อานนท์๑,เอตทัคคพระมหาสาวกเลิศทางพหูสูต,เลิศทางผู้มีสติผู้มีความเพียร,ผู้มีคติ,ผู้เป็นอุปัฏฐาก (๑๖,๔)

       พระเถระผู้เป็นพุทธปัฏฐากของพระมหาสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า

ท่านเป็นพระโอรสของพระเจ้า  อมิโตทนศากยราช  พระอนุชาของพระเจ้า

สุทโธทนมหาราช  พระพุทธบิดา(๑)

       ในเรื่องพระบิดาของท่าน  มีหลักฐานแห่งคัดค้านกันอยู่ เช่น 

อรรถกถาอังคุตตรนิกาย  อรรถกถาธรรมบท  และอรรถกถาพุทธวงศ์ 

กล่าวว่า  พระเจ้าอมิโตทนะ  เป็นพระบิดาของพระเจ้ามหานามะ 

และพระอนุรุทธะ(๒)

       ในมหาวัสตุ  และพุทธประวัติของพระมหาสมณเจ้ากรม

พระยาวชิรญาณวโรรส  กล่าวว่าท่านเป็นพระโอรสของพระเจ้าสุกโกทนะ 

ส่วนพระเจ้าอมิโตทนะเป็นพระบิดาของพระเจ้ามหานามะ  และ

พระอนุรุทธะ(๓)

       แต่ในอรรถกถามัชฌิมนิกาย  กล่าวว่า พระเจ้าสุกโกทนะเป็น

พระบิดาของพระเจ้ามหามามะ  และพระอนุรุทธะ(๔)

       จากหลักฐานต่าง ๆ ดังกล่าวแล้ว  ไม่ได้กล่าวว่า  พระมารดาของ

ท่านเป็นใคร  มหาวัสตุแห่งเดียวเท่านั้นที่กล่าวถึงพระมารดาของท่านว่า

ทรงพระนามว่า มฤคี(๕)

       ท่านอรรถกถาจารย์ให้เหตุผลว่า  ที่ท่านมีชื่อว่าอานนท์ก็เพราะว่า

เมื่อท่านประสูติพระญาติทั้งหลายพากันสดชื่นรื่นเริงบันเทิงใจยิ่ง(๖)

       พระอานนท์เป็นพระภาดาของพระพุทธเจ้า  และเป็นสหชาติกับ

พระพุทธองค์ด้วย  ผู้เป็นสหชาติกับพระพุทธเจ้า คือ ๑. พระนางพิมพา

ราหุลมาตา  ๒. ฉันนอมาตย์  ๓. กาฬุทายิอมาตย์  ๔. พระอานนท์

๕. กันถกอัสสราช  ๖. ต้นมหาโพธิ์  ๗. ขุมทรัพย์ ๔ ทิศ(๗)

       เมื่อพระพุทธเจ้าได้ทรงสละราชสมบัติเสด็จออกทรงผนวชและได้

สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว  เสด็จไปโปรดพระพุทธบิดาและพระประยูร

ญาติ    นคร  กบิลพัสดุ์  ในพรรษที่ ๒  ขณะที่พระพุทธองค์ประทับอยู่

ที่พระนครกบิลพัสดุ์นั้น  ได้มีพระญาติหลายองค์ออกทรงผนวชตามเสด็จ

ยังเหลือแต่ศากยกุมารเหล่านี้คือ  พระมหามานะ  พระอนุรุทธะ 

พระภัททิยะ  พระภัคคุ (ยุ. ภคุ)  พระกิมิละ  (ยุ. กิมพิละ)  พระอานนท์

และพระเทวทัตต์  ครั้นพระพุทธองค์ประทับอยู่พอสมควรแก่กาลแล้ว

ก็เสด็จจาริกต่อไปยังที่อื่น

       เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จจากพระนครกบิลพัสดุ์ไปแล้ว  พวกศากยะ

ทั้งหลายได้วิพากษ์วิจารณ์กันว่า  พวกท่านได้ให้โอรสของตน ๆ ซึ่งมอบ

ถวายให้เป็นเพื่อนเล่นของเจ้าชายสิทธัตถะ  ในคราวทำพิธีขนานพระนาม

นั้น  ออกผนวชตามเสด็จได้  แต่ศากยกุมารเหล่านี้ชะรอยจะไม่ใช่เป็น

พระญาติกับพระพุทธเจ้ากระมัง?  จึงไม่ออกผนวชตามเสด็จ  พระ

มหานามะ  ได้สดับคำวิพากษ์วิจารณ์นี้แล้ว  ทรงรู้สึกละอาย  จึงได้ปรึกษา

พระอนุรุทธะ ว่า  ในท่านทั้งสองนั้น  ต้องออกผนวชองค์หนึ่ง  ในที่สุด

แห่งการสนทนา  พระอนุรุทธะ  ยอมออกผนวชตามเสด็จ  จึงไปทูลลา

พระมารดา  แต่พระมาดราไม่ทรงอนุญาต  ท่านได้ทูลอ้อนวอนจนพระ

มารดาทรงอนุญาต  แต่ทรงวางเงื่อนไขไว้ว่า  หากพระเจ้าภัททิยศากยราช

พระสหายของท่านออกผนวชด้วย  พระนางึงจะทรงอนุญาต  พระอนุรุทธะ

ได้พยายามชักชวนพระเจ้าภัททิยะ  จนตกลงพระทัยออกผนวชด้วยกัน

ต่อจากนั้น  ท่านได้ชักชวนศากยกุมารอีก ๕ องค์ มีพระอานนท์ เป็นต้น

รวมทั้งอุบาลี  กัปปกอมาตย์ด้วยเป็น ๗ คน  ได้ตามเสด็จพระพุทธองค์

ไปเพื่อขอบรรพชาอุปสมบท  และได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าที่

อนุปิยอัมพวัน  เขตอนุปิยนิคม  แคว้นมัลละ  พระพุทธองค์ทรงอนุญาต

ให้บรรพชาอุปสมบทตามประสงค์(๘)  พระอุปัชฌายะของท่าน  พระ

อานนท์  ชื่อพระเวลัฏฐสีสเถระ(๙)

       ครั้นอุปสมบทแล้ว  ท่านพระอานนท์ได้ศึกษาธรรมจากสำนักของ

ท่านพระปุณณมันตานีบุตร  ไม่นานก็ได้สำเร็จชั้นโสดาบัน(๑๐)  ในกาล

ต่อมาท่านได้เล่าให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า  ท่านพระปุณณมันตานีบุตร  มี

อุปการคุณต่อท่านและพวกภิกษุผู้นวกะมาก  ท่านพระปุณณมันตานีบุตร

ได้กล่าวสอนท่านว่า  "ดูกรอานนท์  เพราะถือมั่นจึงมีตัณหา  มานะ  ทิฐิ

ว่าเป็นเรา  เพราะไม่ถือมั่น  จึงไม่มีตัณหามานะ  ทิฐิ  ว่าเป็นเรา  เพราะ

ถือมั่น  รูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ  จึงมีตัณหา  มานะ  ทิฐิ

ว่าเป็นเรา  เพราะไม่ถือมั่น  รูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ จึงไม่มี

ตัณหา  มานะ  ทิฐิว่า เป็นเรา  เปรียบเหมือนสตรีหรือบุรุษรุ่นหนุ่มสาว

มีนิสัยชอบแต่งตัวส่องดูเงาของตนที่กระจกหรือที่ภาชนะน้ำอันใสบริสุทธิ์

ผุดผ่อง  เพราะยึดถือจึงเห็น  เพราะไม่ยึดจึงไม่เห็น  ฉันใด  เพราะถือมั่น

รูปเวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ  จึงมีตัณหา  มานะ  ทิฐิ  ว่า  เป็นเรา

เพราะไม่ถือมั่น  รูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ  จึงไม่มีตัณหา

มานะ  ทิฐิว่า  เป็นเรา  ฉันนั้นเหมือนกัน

       จากนั้น  ท่านพระอานนท์เล่าต่อไปว่า  ท่านพระปุณณมันตานีบุตร

ได้ถามท่านว่า  รูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ  เที่ยงหรือไม่เที่ยง

ท่านตอบว่าไม่เที่ยง  และในตอนสุดท้ายของการสอนธรรมครั้งนี้ 

ท่านบอกแก่พระภิกษุทั้งหลายว่าท่านได้ตรัสรู้ธรรมซึ่งหมายถึง

ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน (๑๑)

       เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จประทับอยู่ที่อนุปิยอัมพวัน  แห่งมัลลรัฐ

พอสมควรแก่พระอัธยาศัยแล้วก็ได้เสด็จจาริกต่อไปยังกรุงโกสัมพี  ท่าน

พระอานนท์  และพระภิกษุศากยะรูปอื่น ๆ ที่ผนวชพร้อมกับท่านก็ตาม

เสด็จไปด้วย  ปรากฏว่าประชาชนชาวเมืองโกสัมพี  นิยมนับถือท่านมาก

เช่นเดียวกับพระมหาเถระรูปอื่น ๆ  ซึ่งเป็นเหตุให้พระเทวทัตถ์  เกิดริษยา

เพราะตนเองไม่มีใครถามถึงเลย(๑๒)

       พระอรรถกถาจารย์ได้เล่าไว้ว่า  ในสมัยปฐมโพธิกาลนั้น พระพุทธเจ้า

หาได้มีพระภิกษุผู้อุปัฏฐากเป็นประจำไม่  บางคราวพระนาคสมาละ

(นาคสุมนะ)  เป็นผู้ถือบาตรและจีวรของพระพุทธองค์ในคราวเสด็จจาริก

ไปโปรดสัตว์  บางคราวพระนาคิตะ บางคราวพระอุปวาณะ บางคราวพระ

สุนักขัตตะ  บางคราวสามเณรจุนทะ  บางคราวพระสาคตะ  บางคราว

พระราธะ  บางคราวพระเมฆิยะ  เป็นอยู่อย่างนี้เป็นเวลา ๒๐ พรรษา(๑๓)

       การที่พระผู้มีพระภาคไม่ทรงมีพุทธุปัฏฐากเป็นประจำนี้  ได้ก่อให้

เกิดความลำบากแก่พระองค์มาหลายครั้ง  ดังเช่น  ครั้งหนึ่งพระนาคสมาละ

เป็นผู้อุปัฏฐากพระองค์  ครั้งนั้นพระองค์ได้เสด็จทางไกลไปถึงทาง ๒

แพร่ง  ท่านพระนาคสมาละ  หลีกลงจากทางทูลว่า  ท่านจะไปทางนี้ 

พระองค์ตรัสว่า  พระองค์จะเสด็จไปอีกทางหนึ่ง  ขอให้พระนาคสมาละ

ไปทางเดียวกับพระองค์  แต่ท่านไม่ยอมกราบทูลว่า  ท่านจะไปตามทางของ

ท่าน  ขอให้พระองค์ทรงรับเอาบาตรจีวรของพระองค์ไป  แล้วท่านได้วาง

บาตรและจีวรของพระพุทธเจ้าไว้บนพื้นดิน  เดินจากไปแต่ลำพัง  พระพุทธ

เจ้าจึงจำต้องถือบาตรและจีวรเสด็จไปแต่ลำพังพระองค์เดียว(๑๔)

       อีกครั้งหนึ่ง  พรเมฆิยะเป็นอุปัฏฐาก  ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคได้

เสด็จจาริกไปยังชันตุคาม  เขตปาจีนวังสะกับพระเมฆิยะ  ครั้นพระองค์

เสด็จไปถึงที่นั้นแล้ว  ท่านพระเมฆิยะ  ได้เข้าไปบิณฑบาตในชันตุคาม  ได้

เห็นสวนมะม่วงอันร่มรื่นน่ารื่นรมย์แห่งหนึ่งริมฝั่งแม่น้ำ  ท่านต้องการจะไป

พักผ่อนในสวนนั้น  จึงได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงรับบาตรและจีวร

ของพระองค์ไปและทูลว่าท่านจะไปทำสมณธรรมที่สวนมะม่วงนั้น 

พระพุทธองค์ตรัสห้ามไว้ถึง ๓ ครั้ง  เพราะมีมีพระภิกษุอื่นเลยในที่นั้น 

ทรงขอให้ท่านรอไปก่อนจนกว่าจะมีพระภิกษุรูปอื่นมาแทน  แต่ท่านก็ไม่

ยอม  ได้ละทิ้งพระองค์ไว้แต่ลำพังพระองค์เดียว(๑๕)

       ด้วยเหตุนี้ในพรรษาที่ ๒๐ แต่ตรัสรู้  สมัยที่พระทับอยู่ ณ  พระเชต-

วันมหาวิหาร  กรุงสาวัตถี  พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับพระภิกษุทั้งปวงในที่

นั้นว่า  พระองค์ทรงพระชราแล้ว  ภิกษุบางรูปทอดทิ้งพระองค์ไปตามทางที่

ตนปรารถนา  บางรูปวางบาตรจีวรของพระองค์ไว้บนพื้นดินแล้วเดินจากไป

เสีย  จึงขอให้พระสงฆ์เลือกพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งขึ้นเป็นพุทธุปัฏฐาก

ประจำ

       พระภิกษุทั้งหลายได้ฟังพระดำรัสนั้นแล้ว  ต่างรู้สึกสังเวชสลดใจไป

ตาม ๆ กัน  ทันใดนั้นเอง  ท่านพระสารีบุตร  ได้ลุกขึ้นอภิวาทพระผู้มีพระ

ภาคแล้วทูลขอรับอาสาเป็นพุทธุปัฏฐากประจำแต่พระองค์ทรงห้ามไว้ว่า

"อย่าเลยสารีบุตร"  เธออยู่    ทิศใด  ทิศนั้นไม่สูญเปล่า  โอวาทของเธอ

เหมือนกับโอวาทของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย  เธออย่าทำกิจอุปัฏฐากแก่เรา

เลย"(๑๖)

       ต่อจากนั้น  อสีติมหาสาวกทั้งหลาย  มีท่านพระมหาโมคคัลลานะ

เป็นต้น  ได้ลุกขึ้นอภิวาทแล้วทูลขอรับอาสาเป็นพุทธุปัฏฐากเช่นเดียวกับ

ท่านพระสารีบุตร  แต่พระองค์ทรงห้ามไว้ทั้งหมด  ส่นวท่านพระอานนท์ยัง

ตงนั่งนิ่งเฉย  มิได้ทูลขอรับอาสาอย่างพระมหาสาวกทั้งหลาย  พวกภิกษุจึง

ได้ตักเตือนให้ท่านทูลขอตำแหน่งพุทธุปัฏฐากนั้นบ้าง  ท่านจึงกล่าวกับ

พระภิกษุทั้งหลายว่า  "ท่านผู้เจริญทั้งหลาย  อันตำแหน่งที่ขอได้มานั้นจะมี

ความหมายอะไรเล่า  พระบรมศาสดาไม่ทรงเห็นกระผมกระนั้นหรือ?

ก็หากพระองค์ทรงพอพระทัยในตัวกระผมแล้วไซร้  พระองค์ก็คงตรัสเอง

ว่า  อานนท์เธอจงอุปัฏฐากเราเถิด"

       พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกับพระภิกษุทั้งหลายว่า  ไม่มีผู้ใดจะ

สามารถให้ท่านพระอานนท์เกิดความอุตสาหะขึ้นมาได้เลย  แต่เมื่อท่าน

พระอานนท์รู้แล้ว  ท่านจักอุปัฏฐากพระองค์เอง

       เมื่อพระภิกษุทั้งหลายได้ยินพระดำรัสนั้น  ก็ทราบทันทีว่า  พระองค์

ทรงประสงค์ให้ท่านพระอานนท์เป็นพุทธุปัฏฐาก  จึงได้พูดตักเตือนให้ท่าน

ทูลขอตำแหน่งพุทธุปัฏฐากจากพระองค์

       ดังนั้น  ท่านพระอานนท์จึงได้ทูลขอพร ๘ ประการ  หากพระองค์

ทรงประทานพร ๘ ประการนี้  ท่านจึงจะรับตำแหน่งพุทธุปัฏฐาก

ท่านทูลขอพร ว่า

       ๑. ถ้าจักไม่ประทานจีวรอันประณีตที่พระองค์ได้แล้วแก่ข้าพระองค์

       ๒. ถ้าจักไม่ประทานบิณฑบาตอันประณีตที่พระองค์ได้แล้วแก่

ข้าพระองค์

       ๓. ถ้าจักไม่โปรดให้ข้าพระองค์อยู่ในที่ประทับของพระองค์

       ๔. ถ้าจักไม่ทรงพาข้าพระองค์ไปในที่ที่ทรงรับนิมนต์ไว้

       ๕. ถ้าพระองค์จักไปสู่ที่นิมนต์ที่ข้าพระองค์รับไว้

       ๖. ถ้าข้าพระองค์จะพาบริษัทซึ่งมาแต่ที่ไกลเพื่อเฝ้าพระองค์ได้ใน

ขณะที่มาแล้ว

       ๗. ถ้าความสงสัยของข้าพระองค์เกิดขึ้นเมื่อใด  ขอให้ได้เข้าเฝ้า

ทูลถามเมื่อนั้น

       ๘. ถ้าพระองค์ทรงแสดงธรรมเทศนาอันใดในที่ลับหลังข้าพระองค์

จักเสด็จมาตรัสบอกพระธรรมเทศนานั้นแก่ข้าพระองค์อีก

       เมื่อข้าพระองค์ได้รับพร ๘ ประการนี้  แหละจึงจักเป็นพุทธุปัฏฐาก

ของพระองค์

       พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามถึงโทษและอานิสงส์ที่ทูลขอพร ๘

ประการนี้ ท่านได้กราบทูลว่า  ถ้าท่านไม่ทูลขอพรข้อ ๑-๔  ก็จักมีคนพูด

ได้ว่า  ท่านรับตำแหน่งพุทธุปัฏฐาก  เพื่อหวังลาภสักการะอย่างนั้น ๆ  เพื่อ

ป้องกันปรวาทะอย่างนั้น  ท่านจึงได้ทูลขอพร ๔ ข้อนี้  ถ้าท่านไม่ทูลขอพร

ข้อ ๕-๗  ก็จักมีคนพูดได้ว่า  พระอานนท์บำรุงพระศาสดาไปทำไม  เพราะ

กิจเท่านี้พระองค์ก็ยังไม่ทรงสงเคราะห์เสียแล้ว  และหากท่านไม่ทูลขอพร

ข้อ ๘ เมื่อมีคนมาถามท่านลับหลัง  พระพุทธองค์ว่า  คาถานี้ สูตรนี้ 

ชาดกนี้  พระผู้มีพระภาคตรัสที่ไหน?  ถ้าท่านตอบเขาไม่ได้  เขาก็จะพูด

ได้ว่า  พระอานนท์เฝ้าติดตามพระผู้มีพระภาคเหมือนเงาตามตัวอยู่เป็น

เวลานาน  ทำไมเรื่องเท่านี้ยังไม่รู้?

