นันทะ,เอตทัคคมหาสาวกผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์(๒๒,๓๒)

       พระนันทะเกิดในวรรณกษัตริย์  ในพระนครกบิลพัสดุ์

เป็นโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะกับพระนางมหาปชาบดีโคตมี 

และเป็นอนุชาของเจ้าชายสิทธัตถะ(พระพุทธเจ้า)  และมี

กนิษฐภคินี(น้องสาว)พระนามว่า นันทา (รูปนันทา) ท่านมี

ความเป็นอยู่อย่างกษัตริย์มหาศาล   พระเจ้าสุทโธทนะหวัง

ให้ท่านสืบราชสมบัติ  จึงทรงจัดให้อภิเษกสมรสกับนาง

ชนบทกัลยาณ ี(หญิงงามประจำแคว้น).

       เมื่อพระศาสดาทรงยังธรรมจักรอันประเสริฐให้เป็นไป 

ทรงทำการอนุเคราะห์สัตวโลก  เสด็จไปพระนครกบิลพัสดุ์ 

ทรงกระทำฝนโปกขรพรรษาให้เป็นอัตถุปบัติในญาติสมาคม 

ตรัสเวสสันดรชาดกแล้ว  เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในวันที่   

ยังพระเจ้าสุทโทธนะ(พระพุทธบิดา) ให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล

ดังนี้แล้ว   เสด็จไปสู่นิเวศน์  ยังพระนางมหาปชาบดีให้ตั้ง

อยู่ในโสดาปัตติผล  (และ)

       รุ่งขึ้นวันหนึ่งเสวยพระกระยาหารเช้าในพระราชนิเวศน์แล้ว

เมื่อพระราชาประทับอยู่    ส่วนข้างหนึ่ง  ทูลเล่าว่า 

       “ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ในเวลาที่พระองค์ทรงทำทุกรกิริยา 

เทวดาองค์หนึ่ง  เข้ามาหาหม่อมฉันบอกว่า พระโอรสของ

พระองค์ทิวงคตแล้ว ”  หม่อมฉันไม่เชื่อถ้อยคำของเทวดานั้น

จึงคัดค้านเทวดานั้นว่า  ‘ บุตรของข้าพเจ้ายังไม่บรรลุโพธิญาณ

ย่อมไม่ทำกาละ  ”  ดังนี้แล้ว,  ตรัสว่า 

      “  มหาบพิตร  บัดนี้  พระองค์จักเชื่อได้อย่างไร ?

      แม้ในกาลก่อน  เมื่อเขาแสดงร่างกระดูกแก่พระองค์  ทูลว่า

‘ บุตรของพระองค์ทิวงคตแล้ว ’  พระองค์ยังไม่ทรงเชื่อ  ” 

ได้ตรัสมหาธรรมปาลชาดก   เพราะอุบัติเหตุแห่งเรื่องนี้.

ในกาลจบกถา  พระเจ้าสุทโทธนะดำรงอยู่ในอนาคามิผล.

      พระผู้มีพระภาคเจ้า  โปรดพระบิดาให้ดำรงอยู่ในผล   

ด้วยประการฉะนี้แล้ว  มีภิกษุสงฆ์แวดล้อม  เสด็จกลับไปสู่กรุง

ราชคฤห์อีก, แต่นั้น  ทรงรับปฏิญญาไว้กับอนาถบิณฑิกเศรษฐี 

เพื่อประโยชน์แก่การเสด็จมาสู่กรุงสาวัตถี, 

      ครั้นเมื่อพระเชตวันมหาวิหารสำเร็จแล้ว,  เสด็จไปจำ

พรรษาในพระเชตวันมหาวิหารนั้น.

      ในวันที่ ๓ แต่วันนั้น  ครั้นเมื่อวิวาหมงคลเป็นที่เชิญเสด็จ

เข้าเรือนเพื่ออภิเษกของนันทกุมาร  เป็นไปอยู่,  เสด็จเข้าไป

บิณฑบาต ประทานบาตรในหัตถ์ของนันทกุมาร  ตรัสมงคล

( อวยพร )  เสด็จลุกจากอาสนะแล้วหลีกไป  หาได้ทรงรับ

บาตรจากหัตถ์ของนันทกุมารไม่.

