆ ละ 7 ถึง 15 วัน และบางครั้งนั่งกำหนดภาวนายินหนอ
อยู่ความรู้สึกหายไปแล้วมีอาการดับไม่มีอะไรเหลือเหมือนกับไฟดับแล้วมีสติเกิดขึ้นเต็มตัวทันทีอาการเช่นนี้เป็นอยู่หลายครั้ง
หลังจากนั้นข้าพเจ้าในสายตาของผู้อื่นกลายเป็นคนเฉยไม่มีไฟใจเย็นเหมือนไม่มีประสิทธิภาพในการทำงานเพราะงานหลักของข้าพเจ้าคือกรรมฐาน
และการที่ข้าพเจ้าจะหางานทำตามบริษัทใหญ่หรือเล็กคงไม่ได้
เพราะหลักฐานข้าพเจ้าไม่พร้อม จึงต้องอาศัยความรู้จริงๆ หากิน คือการเป็นติวเตอร์ ติวคณิตศาสตร์ ติวสถิติ
หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหงที่จบออกมาเนื่องจากเป็นงานอิสระ
งานติวเตอร์จึงเป็นงานรองเพื่อเอาเงินมาเลี้ยงชีพ
แต่งานหลักจริงๆ คือกำหนดภาวนากรรมฐานเข้าวัด แม้ขณะกำลังสอนอยู่ก็ยังกำหนดกรรมฐาน
เมื่อเป็นอย่างนี้จะรุ่งเรืองกว่าผู้อื่นได้อย่างไรและฐานะทางกฎหมายข้าพเจ้าจะรุ่งเรืองไม่ได้
เพราะจะต้องมีผู้อื่นที่ไม่ปรารถนาดีทำให้ข้าพเจ้าหมดอาชีพหากินได้
แต่ข้าพเจ้าก็ภูมิใจในตัวเอง เพราะพ่อของข้าพเจ้า
ไม่มีอคติกับข้าพเจ้าและมีความภูมิใจในลูกของท่านที่สามารถหากินด้วยความรู้ของตนเอง
ไม่รบกวนเงินของแม่อีกเลย และถ้าพ่อสนทนากับใครเรื่องลูกของท่านๆ
ก็ไม่น้อยหน้ากว่าใคร
จบช่วงชีวิตตอนที่
1 การต่อสู้ในการศึกษาและการเริ่มปฏิบัติธรรม