       ครั้นท่านได้ทูลชี้แจงแสดงโทษในข้อที่ไม่ควรได้  และอานิสงส์ในข้อ

ที่ควรได้อย่างนี้แล้ว  พระผู้มีพระภาคจึงทรงประทานพรตามที่ทูลขอทุก

ประการ  ท่านพระอานนท์จึงได้รับตำแหน่งพุทธุปัฏฐาก(๑๗) และได้

อุปัฏฐากพระพุทธองค์ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาจนถึงวันเสด็จดับขันธ

ปรินิพพานของพระผู้มีพระภาค  เป็นเวลา ๒๕ พรรษา(๑๘)

       ความจริง  ท่านพระอานนท์ได้บำเพ็ญบารมีเพื่อให้ได้ตำแหน่งนี้มา

เป็นเวลาตั้งแสนกัป คือ  เริ่มตั้งแต่ศาสนาของพระปทุมุตตร  สัมมา

สัมพุทธเจ้า  ในชาตินั้น  ท่านได้เกิดในพระนครหงสวดี  เป็นโอรสของ

พระเจ้านันทราช (อานันทราช) และพระนางสุเมธาเทวี (สุชาดา) ผู้ครอง

นครหงสวดี  สมัยนั้นท่านมีนามว่า  สุมน  กุมารเป็นพระกนิษฐภาดาของ

พระปทุมุตตร พุทธเจ้า  ครั้นเจริญวัยขึ้น  พระบิดาทรงมอบหมายให้

ปกครองโภคคาม  ซึ่งตั้งอยู่ห่างไกลออกไปจากนครหงสวดี ๑๒๐ โยชน์

พระกุมารได้เสด็จกลับไปยังนครหงสวดี  เพื่อเฝ้าพระบิดาและพระพุทธเจ้า

บ้างเป็นบางคราว

       ครั้งหนึ่งมีกบฏเกิดขึ้นที่ปัจจันตชนบท  พระกุมารทรงปราบปรามได้

โดยราบคาบ  เมื่อความทราบไปถึงพระบิดา  ก็ทำให้พระองค์ทรงพอ

พระทัยมาก  รับสั่งให้เรียกพระกุมารไปยังนครหวสวดี  ทันทีเมื่อพระกุมาร

เสด็จไปเฝ้าพระบิดาทรงประคองกอดแล้วรับสั่งให้ขอพรตามที่ต้องการ

แทนที่พระกุมารจะทูลขอช้าง  ม้า  ชนบท  หรือรัตนะ    ประการ  ตามที่

พวกอำมาตย์ทูลแนะ  พระกุมารกลับทูลขอโอกาสอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าเป็น

เวลา ๓ เดือน พระบิดารับสั่งให้ขออย่างอื่น  เพราะการอุปัฏฐากพระ

พุทธเจ้าเป็นหน้าที่ของพระองค์แต่ผู้เดียว  ไม่เคยทรงอนุญาตให้ใคร  แต่

พระกุมารทูลยืนยันจะได้รับพรอย่างเดิม  หากไม่พระราชทานพรอันนั้น  

ก็ไม่ทูลขออย่างอื่น  และทูลว่า  ธรรมดาพระดำรัสของพระมหากษัตริย์

ย่อมไม่เป็น    เมื่อพระบิดาได้สดับดังนั้น  ก็ทรงจำนนด้วยเหตุผล  แต่

ตรัสบ่ายเบี่ยงว่า  "ธรรมดาน้ำพระทัยของพระพุทธเจ้ารู้ได้ยาก  แม้พ่อจะ

อนุญาตแล้วก็ตาม  หากพระพุทธองค์ไม่ทรงปรารถนา  ก็ไม่รู้จักทำอย่างไร

ได้"  พระกุมารทูลรับว่าพระองค์จักรู้น้ำพระทัยของพระผู้มีพระภาคเอง

ทูลแล้วได้เสด็จไปสู่พระวิหาร  แต่ขณะนั้นพระผู้มีพระภาคกำลังประทับอยู่

ในพระคันธกุฏี  ดังนั้นพระกุมารจึงเสด็จไปหาพระภิกษุสงฆ์ที่กำลังนั่ง

ประชุมกันอยู่ที่โรงกลม  ทรงแจ้งพระประสงค์จะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า

พระภิกษุสงฆ์ทูลแนะนำให้เสด็จไปหาพระสุมนเถระ  ผู้เป็นพุทธุปัฏฐาก

เมื่อพระกุมารเสด็จเข้าไปหาพระเถระและทรงแจ้งพระประสงค์ของพระองค์

ถวายพระสุมนเถระแล้ว  พระเถระเข้าฌานมีอาโปกสิณเป็นอารมณ์แล้ว

แทรกแผ่นดินเข้าไปสู่พระคันธกุฏีกราบทูลพระพุทธองค์ว่า  พระราชกุมาร

มาเฝ้า  พระพุทธองค์ตรัสใช้ให้พระสุมนเถระออกไปปูอาสนะภายนอกพระ

ัคันธกุฏี  พระเถระจึงแทรกแผ่นดินนำพุทธอาสน์ออกไปปูลาดภายนอก

พระคันธกุฏี  พระกุมารได้ทอดพระเนตรเห็นพระเถระดำดินเข้าออก

เช่นนั้น  ก็ทรงเห็นเป็นอัศจรรย์  ทรงคิดว่าพระรูปนี้ใหญ่ยิ่งจริงหนอ

เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จออกจากพระคันธกุฏีประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์แล้ว

พระกุมารถวายนมัสการกราบทูลถามว่า  พระภิกษุรูปนี้เห็นจะเป็นภิกษุที่

พระองค์ทรงโปรดปรานมากกระมัง?  พระพุทธองค์ตรัสตอบรับว่าเป็น

อย่างนั้น  พระกุมารทูลถามต่อไปว่า  พระภิกษุรูปนี้ได้ทำกรรมอะไรไว้

จึงได้มาเป็นภิกษุที่โปรดปรานอย่างนี้  พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่าภิกษุ

รูปนี้ได้ทำบุญให้ทานไว้มาก  พระกุมารจึงกราบทูลว่าท่านเองก็ปรารถนา

จะได้รับตำแหน่งภิกษุที่พระพุทธเจ้าทรงโปรดปรานอย่างนั้นบ้างในอนาคต

กาล  แล้วได้ถวายขันธวารภัตสิ้น ๗ วัน ในวันที่ ๗ ได้กราบทูลเล่าเรื่องที่

พระเจ้านันทราช  พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ท่านปฏิบัติรัชใช้

พระพุทธองค์ได้ ๓ เดือน และกราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้เสด็จไป

ประทับจำพรรษา    โภคคาม  กับท่านเป็นเวลา    เดือน  เมื่อทรง

ทราบว่าพระพุทธองค์ทรงรับแล้ว  จึงกราบทูลว่าท่านเองจะเสด็จไปก่อน

เพื่อสร้างพระวิหารเตรียมรับเสด็จ  เมื่อสร้างเสร็จแล้ว  ท่านจะส่งสาส์น

มาถวาย  แล้วให้พระพุทธองค์เสด็จไปพร้อมกับพระภิกษุหนึ่งแสนรูป

เมื่อได้กราบทูลนัดแนะเสร็จแล้วก็ทูลลากลับเข้าสู่พระราชวัง  กราบทูล

พระบิดาว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับนิมนต์แล้ว  เมื่อท่านส่งสาส์นมา

ก็ขอให้พระบิดาช่วยกราบทูลเชิญเสด็จด้วย  พระเจ้านันทราชทรงรับรอง

อย่างดี  ครั้นแล้วพระกุมารก็กราบลาพระบิดาเสร็จไปยังโภคคาม  ให้สร้าง

วิหารไว้ในระหว่างทางห่างกัน    โยชน์  ต่อหลัง  สิ้นระยะทาง ๑๒๐ โยชน์

เป็นวิหาร ๑๒๐ หลังเพื่อให้พระผู้มีพระภาคทรงพักอาศัยในคราวเสด็จไปสู่

โภคคาม  และเมื่อพระกุมารเสด็จไปถึงโภคคามแล้ว  ก็ได้ทรงแสวงหา

สถานที่ที่จะสร้างวิหาร  ทรงเห็นอุทยานของโสภนกุฏุมพีจึงทรงขอซื้อด้วย

เงินหนึ่งแสน  ต่อจากนั้นทรงสร้างพระคันธกุฏีสำหรับพระพุทธเจ้า  สร้าง

ที่พักกลางวันที่พักกลางคืน  สำหรับพระภิกษุสงฆ์  สร้างลานกุฏิ  กำแพง

ประตู  และซุ้มประตู  เมื่อทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จแล้ว  จึงได้ส่ง

สาส์นไปทูลพระบิดาให้อาราธนา  พระพุทธเจ้าเสด็จไปยังโภคคามได้

       พระเจ้านันทราชได้ทรงอังคาสพระพุทธเจ้าแล้วกราบทูลให้เสด็จ

ไปยังโภคคาม  ตามที่พระกุมารทูลนิมนต์ไว้  พระพุทธเจ้าพร้อมด้วย

พระภิกษุสงฆ์หนึ่งแสนรูปเสด็จไปยังโภคคาม  และทรงพักตามวิหารราย

ทางต่าง ๆ  จนถึงโภคคาม  พระกุมารได้เสด็จออกไปถวายการต้อนรับ

เป็นระยะทาง ๑ โยชน์  ทรงบูชาด้วยดอกไม้ของหอมหลายอย่างและนำ

เสด็จเข้าสู่โสภนวิหาร  กราบทูลถวายพระวิหารนั้นเป็นพุทธบูชา

       ครั้นต่อมาเวลาใกล้วันเข้าพรรษา  พระกุมารได้ถวายมหาทานและ

ได้ทรงชักชวนพระโอรสพระชายา  และพวกอมาตย์ให้ถวายทานอย่าง

พระองค์บ้าง  ตลอดเวลา ๓ เดือน  พระกุมารได้ทรงอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า

อยู่เป็นประจำ  และได้เสด็จไปหาท่านพระสุมนเถระเสมอ ๆ  ครั้นออก

พรรษาปวารณาแล้ว  จึงเสด็จกลับสู่พระราชนิเวศน์และได้ถวายมหาทานอีก

๗ วัน  ในวันที่ ๗ ได้ถวายจีวรแก่พระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์แล้วทรงตั้ง

มโนปณิธานว่า  ด้วยเดชะกุศลกรรมที่ได้ทรงสร้างมาทั้งหมดนี้  ขอให้

พระองค์ได้เป็นพุทธุปัฏฐากของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคตกาล

อย่างเช่นพระสุมนเถระนั้นเถิด  พระปทุมุตตร พุทธเจ้าทรงพยากรณ์แล้ว

เสด็จออกเดินทางไปโปรดสัตว์ ณ ที่อื่นต่อไป

       ในศาสนาของพระปทุมุตตร พุทธเจ้านี้  ท่านพระอานนท์ได้เคยถวาย

ทาน  เป็นเวลาหนึ่งแสนปี  ครั้นจุติจากชาตินั้นได้ไปเกิดในสวรรค์  จุติจาก

สวรรค์ลงมาเกิดในมนุษยโลก  ในศาสนาของพระกัสสปพุทธเจ้า  ก็ได้ถวาย

จีวรทำการบูชาพระเถระผู้เที่ยวบิณฑบาตรูปหนึ่ง  ครั้นจุติจากชาตินั้นก็ได้

ไปเกิดในสวรรค์อีก  และเมื่อจุติจากสวรรค์ได้ลงมาเกิดเป็นพระเจ้า

พาราณสีได้ถวายมหาทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ องค์  พระทรงสร้าง

บรรณศาลา ๘  หลังในมงคลอุทยานของพระองค์  ถวายให้เป็นที่ประทับ

ของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง ๘ องค์  นอกจากนั้นยังได้สร้างตั่ง ๘ ตัวทำด้วย

รัตนะล้วนทุกชนิด  สร้างเตียง ๔ ตัวทำด้วยแก้วมณี  และที่รองรับเท้า ๘

ที่  ทำด้วยพระปัจเจก  พุทธเจ้าประทับนั่งในคราวเสด็จมา  พระองค์ได้ทรง

อุปัฏฐากพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นเวลาหมื่นปี

       ท่านพระอานนท์ได้เคยทำบุญให้ทาน อยู่เป็นเวลา ๑ แสนกัป  ใน

ชาติก่อนที่จะลงมาเกิดในชาตินี้  ได้เคยไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตร่วมกับ

พระพุทธเจ้าของเราครั้งเป็นพระโพธิสัตว์อยู่  ครั้นจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตก็

ได้มาเกิดในศากยตระกูล  ดังกล่าวแล้ว(๑๙)

       นี่แสดงให้เห็นว่า  ท่านพระอานนท์ได้รับตำแหน่งที่ตนปรารถนา

สำเร็จแล้ว  และเมื่อได้รับตำแหน่งแล้ว  ท่านก็ได้อุปัฏฐากพระผู้มีพระ

ภาคเจ้าด้วยดี  กิจที่ท่านทำเป็นประจำแก่พระพุทธเจ้าคือ

       ๑. ถวายน้ำ ๒ อย่าง  คือน้ำเย็นและน้ำร้อน

       ๒. ถวานไม้สีฟัน  ๓ ขนาด

       ๓. นวดพระหัตถ์และพระบาท

       ๔. นวดพระปฤษฏางค์

       ๕. ปัดกวาดพระคันธกุฏี  และบริเวณพระคันธกุฏีในตอนกลางคืน

ท่านกำหนดเวลาได้ว่า  เวลานี้พระพุทธองค์ทรงต้องการอย่างนั้นอย่างนี้

แล้วเข้าเฝ้า  เมื่อเฝ้าเสร็จก็ออกมาอยู่ยาม ณ ภายนอกพระคันธกุฏี

ในคืนหนึ่ง ๆ  ท่านถือประทีปด้ามใหญ่เวียนรอบบริเวณพระคันธกุฏี

ถึง ๘ ครั้ง ท่านคิดว่าหากท่านง่วงนอน  เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสเรียกท่าน

จะไม่สามารถขานรับได้  ฉะนั้น  จึงไม่ยอมวางประทีปตลอดทั้งคืน(๒๐)

       ท่านพระพุทธโฆษจารย์ได้กล่าวยกย่องท่านพระอานนท์ไว้ว่า

ท่านขยันในการอุปัฏฐากมาก ในบรรดาพระภิกษุผู้เคยอุปัฏฐากพระพุทธ

เจ้ามาแล้ว  ไม่มีใครทำได้เหมือนท่าน  เพราะพระภิกษุเหล่านั้นไม่รู้

พระทัยของพระพุทธองค์ดี  จึงอุปัฏฐากได้นาน(๒๑)  ด้วยเหตุนี้

ในคราวที่พระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพานพระองค์ได้ตรัสกับ

ท่านว่า  "อานนท์ เธอได้อุปัฏฐากตถาคตด้วยกายธรรม วจีกรรม

มโนกรรม  อันประกอบด้วยเมตตา  ซึ่งเป็นประโยชน์เกื้อกูล  เป็น

ความสุข  ไม่มีสอง หากประมาณมิได้มาช้านานแล้ว  เธอได้ทำบุญไว้

มากแล้วอานนท์  เธอจงประกอบความเพียรเถิด จักเป็นผู้ไม่มีอาสวะ

โดยฉับพลัน"

       แล้วตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย  พระอรหันต

สัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่าใด  ที่มีมาแล้วในอดีตกาล

ภิกษุผู้เป็นอุปัฏฐากของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้นอย่างยิ่ง

ก็เหมือนกับอานนท์ของเราเท่านั้น  พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง

หลายเหล่าใดที่จักมีอนาคตกาล ภิกษุผู้เป็นอุปัฏฐากของพระอรหันต

สัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้นอย่างยิ่งก็เพียงอานนท์ของเราเท่านั้น  อานนท์

เป็นบัณฑิตย่อมรู้ว่า  นี่เป็นกาลเพื่อจะเข้าเฝ้าพระตถาคตนี่เป็นกาลของ

พวกภิกษุ  นี่เป็นกาลของพวกภิกษุณี  นี่เป็นกาลของพวกอุบาสก  นี่เป็น

กาลของพวกอุบาสิกา  นี่เป็นกาลของพระราชา  นี่เป็นกาลของพวกอำมาตย์

ราชเสวก  นี่เป็นกาลของพวกเดียรถีย์  นี่เป็นกาลของพวกสาวกของพวก

เดียรถีย์(๒๒)

       นอกจากท่านพระอานนท์จะขยันในการอุปัฏฐากแล้ว  ท่านพระพุทธ

โฆษาจารย์ยังกล่าวไว้ว่า  ท่านพระอานนท์เป็นผู้ขยันในการศึกษาเล่าเรียน

ขยันในการท่อง  ขยันในการจำ  ขยันในการทรงไว้อีกด้วย(๒๓)

       ในเรื่องการทรงจำนั้น  ท่านพระพุทธโฆษาจารย์ได้เล่าไว้ว่า  ท่าน

พระอานนท์มีปัญญา  มีความจำดี  ท่านได้ฟังครั้นเดียว  ไม่ต้องถามอีกก็

สามารถจำได้เป็นจำนวนตั้ง ๖๐,๐๐๐ บาท ๑๕,๐๐๐ คาถา  โดยไม่เลอะ

เลือน  ไม่คลาดเคลื่อน  เหมือนบุคคลเอาเถาวัลย์มัดดอกไม้ถือไป

เหมือนจารึกอักษรลงบนแผ่นศิลา  เหมือนน้ำมันใสของราชสีห์ที่บุคคล

ใส่ไว้ในหม้อทองคำ  ฉะนั้น(๒๔)

       ด้วยเหตุที่ท่านขยันเรียน  และมีความจำดีนี่เอง  ท่านจึงได้รับยกย่อง

ว่าเป็นพหูสูต  เป็นธรรมภัณฑาคาริก  ทรงจำพระพุทธพจน์ได้ถึง ๘๔,๐๐๐

พระธรรมขันธ์  คือท่านเรียกจากพระพุทธองค์ ๘๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์

และเรียนจากเพื่อนสหธรรมมิกอีก ๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์(๒๕)  แม้ท่าน

จะเป็นเพียงพระโสดาบันก็ตาม  แต่ท่านก็มีปัญญาแตกฉานใน

ปฏิสัมภิทา(๒๖) มีความรู้เชี่ยวชาญในเรื่องปฏิจจสมุปบาท(๒๗)  จึง

สามารถสั่งสอนศิษย์ได้มากมาย  ศิษย์ของท่านส่วนมากก็เป็นพหูสูตเช่น

เดียวกับท่าน(๒๘)  ว่ากันว่า  ท่านพูดได้เร็วกว่าคนธรรมดา ๘ เท่า  คือ

คนเราพูด ๑ คำ  ท่านพูดได้ ๘ คำ(๒๙)