                        นันทะพุทธอนุชาออกบวช

      ฝ่ายนันทกุมารนั้น  ด้วยความเคารพในพระตถาคต  จึงมิอาจ

ทูล( เตือน ) ว่า  “ ขอพระองค์รับบาตรไปเถิด  พระเจ้าข้า ” 

      แต่คิดอย่างนี้ว่า “ พระศาสดา  คงจักทรงรับบาตรที่หัวบันได. ”

แม้ในที่นั้นพระศาสดาก็มิได้ทรงรับ.  นันทกุมารนอกนี้คิดว่า 

“ คงจักทรงรับที่ริมเชิงบันได. ”  แม้ในที่นั้น พระศาสดา ก็ไม่ทรงรับ.

นันทกุมารก็คิดว่า “ จักทรงรับที่พระลานหลวง ”  แม้ในที่นั้น 

พระศาสดา  ก็ไม่ทรงรับ.  พระกุมารปรารถนาจะเสด็จกลับ  แต่จำ

เสด็จไปด้วยความไม่เต็มพระทัย  ด้วยความเคารพในพระตถาคต

จึงไม่สามารถทูลว่า  “ ขอพระองค์ทรงรับบาตรเถิด ”  ทรงเดินนึก

ไปว่า  “ พระองค์จักทรงรับในที่นี้.  พระองค์จักทรงรับในที่นี้. ”

ในขณะนั้น   หญิงพวกอื่นเห็นอาการนั้นแล้ว  จึงบอกแก่นางชนบท

กัลยาณีว่า  “ พระแม่เจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพานันทกุมาร

เสด็จไปแล้ว,  คงจักพรากนันทกุมารจากพระแม่เจ้า. ”

      ฝ่ายนางชนบทกัลยาณีนั้นได้ยินคำนั้นแล้ว  มีหยาดน้ำยังไหล

อยู่เทียว  มีผมอันเกล้าได้กึ่งหนึ่ง  รีบไปทูลว่า 

      “  ข้าแต่พระลูกเจ้า  ขอพระองค์พึงด่วนเสด็จกลับ. ” 

      คำของนางนั้น  ประหนึ่งตกไปขวางตั้งอยู่ในหทัยของนันทกุมาร.

      แม้พระศาสดา  ก็ยังไม่ทรงรับบาตรจากหัตถ์ของนันทกุมาร

นั้นเลย  ทรงนำนันทกุมารนั้นไปสู่วิหารแล้วตรัสว่า 

      “ นันทะ  เธออยากบวชไหม ? ”  นันทกุมารนั้น  ด้วย

ความเคารพในพระพุทธเจ้า  จึงไม่ทูลว่า “ จักไม่บวช ”  ทูลรับว่า 

      “  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  จักบวชพระเจ้าข้า. ”

      พระศาสดารับสั่งว่า  “ ภิกษุทั้งหลาย  ถ้ากระนั้น  เธอทั้งหลาย

จงให้นันทะบวชเถิด. ”

                              พระนันทะอยากสึก

      เมื่อพระศาสดา  ประทับอยู่ในพระเชตวันอย่างนี้นั่นแล, 

ท่านพระนันทะกระสันขึ้นแล้ว  จึงบอกเนื้อความนั้นแก่

ภิกษุทั้งหลายว่า

      “  ผู้มีอายุ  ข้าพเจ้าไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์, 

ไม่สามารถที่จะสืบต่อพรหมจรรย์ไปได้,   ข้าพเจ้าจักกล่าว

คืนสิกขาแล้วสึก  หีนายาวตติสสามิจักเวียนมาเพื่อ

ความเป็นคนเลว. ” 

      พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับความเป็นไปนั้นแล้ว 

รับสั่งให้หาท่านพระนันทะมาเฝ้าแล้วตรัสคำนี้ว่า 

      “ จริงหรือนันทะ ?  ได้ยินว่า  เธอบอกกล่าวแก่ภิกษุ

หลายรูปอย่างนี้ว่า  ‘ ผู้มีอายุ  ข้าพเจ้าไม่ยินดีประพฤติ

พรหมจรรย์  ไม่สามารถจะสืบต่อพรหมจรรย์ไปได้, 

ข้าพเจ้าจักกล่าวคืนสิกขาแล้วสึกหรือ ?  ”

      น.  จริงอย่างนั้น  พระเจ้าข้า.

      ภ.  นันทะ  ก็เธอได้ยินดีประพฤติพรหมจรรย์. 

ไม่สามารถจะสืบต่อพรหมจรรย์ไปได้,  จะกล่าวคืนสิกขา

สึกไปเพื่อเหตุอะไร ?

      น.  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  เมื่อข้าพระองค์ออกจากเรือน

นางชนบทกัลยาณีผู้ศากิยะ  มีผมอันเกล้าได้กึ่งหนึ่ง  ได้ร้อง

สั่งคำนี้กะข้าพระองค์ว่า 

      ‘  ข้าแต่พระลูกเจ้า  ขอพระลูกเจ้าพึงด่วนเสด็จมา, ’ 

      ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์นั้นแล  หวนระลึกถึง

คำนั้นอยู่  จึงไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์  ไม่สามารถจะสืบ

ต่อพรหมจรรย์ไปได้,  จักกล่าวคืนสิกขาสึกไป. ”

                        พระศาสดาทรงทรมานพระนันทะ

      ครั้งนั้นแล  พระผู้มีพระภาคเจ้า  ทรงจับท่านพระนันทะ

ที่พระพาหาแล้ว  นำไปสู่ดาวดึงสเทวโลกด้วยกำลังพระฤทธิ์, 

ในระหว่างทางทรงแสดงนางลิงลุ่นตัวหนึ่ง  ซึ่งมีหูจมูกและ

หางขด  นั่งเจ่าอยู่บนปลายตอไม้ที่ไฟไหม้  ในนาที่ไฟไหม้แห่ง

หนึ่งแล้ว  ทรงแสดงนางอัปสร๕๐๐  ซึ่งมีเท้าดังเท้านกพิราบ

เพราะมีสีแดง.  ผู้มาสู่ที่บำรุงของท้าวสักกเทวราชในภพดาวดึงส์.

      ก็แลครั้นทรงแสดงแล้ว  ตรัสอย่างนี้ว่า

      “ นันทะ  เธอสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ?  ฝ่ายไหนหนอแล ?

      มีรูปงามกว่า น่าดูกว่าและน่าเลื่อมใสกว่ากัน, นางชนบทกัลยาณี

ผู้ศากิยะหรือนางอัปสร  ๕๐๐ ซึ่งมีเท้าเช่นกับเท้านกพิราบนี้. ” 

พระนันทะได้สดับพระพุทธดำรัสนั้นแล้วทูลว่า 

      “  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  นางลิงลุ่นมีหูจมูกและหางขาดนั้น 

แม้ฉันใด  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  นางชนบทกัลยาณี  ผู้ศากิยะ

ก็เหมือนกันฉันนั้น,  เพราะการเปรียบเทียบกัน  นางย่อมไม่ถึง

การนับบ้าง  ไม่ถึงเสี้ยวหนึ่งบ้าง  ไม่ถึงส่วน  ( หนึ่ง )  บ้าง 

แห่งนางอัปสร   ๕๐๐  นี้, ที่แท้นางอัปสร  ๕๐๐  นี้แล

มีรูปงามกว่า  น่าดูกว่า  และน่าเลื่อมใสกว่า. ”

      ภ.  นันทะ  เธอจงยินดี,  นันทะ  เธอจงยินดี,  เราจะเป็นผู้

ประกันของเธอ  เพื่ออันได้เฉพาะนางอัปสร  ๕๐๐  ซึ่งมี

เท้าดุจเท้านกพิราบ.

      น.  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็น

ประกันของข้าพระองค์  เพื่ออันได้เฉพาะนางอัปสร  ๕๐๐

ผู้มีเท้าดุจเท้านกพิราบไซร้,  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ 

ข้าพระองค์จักยินดีในพรหมจรรย์.