       ท่านพระพุทธโฆษาจารย์ได้พรรณนาคุณของท่านพระอานนท์ไว้

อีกอย่างหนึ่งว่า  ท่านมีรูปงาม  น่าเลื่อมใส  น่าทัศนายิ่งนัก  ยิ่งเป็นพหูสูต

ด้วย  ก็ยิ่งทำให้สังฆมณฑลนี้งดงามยิ่งขึ้น  ด้วยเหตุนี้จึงมีบริษัททั้ง ๔ นิยม

ไปหาท่านกันมาก(๓๐)  ข้อนี้สมจริงดังพระดำรัสที่ตรัสยกย่องท่านว่า 

ท่านมีอัพภูตธรรม  คือคุณอันน่าอัศจรรย์    ประการ  คือ  ถ้าภิกษุบริษัท

ภิกษุณีบริษัท อุบาสกบริษัท  และอุบาสิกาบริษัทเข้าไปหาท่าน  พอได้เห็น

รูปเท่านั้นก็มีความยินดี  พอได้ฟังธรรมเทศนาของท่านก็ยิ่งมีความยินดี

แม้เมื่อท่านแสดงธรรมจบลงแล้ว  ก็ยังฟังไม่อิ่ม  แล้วทรงเปรียบเทียบท่าน

ซึ่งมีคุณอันน่าอัศจรรย์นี้กับพระเจ้าจักรพรรดิ  คือว่า  พระเจ้าจักรพรรดินั้น

เมื่อขัตติยบริษัทพราหมณบริษัท  คฤหบดีบริษัท  และสมณบริษัทเข้าเฝ้า

พอได้เห็นก็มีความยินดี  ครั้นได้ฟังพระดำรัส  ก็ยิ่งมีความยินดี  แม้ตรัส

จบแล้วก็ยังไม่อิ่ม(๓๑)

       ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงได้รับเอตทัคคะว่า  เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายถึง ๕

อย่าง  คือ  ๑. เป็นผู้มีพหูสูต  ๒. เป็นผู้มีสติ  ๓. เป็นผู้มีคติ 

๔. เป็นผู้มีความเพียร  ๕. เป็นอัคคุปัฏฐาก(๓๒)

       เกียรติคุณอีกอย่างหนึ่งที่ท่านได้รับยกย่องจากพระพุทธองค์ คือ มี

ฝีมือทางช่าง สาเหตุที่ทรงชมเชย มีว่าครั้งหนึ่ง  พระพุทธองค์เสด็จจาก

นครราชคฤห์ไปสู่ทักษิณาคิรีชนบท  ได้ทอดพระเนตรเห็นคันนาของชาว

มคธเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีคันนาสั้น ๆ คั่นในระหว่าง  แล้วตรัสถามท่าน

พระอานนท์ว่า  จะเย็บจีวรอย่างนั้นได้ไหม?  ท่านทูลรับว่า   เย็บได้  และ

ต่อมาท่านเย็บจีวรให้พระหลายรูปแล้วนำไปถวายให้ทอดพระเนตร  พระ

พุทธองค์ทอดพระเนตรแล้วตรัสชมเชยในท่ามกลางสงฆ์ว่า

       "ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานนท์เป็นคนฉลาด เป็นเจ้าปัญญา ซาบซึ้ง

ถึงเนื้อความแห่งถ้อยคำ  ที่เรากล่าวโดยย่อให้พิสดารได้  ทำผ้ากุสิก็ได้ 

ทำผ้าอัฑฒกุสิ  ผ้ามณฑล  ผ้าอัฑฒมณฑล  ผ้าวิวัฏฏะ  ผ้าอนุวิวัฏฏะ 

ผ้าคีเวยยกะ  ผ้าชังเฆยยกะ  และผ้าพาหันตะก็ได้"(๓๓)

       นอกจากหน้าที่อุปัฏฐากประจำองค์อย่างใกล้ชิดแล้ว  ท่านพระ

อานนท์  ยังปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ อีกหลายอย่าง  เป็นต้นว่า  งานรับสั่ง  เช่น

พระพุทธองค์รับสั่งให้ท่านไปประกาศคว่ำบาตรแก่วัฑฒลิจฉวี  เพราะเหตุที่

วัฑฒลิจฉวีได้สมรู้ร่วมคิดกับพระเมตติยะ  และพระภุมมชกะ  กล่าวใสร้าย

ท่านพระทัพพมัลลบุตร ว่า  เสพเมถุนธรรมกับชายาของท่าน(๓๔)  รับสั่ง

ให้ท่านนำนางยักษิณีเข้าเฝ้า  เพื่อระงับการจองเวรจองผลาญกันและ

กัน(๓๕) รับสั่งให้ท่านเรียกพระภิกษุสงฆ์ที่นครเวสาลีเข้าประชุมเพื่อฟัง

อานาปานสติ(๓๖)  รับสั่งให้ท่านแจ้งข่าวแก่พวกมัลลกษัตริย์  กรุงกุสินารา

ว่า  พระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพานที่ป่าไม้สาละ    ราตรี

นั้น(๓๗)  เป็นต้น  และงานมอบหมาย  เช่น  ครั้งหนึ่งพระเจ้าปเสน

ทิโกศล  ทรงเลื่อมใสศรัทธา  ทรงพระประสงค์จะถวายนิตยภัตรแก่

พระพุทธองค์และพระภิกษุสงฆ์เป็นประจำทุกวัน  พระพุทธองค์ตรัสว่า 

พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่รับนิตยภัตรประจำในที่แห่งเดียว  เพราะมีคน

จำนวนมากต้องการจะทำบุญกับพระพุทธเจ้า  จึงหวังจะให้เสด็จไปหาตน

กันทั้งนั้น เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงทราบดังนั้น จึงทูลขอพระภิกษุ ๑ รูป

ให้ไปรับนิตยภัตรของพระองค์  พระผู้มีพระภาค  จึงทรงมอบภาระหนี้ให้

้แก่ท่านพระอานนท์  เมื่อได้รับมอบหมายแล้ว  ท่านก็ไปรับเป็นประจำ  แม้

ว่าในตอนหลัง ๆ  พระเจ้าปเสนทิโกศล  จะทรงลืมสั่งให้คนจัดนิตยภัตร

ถวายไปบ้าง  แต่ท่านก็ยังไปอยู่เป็นประจำ(๓๘)  อีกครั้งหนึ่ง  พระเจ้า

ปเสนทิโกศล  ทรงพระประสงค์จะให้พระนางมัลลิกาเทวี  และพระนาง

วาสภขัตติยา  พระมเหสีของพระองค์ได้ศึกษาธรรม  จึงทูลนิมนต์ให้

พระพุทธองค์กับภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป ไปสอนธรรมแก่พระมเหสีทั้งสอง

พระพุทธองค์ตรัสบอกข้อขัดข้องดังกล่าวแล้วข้างต้น  พระเจ้าปเสนทิโกศล

จึงทูลขอให้พระพุทธองค์ทรงมอบหมายให้ภิกษุรูปอื่นไปแทน  พระพุทธ

องค์ก็มอบหมายให้ท่านพระอานนท์รับภาระหนี้  และท่านก็ทำได้ดีเช่น

เดียวกัน(๓๙)  และในตอนที่จะเสด็จปรินิพพาน  ได้ทรงมอบหมายให้

ท่านลงพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนะ  เมื่อพระองค์นิพพานไปแล้วในฐาน

หัวดื้อไม่ยอมเชื่อฟังคำตักเตือนของพระอัครสาวก  และเมื่อพระพุทธองค์

ปรินิพพานแล้วท่านก็ได้ไปลงพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนะ สำเร็จตามที่ทรง

มอบหมายไว้(๔๐)

       โดยส่วนตัวแล้ว  ท่านพระอานนท์  รักพระพุทธองค์มาก แม้ชีวิต

ของท่านก็ยอมสละเพื่อพระพุทธองค์ได้  ดังมีเรื่องเล่าว่า

       ครั้งหนึ่ง  พระเทวทัตต์  ปล่อยช้างนาราคิรี  เพื่อให้ปลงพระชนม์

พระพุทธองค์  พอช้างวิ่งมาใกล้พระพุทธองค์  ท่านได้เดินออกหน้าเพื่อ

ให้ช้างแทงท่านแทน  แต่พระองค์ทรงห้ามไว้(๔๑)

       ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ประชวรด้วยโรคลมในพระอุทร  ท่านคิดว่า

หากพระพุทธองค์ได้เสวยยาคู  ก็คงจะหายดังเช่นครั้งก่อน ๆ ท่านจึงขอ

เครื่องปรุงยาคู  มาปรุงเอง  แล้วนำไปถวายให้เสวย  พระพุทธองค์ทรง

ทราบว่าท่านปรุงเอง  จึงติเตียนว่า  ท่านทำการไม่ควรไม่เหมาะสม  มิใช่

กิจสมณะ  ใช้ไม่ได้  ทำไมจึงพอใจมักมากเช่นนั้น  อามิส  ที่เก็บไว้ภายใน

ที่อยู่เป็นอกัปปิยะ  แม้หุงต้มในที่อยู่ก็เป็นอกัปปิยะ(๔๒)

       ครั้งหนึ่ง  พระกายของพระผู้มีพระภาค  หมักหมนด้วยสิ่งที่เป็นโทษ

พระผู้มีพระภาคจึงตรัสบอกเรื่องนี้แก่ท่าน  แล้วตรัสว่าทรงประสงค์จะ

เสวยยาระบาย  ท่านจึงเข้าไปหาหมอ  ชีวกโกมารภัจ  บอกพระอาการ

ดังกล่าวให้ฟัง  แล้วขอให้ปรุงยาระบายถวาย  หมอชีวกแนะนำให้ทำ

พระกายของพระพุทธองค์ให้ชุ่มชื่นสัก ๒-๓ วัน  ท่านก็ได้ปฏิบัติตามนั้น

แล้วไปแจ้งให้หมอชีวกทราบอีก  หมอชีวกจึงได้ปรุงยาระบายพิเศษ  อบ

ด้วยก้านอุบล ๓ ก้าน  ใช้ดมไม่ใช่ใช้กินอย่างยาระบายอื่น ๆ  เมื่อพระ

พุทธองค์ทรงสูดดมทั้ง ๓ ก้าน  ก็ทรงระบายถึง ๓๐ ครั้ง(๔๓)

       ในคราวที่พระผู้มีพระภาคประชวรหนักที่นครเวสาลี และทรงใช้

ความเพียรขับไล่อาพาธนั้นไปได้  ครั้งนั้น  ท่านพระอานนท์ได้ทูลเล่า

ความในใจของท่านถวายพระพุทธองค์ว่า  "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ

ข้าพระองค์เห็นความสำราญของพระผู้มีพระภาคแล้ว  ข้าพระองค์เห็น

ความอดทนของพระผู้มีพระภาคแล้ว  ก็แต่ว่า  เพราะการประชวรของ

พระผู้มีพระภาค  กายของข้าพระองค์ประหนึ่งจะงอมระงมไป  แม้ทิศทั้ง

หลายก็ไม่ปรากฏแก่ข้าพระองค์  แม้ธรรมทั้งหลายก็ไม่แจ่มแจ้งแก่ข้า

พระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ก็แต่ว่า ข้าพระองค์ยังเบาใจอยู่หน่อย

หนึ่งว่า  พระผู้มีพระภาคจักยังไม่เสด็จปรินิพพานก่อน  จนกว่าจะได้ทรง

ปรารภสงฆ์  แล้วตรัสพระพุทธพจน์อย่างใดอย่างหนึ่ง(๔๔)"

       ครั้งหนึ่ง  ขณะที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่นิโครธารามใกล้นคร

กบิลพัสดุ์  พระองค์เพิ่งทางฟื้นจากไข้หนักได้ไม่นาน  พระเจ้ามหานามะ

ได้เสด็จเข้าไปทูลถามปัยหาว่าญาณเกิดก่อนสมาธิ  หรือว่าสมาธิเกิดก่อน

ญาณ?  ท่านพระอานนท์เห็นว่าปัญหานี้หนักมากจะเป็นการลำบากมากแก่

พระพุทธองค์  เพราะเพิ่งฟื้นจากประชวรไข้  จึงได้จับพระหัตถ์พระเจ้า

มหานามะนำเสด็จออกไปข้างนอก  แล้วท่านอธิบายปัญหาธรรมข้อนั้นเสีย

เอง(๔๕)

       เมื่อทราบว่า  พระพุทธองค์จะเสด็จปรินิพพานแน่แล้ว  ท่านก็ได้ทูล

ขอให้ทรงอยู่ต่อไปถึง ๓ ครั้ง แต่พระพุทธองค์ตรัสบอกว่าได้ทรงรับนิมนต์

ของมารไว้เสียแล้ว  พร้อมกันนี้  ได้ทรงเล่าถึงนิมิตโอภาส ๑๖ ตำบล  ที่

พระองค์ทรงแสดง  เพื่อให้ท่านนิมนต์  แต่ท่านไม่นิมนต์  แล้วตรัสว่า  นี้

เป็นความผิดของท่านพระอานนท์เอง(๔๖)

       เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จไปสู่ป่าไม้สาละ  ใกล้นคร  กุสินารา  พอ

เสด็จไปถึง  ก็ตรัสใช้ให้ท่านช่วยตั้งเตียงให้หันพระเศียรไปทางทิศอุดร

ระหว่างไม้สาละทั้งคู่  เมื่อท่านจัดการตั้งเตียงตามรับสั่งแล้วพระพุทธองค์

ทรงประทับสีหไสยาโดยพระปรัศ์วเบื้องขวา  ท่านทราบแน่ว่าพระผู้มีพระ

ภาคจะปรินิพพานที่นี่แล้ว  จึงหลีกออกจากที่เฝ้าเข้าไปสู่วิหาร  ยืนเหนี่ยวไม้

คันทวยร้องไห้อยู่  ครั้นพระพุทธองค์ทรงทราบก็ตรัสให้เรียกท่านไปเฝ้า

แล้วตรัสปลอบโยนให้หายเศร้าโศก  ท่านทูลให้เสด็จไปปรินิพพานที่เมือง

ใหญ่ ๆ เช่น เมืองจัมปา  เมือราชคฤห์  เมืองพาราณสี  เมืองสาวัตถี  เมือง

สาเกต  เมืองโกสัมพี  ไม่ควรมาปรินิพพานที่เมืองเล็ก เมืองดอน  กิ่งเมือง

อย่างนั้นเลย  พระพุทธองค์จึงตรัสเล่าเรื่องความเป็นมาแห่งเมืองกุสินารา

ให้ฟังโดยละเอียด (ความปรากฏในมหาสุทัสสนสูตร)

       ตามปรกติ  ท่านให้ความสะดวกแก่ผู้ที่จะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค

เสมอ  แต่ถ้าหากเห็นว่า  จะเป็นการลำบากพระพุทธองค์แล้ว  ท่านจะห้าม

ไว้ เช่นในคราวสุภัททะ  ขอเข้าเฝ้าเพื่อทูลถามปัญหา  ท่านเห็นว่าเวลานั้น

พระพุทธองค์  กำลังจะเสด็จปรินิพพานอยู่แล้ว  สุภัททะนี้จะเข้าไปรบกวน

พระพุทธองค์  จึงได้ห้ามไว้ไม่ยอมให้เข้าเฝ้า  แต่พระพุทธองค์รับสั่งให้เข้า

ไปได้(๔๗)

       และในตอนที่พระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้ว  ท่านได้เล่าไว้ว่า

เมื่อพระพุทธเจ้าผู้ประกอบด้วยอาการอันประเสริฐทั้งปวงเสด็จปรินิพพาน

แล้ว  ครั้งนั้นได้เกิดความอัศจรรย์น่าสะพึงกลัว  และเกิดอาการขนพอง

สยองเกล้า(๔๘)

       เนื่องจากท่านเป็นพหูสูต เป็นธรรมภัณฑาคารก  ทา่นจึงได้เป็นที่

ปรึกษาของเพื่อนภิกษุ  อุบาสกและอุบาสิกา  ตลอดจนพวกพราหมณ์ 

ปริพาชกนักบวชนอกพระศาสนา  ดังจะได้ยกมาเป็นตัวอย่างดังต่อไปนี้

       ครั้งหนึ่ง  ขณะที่ท่านพักอยู่ที่เชตวันมหาวิหาร  ในตอนเช้า

ท่านเข้าไปบิณฑบาตในนครสาวัตถี  อันมีท่านพระวังคีสะเป็นปัจฉาสมณะ

ท่านพระวังคีสะเห็นสตรีรูปงาม  แต่งตัวสวย  เกิดความกระสันรัญจวนจิต

ขึ้น  จึงกล่าวกับท่านพระอานนท์ว่า  ท่านมีความเร่าร้อนเพราะกามราคะ

ขอให้ท่านพระอานนท์ช่วยระงับราคะให้ท่านพระอานนท์จึงแนะนำว่า  จิต

ของพระวังคีสะรุ่มร้อนเพราะสัญญาวิปลาส  ให้พระวังคีสะละเว้นนิมิต

อันงามเสีย  จงเห็นสิ่งทั้งหลายโดยความเป็นของแปรปรวน  โดยความเป็น

ทุกข์  และอย่าเห็นโดยความเป็นตน  จงดับราคะอันแรงกล้า  จงอย่าให้

ราคะเผาผลาญบ่อย ๆ จงเจริญสุภกัมมัฏฐาน  ให้จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว

จงเจริญกายคตาสติ  จงเป็นผู้มากด้วยความหน่าย  จงเจริญความไม่มี

นิมิต  จงถอนมานานุสัยเสีย  เพราะการรู้เท่าถึงมานะ  ก็จะเป็นผู้สงบระงับ

ได้(๔๙)

       ครั้งหนึ่ง  ท่านพระอานนท์  ได้พักอาศัยอยู่ที่โฆสิตารามใกล้นคร

โกสัมพี  กับท่านพระกามภู  ในตอนเย็นวันหนึ่ง  ท่านพระกามภูออกจากที่

พักผ่อนไปหาท่านพระอานนท์ เรียนถามท่านว่าจักษุเป็นเครื่องเกาะเกี่ยว

ของรูป  รูปเป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของจักษุหรือ?  ฯลฯ  ใจเป็นเครื่องเกาะ

เกี่ยวของธรรมารมณ์  ธรรมารมณ์เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของใจหรือ?  ท่าน

พระอานนท์ตอบว่า  จักษุเป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของรูป  แต่รูปหาใช่เป็น

เครื่องเกาะเกี่ยวของจักษุไม่  ความพอใจรักใคร่เกิดขึ้นเพราะอาศัยจักษุ

และรูปทั้งสองนั้นสัมผัสกัน  ฯลฯ  ใจเป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของธรรมารมณ์

แต่ธรรมารมณ์หาใช่เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของใจไม่  ความพอใจรักใคร่เกิด

ขึ้นเพราะอาศัยใจและธรรมารมณ์ทั้งสองนั้นสัมผัสกัน  เปรียบเหมือนโคดำ

และโคขาวที่เขาผูกติดกันด้วยเชือกเส้นเดียวกัน  หากบุคคลใดจะกล่าวว่า

โคดำเกี่ยวเนื่องกับโคขาว  โคขาวเกี่ยวเนื่องกับโคดำ  บุคคลนั้นกล่าวชอบ

ไหม?  ท่านพระกามภูตอบว่า บุคคลนั้นกล่าวไม่ชอบ  เพราะโคดำไม่ได้

เกี่ยวเนื่องกับโคขาว  เป็นแต่เกี่ยวเนื่องกันด้วยเชือกที่เขาผูกติดกันเท่านั้น

ท่านพระอานนท์จึงกล่าวสรุปความว่า  ข้อนี้ฉันใด  จักษุเป็นเครื่องเกาะเกี่ยว

ของรูป  แต่รูปไม่ได้เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของจักษุฉันนั้น(๕๐)