      ครั้งนั้นแล  พระผู้มีพระภาคเจ้า  ทรงพาท่านนันทะไป 

หายวับไปในที่นั้น  ได้ปรากฏในพระเชตวันดังเดิม.

      ภิกษุทั้งหลายได้สดับแล้วแลว่า  “ ข่าวว่า  ท่านนันทะเป็น

พระน้องชาย.  ภาดาของพระผู้มีพระภาคเจ้า  โอรสพระน้านาง 

ประพฤติพรหมจรรย์เพราะเหตุแห่งนางอัปสรทั้งหลาย;  นัยว่า 

พระผู้มีพระภาคเจ้า  ทรงเป็นผู้ประกันของพระนันทะนั้น  เพื่อ

อันได้เฉพาะนางอัปสร  ๕๐๐  เท้านกพิราบ. ”

                              พระนันทะสำเร็จอรหัตผล

      ครั้งนั้นแล  พวกภิกษุผู้สหายของท่านพระนันทะ  เรียกท่าน

พระนันทะด้วยวาทะว่า  คนรับจ้างบ้าง  ด้วยวาทะว่า  คนอัน

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงไถ่ไว้บ้าง  ว่า

      “ นัยว่า  ท่านพระนันทะเป็นคนรับจ้าง,  นัยว่าท่านพระนันทะ

เป็นผู้อันพระศาสดาทรงไถ่ไว้,  พระนันทะประพฤติพรหมจรรย์ 

เพราะเหตุแห่งนางอัปสร  ๕๐๐,  ได้ยินว่า  พระผู้มีพระภาคเจ้า

ทรงเป็นผู้ประกันของเธอ  เพื่ออันได้เฉพาะนางอัปสร  ๕๐๐ 

ผู้มีเท้าดุจเท้านกพิราบ. ”

      ครั้งนั้นแล  ท่านพระนันทะขวยเขิน ละอาย  รังเกียจด้วยวาทะ

ว่า คนรับจ้างบ้าง  ด้วยวาทะว่าคนที่พระศาสดาทรงไถ่ไว้บ้าง 

ของเหล่าภิกษุสหาย  เป็นผู้ ๆ  เดียว  หลีกออกไปแล้วไม่ประมาท

มีความเพียรมีตนส่งไปอยู่. 

      ต่อกาลไม่นานเลย  ได้ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์อัน

ยอดเยี่ยม  ซึ่งกุลบุตรทั้งหลาย  (  ออก )  จากเรือน  บวชไม่มีเรือน

โดยชอบต้องการ  ด้วยความรู้ยิ่งเอง  สำเร็จแล้ว  อยู่ในทิฏฐธรรม

อีกนัยหนึ่ง :- ได้ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม รู้ชัดว่า

“ ชาติสิ้นแล้ว,  พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว,  กิจจำต้องทำ    เสร็จแล้ว,

กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มี.  ”  เป็นอันว่าท่านพระนันทะ

ได้เป็นพระอรหันต์องค์ใดองค์หนึ่ง  ในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย.

      ครั้งนั้น  เทวดาองค์หนึ่ง  ยังพระเชตวันทั้งสิ้นให้สว่าง  ในส่วน

แห่งราตรีแล้ว  เข้าไปเฝ้าพระศาสดา  ถวายบังคมแล้ว  กราบทูลว่า

      “  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ท่านพระนันทะ  เป็นพระภาดาของ

พระผู้มีพระภาคเจ้า  โอรสพระน้านาง  ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ

พ้นจากกิเลสด้วยอำนาจใจ.  ปัญญาวิมุตติพ้นจากกิเลสด้วย

อำนาจปัญญา, อันหาอาสวะมิได้  เพราะสิ้นไปแห่งอาสวะ

ทั้งหลาย  ด้วยความรู้ยิ่งเองสำเร็จแล้วอยู่ในทิฏฐธรรม. 