       ครั้งหนึ่ง ท่านพระอานนท์พักอาศัยที่โฆสิตารามใกล้นครโกสัมพี  กับ

ท่านพระอุทายี  วันหนึ่งท่านพระอุทายีได้เข้าไปหาท่านพระอานนท์ เรียน

ถามถึงคำกล่าวของ  ปัญจาลจัณฑเทพบุตรที่ว่า  พระพุทธองค์ทรงรู้แล้วซึ่ง

โอกาสอันไปแล้วในที่แคบนั้น  คำว่าที่แคบนี้หมายความว่ากระไร?  ท่าน

ตอบว่าที่แคบได้แก่  กามคุณ ๕  คือ  รูป  เสียง  กลิ่น  รส  โผฏฐัพพะ(๕๑)

       อีกครั้งหนึ่ง  ท่านพระอุทายีได้เรียนถามท่านพระอานนท์ถึงเรื่อง

อนัตตาว่า  พระผู้มีพระภาคได้ตรัสบอกอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่ากายนี้เป็น

อนัตตา  แต่ว่าวิญญาณนั้นจะเป็นอนัตตาด้วยหรือ?  ท่านพระอานนท์ตอบ

เป็นอนัตตาด้วย  ท่านอธิบายว่า  เพราะวิญญาณเกิดขึ้นด้วยอาศัยอายตนะ

ภายในกระทบกับอายตนะภายนอก  เมื่ออายตนะภายใน  หรืออายตนะ

ภายนอกดับไป  วิญญาณก็ย่อมดับไปด้วย  ท่านยกอุปมาว่า  เหมือนบุรุษ

ผู้ต้องการแก่นไม้เที่ยวเสาะแสวงหาแก่นไม้  ถือขวานอันคมเข้าไปในป่า

พบต้นกล้วยใหญ่ลำต้นตรงใหม่  ไม่รุงรัง  ในป่านั้น  พึงตัดที่โคนต้น

แล้วตัดที่ปลาย  แล้วลอกกาบออก  เขาจะไม่พบแม้แต่กระพี้ของมัน  แล้ว

เขาจะพบแก่นของมันได้อย่างไรเล่า  ข้อนี้ฉันใด  ภิกษุจะพิจารณาหาตัวตน

สิ่งที่เป็นตัวตนในผัสสายตนะ ๖ ไม่ได้ฉันนั้น เหมือนกัน(๕๒)

       ครั้งหนึ่ง  ท่านพระฉันนะ   ได้เข้าไปหาท่านพระอานนท์  ขณะพัก

อยู่ที่โฆสิตาราม  ใกล้นครโกสัมพี  กล่าวใจความถวายว่าสมัยหนึ่ง  ท่าน

อาศัยอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน  ใกล้นครพาราณสี  ท่านได้เข้าหาพระ

เถระหลายรูป  ขอร้องให้พระเถระเหล่านั้นช่วยกล่าวสอน  พร่ำสอนท่าน

พระเถระทั้งหลายได้สอนท่านว่า รูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ

ไม่เที่ยงเป็นทุกข์  เป็นอนัตตา ท่านบอกว่า  ท่านไม่เลื่อมใส  ใจไม่หลัดพ้น

จากกิเลส  จึงมาคิดคำนึงว่า  ใครหนอจะแสดงธรรมแก่ท่าน  ทำให้ท่านได้

เห็นธรรม  ก็คิดได้ว่า  ท่านพระอานนท์นี่แหละจะแสดงธรรมแก่ท่านได้

เพราะท่านพระอานนท์เป็นผู้ที่พระบรมศาสดาทรงยกย่องสรรเสริญว่า

สามารถแสดงธรรมแก่เพื่อนพรหมจารย์ได้  ทั้งท่านพระอานนท์ก็มีความ

คุ้นเคยกับท่านด้วยดี  ด้วยเหตุนี้  ท่านจึงมาหาท่านพระอานนท์ขอให้

ื้่ท่านพระอานนท์ช่วยแสดงธรรมแก่ท่าน  ตามที่ท่านพระอานนท์ได้กล่าว

สอนเรื่องที่ท่านได้สดับมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่าพระพุทธ

องคต์ได้ตรัสกับภิกษุ กัจจายนโคตรว่าโลกนี้โดยมากอาศัยส่วน ๒ อย่าง

คือ ความมี  และความไม่มี  เมื่อบุคคลเห็นเหตุเกิดแหงโลกด้วยปัญญา

อันชอบตามเป็นจริงอยู่  ความไม่มีในโลกย่อมไม่มี  เมื่อบุคคลเห็นความ

ดับแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอยู่  ความไม่มีในโลกย่อมไม่มี

เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอยู่ ความ

มีในโลกย่อมไม่มี  โลกนี้โดยมากพัวพันด้วยอุบายเป็นเหตุถือมั่นและความ

ยึดมั่น แต่พระอริยสาวกย่อมไม่เข้าถึง  ไม่ถือมั่น  ไม่ตั้งไว้ซึ่งอุบายเป็นเหตุ

ถือมั่น  มีควาวมยึดมั่นด้วยความตั้งใจไว้เป็นอนุสัยว่า  อัตตาของเราย่อมไม่

เคลือบแคลงสงสัยว่า  ทุกข์นี่แหละเมื่อบังเกิดขึ้น  ย่อมบังเกิดขึ้น  ทุกข์เมื่อ

ดับย่อมดับ  อริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นเลย

ด้วยเหตุเพียงเท่านี้จึงชื่อว่าสัมมาทิฐิ  ส่วนสุดที่ ๑ ว่า  สิ่งที่ปวงมีอยู่  ส่วน

สุดที่ ๒ ว่า  สิ่งทั้งปวงไม่มี  พระตถาคตแสดงธรรมโดยสายกลาง  ไม่เข้าไป

ใกล้สายสุดทั้งสองนั้นว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย  จึงมีสังขาร  เพราะสังขาร

เป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ ฯลฯ  ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลเหล่านี้ 

ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้  และเพราะอวิชชานั้นแหละดับ  สังขารจึงดับ ฯลฯ

ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้  ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้

       เมื่อท่านพระอานนท์กล่าวจบ  ท่านพระฉันนะได้กล่าวชมเชยท่าน

พระอานนท์ว่า  ท่านเหล่าใดกล่าวสอนธรรมอย่างนี้  ท่านเหล่านั้นเป็นผู้

อนุเคราะห์มุ่งประโยชน์  กล่าวสอน  และพร่ำสอนเพื่อนพรหมจรรย์ทั้ง

หลาย  และท่านรับท่านได้เข้าใจธรรมเทศนาอย่างแจ่มแจ้ง(๕๓)

       สมัยหนึ่ง  ท่านพระอานนท์กับท่านพระภัททะ  อาศัยอยู่ที่กุกกุฏาราม

ใกล้เมืองปาฏลีบุตร  เย็นวันหนึ่ง  ท่านพระภัททะออกจากที่พักผ่อน  เข้า

ไปหาท่านพระอานนท์  เรียนถามท่านว่าพระพุทธเจ้าตรัสศีลที่เป็นกุศลไว้

เพื่อประสงค์อะไร?  ท่านพระอานนท์กล่าวชมเชยท่านพระภัททะว่าเป็น

คนช่างคิด  ช่างถาม  และได้ตอบว่า  พระพุทธองค์ตรัสไว้  เพื่อเป็น

ประโยชน์ในการเจริญสติปัฏฐาน ๔(๕๔)

       สมัยหนึ่ง  ท่านพระอานนท์พักอาศัยอยู่ที่โฆสิตาราม  ใกล้เมือง

โกสัมพีท่านพระภัททชิได้เข้าไปหาท่านถึงที่พัก  ท่านได้ถามท่านพระภัททชิ

ว่า  บรรดาการเห็นทั้งหลาย  การเห็นชนิดไหนเป็นยอด บรรดาการได้ยิน

ทังหลาย  การได้ยินชนิดไหนเป็นยอด  บรรดาสัญญาทั้งหลาย  สัญญาชนิด

ไหนเป็นยอด  บรรดาภพทั้งหลายภพชนิดไหนเป็นยอด  ท่านพระภัททชิ

ตอบว่า  เห็นพระพรหมชื่อว่าเป็นยอดของการเห็น  ได้ยินเสียงของเหล่า

เทพอาภัสสระ  ชื่อว่าเป็นยอดของการได้ยิน  ความสุขของเหล่าเทพ

สุภกิณหะ  เป็นยอดของความสุข  การเข้าถึงอากิญจัญญายตนภพ  เป็น

ยอดของสัญญาการเข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนภพ  เป็นยอดของภพ

       ท่านพระอานนท์กล่าวว่า  คำตอบของท่านพระภัททชินี้  สมกับคำ

ของชนส่วนมากเขากล่าวกัน  ท่านพระภัททชิจึงขอให้ท่านพระอานนท์

อธิบายให้ฟัง  ท่านจึงกล่าวว่า  การเห็นตามเป็นจริง  เป็นยอดของการเห็น

ได้ยินตามเป็นจริง  เป็นยอดของการได้ยิน  ได้สุขตามเป็นจริง  เป็นยอด

ของสุข สัญญาตามเป็นจริง   เป็นยอดของสัญญา  เป็นอยู่ตามเป็นจริง

เป็นยอดของภพ(๕๕)

       ครั้งหนึ่ง  พระภิกษุทั้งหลายได้ฟังธรรมกถาย่อ ๆ  จากสำนักพระ

ผู้มีพระภาค  ไม่เข้าใจเกิดความลังเลสงสัย  จึงพร้อมใจกันไปหาท่านพระ

อานนท์  เล่าความถวายท่านว่า  พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอุเทศโดยย่อว่า

บุคคลควรทราบสิ่งที่ไม่เป็นธรรมและสิ่งที่เป็นธรรม  สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์

สิ่งที่เป็นประโยชน์  ครั้นทราบแล้วจึงปฏิบัติตามสิ่งที่เป็นธรรม  ตามสิ่งที่

เป็นประโยชน์  ดังนี้  ไม่ทรงจำแนกอรรถโดยพิสดารเสด็จลุกจากอาสนะ

เข้าสู่พระวิหารเสีย  พวกท่านจึงได้พร้อมใจกันมาขอให้ท่านพระอานนท์

ช่วยจำแนกให้ฟังว่า  อะไรคือสิ่งที่ไม่เป็นธรรม  และอะไรคือสิ่งที่เป็นธรรม

       ท่านพระอานนท์กล่าวกับภิกษุทั้งหลายว่า  ภิกษุทั้งหลายเหมือนผู้

้ต้องการไม้แก่น  เที่ยวหาไม้แก่นอยู่  แต่เมื่อพบแล้วก็ไม่ตัดเอารากและ

ลำต้นมัน  ไปสำคัญใบและกิ่งว่าเป็นแก่นไม้ที่ตนต้องประสงค์  แล้วจะพบ

แก่นไม้ได้อย่างไร?  ข้อนี้เหมือนกับภิกษุทั้งหลายเมื่อพบพระพุทธเจ้า  ซึ่ง

เปรียบเทียบเหมือนไม้ใหญ่มีแก่นแล้ว  แต่ไม่ทูลถาม  มาถามท่านซึ่งเป็น

เสมือนใบและกิ่งของไม้

       พระภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า  ถึงอย่างนั้นก็จริง  แต่ว่า  ท่านพระอานนท์

ได้รับคำสรรเสริญยกย่องจากพระพุทธองค์  และเพื่อนพรหมจารีทั้งหลายว่า

เป็นผู้สามารถจำแนกแจกอรรถแห่งธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโดย

ย่อไว้ให้พิสดารได้

       ท่านพระอานนท์จึงได้จำแนกอรรถแห่งธรรมนั้นโดยพิสดารถวายพระ

ภิกษุทั้งหลาย  คือท่านกล่าวว่า  อริยมรรค ๘ ประการ  มีสัมมาทิฏฐิ

เป็นต้น  คือสิ่งที่เป็นธรรม  ที่ตรงกันข้ามกับอริยมรรค ๘ คือสิ่งที่ไม่เป็น

ธรรม  ในตอนท้าย  ท่านสั่งให้ภิกษุเหล่านั้นเข้าพบพระพุทธเจ้า  และทูล

ถามอรรถธรรมนั้นอีก  พระภิกษุทั้งหลายชื่นชมธรรมภาษิตของท่านมาก

ลุกจากอาสนะแล้วไปเฝ้าพระพุทธเจ้าทูลเล่าความที่พระอานนท์ขยายพุทธ

พจน์โดยย่อถวายให้ทรงทราบ  พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญพระอานนท์ ณ

ที่นั้นว่า  เป็นบัณฑิตมีปัญญามาก  ตรัสว่า  ถ้าภิกษุทั้งหลายมาทูลถามพระ

องค์ถึงอรรถนั้น  พระองค์ก็จะทรงอธิบายอย่างที่พระอานนท์อธิบายนั่น

แหละ(๕๖)

       นอกจากเป็นที่ปรึกษาของพุทธบริษัทแล้ว ท่านยังเป็นที่ปรึกษาของ

พวกพราหมณ์ปริพาชกด้วย เช่น

       สมัยหนึ่ง  ขณะที่ท่านพักอาศัยอยู่ที่โฆสิตาราม  ใกล้นครโกสัมพี

โฆสิตคฤหบดีได้เข้าไปหาท่าน  แล้วเรียนถามท่านเกี่ยวกับความแตกต่าง

แห่งธาตุที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง?  ท่านพระอานนท์ตอบว่า

จักขุธาตุ  โสตธาตุ  ฆานธาตุ  ชิวหาธาตุ  กายธาตุ  มโนธาตุ  เป็นที่ตั้งแห่ง

สุขเวทนา  ทุกขเวทนา  และอุเบกขาเวทนา(๕๗)

       อีกสมัยหนึ่ง  ขณะที่ท่านพระอานนท์พักอาศัยอยู่ที่โฆสิตารามใกล้

นคร  โกสัมพี  พราหมณ์คนหนึ่งชื่ออุณณาภะ ได้เข้าไปหาท่านถึงที่พัก 

แล้วเรียนถามท่านว่า  ท่านประพฤติพรหมจรรย์ในพระสมณโคดม  เพื่อ

ประโยชน์อะไร?  ท่านตอบว่า  เพื่อละฉันทะอุณณาภ  พราหมณ์ถามต่อไป

ว่า  ข้อปฏิบัติให้ละฉันทะมีด้วยหรือ?  ท่านตอบว่า "มี"  และอธิบายว่า

วิธีละฉันทะนั้นต้องเจริญอิทธิบาท ๔ คือ  ฉันทสมาธิและปธานสังวร

วิริยสมาธิและปธานสังวร  จิตตสมาธิและปธานสังวร  วิมังสาสมาธิและ

ปธานสังวร

       อุณณาภ  พราหมณ์แย้งว่า  จะเอาฉันทะไปละฉันทะได้อย่างไร?

ท่านอธิบายว่า  เหมือนกับอุณณาภะนี่แหละ  เมื่อก่อนจะมาสู่อารามก็มี

ความพอใจ  มีความเพียร  มีความคิด  มีความตรึกตรอง  ว่าเราจะไป

อาราม  ครั้นไปถึงอารามแล้วความพอใจก็ระงับไปความเพียรก็ระงับไป

ความคิดก็ระงับไป  ความตรึกตรองก็ระงับไป  ข้อนี้เปรียบเหมือนกับ

ภิกษุผู้เป็นพระขีณาสพอยู่จบพรหมจรรย์  ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว

ในเบื้องต้นก็มีความพอใจ  ความเพียร  ความคิด  ความตรึกตรองเพื่อ

ให้บรรลุอรหันต์  ครั้นบรรลุอรหันต์แล้ว  ความพอใจ ความเพียร  ความ

คิด  ความตรึกตรองก็ระงับไป

       พอท่านกล่าวจบ  ท่านอุณณาภ  พราหมณ์มีความพอใจมากกล่าวคำ

ชมเชย  และขอแสดงตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยตลอดชีวิต(๕๘)

       ครั้งหนึ่ง  ขณะที่ท่านพระอานนท์พักอาศัยอยู่ที่พระเชตวันมหาวิหาร

ใกล้นครสาวัตถี  ฉันนปริพาชก ได้เข้าไปหาท่านถึงที่พัก  และได้เรียนถาม

ท่านว่า  พวกพระภิกษุพุทธสาวกนี้  ได้บัญญัติการละราคะ  โทสะ  โมหะ

หรือ?  ท่านตอบว่าได้บัญญัติฉันนปริพาชก  เรียนถามต่อไปว่า  เห็นโทษ

ในราคะ  โทสะ  โมหะ อย่างไร  จึงได้บัญญัติการละไว้?  ท่านตอบว่า

เพราะบุคคลผู้กำหนัด  ถูกความกำหนัดครอบงำรัดรึงจิตไว้  บุคคลผู้ดุร้าย

ถูกความดุร้ายครอบงำรัดรึงจิตไว้  บุคคลผู้หวงถูกความหวงครอบงำรัดรึง

จิตไว้  ย่อมคิดแต่จะเบียดเบียนตนและผู้อื่น  เสวยทุกข์โทมนัสทางจิต

ย่อมประพฤติกายทุจริต  วจีทุจริต  มโนทุจริต  ย่อมไม่รู้แม้ประโยชน์ตน

ประโยชน์ผู้อื่น  ตามความเป็นจริง  ราคะ  โทสะ  โมหะ  ทำให้มืด  ทำให้

บอด  ทำให้ไม่รู้อะไร  ทำให้ปัญญาดับ   เป็นไปในฝ่ายคับแค้น  ไม่เป็นไป

เพื่อนิพพาน  แต่เมื่อละ  ราคะ  โทสะ  โมหะ  ได้แล้ว  ย่อมไม่คิดเบียด

เบียนตนและผู้อื่น  เสวยแต่สุขโสมนสประพฤติแต่กายสุจริต  วจีสุจริต

มโนสุจริต  ย่อมรู้จักประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นตามเป็นจริง

       เมื่อฉันนปริพาชกเรียนถามว่า  วิธีปฏิบัติเพื่อละ  ราคะ  โทสะ

โมหะ  มีหรือ  เป็นอย่างไร?  ท่านตอบว่ามี  คือ  อริยมรรค ๘  แล้ว

อธิบายโดยพิสดาร(๕๙)

       ครั้งหนึ่ง  ขณะที่ท่านพักอาศัยอยู่ที่โฆสิตาราม  ใกล้นครโกสัมพี

สาวกของอาชีวกคนหนึ่งเข้าไปหาท่าน  ไหว้แล้วถามท่านว่า  คนพวกไหน

ได้กล่าวธรรมไว้ดีแล้ว  คนพวกไหนได้ปฏิบัติธรรมดีแล้ว  คนพวกไหน

ดำเนินไปดีแล้วในโลก  ท่านตอบว่า  คนพวกใดก็ตามแสดงธรรมเพื่อละ

ราคะ  โทสะ  โมหะ  คนพวกนั้น  ชื่อว่า  กล่าวธรรมไว้ดีแล้ว  คนพวกใด

ปฏิบัติธรรมเพื่อละ  ราคา  โทสะ  โมหะ  คนพวกนั้นชื่อว่าปฏิบัติธรรมดี

แล้ว  คนพวกใดละ  ราคะ  โทสะ  โมหะ  ได้แล้ว  ตัดรากขาดแล้ว  ทำให้

ไม่มีที่ตั้งดุจตาลยอดด้วน  คนพวกนั้นชื่อว่าดำเนินไปดีแล้วในโลก

       ท่านสาวกอาชีวกคนนั้นพอใจธรรมนี้มาก  ได้กล่าวว่าท่านพระ

อานนท์  กล่าวธรรมไม่ยกธรรมของตน  ไม่รุกรานธรรมของผู้อื่นเป็นการ

เทศนาเฉพาะเหตุผล  ไม่ได้นำตนเข้าไป  กล่าวแต่เนื้อ(๖๐)