ญาณได้เกิดขึ้นแม้แก่พระผู้มีพระภาคเจ้า ( เหมือนกัน ) ว่า 

      “นันทะ  ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ  ปัญญาวิมุตติอันหาอาสวะ

มิได้  เพราะสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย  ด้วยความรู้ยิ่งเอง

สำเร็จแล้วอยู่ในทิฏฐธรรม.” 

      ท่านพระนันทะแม้นั้น  โดยล่วงไปแห่งราตรีนั้น  เข้าไป

เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า  ถวายบังคมแล้ว  ได้กราบทูลคำนี้ว่า 

      “ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  พระผู้มีพระภาคเจ้า  ทรงเป็น

ผู้ประกันของข้าพระองค์  เพื่ออันได้เฉพาะซึ่งนางอัปสร๕๐๐

ซึ่งมีเท้าดุจเท้านกพิราบ  ด้วยการรับรองใด, 

      ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์เปลื้องพระผู้มีพระภาคเจ้า

จากการรับรองนั่น. ”  พระผู้มีพระภาคตรัสว่า 

            “ นันทะแม้เราก็กำหนดใจของเธอด้วยใจ ( ของเรา ) 

      ทราบแล้วว่า ‘นันทะทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ  ปัญญาวิมุตติ

      อันหาอาสวะมิได้  เพราะสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย  ด้วย

      ความรู้ยิ่งเอง  สำเร็จแล้วอยู่ในทิฏฐธรรม. ”

      แม้เทวดาก็บอกเนื้อความนี้แก่เรา.

      พระนันทะทูลว่า ข้าพระองค์ขอเปลื้องพระผู้มีพระภาคเจ้า

จากการเป็นผู้รับรองนั้น.  แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสว่า

      ดูก่อนนันทะ  การรับรองใดแลเป็นเหตุให้จิตของเธอหลุดพ้น

จากอาสวะทั้งหลาย  เพราะไม่ยึดมั่นในเวลานั้น  เราตถาคตก็พ้น

จากการเป็นผู้รับรองนั้นแล้ว.  

      ลำดับนั้น  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความที่พระนันทะ

เป็นผู้มีทวารอันคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลายพร้อมกับคุณ

พิเศษของท่าน  เมื่อจะทรงประกาศคุณพิเศษนั้น จึงทรงตั้งท่าน

ไว้ในตำแหน่งของภิกษุผู้เลิศ  โดยความเป็นผู้มีทวารอันคุ้มครอง

แล้วในอินทรีย์    โดยพระดำรัสว่า

      ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  พระนันทะ  เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุผู้สาวก

ของเราฝ่ายคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย.

      แท้จริง  พระเถระคิดว่า  เราถึงประการอันแปลกนี้  เพราะ

อาศัยความไม่สำรวมอินทรีย์ทั้งหลายอันใดแล  เราจักข่มความ

ไม่สำรวมอันนั้นแลด้วยดี  ดังนี้แล้ว  เกิดความอุตสาหะ  เป็นผู้มี

หิริ โอตตัปปะ มีกำลัง  ได้ถึงบารมีในอินทรีย์สังวรอย่างอุกฤษฏ์

เพราะความเป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้ว  ในศาสนาของ

พระผู้มีพระภาคเจ้า  ทรงพระนามว่าปทุมุตตระ นั้น  ฉะนี้แล.    

      ครั้งนั้นแล  พระผู้มีพระภาคเจ้า  ทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว

ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า

            “เปือกตมคือกามอันผู้ใดข้ามได้แล้ว,  หนาม

      คือกามอันผู้ใดย่ำยีได้แล้ว  ผู้นั้น  บรรลุความ

      สิ้นไปแห่งโมหะ  ย่อมไม่หวั่นไหวในเพราะ

      สุขและทุกข์.”