       ครั้งหนึ่ง  ขณะที่ท่านพักอาศัยอยู่ที่กุฏาคารศาลา  ป่ามหาวัน

ใกล้นครเวสาลี  เจ้าอภัยลิจฉวี  กับเจ้าบัณฑิตกุมารลิจฉวี  ได้พากันไป

ท่าน  กราบเรียนว่า  ท่านนิครนถนาฏบุตรได้บัญญัติว่า  กรรมเก่าหมดไป

เพราะความเพียรเผากิเลส  ฆ่าเหตุได้เพราะทำกรรมใหม่  ด้วยประการฉะนี้

จึงเป็นอันว่า  เพราะกรรมสิ้นไป  ทุกข์จึงหมดไป  เพราะทุกข์หมดไป 

เวทนาจึงสิ้นไป  เพราะเวทนาสิ้นไป  ทุกข์ทั้งสิ้นจึงจักเสื่อมไปโดยไม่เหลือ

การล่วงทุกข์ย่อมมีได้โดยความหมดจด  แล้วท่านถามว่าในข้อนี้พระผู้มี

พระภาคตรัสไว้อย่างไร?  ท่านพระอานนท์ตอบว่า  พระพุทธองค์ได้ตรัส

ความหมดจดไว้ ๓ ขั้น  คือหมดจดด้วย  ศีล  สมาธิ  และปัญญา

       ตอนจบธรรมกถา  เจ้าบัณฑิตกุมาร  ถามเจ้าอภัยว่า  อภัยเพื่อนรัก

ทำไมท่านไม่ชื่นชมอนุโมทนาคำสุภาษิตของท่านพระอานนท์โดยความจริง

ด้วยคำสุภาษิต  เจ้าอภัยตอบว่า  ไฉนไม่ชื่นชมอนุโมทนาเล่า  ใครไม่ชื่นชม

อนุโมทนาคำของท่านพระอานนท์ความคิดของผู้นั้นเสื่อมทรามทีเดียว(๖๑)

       สมัยหนึ่งท่านอาศัยอยู่ที่ตโปทาราม  ใกล้นครราชคฤห์  เช้าวันหนึ่ง

ท่านตื่นแต่เวลาใกล้รุ่ง  แล้วไปสรงน้ำที่ท่าตโปทา  ครั้นสรงน้ำเสร็จแล้ว

ก็กลับขึ้นจากท่ามีจีวรผืนเดียวยืนผึ่งตัวอยู่  โกกนุทปริพาชกผู้ซึ่งตื่นแต่

เช้าตรู่  และเดินทางเพื่อจะสรงน้ำที่ท่าตโปทาเช่นเดียวกัน ได้เห็นพระเถระ

ยืนอยู่จึงร้องถามไปว่าเป็นใคร  ท่านตอบว่าเป็นพระพวกสมณศากยบุตร

โกกนุทะ  เรียนถามว่าจะถามปัญหาข้อข้องใจได้ไหม ?  ท่านตอบว่า

ถามมาเถิดท่านจะแก้  แล้วโกกนุทะก็ถามว่า  ท่านเห็นว่าโลกเที่ยง  สิ่งนี้

เท่านั้นจริง  สิงอื่นเปล่าหรือหนอ?  ท่านตอบว่า  ท่านไม่ได้เห็นอย่างนั้น

แล้วโกกนุทะ ก็เรียนถามไปทีละข้อในทิฐิ ๑๐ ประการ  คือท่านเห็น่วาโลก

ไม่เที่ยง  โลกมีที่สุด  โลกไม่มีที่สุด  ชีพก็อันนั้น  สรีระก็อันนั้น  ชีพอย่าง

หนึ่งสรีระอย่างหนึ่ง   สัตว์ตายแล้วย่อมเป็นอีก  สัตว์ตายแล้วย่อมไม่เป็น

อีก  สัตว์ตายแล้วย่อมเป็นอีกก็มี  ไม่เป็นอีกก็มี  สัตว์ตายแล้วย่อมเป็นอีก

ก็ไม่ใช่  ไม่เป็นอีกก็ไม่ใช่  สิ่งนี้เท่านั้นจริง  สิ่งอื่นเปล่าหรือ?  ท่านตอบว่า

ท่านไม่ได้เห็นอย่างนั้น  โกกนุทะ  ถามว่า  ถ้าอย่างนั้น  ท่านก็ไม่รู้  ไม่เห็น

อะไรซิ?  ท่านตอบว่าท่านรู้ท่านเห็นโกกนุทะ  ถามต่อไปอีกว่า  ท่านรู้เห็น

อย่างไร?  ท่านตอบว่า  ท่านรู้แล้วว่า  เรื่องที่โกกนุทะ  ถามทั้งหมดเป็นทิฐิ

ท่านรู้เห็นทิฐิ  และความเพิกถอนทิฐิว่ามีประมาณเท่าใด  ฉะนั้นจึงกล่าวได้

ว่า  ท่านรู้อยู่เห็นอยู่

       เมื่อท่านกล่าวจบ  โกกนุท  ปริพาชกแปลกใจ  เรียนถามชื่อท่าน

พอท่านบอกว่าชื่ออานนท์โกกนุทะ  ถึงกับอุทานออกมาว่า  "โอ  ไม่รู้เลยว่า

เราสนทนาอยู่กับอาจารย์ผู้ใหญ่  ก็ถ้าข้าพเจ้ารู้เสียแต่แรกว่าพระคุณท่านคือ

พระอานนท์ไซร้  ข้าพเจ้าก็จะไม่พึงกล่าวโต้ตอบถึงเพียงนี้  ขอท่านพระ

อานนท์จงยกโทษให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด"(๖๒)

       ครั้งหนึ่ง  ท่านพักอยู่ที่พระเชตวันมหาวิหาร  ในตอนเช้าได้เข้าไป

บ้านของนางมิคสาลา  อุบาสิกา  นางได้เรียนถามว่า  ธรรมของพระพุทธเจ้า

เอาประมาณไม่ได้  คือคนที่ประพฤติพรหมจรรย์และคนที่ไม่ได้ประพฤติ

พรหมจรรย์  มีคติเสมอในสัมปรายภพ  แล้วนางเล่าความว่าบิดาของนางชื่อ

ปุราณะเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์  งดเว้นจากเมถุนธรรม  เมื่อทำกาละไป

แล้ว  พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่า  เป็นสกทาคามีบุคคลไปเกิดในชั้น

ดุสิต  อีกคนหนึ่งชื่ออิสิทัตตะผู้เป็นที่รักของบิดาของนาง  ผู้นี้ไม่ประพฤติ

พรหมจรรย์  แต่สันโดษยินดีในภริยาของตนเท่านั้น  เมื่อเขาตายไปแล้ว

พระผู้มีพระภาคก็ทรงพยากรณ์ว่าเป็นสกทาคามีบุคคล  ไปเกิดในชั้นดุสิต

เหมือนกัน  ท่านพระอานนท์ก็รับรองว่า  พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์

อย่างนั้น และเมื่อรับบิณฑบาตเสร็จแล้ว  ท่านได้กลับไปกราบทูลพระผู้มี

พระภาคถึงเรื่องนี้  พระพุทธองค์จึงตรัสเรื่องบุคคล ๑๐ จำพวก (๖๓)

       ครั้งหนึ่ง  พระเจ้าปเสนทิโกศล  กษัตริย์แห่งแคว้นโกศลได้เสด็จ

ด้วยช้างชื่อบุณฑริก  ออกจากนครสาวัตถีในเวลากลางวันทอดพระเนตรเห็น

พระอานนท์แต่ที่ไกล  จึงให้อำมาตย์ไปอาราธนาให้ท่านหยุดรออยู่ก่อน

ท่านพระอานนท์ก็หยุดรออยู่  ครั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จไปถึง  ได้

อาราณธนาท่านไปที่ริมฝั่งแม่น้ำอจิรวดีกับพระองค์  ครั้นเสด็จไปถึงที่นั้น

แล้วทรงถามท่านพระอานนท์ว่า  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประพฤติกาย

สมาจาร  วจีสมาจาร  มโนสมาจาร  ที่สมณพราหมณ์ทั้งหลาย  ผู้รู้แจ้ง

พึงติเตียนได้มีบ้างไหม?  ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่าไม่มีเลย

       พระเจ้าปเสนทิโกศล  ทรงสรรเสริญว่า  "น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยมี

มาก่อน"  ตรัสต่อไปว่า  "พวกชนผู้เป็นพาลไม่ฉลาดไม่ใคร่ครวญไม่

พิจารณา  กล่าวคุณหรือโทษของคนอื่น  เราทั้งหลายยังยึดถือคำนั้นว่าเป็น

แก่นสารนักไม่ได้  แต่ถ้าชนชั้นบัณฑิตผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาดใคร่ครวญ

พิจารณาแล้ว  กล่าวคุณหรือโทษของผู้อื่นเราทั้งหลายควรยึดถือว่าเป็น

สาระแก่นสารได้"

       ต่อจากนั้น  พระเจ้าปเสนโกศล  ได้ตรัสถามว่า  กายสมาจาร

วจีสมาจาร  และมโนสมาจาร  ที่สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้รู้พึงติเตียนเป็น

เช่นไร?  ท่านพระอานนท์ทูลว่า  ได้แก่กายสมาจาร  วจีสมาจาร  มโน

สมาจารที่เป็นอกุศล  ที่มีโทษ  ที่มีความเบียดเบียนตนและผู้อื่น  ที่มีทุกข์

เป็นผล

       พระเจ้าปเสนทิโกศลตรัสถามถึงกายสมาจาร  วจีสมาจาร  มโนสมา

จารที่สมณพราหมณ์ไม่พึงติเตียนว่าเป้นเช่นไร?  ท่านพระอานนท์ถวายว่า

ได้แก่  กายสมาจาร  วจีสมาจาร  มโนสมาจารที่เป็นกุศลไม่มีโทษ  ไม่

เบียดเบียนตนและผู้อื่น  มีสุขเป็นผล

       ในตอนจบการสนทนาธรรม พระเจ้าปเสนทิโกศล  ทรงสรรเสริญ

ท่านพระอานนท์ว่า  กล่าวธรรมได้ดีมาก  และตรัสว่าหากว่าช้างแก้ว

ม้าแก้ว  บ้านส่วย  ควรแก่ท่านพระอานนท์แล้ว  พระองค์ทรงยินดีจะยก

ถวาย  แต่นี้ไม่สะดวกแก่สมณะ  ผ้าพาหิติกายาว ๑๖  ศอก  กว้าง ๘ ศอก

ที่พระเจ้าอชาตศัตรู  ถวายพระองค์นี้สมควรแก่ท่านพระอานนท์  พระองค์

จะทรงถวาย  แต่ท่านพระอานนท์ทูลปฏิเสธว่า  ไตรจีวรของท่านมีครบ

บริบูรณ์แล้ว  พระองค์ตรัสอ้อนวอนให้ท่านอนุเคราะห์รับไว้  และทรง

แนะนำให้เอาผ้าเก่าถวายแก่เพื่อนสหธัมมิกรูปอื่นไปเสีย  ท่านจึงรับไว้

       เมื่อได้เวลาอันสมควร  พระเจ้าปเสนทิโกศล  เสด็จกลับ

ท่านพระอานนท์ก็กลับไปเฝ้าพระพุทธเจ้า  ซึ่งทรงพักพระอิริยาบถกลางวัน

อยู่ที่ปราสาทของมิคารมารดา  ทูลถวายผ้าพาหิติกาผืนนั้นแล้วทูลเล่าเรื่อง

การสนทนาธรรมกับพระเจ้าปเสนทิโกศล  ทุกประการ  พระพุทธองค์ทรง

สรรเสริญท่านท่ามกลางภิกษุสงฆ์จำนวนมาก(๖๔)

       ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ประมาณ ๑,๒๕๐ รูป 

เสด็จจาริกจากนครพาราณสีมุ่งตรงไปยังอันธกวินทชนบท  คราวนั้น

ประชาชนชนบทได้นำอาหารจำนวนมากบรรทุกเกวียนติดตามไปเพื่อจัด

ถวายพระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์  พราหมณ์คนหนึ่งในจำนวนนั้นตั้งใจ

จะถวายอาหารบ้าง  แต่ไม่ได้โอกาสสักที  ติดตามขบวนเสด็จมาก็ตั้ง ๒

เดือนกว่าแล้ว  จึงเข้าไปตรวจดูในโรงครัวว่าขาดอะไรบ้างก็เห็นว่ายังขาด

ยาคูกับขนมปรุงด้วยน้ำหวาน  จึงเข้าไปหาท่านพระอานนท์เรียนถามว่า

ตนจะถวายยาคูและขนมปรุงด้วยน้ำหวานแก่พระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์

ได้หรือไม่  ท่านพระอานนท์จึงเข้าไปทูลถาม  พระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาต

ให้พราหมณ์ปรุงถวายได้  และเมื่อฉันเสร็จทรงแสดงอานิสงส์ของยาคูไว้

๑๐ ประการ คือ ๑. ให้อายุ  ๒. ให้วรรณะ  ๓.  ให้สุข  ๔. ให้พละ

๕. ให้ปฏิภาณ  ๖. กำจัดความหิว  ๗.  กำจัดความระหาย  ๘.  ทำให้ลม

เดินคล่อง  ๙.  ล้างลำไส้ได้ดี  ๑๐.  ย่อยอาหารใหม่ที่เหลืออยู่ได้(๖๕)

       ครั้งหนึ่ง  ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีคิดว่า  พระเชตวันมหาวิหาร

ของท่าน  เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จจาริกไปโปรดสัตว์ที่อื่นเสียก็ว่างเปล่า

ไม่มีร่องรอยอะไรเลย  อุบาสกอุบาสิกาถือดอกไม้ของหอมไปจะบูชา

ไม่มีปูชนียสถานจะบูชา  จึงทิ้งไว้ที่ประตูพระคันธกุฏี  ท่านจึงเข้าไป

ปรึกษากับท่านพระอานนท์  ท่านพระอานนท์จึงเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า

ทูลถามเรื่องพระเจดีย์  ว่ามีกี่อย่าง  พระพุทธเจ้าตรัสว่ามี ๓ อย่าง  คือ

สารีริกธาตุเจดีย์  ปาริโภคิกเจดีย์  และอุเทกสิกเจดีย์  แล้วท่านทูลเล่า

เรื่องที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีปรารภกับท่าน  ในที่สุดท่านทูลถามว่าจะนำ

พืชโพธิ์จากต้นมหาโพธิ์มาปลูกไว้ที่ประตู  พระเชตวันมหาวิหาร  จะได้หรือ

ไม่  พระพุทธเจ้าทรงอนุญาต  ท่านจึงกลับไปแจ้งแก่ท่านเศรษฐี  พระเจ้า

ปเสนทิโกศล  และนางวิสาขา  ให้ขุดหลุมปลูกต้นโพธิ์ที่หน้าประตูพระ

เชตวัน  แล้วนิมนต์ให้ท่านพระมหาโมคคัลลานะก็ไปนำมาถวายตาม

ประสงค์  ครั้นได้พืชโพธิ์แล้วท่านได้แจ้งข่าวแต่พระเจ้าปเสนทิโกศล และ

คนทั้งหลายว่า  เราจะปลูกโพธิ์กันในวันนี้   ในตอนเย็นของวันนั้น  พระ

ราชารับสั่งให้คนถืออุปกรณ์หลายอย่างเสด็จไปที่นั้นพร้อมด้วยราชบริพาร

จำนวนมาก  ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี  นางวิสาขา  และผู้มีศรัทธาอื่นๆ  ก็

พากันไปที่นั่นอย่างพร้อมเพรียง  จากนั้นพระเถระจึงวางกระเช้าทองคำไว้ที่

ที่จะปลูกต้นโพธิ์  ให้เจาะรูตรงก้นแล้วทูลเกล้าถวายพระเจ้าปเสนทิโกศล

เป็นผู้ปลูก  แต่พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงมอบหมายให้ท่านอนาถบิณฑิก

เศรษฐีเป็นผู้ปลูก  อนาถบิณฑิกเศรษฐีจึงเอาน้ำหอมพรมพืชโพธิ์  แล้ววาง

พืชโพธิ์ลงไปในหลุมโพธิ์นี้มีนามว่า "อานันทโพธิ"  เพราะท่านพระอานนท์

เป็นผู้ให้ปลูก(๕๗)

       ครั้งหนึ่ง  พระพุทธองค์เสด็จจาริกจากอาปาณนิคม  ตรงไปยังนคร

กุสินารา  พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์จำนวน ๑,๒๕๐ รูป  พวกมัลลกษัตริย์พอได้

สดับข่าวการเสด็จมาของพระผู้มีพระภาค  ก็ได้ตระเตรียมต้อนรับเป็นการ

ใหญ่  ออกประกาศว่า  หากใครไม่จัดการต้อนรับเสด็จจะต้องถูกปรับสิน

ไหมเป็นเงิน ๕๐๐ กษาปณ์  และเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาถึง  ก็ทรงได้รับ

การต้อนรับอย่างมโหฬารยิ่ง  มัลลกษัตริย์องค์หนึ่งชื่อโรชะ  เป็นสหายของ

ท่านพระอานนท์ก็เสด็จไปถวายการร้อนรับด้วย  ครั้นถวายการต้อนรับ

พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว  ก็เสด็จเข้าไปหาท่านพระอานนท์  อภิวาทแล้ว

ประทับนั่งที่สมควร  ท่านพระอานนท์ได้ปราศรัยเป็นเชิงชมเชยว่า  "แหม!

ท่านโรชะ  ท่านจัดการต้อนรับพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างมโหฬารเชียง"

       เจ้าโรชะตรัสว่า  "ที่ไหนได้ท่านอานนท์  พระพุทธ  พระธรรม

พระสงฆ์  ไม่ทำให้ผมจัดการต้อนรับใหญ่อย่างนี้เลย  พระญาติของผมต่าง

หาก  ได้ตั้งกติกาไว้ว่า  หากผู้ใดไม่จัดการต้อนรับเสด็จ  ผู้นั้นจะถูกปรับ

สินไหม  เป็นเงิน ๕๐๐ กษาปณ์  ผมกลัวถูกปรับสินไหมดอก  จึงได้จัด

การต้อนรับเสด็จครั้งนี้"

       ท่านพระอานนท์ได้ฟังพระดำรัสของเจ้าโรชะ  แล้วไม่พอใจ  รีบเข้า

เฝ้าพระพุทธเจ้า  ทูลเล่าเรื่องให้ทรงทราบ  และทูลแนะขึ้นว่า  เจ้าโรชะเป็น

คนมีชื่อเสียงมีคนรู้จักมาก  การชักจูงให้คนมีชื่อเสียงอย่างนี้มาเลื่อมใสใน

พระศาสนา  จะทำให้มีอิทธิพลมากขึ้น  และทูลขอให้พระพุทธองค์ทรง

บันดาลให้เจ้าโรชะมีความเลื่อมใสในพระพุทธองค์  พระพุทธองค์ทรงรับว่า

การบันดาลให้เจ้าโรชะเลื่อมใสนั้นไม่ยากเลยแล้วทรงแผ่เมตตาจิตไปยังเจ้า

โรชะ  ครั้นแล้วเสด็จลุกจากอาสนะเสด็จเข้าสู่พระวิหาร  ฝ่ายเจ้าโรชะพอถูก

เมตตาจิตของพระพุทธองค์ก็บังเกิดความเลื่อมใส  เสด็จลุกจากอาสนะ

เที่ยวค้นหาพระพุทธองค์ตามพระวิหาร  ตามบริเวณทั่วทุกแห่งก็ไม่พบ 

ตรัสถามพระภิกษุทั้งหลายว่า  พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่ไหน  พระภิกษุทูล

แนะนำว่า  พระพุทธองค์ประทับอยู่ในพระวิหาร  เวลานี้ประตูปิดสนิทแล้ว

ขอให้สงบเสียงเสด็จตรงไปที่ประตู  และทรงเคาะประตูนั้น  พระพุทธองค์

จักทรงเปิดรับท่าน  เจ้าโรชะได้ทรงปฏิบัติดังนั้น  จึงได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์

จึงทรงแสดง  อนุปุพพิกถาโปรด  ครั้นเจ้าโรชะมีจิตสะอาดดีแล้ว  จึงทรง

แสดงอริยสัจจ์    ครั้นจบพระธรรมเทศนาเจ้าโรชะได้ดวงตาเห็นธรรม

       วันต่อมาเจ้าโรชะจะถวานทานแด่พระพุทธองค์  และพระภิกษุสงฆ์

แต่ไม่ได้โอกาสตามลำดับ  เพราะมีคนมากมายจัดตั้งลำดับภัตตาหารไว้

แล้ว  ท่านเห็นว่ายังขาดผักสด  และขนมทำด้วยแป้งจึงเข้าไปหาท่านพระ

อานนท์ขอคำแนะนำว่า  จะถวายผักสด  และขนมทำด้วยแป้งจะได้ไหม?

ท่านพระอานนท์จึงไปทูลถามพระพุทธเจ้าแล้วกลับมาแจ้งให้เจ้าโรชะทราบ

ว่า ทรงอนุญาตให้จัดถวายได้  เจ้าโรชะได้ถวายสมประสงค์  ก็พอพระทัยยิ่ง

(๕๘)

       ก่อนหน้านี้  เจ้าโรชะเคยส่งศาส์นไปอาราธนาท่านพระอานนท์ให้ไป

หาท่าน  และเมื่อท่านพระอานนท์ไปถึงแล้ว  ท่านนิมนต์ให้ท่านพระอานนท์

สึกออกไปครอบครองเมืองด้วยกัน(๕๙)

       ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ได้เสด็จเข้าไปจำพรรษา ณ ป่า  ปาริไลยกะ

เพราะพวกภิกษุชาวเมืองโกสัมพี แตกสามัคคีกัน  ขณะที่เสด็จจำพรรษา ณ

ที่นั่น  ท่านพระอานนท์ไม่ได้ตามเสด็จด้วย  ทรงได้รับการอุปัฏฐากจากช้าง

ปาริไลยกะ  เป็นอย่างดี  จนข่าวนี้ได้เลื่องลือกันไปทั่วชมพูทวีป  บรรดาผู้

เลื่อมใสศรัทธาในพระองค์ท่านมีท่านอนาถบิณฑิกะ  และนางวิสาขา

มหาอุบาสิกาเป็นต้น  ต่างก็กระหายใคร่จะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ากัน

จึงได้ส่งสาส์นไปยังท่านพระอานนท์  ขอให้ท่านนำเสด็จพระพุทธเจ้ามาให้

พวกตนได้เข้าเฝ้า  และพวกพระภิกษุที่อยู่อาศัยในทิศต่าง ๆ  ประมาณ

๕๐๐ รูป  ครั้นออกพรรษาแล้ว  ก็ได้ไปหาท่านพระอานนท์กล่าวว่า  พวก

ท่านไม่ได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์มาเป็นเวลานานแล้ว  ขอให้ท่านพระ

อานนท์ช่วยให้ได้ฟังธรรมเทศนาจากพระพุทธองค์ด้วย  ทา่นพระอานนท์

จึงนำภิกษุเหล่านั้นไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่ป่าปาริไลยกะ  ครั้นเดินทางไปใกล้

จะถึงที่ประทับ  ท่านให้ภิกษุทั้งหลายหยุดรออยู่ภายนอกก่อน  ท่านเดินไป

แต่ผู้เดียวเพราะคิดว่า  พระพุทธองค์ประทับแต่ลำพังพระองค์เดียวมาตั้ง

๓ เดือนแล้ว  การนำภิกษุจำนวนมากเข้าไปขณะนี้คงไม่เหมาะ  เมื่อท่าน

เดินไปเฝ้านั้น  ช้างปาริไลยกะไม่พอใจ  จับท่อนไม้จะปาท่าน  แต่พระพุทธ

องค์ทรงเห็นเสียก่อน  จึงตรัสบอกแก่ช้างปาริไลยกะว่า ภิกษุที่เดินมานั้น

เป็นพุทธุปัฏฐากของพระพุทธองค์  ช้างปาริไลยกะ จึงทิ้งท่อนไม้  และ

แสดงอาการจะรับบาตรและจีวร  แต่ท่านไม่ให้  ช้างจึงตั้งข้อสังเกตว่า

หากท่านได้ศึกษาวัตรดีแล้ว  ก็คงจักไม่วางบริขารของตนบนแผ่นศิลาที่

ประทับของพระศาสดา  และก็เป็นจริงตามนั้น  คือท่านได้วางบาตร จีวร

ของตนลงบนพื้นดินและอภิวาทพระพุทธองค์  ทูลขออนุญาตนำภิกษุเข้า

เฝ้า  แล้วทูลเล่าเรื่องที่ชาวนครต่างพากันคิดถึงพระองค์  ใคร่จะได้สดับ

ตรับฟังธรรมจากพระองค์  แล้วในที่สุดท่านได้ทูลนิมนต์พระพุทธองค์ให้

เสด็จกลับได้สำเร็จ(๖๐)

       ในปาสราสิสูตรเล่าไว้ว่า  พระภิกษุหลายรูปขอร้องให้ท่านพระ

อานนท์ช่วยสงเคราะห์ให้พวกตนได้ฟังธรรมีกถาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มี

พระภาค  ท่านก็ช่วยเหลือจนพวกภิกษุเหล่านั้นได้ฟังธรรมีกถาจากพระ

พุทธองค์สมปรารถนา(๖๑)

       งานที่ลือชื่ออีกอันหนึ่งของท่านซึ่งอดกล่าวเสียมิได้คือ  ท่านเป็น

ต้นเหตุ  ให้มีภิกษุณีบริษัทขึ้นในสังฆมณฑล  ดังมีเรื่องย่อว่า  ครั้งหนึ่ง

พระพุทธองค์เสด็จไปนครกบิลพัสดุ์  (ครั้งที่พระบิดาปรินิพพาน)  พักอยู่

ที่นิโครธาราม  พระนางปชาบดีโคตมีพระน้านางได้เข้าเฝ้าทูลขออุปสมบท

ถึง ๓ ครั้ง  แต่พระพุทธองค์ทรงห้ามไว้  พระนางเศร้าเสียพระทัยมาก

ครั้งพระพุทธองค์เสด็จออกจากนคร  กบิลพัสดุ์  ไปพักอยู่ที่กูฏาคารศาลา

ป่ามหาวันนครเวสาลี  พระนางพร้อมด้วยศากยกุมารีหลายองค์ทรงปลง

พระเกษา  นุ่งผ้ากาสาวพัสตร์เสด็จด้วยพระบาทเปล่าไปจนถึงที่กูฏาคาร

ศาลาประทับยืนร้องไห้อยู่ที่ซุ้มประตูด้านนอกพระวิหาร  พระอานนท์มา

พบพระนางมีพระวรกายเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่ง  พระพักตร์นองด้วยพระ

อัสสุชล  หม่นหมอง  ยืนร้องไห้อยู่เช่นนั้นก็รู้สึกสงสาร  จึงนำความไป

กราบทูลให้ทรงทราบ  แล้วทูลขอให้พระพุทธองค์ทรงอนุเคราะห์  แก่พระ

น้านาง และพระญาติทั้งหลาย  ในตอนแรกพระองค์ทรงปฏิเสธไม่ทรง

อนุญาตแต่ด้วยปรีชาฉลาดในเหตุผลของท่านที่ยกเอาสิทธิของสตรีในการ

บำเพ็ญธรรมในพระศาสนาขึ้นมาทูลถามว่า  หากมีสตรีประพฤติธรรม

จะมีผลให้ได้บรรลุคุณธรรมขั้นสูงได้หรือไม่  เมื่อพระพุทธองค์ตรัสตอบว่า

สตรีกับบุรุษมีสิทธิเท่าเทียมกันในการปฏิบัติธรรม  ท่านจึงทูลว่าเพื่อมิให้

ตัดสิทธิของสตรี  ก็ควรให้สตรีบวชได้  และทูลถึงเรื่องพระคุณของพระน้า

นางที่มีต่อพระพุทธองค์  ในที่สุดก็ทรงอนุญาต  แต่ทรงวางเงื่อนไขว่า

หากพระน้านางทรงยอมรับ  ครุธรรม ๘ ประการ  พระองค์จึงจะทรง

อนุญาตให้ผนวชได้  ท่านจึงนำความไปแจ้งแก่พระน้านาง  พระนางปชาบดี

เมื่อได้สดับก็ทรงปลื้มพระทัย  น้อมรับเงื่อนไขทันที และที่สุด  พระนาง

ปชาบดีก็ได้ผนวชเป็นภิษุณีรูปแรก(๖๒)

       ครั้งหนึ่ง  ท่านพระอานนท์เข้าไปสู่สำนักของนางภิกษุณีแห่งหนึ่งแต่

เช้า นางภิกษุณีหลายรูปมาหาท่าน  พูดกับท่านว่า  ภิกษุณีมากรูปในธรรม

วินัยนี้  มีจิตตั้งมั่นดีแล้วในสติปัฏฐาน ๔ ย่อมรู้คุณวิเศษอย่างยิ่ง  นอกจาก

คุณวิเศษในกาลก่อน  ท่านยอมรับว่าข้อนั้นเป็นความจริง  แล้วท่านแสดง

ธรรมให้นางภิกษุณีทั้งหลายฟังจนเห็นได้ชัด  ให้สมาทาน  ให้อาจหาญ  ให้

รื่นเริง  แล้วจากไป  และเมื่อกลับไปสู่พระเชตวันที่ประทับของพระพุทธ

องค์  ทูลเล่าเรื่องนี้ให้ทรงทราบพระพุทธองค์ทรงรับรองว่า  เป็นอย่างที่ท่าน

แสดงแล้ว  และได้ทรงแสดงธรรมเทศนานั้นให้ท่านฟังโดยพิสดารอีก(๖๓)

       นอกจากเป็นที่ปรึกษาของพวกภิกษุ อุบาสก  อุบาสิกาแล้ว  ท่านพระ

อานนท์ยังเป็นขวัญใจของพวกอาพาธอีกด้วย  ดังจะยกตัวอย่างมาเล่าไว้

พอเป็นข้อสังเกต ดังต่อไปนี้

       สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปตามเสนาสนะต่าง ๆ  กับท่านได้

ทอดพระเนตรเห็นภิกษุอาพาธรูปหนึ่ง  นอนจมกองมูตรกองคูถของตนอยู่

จึงเสด็จเข้าไปใกล้ตรัสถามว่า เป็นโรคอะไร?  ทำไม ไม่มีใครพยาบาล?

ภิกษุนั้นทูลว่าเป็นโรคท้องร่วง  ที่ไม่มีผู้พยาบาลก็เพราะท่านไม่ได้ทำ

อุปการะแก่ภิกษุทั้งหลายไว้  เมื่อทรงทราบดังนั้นจึงรับสั่งให้ท่านพระ

อานนท์ไปตักน้ำมาถวาย  แล้วพระองค์ทรงรดน้ำอาบให้  ท่านพระอานนท์

ขัดสี  พระพุทธองค์ทรงยกศีรษะ  ท่านพระอานนท์ยกเท้า  แล้ววางให้นอน

บนเตียง

       และในวันนั้นเองพระพุทธองค์จึงรับสั่งท่านพระอานนท์ให้เรียก

ประชุมสงฆ์  ตรัสปรารภข้อที่ไม่มีใครพยาบาลภิกษุผู้อาพาธรูปนั้นเป็น

ต้นเหตุ  แล้วทรงเทศนาว่า  "ดูกรภิกษุทั้งหลาย  พวกเธอไม่มีมารดา  ไม่มี

บิดา  ผู้ใดเล่าจะพึงพยาบาลพวกเธอ  ถ้าพวกเธอจะไม่พยาบาลกันเอง  ใคร

เล่าจักพยาบาล  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ผู้ใดจะพึงอุปัฏฐากเรา  ผู้นั้นพึง

พยาบาลภิกษุอาพาธ"

       ครั้งหนึ่ง  ท่านพระผัคคุณะอาพาธเป็นไข้หนัก  ท่านพระอานนท์ได้

ทราบจึงกราบทูลเชิญให้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปเยี่ยมท่านผัคคุณะ 

พระพุทธองค์ก็เสด็จไปเยี่ยม  ตรัสถามถึงอาการป่วยไข้ของท่านผัคคุณะ

ท่านพระผัคคุณะจึงทูลว่า  ท่านมีอาพาธแรงกล้ามาก  ไม่อาจอดทนได้

มีทุกขเวทนาจัด  ลมเสียดแทงศีรษะเจ็บปวดเหมือนคนมีกำลังเอามีดโกน

อันคมมาเฉือนศีรษะ  ปวดท้องเหมือนบุรุษฆ่าโคเอามีดชำแหละโคที่คมมา

ชำแหละท้องโค  เจ็บปวดเร่าร้อนทั่วกาย  เหมือนคนมีกำลัง    คน  จับ

แขนคนละข้างดึงไปลนย่างบนหลุมถ่านไฟ  ฉะนั้น

       พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงธรรม  ทำให้ท่านพระผัคคุณะสำเร็จเป็น

พระโสดาบัน(๖๔)

       ครั้งหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่    พระเชตวันมหาวิหาร

ใกล้นครสาวัตถี  ท่านพระอานนท์ได้ทราบว่า  ท่านพระคิริมานันทะอาพาธ

หนัก  จึงเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า  ทูลอาราธนาให้พระองค์เสด็จไปเยี่ยม  พระ

พุทธองค์ตรัสใช้ให้ท่านไปเยี่ยมแทน  และรับสั่งให้ท่านเรียนสัญญา ๑๐

ประการ  เพื่อนำไปสวดให้ท่านพระคิริมานันทะฟัง เมื่อท่านเรียนจนจำ

คล่องแคล่วขึ้นใจแล้ว  จึงทูลลาไปหาท่านพระคิริมานันทะ  สวดสัญญา ๑๐

ประการให้ฟัง  ครั้นท่านคิริมานันทะได้ฟังสัญญา ๑๐ ประการ  อาพาธของ

ท่านก็สงบระงับลงทันที(๖๕)

       ครั้งหนึ่ง  ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นไข้หนักลุกจากที่นอนไม่ได้

ได้สั่งให้คนใช้ของท่านนำอาการไข้ไปกราบทูลพระพุทธเจ้าที่พระเชตวัน

และให้นิมนต์ท่านพระสารีบุตรไปเทศนาให้ท่านฟังด้วย  เมื่อคนใช้ไปกราบ

ทูลพระพุทธเจ้า  และนิมนต์ท่านพระสารีบุตร  ตามคำสั่งของท่านเศรษฐี

แล้ว  ท่านพระสารีบุตร  กับท่านพระอานนท์ได้เข้าไปเยี่ยมท่านเศรษฐี

กล่าวสอนธรรมจนท่านเศรษฐีมีความพอใจในธรรมแล้วจึงลากลับ  เมื่อ

พระเถระทั้งสองกลับไปไม่นาน ท่านเศรษฐีก็ได้ทำกาลกิริยาตายไปเกิดใน

สวรรค์ชั้นดุสิต(๖๖)

       ครั้งหนึ่ง  ท่านสิริวัฑฒ คฤหบดี  ชาวเมืองราชคฤห์ อาพาธเป็นไข้

หนัก  สั่งให้คนใช้ไปนิมนต์ท่านพระอานนท์ให้ไปเยี่ยม  ท่านก็ไปเยี่ยมถึง

บ้านของท่านสิริวัฑฒะ  และได้ถามถึงอาการไข้  ท่านคฤหบดีได้เล่าถวาย

แล้วท่านสอนให้ท่านคฤหบดีพิจารณาเห็นกายในกาย  ให้มีความเพียร

ให้มีสติสัมปชัญญะ  กำจัด  อภิชฌา  และโทมนัสเสีย(๖๗)

       ท่านสิริวัฑฒะ  รับว่า  ท่านมีคุณธรรมนี้ทุกประการแล้ว  และท่าน

พระอานนท์ก็รับรองว่าท่านสิริวัฑฒะ  ได้สำเร็จเป็นพระอนาคามี

บุคคล(๖๗)

       และในคราวที่มานทินนคฤหบดี  ชาวเมืองราชคฤห์  อาพาธหนัก

ท่านพระอานนท์ก็ได้ไปเยี่ยม  และแสดงธรรมเรื่องเดียวกันนี้ให้ฟัง

ในที่สุดมานทินนคฤหบดี  ก็ได้สำเร็จอนาคามีผล  เช่นเดียวกัน(๖๙)

       โดยปรกติ  ท่านพระอานนท์เป็นคนช่างคิด  และช่างสังเกตเช่น

ครั้งหนึ่ง  ท่านสังเกตเห็นพระอาทิตย์  พระจันทร์  และพระราชาแล้วนึก

เปรียบเทียบว่ามีรัศมีเทียบกับพระพุทธเจ้าไม่ได้เลย(๗๐)  นอกจากนั้น

ท่านยังเป็นคนชอบศึกษา  และชอบไต่ถามอีกด้วย  เรื่องที่ทูลถามพระ

พุทธองค์นั้นมีมากมาย  ล้วนแต่เป็นประโยชน์แก่การปฏิบัติทั้งสิ้น เช่น

เรื่อง นิโรธ(๗๑)  โลก(๗๒)  สุญญะ(๗๓)  เวทนา(๗๔)  อิทธิ(๗๕)

อานาปานสติ(๗๖)  ภวะ(๗๗)  อานิสงส์ของศีล(๗๘)