                                    พระนันทะถูกฟ้อง

      ต่อมาวันหนึ่ง  ภิกษุทั้งหลาย  ถามท่านพระนันทะว่า “ นันทะ

ผู้มีอายุ  เมื่อก่อน ท่านกล่าวว่า ‘ ข้าพเจ้าเป็นผู้กระสันแล้ว’ บัดนี้

จิตของท่านเป็นอย่างไร ? ”  พระนันทะตอบว่า  “ ผู้มีอายุ  ความ

ห่วงใยในความเป็นคฤหัสถ์ของเราไม่มี. ”  พวกภิกษุได้ฟังคำนั้น

แล้ว  กล่าวกันว่า

      “ ท่านนันทะ  พูดไม่จริง  ย่อมพยากรณ์พระอรหัตผล,  ในวัน

ที่แล้ว ๆ  มา  กล่าวว่า  ‘ ข้าพเจ้าเป็นผู้กระสันแล้ว ’  ( แต่ ) บัดนี้

กล่าวว่า‘ ความห่วงใยในความเป็นคฤหัสถ์ของเราไม่มี ” ดังนี้แล้ว

ไปกราบทูลความนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. 

      พระผู้มีพระภาคเจ้า  ตรัสว่า 

      “ ภิกษุทั้งหลาย  ในวันที่แล้ว ๆ  มา  อัตภาพของนันทะ

ได้เป็นเช่นกับเรือนที่เขามุงไม่ดี, ( แต่ ) บัดนี้เป็นเช่นกับ

เรือนที่เขามุงดีแล้ว  เพราะว่านันทะนี้  จำเดิมแต่กาลที่ตน

เห็นนางเทพอัปสรแล้ว  พยายามเพื่อบรรลุที่สุดแห่งกิจ

ของบรรพชิตอยู่  ได้บรรลุกิจนั้นแล้ว ” ได้ทรงภาษิต

พระคาถาเหล่านี้ว่า

            “ฝนย่อมรั่วรดเรือนที่มุงไม่ดีได้ฉันใด,  ราคะ

      ย่อมเสียดแทงจิตที่ไม่ได้อบรมแล้วได้ฉันนั้น.

      ฝนย่อมรั่วรดเรือนที่มุงดีแล้วไม่ได้ฉันใด,  ราคะ

      ก็ย่อมเสียดแทงจิตที่อบรมดีแล้วไม่ได้ฉันนั้น.”

      ในกาลจบคาถา  ชนเป็นอันมากได้บรรลุอริยผลทั้งหลาย

มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.  เทศนาได้สำเร็จประโยชน์แก่มหาชนแล้ว.

                        พระนันทะเป็นเหตุแห่งอาบัติ

      โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ

พระเชตวัน อารามของ อนาบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.

      ครั้งนั้น ท่านพระนันทะโอรสพระมาตุจฉาของพระผู้มีพระภาค

เป็นผู้ทรงโฉม เป็นที่ต้องตาต้องใจ ต่ำกว่าพระผู้มีพระภาค ๔ องคุลี

ท่านทรงจีวรเท่าจีวรพระสุคต  ภิกษุเถระได้เห็นท่านพระนันทะ

มาแต่ไกล   ครั้นแล้วลุกจากอาสนะสำคัญว่า พระผู้มีพระภาค

เสด็จมา  ท่านพระนันทะเข้ามาใกล้จึงจำได้  แล้วเพ่งโทษ ติเตียน

โพนทะนาว่า  ไฉนท่านพระนันทะ  จึงได้ทรงจีวรเท่าจีวรของ

พระสุคตเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.

                        พระนันทะเคยถูกล่อด้วยมาตุคาม

      ต่อมา  ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในธรรมสภาว่า 

      “  ผู้มีอายุ   ชื่อว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นอัจฉริยบุคคล. 

ท่านพระนันทะ  ชื่อว่าอาศัยนางชนบทกัลยาณีกระสันแล้ว 

พระศาสดาทรงทำเหล่านางเทพอัปสรให้เป็นอามิสแนะนำได้แล้ว.”