อานิสงส์ของสมาธิ(๗๙)  สังฆเภท(๘๐)  คุณธรรมของภิกษุผู้สอนธรรม

แก่ภิกษุณี(๘๑)  คันธชาติ(๘๒)  ผาสุกวิหารธรรม(๘๓)  ลักษณะภิกษุ

ผู้เป็นบัณฑิต(๘๔)  ที่เกิดของอาชาไนย(๘๕)  อุโบสถของพระพุทธเจ้า

ทั้งหลาย (๘๖)  และเหตุที่เสด็จออกผนวช  อันเป็นเหตุให้ทรงแสดง

ปัพพชาสูตร(๘๗)  เป็นต้น

       นอกจากทูลถามปัญหาธรรมต่าง ๆ แล้ว ท่านยังทูลถามเหตุการณ์

ที่ทำให้พระพุทธองค์ทรงแย้ม(๘๘)  และทรงนิ่งเฉย(๘๙)  หรือเมื่อท่าน

ได้พบเหตุการณ์  สถานที่  และบุคคลที่น่าสนใจอะไร ๆ  ก็ทูลถามให้

ทรงเล่าให้ฟังเสมอ ๆ เช่น  ในคราวตามเสด็จไปถึงบ้านญาติกา  ท่านได้

ทูลถามถึงบุคคลต่าง ๆ  ในบ้านนั้น  ซึ่งได้ตายไปแล้ว  พระพุทธองค์ก็ทรง

เล่าประวัติแต่ละคนให้ท่านฟัง  ว่าคนมีคุณธรรมนั้น ๆ  ตายแล้วไปเกิดที่

นั้น ๆ  ดังนี้เป็นต้น (๙๐)  ครั้งหนึ่ง  ท่านเดินไปโคจรบิณฑบาตในนคร

สาวัตถี  ได้เห็นรถของชาณุสโสณีพราหมณ์  สวยงามมาก  ตัวรถสีขาว

และเครื่องประดับรถทั้งหมดก็สีขาว  เมื่อท่านกลับจากบิณฑบาติก็ได้ทูล

เรื่องนี้ให้ทรงทราบ  แล้วขอให้ทรงบัญญัติยานอันประเสริฐเช่นนั้นบ้าง

พระพุทธองค์จึงตรัสว่า  อริยมรรคนั่นแหละ  เรียกว่า  พรหมยาน  ก็ได้

ธรรมยาน  ก็ได้และรถพิชัยสงคราม  ก็ได้(๙๑)

       เนื่องด้วยพรข้อ ๘  และการอยู่อุปัฏฐากอย่างใกล้ชิดกับพระพุทธองค์

ท่านจึงได้เรียนธรรมจากพระพุทธองค์ถึง ๘๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ 

ธรรมเหล่านี้  พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่คนอื่น  แล้วทรงเล่าให้ท่านฟังอีก

ครั้งหนึ่งก็มี  และที่ทรงแสดงแก่คนอื่น  แล้วทรงเล่าให้ท่านฟังอีกครั้งหนึ่ง

ก็มี  และที่ทรงแสดงธรรมแก่ท่านโดยตรงก็มี  ธรรมที่ทรงแสดงแก่ท่านมี

ปรากฏอยู่ในพระสูตรต่าง ๆ  เช่น อานันทสูตร(๙๒)  คิลานสุตร(๙๓)

อธิมุตติสูตร(๙๔)  อันธกวินทสูตร(๙๕)  สมาทปกสูตร(๙๖)  มหาปริ

นิพพานสูตร(๙๗)  มหานิทานสูตร(๙๘)  มหาสุทัสสนสูตร(๙๙) 

อุทานยิสูตร(๑๐๐) เป็นต้น

       แต่บางคราว  พระพุทธองค์ทรงใช้ให้ท่านแสดงธรรมแทนพระองค์

ก็มี  เช่นในคราวที่เสด็จประทับอยู่    สัณฐาคารศาลา  กรุงกบิลพัสดุ์

ตรัสใช้ให้ท่านแสดงเสขปฏิปทาแก่ภิกษุสงฆ์  และพวกศากยะทั้ง

หลาย(๑๐๑)  อีกครั้งหนึ่ง  ขณะประทับอยู่ที่พระเชตวันมหาวิหาร

นครสาวัตถี  ตรัสใช้ให้ท่านแสดง  อัพภูตธรรมแก่ภิกษุทังหลาย(๑๐๒)

       ธรรมเทศนาที่ท่านสนทนากับภิกษุอื่น ๆ  แล้วนำไปกราบทูลให้

ทรงทราบ  พระพุทธองค์ทรงรับรองว่า  กล่าวถูกต้องดี  แล้วทรงอธิบาย

ซ้ำแก่ท่านอีก  ก็มีมากมาย  เช่น  อานันทภัทเทกรัตตสูตร(๑๐๓)  เป็นต้น

       บางทีท่านทูลให้พระองค์ทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุสงฆ์  หรือสมณ

พรหมณ์อื่น ๆ ที่ท่านเห็นว่าจะได้ประโยชน์  เช่น  ทูลขอให้ทรงแสดง

ปาฏิโมกข์แก่ภิกษุทั้งหลาย  ซึ่งนั่งรอเพื่อฟังปาฏิโมกข์อยู่จนเหน็ด

เหนื่อย(๑๐๔)  ทูลขอให้ทรงสนทนาธรรมกับสัจจกนิครนถ์  ผู้เป็นนักโต้

วาที  สำคัญตนว่าเป็นปราชญ์  ปรารถนาจะติเตียนพระรัตนตรัย(๑๐๕)

และทูลขอให้พระพุทธองค์เสด็จไปเทศนาโปรดสังครวพราหมณ์

ชาวเมืองสาวัตถี  ผู้ถือผิดว่าคนเราบริสุทธิ์ได้ด้วยน้ำ  จึงถือการอาบน้ำ

ชำระกายทั้งเช้าและเย็น(๑๐๖)

       คุณธรรมอีกอย่างหนึ่งของท่านพระอานนท์  คือ  เป็นผู้สุภาพ

อ่อนโยน  มีนิสัยละมุนละไมน่ารัก  ทั้งมีความเคารพยำเกรงในพระเถระ

ผู้ใหญ่  ด้วยเหตุนี้ท่านจึงเป็นที่รักของพระมหาเถระทั้งหลาย  มีท่านพระ

สารีบุตร  พระมหาโมคคัลลานะและท่านพระมหากัสสปเป็นต้น  และ

ท่านได้พบปะสนทนากับพระมหาเถระเหล่านี้บ่อยๆ (๑๐๗)

       ในคัมภีร์อังคุตตรนิกาย  ได้กล่าวถึงการสนทนาธรรมระหว่างท่าน

กับพระสารีบุตร ไว้หลายเรื่อง  เช่น  เรื่องเกี่ยวกับนิพพาน(๑๐๘)

สมาธิ(๑๐๙)  ภิกษุผู้ฉลาด(๑๑๐)  และภิกษุผู้ไม่ได้สดับ(๑๑๑)

       จากการสนทนาธรรมเหล่านี้  ท่านพระสารีบุตรผู้ซึ่งได้รับเอตทัคคะ

จากพระพุทธองค์ว่า  เป็นยอดแห่งภิกษุณีผู้มีปัญญา  ได้ยกย่องท่านพระ

อานนท์ว่า  มีคุณธรรม ๖ อย่าง คือ

       (๑) เป็นผู้ได้เรียนได้ฟังธรรมมาก

       (๒) เป็นผู้แสดงธรรมตามที่ได้เรียนได้ฟังโดยพิสดาร

       (๓) เป็นผู้สายธยายธรรมโดยพิสดาร

       (๔) เป็นผู้ตรึกตรองเพ่งพิจารณาธรรม

       (๕) เป็นผู้อยู่ใกล้กับพระเถระผู้พหุสูต  ผู้ทรงธรรม  ทรงวินัย 

ทรงมาติกา

       (๖) ท่านได้เข้าหาท่านเหล่านั้น  เพื่อเรียนถามข้อที่ควรถาม

นการอันสมควร(๑๑๒)

       ท่านพระอานนท์มีความเคารพรักในท่านพระสารีบุตรมาก ท่านได้

เคยเก็บอดิเรกจีวรซึ่งเกิดแก่ท่านไว้ถวายแก่ท่านพระสารีบุตร  อันเป็นต้น

เหตุให้ทรงอนุญาตให้เก็บอดิเรกจีวรไว้ได้ ๑๐ วัน(๑๑๓)

       เมื่อท่านได้ทราบข่าวการปรินิพพานของท่านพระสารีบุตรจาก

สามเณรจุนทะ  อุปัฏฐากของท่านพระสารีบุตร  ท่านเสียใจมาก  ได้นำ

ความกราบทูลพระผู้มีพระภาค บรรยายความเสียใจถวายว่า  กายของท่าน

ประหนึ่งจะงอมระงมไป  แม้ทิศทั้งหลายก็ไม่ปรากฏแก่ท่าน  ธรรมก็ไม่

แจ่มแจ้งแก่ท่าน  เพราะการปรินิพพานของท่านพระสารีบุตร  พระผู้มีพระ

ภาคได้ทรงแสดงธรรมแก่ท่านเพื่อปลดเปลื้องความเศร้าเสียใจในโอกาสนี้

โดยพิสดาร(๑๑๔)

       ในเถรคาถา  กล่าวถึงถ้อยคำของท่านพระอานนท์ไว้ตอนหนึ่งว่า

เมื่อท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร  ผู้เป็นกัลยาณมิตรนิพพานไปแล้ว

โลกทั้งหมดนี้ปรากฏแก่ท่านเหมือนมืดมน(๑๑๕)

       ท่านพระอานนท์มีความเคารพรักในท่านพระมหากัสสปเถระมาก

แม้แต่ชื่อของท่านพระมหากัสสป ท่านก็ไม่ยอมระบุ  ดังมีเรื่องเล่าไว้ว่า

ครั้งหนึ่งท่านพระมหากัสสปจะอุปสมบทกุลบุตร  จึงส่งทูตให้ไปนิมนต์

ท่านพระอานนท์มาสวดอนุสาวนา  ท่านไม่รับโดยให้เหตุผลว่า  ท่านไม่

อาจระบุชื่อของท่านพระมหากัสสปได้ เพราะท่านพระมหากัสสปเป็นที่

เคารพของท่าน  เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบเรื่องนี้เข้า  ก็ทรงบัญญัติให้

สวดอนุสาวนาระบุชื่อโคตรกันได้(๑๑๖) และในการสนทนากับท่านพระ

มหากัสสปเถระท่านใช้คำว่า ภนฺเต เสมอ(๑๑๗)

       เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้ว  ท่านพระมหากัสสปเถระ

ได้รับอนุมัติจากสงฆ์ให้เลือกพระภิกษุผู้เชี่ยวชาญในพระธรรมวินัย จำนวน

๕๐๐ รูป เพื่อทำปฐมสังคายนา  ท่านพระมหากัสสปเถระเลือกได้ ๔๙๙ รูป

อีกรูปหนึ่งท่านไม่ยอมเลือก ความจริงท่านต้องการจะเลือกเอาท่านพระ

อานนท์  แต่ขณะนั้นท่านพระอานนท์ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์  ครั้นจะเลือก

ท่านพระอานนท์ก็เกรงจะถูกคหาว่า "เห็นแก่หน้า"  เพราะท่านรักพระ

อานนท์มาก  แต่ครั้นจะเลือกภิกษุอื่น ไม่เลือกท่านพระอานนท์  ก็เกรงว่า

การทำสังคายนาครั้งนี้จักไม่สำเร็จผลด้วยดี  เพราะท่านพระอานนท์ได้รับ

ยกย่องจากพระพุทธองค์ว่าเป็นพหุสูตเป็นธรรมภัณฑาคาริก  จึงได้ระบุชื่อ

พระเถระอื่น ๆ ๔๙๙ รูป  แล้วนิ่งเสีย  ต่อพระสงฆ์ลงมติว่าท่านพระ

อานนท์ควรจะเข้าร่วมทำสังคายนาครั้งนี้ด้วย  ท่านจึงได้รับเข้าเป็นคณะสงฆ์

ผู้จะทำสังคายนา  ครบจำนวน ๕๐๐ รูป

       เมื่อได้รับคัดเลือกแล้ว  ท่านได้เดินทางจากนครกุสินารากลับไปยัง

นครสาวัตถีอีก  ในระหว่างทางท่านได้แสดงพระธรรมเทศนาแก่ประชาชน

จำนวนมากที่เศร้าโศกเสียใจ  เพราะการปรินิพพานของพระพุทธองค์  เมื่อ

ถึงพระเชตวันมหาวิหาร  ท่านก็ได้ปฏิบัติปัดกวาดพระคันธกุฏีเสมือนเมื่อ

พระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่  นอกจากปฏิบัติพระคันธกุฏีแล้ว  ท่านได้

ใช้เวลาส่วนมากให้หมดไปด้วยการยืนและนั่ง  ไม่ค่อยจะได้จำวัด  ด้วยเหตุ

นี้เองจึงทำให้ท่านไม่สบาย  ต้องฉันยาระบายเพื่อให้กายเบา  ครั้นให้

ปฏิสังขรณ์เสนาสนะที่ชำรุดในพระเชตวันสำเร็จแล้ว  พอใกล้วันเข้าพรรษา

จึงได้ออกเดินทางไปสู่กรุงราชคฤห์  เพื่อร่วมทำสังคายนา  เมื่อถึงแล้ว 

ท่านได้ทำความเพียรอย่างหนักเพื่อให้สำเร็จอรหัตต์ก่อนการทำสังคายนา

แต่ก็ยังไม่สำเร็จ  เพื่อน ๆ ได้ตักเตือนท่านว่า  ในวันรุ่งขึ้นท่านจะต้องเข้า

ไปนั่งในสังฆสันนิบาตแล้ว  ท่านเองเป็นพระเสขบุคคลอยู่  ขอให้ทำความ

เพียร  อย่าประมาท

       ในคืนนั้น  ท่านได้เดินจงกรม  กำหนดกายคตาสติ  จนจวบปัจจุสมัย

ใกล้รุ่ง  จึงลงจากที่จงกรม  หมายใจจะหยุดนอนพักผ่อนในวิหารสักครู่

ก่อน  แต่พอเอนกายลงนอน ศีรษะยังไม่ทันถึงหมอนและเท้าทั้งสองยัง

ไม่พ้นจากพื้น  ก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์(๑๑๘)

       ครั้นถึงเวลาประชุมทำสังคายนา  พระเถระอื่น ๆ ก็พากันไปยังธรรม

สภา ณ ถ้ำสัตตบรรณคูหากันอย่างพร้อมเพรียง  และต่างรูปต่างก็นั่งอยู่ ณ

อาสนะแห่งตน ๆ แต่อาสนะของท่านพระอานนท์ยังว่างอยู่  เพราะท่าน

พระอานนท์คิดใครจะประกาศให้พระเถระทั้งหลายได้ทราบว่า  ท่านได้

สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว  จึงไม่ได้ไปพร้อมกับพระเถระอื่น ๆ เมื่อ

กำหนดกาลเวลาพอเหมาะแล้ว  ท่านจึงแทรกดินลงไป  และผุดขึ้น 

อาสนะแห่งตน แต่บางท่านกล่าวว่า  ท่านเหาะไปทางอากาศตกลงบน

อาสนะของท่าน(๑๑๙)

       ในอรรถกถาคาถากล่าวไว้อีกนัยหนึ่งว่า  พรหมสุทธาวาส  องค์หนึ่ง

ได้ไปประกาศในที่ประชุมสงฆ์สังคีติกาจารย์ว่า  ท่านพระอานนท์ได้สำเร็จ

เป็นพระอรหันต์แล้ว(๑๒๐)

       ได้ยินว่า  พระอานนท์เถระไม่เคยเหยียดหลังบนเตียงตลอด ๑๕ ปี

จนปรินิพพาน.

       เมื่อท่านไปปรากฏตัวในสังฆสันนิบาตนั้นแล้ว  ท่านพระมหากัสสป

ก็ปรึกษากับสงฆ์ทั้งปวงว่าจะสังคายนาอะไรก่อน?  และจะให้ใครวิสัชชนา

อะไร?  ที่ประชุมตกลงให้สังคายนาวินัยก่อนและเสนอให้ท่านพระอุบาลี

วิสัชนาพระวินัยปิฏก และให้ท่านพระอานนท์  วิสัชชนาพระธรรม(๑๒๑)

       ในการประชุมสังฆสันนิบาตครั้งนั้น  ท่านพระอานนท์ถูกพระเถระ

ทั้งหลายปรับอาบัติทุกกฏ ๕ กระทง  ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่าท่านไม่ผิด  แต่ท่านก็

ยอมรับ  และยอมแสดงอาบัติทุกกฎนั้น ๆ ทุกกระทง คือ

       (๑) พระเถระทั้งหลายโจทท่านว่า  เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสให้ถอด

ถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้บ้าง แต่ท่านไม่ทูลถามว่า  ได้แก่อะไรบ้าง 

นี่แหละเป็นอาบัติทุกกฎ  ขอให้ท่านแสดงอาบัติเสียท่านตอบว่า  "กระผม

ระลึกไม่ได้"  และไม่เห็นว่าการไม่ทูลถามนี้จะเป็นอาบัติทุกกฎ  แต่กระผม

เชื่อท่านทั้งหลาย  จึงยอมแสดงอาบัติ"

       (๒) พระเถระทั้งหลายโจทว่า  เวลาท่านเย็บผ้าวัสสิกสาฏกยองพระผู้

มีพระภาค  ท่านเอาเท้าเหยียบผ้าวัสสิกสาฏกนั้น ข้อนี้เป็นอาบัติทุกกฎ 

ขอให้แสดงอาบัตินั้นเสีย  ท่านตอบว่า  "กระผมเหยียบโดยความไม่เคารพ

ก็หามิได้  จึงเห็นว่าไม่เป็นอาบัติ  แต่เพราะเชื่อท่านทั้งหลาย กระผมยอม

แสดงอาบัตินั้น"

       (๓) พระเถระทั้งหลายโจทว่า  ข้อที่ท่านให้มาตุคามเข้าถวายบังคม

พระสรีระของพระผู้มีพระภาคก่อน  พระสรีระย่อมเปื้อนด้วยน้ำตาของพวก

นางที่ร้องไห้นั้น  เป็นอาบัติทุกกฎด้วย  ขอให้แสดงเสีย  ท่านตอบว่า 

"กระผมคิดว่า มาตุคามนี้จะได้ไม่ต้องกลับบ้านค่ำเกินไป  จึงให้เข้าก่อน

และเห็นว่าไม่เป็นอาบัติ  แต่เพราะเชื่อท่านทั้งหลาย  กระผมจึงยอมแสดง

อาบัตินั้น"

       (๔) พระเถระทั้งหลายโจทว่า  ข้อที่ท่านไม่ทูลนิมนต์ให้พระผู้มีพระ

ภาคทรงอยู่ต่อไปจนตลอดกัป  เมื่อพระองค์ทรงทำนิมิตโอภาสนั้น  เป็น

อาบัติทุกกฎ  ขอให้แสดงเสีย  ท่านตอบว่า  "กระมถูกมารดลใจจึงไม่ได้

ทูลอ้อนวอน... และเห็นว่าไม่เป็นอาบัติ  แต่เพราะเชื่อท่านทั้งหลาย

กระผมจึงยอมแสดงอาบัตินั้น"

       (๕) พระเถระทั้งหลายโจทว่า  ข้อที่ท่านขวนขวายให้มาตุคามบวชใน

ธรรมวินัยนั้นเป็นอาบัติทุกกฎ  ขอให้แสดงเสีย  ท่านตอบว่า  "ที่ท่านขวน

ขวายให้มาตุคามบวชในธรรมวินัยนี้  ก็เพราะเห็นว่า  พระนางปชาบดีโคตมี

นี้เป็นพระเจ้าแม่น้าของพระผู้มีพระภาค  เป็นผู้ประคับประคองเลี้ยงดู

ทรงประทานขีรธาราแก่พระผู้มีพระภาค  เมื่อพระพุทธมารดาทิวงคต

กระผมเห็นว่าไม่เป็นอาบัติ  แต่เพราะเชื่อท่านทั้งหลายจึงยอมแสดงอาบัติ

นั้น"(๑๒๒)

       หลังจากทำปฐมสังคายนาแล้ว  ท่านพระอานนท์ได้แจ้งให้พระเถระ

ทั้งหลายทราบว่า  พระผู้มีพระภาคได้รับสั่งกับท่านว่า  ให้สงฆ์ลง

พรหมณทัณฑ์แก่พระฉันทะ  พระเถระทั้งหลายจึงมอบให้ท่านไปลงพรหม

ทัณฑ์ตามรับสั่งพร้อมกับภิกษุ ๕๐๐ รูป  ท่านได้โดยสารเรือไปจนถึงนคร

โกสัมพี  ที่ที่พระฉันนะอาศัยอยู่  เมื่อลงจากเรือแล้ว  ได้เข้าพักอาศัยอยู่ใต้

โคนไม้  ใกล้พระราชอุทยานของพระเจ้าอุเทน  ราชาแห่งนครโกสัมพี  ขณะ

นั้น  พระเจ้าอุเทนกับพระมเหสีประทับอยู่ในพระราชอุทยาน  พระมเหสี

ของพระเจ้าอุเทนพอทรงทราบว่า  ท่านพระอานนท์มา ก็ทรงโสมนัสทูลลา

พระสามีไปเยี่ยมท่าน  และเมื่อได้ฟังธรรมจากท่านแล้ว  มีจิตเลื่อมใส

ได้ถวายจีวร ๕๐๐ ผืน  ครั้นพระเจ้าอุเทนทราบเรื่องนี้ก็ไม่ทรงพอพระทัย

ทรงติเตียนว่า  ท่านพระอานนท์จะไปตั้งร้านค้าจีวรหรืออย่างไร?  แล้ว

เสด็จไปหาท่าน ตรัสถามว่า  จะเอาผ้าเหล่านี้ไปทำอะไร?