      พระศาสดาเสด็จมา  ตรัสถามว่า 

      “ ภิกษุทั้งหลายบัดนี้  พวกเธอนั่งประชุมกันด้วยกถาอะไรหนอ? ” 

      เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า  “ ด้วยกถาชื่อนี้ ”  ดังนี้แล้ว ตรัสว่า

      “ ภิกษุทั้งหลายไม่ใช่แต่บัดนี้เท่านั้น,  แม้ในกาลก่อน  นันทะนี้

เราก็ได้ล่อด้วยมาตุคามแนะนำแล้วเหมือนกัน  ”  ดังนี้แล้ว  อัน

ภิกษุเหล่านั้นทูลอ้อนวอน  จึงทรงนำอดีตนิทานมา  ( ตรัสว่า )

                              บุรพกรรมของพระนันทะ

      ในอดีตกาล  เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในกรุง

พาราณสี  ได้มีพ่อค้าชาวเมืองพาราณสี ( คนหนึ่ง )  ชื่อกัปปกะ. 

ลาผู้ของเขาตัวหนึ่งนำภาระ ( สิ่งของ ) ไปได้กุมภะหนึ่ง,  มัน

เดินไปได้วันละ    โยชน์,

      สมัยหนึ่ง  เขาไปเมืองตักกสิลา  ( พร้อม )  ด้วยภาระที่นำ

ไปด้วยลาปล่อยลาเที่ยวไปจนกว่าจำหน่ายสิ่งของหมด. 

      ครั้งนั้น  ลาของเขานั้นเที่ยวไปบนหลังคูพบนางลาตัวหนึ่ง

จึงเข้าไปหา.  นางลาเมื่อจะทำปฏิสันถารกับลาผู้ตัวนั้น 

จึงกล่าวว่า  “ ท่านมาแต่ไหน ? ”

      ลาผู้.  มาแต่เมืองพาราณสี.

      นางลา.  ท่านมาด้วยกรรมอะไร ?

      ลาผู้.   ด้วยกรรมของพ่อค้า.

      นางลา.  ท่านนำภาระไปได้เท่าไร ?

      ลาผู้.  ภาระประมาณกุมภะหนึ่ง.

      นางลา.  ท่านเมื่อนำภาระประมาณเท่านั้นไป  ไปได้กี่โยชน์.

      ลาผู้.  ได้    โยชน์

      นางลา.  ในที่ซึ่งท่านไปแล้ว  นางลาไร ๆ  ผู้ทำการนวดเท้า

หรือประคบประหงมให้แก่ท่านมีหรือ  ?

      ลาผู้  หามีไม่  นางผู้เจริญ

      นางลา  เมื่อเป็นเช่นนั้น  ท่านคงได้รับทุกข์มากนะ  ?

      จริงอยู่  ชื่อว่าผู้ทำกรรมมีการนวดเท้าเป็นต้น  สำหรับ

สัตว์ดิรัจฉานทั้งหลายย่อมไม่มีแม้โดยแท้  แต่นางลา 

กล่าวคำเห็นปานนั้นเพื่อพาดพิงถึงกามสังโยชน์  ลาผู้นั้น

กระสันขึ้นด้วยคำของนางลานั้นแล้ว

      ฝ่ายกัปปกพาณิช  ขายภัณฑะหมดแล้ว  ไปยังที่ลา

พำนักกล่าวว่า   “มาเถิด  พ่อ  เราจักไป.” 

ลาผู้ตัวนั้นตอบว่า  “ท่านจงไปเถิด,  ข้าพเจ้าจักไม่ไป

      ลำดับนั้น  นายกัปปกะ  อ้อนวอนลานั้นแล้วๆเล่าๆ

คิดว่า  “เราจะยังลานั้นซึ่งไม่ปรารถนาจะไปให้กลัวแล้ว

จักนำไป”  ดังนี้แล้ว  กล่าวคาถานี้ว่า

      “เราจักทำปฏักมีหนามแหลมยาว   ๑๖   นิ้วแก่เจ้า,

      เราจักทิ่มแทงกายของเจ้า,  แน่ะเจ้าลา  เจ้าจงรู้

อย่างนี้.”

      ลาได้ฟังคำนั้นแล้ว  กล่าวต่อไปว่า  “เมื่อเป็นเช่นนั้น,

ข้าพเจ้าก็รู้จักกิจที่ควรทำแก่ท่านบ้าง”  ดังนี้แล้ว  กล่าว

คาถานี้ว่า  “ท่านจักทำปฏักมีหนามแหลมยาว  ๑๖  นิ้ว

แก่ข้าพเจ้า,  ข้าพเจ้าจักยันข้างหน้า  ยกข้างหลังขึ้นแล้ว 

ยังภัณฑะของท่านให้ตกไป,  กัปปกะ  ท่านจงรู้อย่างนี้.”

      พ่อค้าได้ฟังคำนั้น  จึงดำริว่า “ ด้วยเหตุไฉนหนอแล ?

ลานี้จึงกล่าวอย่างนี้กะเรา ” ดังนี้แล้ว  เมื่อแลดูข้างโน้น

ข้างนี้  เห็นนางลานั้นแล้วคิดว่า “ เจ้านี่คงจะถูกนางลา

ตัวนี้  ให้สำเหนียกแล้วอย่างนี้,   เราต้องล่อมันด้วย

มาตุคามว่า  “ข้าจักนำนางลาชื่อมีรูปอย่างนี้มาให้เจ้า.” 

แล้วจักนำไป”  ดังนั้นแล้ว  จึงกล่าวคาถานี้ว่า 

      “  เราจักนำนางลาสาว  มีเท้า    มีหน้าดุจสังข์

มีสรรพางค์กานงาม  มาเป็นภรรยาข้าพเจ้า,  ข้าแต่

กัปปกะ  ท่านจงรู้อย่างนี้  ข้าพเจ้าจักไปให้เร็วขึ้น

ถึง  ๑๔  โยชน์นะ  กัปปกะ.”

      ทีนั้น  นายกัปปกะจึงกล่าวกะลานั้นว่า 

      “ถ้ากระนั้น  เจ้าจงมาเถิด”  ดังนี้แล้ว  ได้จูงไป

สู่ที่ของตน.  ลานั้น  โดยกาลล่วงไปสองสามวัน  จึง

กล่าวกับนายกัปปกะว่า  “ท่านได้พูดกะข้าพเจ้าว่า 

“จักนำภรรยามาให้เจ้า  ดังนี้  มิใช่หรือ

นายกัปปกะตอบว่า  “เออ  เรากล่าวแล้ว, เราจักไม่

ทำลายถ้อยคำของตน,  จักนำภรรยามาให้เจ้า,  แต่

เราจักให้อาหารแก่เจ้าเฉพาะตัวเดียว,  อาหารนั้น

เพียงพอแก่เจ้า  ซึ่งมีตนเป็นที่สองหรือไม่มีก็ตาม

หมายความว่า สองตัวผัวเมีย. 

      ที.  เจ้าพึงรู้ตัวเองเถอะ  แม้ลูกทั้งหลาย  อาศัย

การสังวาสของเจ้าทั้งสองก็จักเกิดขึ้น,  อาหารนั้น

จงเพียงพอแก่เจ้ากับลูกเป็นอันมาก  แม้เหล่านั้น

หรือไม่ก็ตามที,  เจ้าพึงรู้เองเถอะ.” ลาเมื่อนายกัปปกะ

นั้นกล่าวอยู่เช่นนั้น,  ได้เป็นผู้หมดหวังแล้ว.

      พระศาสดา  ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว 

ทรงยังชาดกให้จบลงด้วยพระดำรัสว่า 

      “ภิกษุทั้งหลาย  นางลาในคราวนั้นได้เป็นนาง

ชนบทกัลยาณี,  ลาผู้ได้เป็นนันทะ,  พ่อค้าได้เป็นเราเอง, 

แม้ในกาลก่อน  นันทะนี้  เราก็ได้ล่อด้วยมาตุคามแนะนำ

แล้ว   ด้วยประการอย่างนี้”  ดังนี้แล.

#ธ.อ. ๑/๒/๑/๑๕๕-๑๖๙; ขุ.เถร. ๒/๓/๒/๘๓-๘๙;

ขุ.อ. ๒๕/๖๗-๗๐; อง.อ. ๑/๑/๔๗๙-๔๘๒; อป.อ. ๘/๒/๑๒-๑๗