       ท่านพระอานนท์ทูลถวายว่า

       "จะถวายแก่ภิกษุทั้งหลาย ผู้มีจีวรเก่าคร่ำคร่า" 

       "จะเอาจีวรเก่าคร่ำคร่านี้ไปทำอะไร?"

       "จะเอาไปทำเพดาน"

       "จะเอาเพดานเก่าไปทำอะไร?"

       "จะเอาไปทำผ้าปูฟูก" 

       "จะเอาผ้าปูฟูกเก่าไปทำอะไร?"

       "จะทำเป็นผ้าปูพื้น" 

       "จะเอาผ้าปูพื้นเก่าไปทำอะไร?"

       "เอาไปทำผ้าเช็ดเท้า"

       "เอาผ้าเช็ดเท้าเก่าไปทำอะไร?"

       "เอาไปทำผ้าเช็ดธุลี" 

       "จะเอาผ้าเช็ดธุลีเก่าไปทำอะไร?"

       "เอาไปโขลกขยำกับโคลน แล้วฉาบทาฝา" 

       พระเจ้าอุเทนทรงเลื่อมใสว่า พระศากยบุตรทั้งหลายรู้จักประหยัด

ในการใช้ผ้าดีมาก  จึงได้ถวายจีวรอีก ๕๐๐ ผืน แล้วทรงลาท่าน

พระอานนท์เสด็จกลับ

       จากนั้น ท่านพระอานนท์ได้เข้าไปหาพระฉันนะ  ที่โฆสิตาราม  พูด

กับท่านว่า  สงฆ์ลงพรหมทัณฑ์แก่ท่านแล้ว  พระฉันนะ  พอได้ยินก็เสียใจ

เป็นลมล้มลงกับพื้น  แต่ต่อมาไม่นาน  พระฉันนะก็ได้สำเร็จอรหัตต์

และพ้นจากพรหมทัณฑ์(๑๒๓)

       ความจริง  เมื่อเอกลาภเกิดขึ้น  ท่านพระอานนท์ก็มักจะแจกแบ่ง

ถวายแก่พระเถระอื่นๆ  เช่น   ถวายแก่ท่านพระสารีบุตร  เป็นต้น  หรือไม่

ก็ถวายแก่สัทธิวิหาริกของท่านเอง  ผู้ซึ่งได้มีอุปการะต่อท่านดังเช่นมีเรื่อง

เล่าไว้ว่า  ท่านมีสัทธิวิหาริกประมาณ ๕๐๐ รูป  ในจำนวนนี้  มีภิกษุหนุ่ม

รูปหนึ่งได้อุปัฏฐากท่านด้วยดี เช่น กวาดบริเวณ  ถวายปานียะ  โภชนียะ

ถวายไม้สีฟัน  และน้ำล้างหน้า  ปัดกวาดเวจกุฏี  เรือนไฟ  และเสนาสนะ

ทั้งหลาย  นวดมือเท้าและหลัง  เป็นต้น  ท่านเห็นว่า  ภิกษุรูปนี้มีอุปการะ

ต่อท่านมาก  ท่านจึงถวายจีวร ๕๐๐ ผืน  ซึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลทรง

ถวายท่าน  ให้แก่ภิกษุหนุ่มรูปนี้  แล้วภิกษุหนุ่มรูปนี้ก็นำจีวรเหล่านี้ไป

แจกแบ่งแก่ภิกษุทั้งหลายผู้บวชร่วมอุปัชฌาย์เดียวกัน  ภิกษุทั้งหลายจึง

กล่าวหาว่า  ท่านให้ของด้วยเห็นแก่หน้า  จึงนำความขึ้นกราบทูลพระผู้มี

พระภาค  พระองค์ตรัสเล่าเรื่องที่เป็นจริงให้แก่ภิกษุเหล่านั้นฟัง  พวกเขา

จึงหมดสงสัย(๑๒๔)

       ในบั้นปลายแห่งชีวิต  ท่านพระอานนท์ดูเหมือนจะใช้เวลาส่วนมาก

ให้หมดไปด้วยการอบรมสั่งสอนประชาชน  และฝึกฝนชายหนุ่มทั้งหลาย

ในจำนวนนี้ก็มี ทสมะ  แห่งอัฏฐกนคร(๑๒๕) โคปกโมคคัลลนานะ(๑๒๖)

และสุภโตเทยยบุตร(๑๒๗) เป็นต้น

       ประมาณ พ.ศ. ๔๐ เมื่อท่านพระอานนท์มีอายุได้ ๑๒๐ พรรษา

ก็ทราบว่า  ท่านหมดอายุขัยลงแค่นี้แล้ว  จึงแจ้งแก่คนทั้งหลายว่า 

นับจากวันนั้นไปอีก ๗ วันท่านจะปรินิพพาน  เมื่อประชาชนทั้งหลาย

ที่อยู่ทางฝั่งแม่น้ำโรหิณีทั้งสองฝั่งได้ทราบเข้า  จึงพากันไปยังฝั่ง

แม่น้ำโรหิณี  ต่างฝ่ายต่างก็แสดงความจำนงให้ท่านพระอานนท์ไป

ปรินิพพานที่ฝั่งของพวกตนแต่ฝ่ายเดียวโดยอ้างเหตุว่า 

       พระเถระมีอุปการะมากแก่พวกตน  แต่อีกฝ่ายไม่ยอมโดย

อ้างเหตุผลเช่นเดียวกัน  ท่านเห็นว่าจะเกิดโกลาหลกันขึ้นแน่ 

หากจะไปปรินิพพานฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง  จึงได้เข้าเตโชกสิณเหาะ

ขึ้นบนอากาศเหนือแม่น้ำโรหิณี  แสดงธรรมแก่ประชาชนทั้ง

สองฝั่งน้ำ  แล้วอธิษฐานให้สารีริกธาตุของท่านแตกออกเป็น

๒ ส่วน  ตกลงบนฝั่งแม่น้ำฝั่งละหนึ่งส่วน  พอขาดคำอธิษฐาน

เปลวไฟได้ลุกขึ้น  สรีระของท่านก็แตกออกเป็น ๒ ส่วนตกลง

บนฝั่งทั้งสอง  มหาชนได้พากันเศร้าโศกปริเทวนาการดุจ

แผ่นดินจะถล่มทลาย  คล้ายเมื่อกาลที่พระผู้มีพระภาคปรินิพพาน

ฉะนั้น(๑๒๘)

       แต่หลักฐานบางแห่งเล่าความตอนนี้ต่างออกไปว่า  เมื่อท่านทราบ

วันที่จะปรินิพพานแน่แล้ว จึงได้ออกเดินทางจากแคว้นมคธผ่านไปทาง

นครเวสาลีเพื่อไปนิพพานที่ฝั่งแม่น้ำโรหิณี  พอพระเจ้าอชาตศัตรูทรง

ทราบข่าวนี้ก็เสด็จติดตามท่านไปจนถึงฝั่งแม่น้ำโรหิณีพร้อมด้วยราชบริพาร

จำนวนมาก  ข้างฝ่ายพวกเจ้าลิจฉวีแห่งแคว้นวัชชีเมื่อทรงทราบข่าวนี้  ก็

เสด็จติดตามไปจนถึงฝั่งแม่น้ำโรหิณีพร้อมด้วยราชบริพารจำนวนมาก

เช่นเดียวกัน  ทั้งสองฝ่ายได้ทรงพักอยู่คนละฝั่งแม่น้ำ  ต่างมุ่งมาดปรารถนา

จะได้พระสารีริกธาตุของพระเถระไปบูชาสักการะเฉพาะพวกของตน

ท่านพระอานนท์มองเห็นว่าเหตุการณ์วุ่นวายโกลาหลจะเกิดขึ้น  จึงได้เข้า

เตโชกสิณลอยขึ้นบนอากาศเหนือแม่น้ำโรหิณี  แล้วเปลวไฟก็ลุกขึ้น

สารีริกธาตุได้แตกออกเป็นสองส่วนตกลงสู่ฝั่งแม่น้ำทั้งสองฝั่ง ๆ ละ

๑ ส่วน กษัตริย์และประชาชนทั้งสองฝั่งจึงได้สร้างพระเจดีย์ขึ้นไว้เพื่อ

สักการบูชา    ฝั่งของตน ๆ (๑๒๙)

       ในคัมภีร์อปทานบอกไว้ว่า  ท่านเคยเกิดเป็นท้าวสักกเทวราชมาแล้ว

๓๔ ชาติ  เคยเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิมาแล้ว ๕๘ ชาติ  เป็นพระเจ้า

แผ่นดิน ๘๐๐ ชาติ(๑๓๐)

       ในชาดกได้กล่าวถึงชาติกำเนิดในอดีตชาติของท่านไว้มากมาย

ทั้งที่เป็นมนุษย์  เทวดาและสัตว์เดรัจฉาน คือ

       ก. เคยเกิดเป็นเทวดาและมนุษย์ เช่น (๑) เป็นสุริยกุมาร (ใน

เทวธัมมชาดก)  (๒) เป็นจุฬโลหิตะ (ในมุฌิกชาดก) (๓) เป็นปัชชุนะ

(ในมัจฉชาดก)  (๔) เป็นกาฬกัณณิ (ในกาฬกัณณิชาดก) 

(๕) เป็นราธะ (ในราธชาดก)  (๖) เป็นโปฏฐปาทะ (ในราธชาดก ๒)

(๗) เป็นคามณิจัณฑะ (ในคามณิจัณฑชาดก) (๘) เป็นจุลลโลหิตะ

(ในสาลูกชาดก)  (๙) เป็นทุพภิเสนะ (ทัพพเสนะ)  (ในเอกราชชาดก)

(๑๐) เป็นโปฏฐปาทะ (ในกลาพุชาดก)  (๑๑) เป็นพาราณสีเศรษฐี

(ในปีฐชาดก) (๑๒) เป็นวิเทหดาบส (ในคันธารชาดก) (๑๓) เป็น

สุมังคละ (ในสุมังคชาดก)  (๑๔) เป็นอนุสิสสะ (ในอินทรียชาดก)

(๑๕) เป็นมัณทัพยะ (ในกัณหทีปายนชาดก) (๑๖) เป็นโปติกะ

(ในนิดครธชาดก)  (๑๗) เป็นปัญจสิขะ (ในพิฬารโกสิยชาดก)

(๑๘)เป็นโรหิเนยยะ (ในฆตชาดก)  (๑๙) เป็นยุธิฏฐิละ (ในยุวัญชนชาดก)

(๒๐) เป็นภรตกุมาร (ในทสรถชาดก) (๒๑) เป็นมาตลิ (ในมหากัณหา

ชดก, สุธาโภชนชาดก, เนมีราชชาดก, กุลาวกชาดก, สาธินราชชาดกา)

(๒๒) เป็นกาลิงคะ (ในกาลิคโพธิชาดก, สาธินราชชกดก) (๒๓) เป็น

วิสสุกัมมะ (ในสุรุจิชาดก) (๒๔) เป็นสัมภูตดาบส (ในจิตตสัมภูตชาดก)

(๒๕) เป็นจิตตมิคะ (ในโรหนมิคชาดก) (๒๖) เป็นสุมุขะ (ในหังสชาดก)

(๒๗) เป็นอนุสิสสดาบส (ในสรภังคชาดก) (๒๘) เป็นโสมทัตตกุมาร

(ในจุลลสุตโสมชาดก)  (๒๙) เป็นสุนันทสารภี (ในอุมมทัสตีชาดก) 

(๓๐) เป็นชยัมบดีราชกุมาร (ในกุสชาดก) (๓๑) เป็นนันทะ (ในโสณ

นันทชาดก) (๓๒) เป็นสุมุขะ (ในจุลหังสชาดก มหาหังสชาดก) (๓๓)

เป็นนันทพราหมณ์ (ในมหาสุตโสมชาดก)  (๓๔) เป็นโสมทัตตะ (ในภูมิ

ทัตตชาดก)  (๓๕) เป็นช่างตัดผม (ในมฆเทวชาดก) (๓๗) เป็นศิษย์

ของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ (ในอสาตมันตชาดก)  (๓๗) เป็นหัวหน้าโจร

(ในตัตถชาดก) (๓๘) เป็นพราหมณ์ (ในสารัมภชาดก, นานาฉันทชาดก,

ปลาสชาดก, ชุณหชาดก  สาลิเกทารชาดก,  เสนกชาดก,  นันทิวิสาลชาดก,

ปีฐชาดก, คามมณีจันทชาดก) (๓๙) เป็นรุจาเทวดา (ในกุสนาฬิชาดก)

(๔๐) เป็นนายหัตถาจารย์ (ในสุเมธชาดก) (๔๑) เป็นน้องชายของพระ

โพธิสัตว์ (ในมณิคัณฐชาดก) (๔๒) เป็นคนชาวปัจจันตชนบท (ในมหา

อัสสาโรหชาดก) (๔๓) เป็นอุปัฏฐาก (ในสังขชาดก) (๔๔) เป็นชายคน

หนึ่งในจำนวนพี่น้อง ๗ คน (ในภสกชาดก) (๔๕) เป็นนายแพทย์สีวกะ

(ในสีวิราชชาดก)  (๔๖) เป็นช่างศร (ในมหาชาดก) (๔๗) เป็นปุโรหิต

(ในปรันตปชาดก)

       ข. เคยเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานหลายชาติ เช่น  (๑) เป็นนกแขกเต้า

(ในสังจังกีรชาดก,  มโหสถชาดก,  ราธชาดก)  (๒) เป็นสุนัขจิ้งจอก

(ในคุณชาดก)  (๓) เป็นหงษ์บิดา  (ในวีนีลกชาดก)  (๔) เป็นเต่า

(ในกัจฉปชาดก)  (๕) เป็นพญาเหี้ย (ในจุลลปทุมชาดก)  (๖) เป็นนาก

(ในสสบัณฑิตชาดก)  (๗) เป็นหงษ์หนุ่ม (ในเนรุชาดก)  (๘) เป็นปู

(ในสุวรรณกักกฏกชาดก)  (๙) เป็นพญานาค (ในมหาปทุมชาดก)

(๑๐) เป็นสุนัขสีเหลือง (ในมหาโพธิชาดก)  (๑๑) เป็นพญาแร้ง (ใน

กุณาลชาดก)  (๑๒) เป็นวานรจุลลนันทิยะ (ในจุลลนันทิยชาดก)

(๑๓) เป็นโปฏฐปาทวานร (ในกาฬพาหุชาดก) 

(๑๔) เป็นช้างโอฏฐิพยาธิ (ในทัฬหธรรมชาดก)

       ค. เคยเกิดเป็นพระราชาหลายชาติ  ซึ่งมีปรากฏอยู่ในชาดกต่างๆ

เหล่านี้ คือ (๑) ในนิโครธมิคชาดก (๒) ในกุกกุรชาดก  (๓) ในโภชาชา-

นียชาดก  (๔) ในอาชัญญชาดก   (๕) ในติฏฐชาดก  (๖) ในมหิฬามุข

ชาดก  (๗) ในอภิณหชาดก  (๘) ในมหาสุปินชาดก  (๙) ในกุททาล

ชาดก  (๑๐) ในอีลลีสชาดก  (๑๑) ในมหาสารชาดก  (๑๒) ในสาลิตตก

ชาดก  (๑๓) ในพันธนโมกขชาดก  (๑๔) ในภัคคชาดก  (คัคค)  (๑๕)

ในชุหนุชาดก  (๑๖) ในโมรชาดก  (๑๗) ในสุสิมชาดก (๑๘) ในธังก

ชาดก  (๑๙) ในเอกปัณณชาดก  (๒๐) ในกัลยาณธัมมชาดก  (๒๑) ใน

ติริติวัจฉชาดก  (๒๒) ในสังคามาวจรชาดก  (๒๓) ในวาโลกทกชาดก

(๒๔) ในคิริทันตชาดก  (๒๕) ในปัพพตูปัตถรชาดก  (๒๖) ในปุณณนที

ชาดก  (๒๗) ในกัจฉปชาดก  (๒๘) ในโกสิยชาดก  (๒๙) ในคุตติลชาดก

(๓๐) ในสังกัปปราคชาดก  (๓๑) ในกุณฑกกุจฉิสินธชาดก  (๓๒) ในสิริ

ชาดก  (๓๓) ในเอกราชชาดก  (๓๔) ในสุปัตตชาดก  (๓๕) ในฉวกชาดก

(๓๖) ในสัยหชาดก  (๓๗) ในพรหมทัตตชาดก  (๓๘) ในราโชวาทชาดก

(๓๙) ในเกสวชาดก (๔๐) ในสุสันธีชาดก  (๔๑) ในตุณฑิลชาดก 

(๔๒)  ในนันทิยมิคชาดก  (๔๓) ในอหริตจชาดก  (๔๔) ในอัฏฐสัทท

ชาดก  (๔๕) ในอัฏฐานชาดก  (๔๖) ในจุลลโพธิชาดก  (๔๗)  ในมาตุ

โปสกชาดก (มาติโปสกชาดก)  (๔๘) ในภัททสาลชาดก (๔๙) ในมิตตา-

มิตตชาดก (๕๐) ในอัมพชาดก  (๕๑) ในชวนหังสชาดก  (๕๒) ในทูต

ชาดก  (๕๓ ในรุรุชาดก  (๕๔) ในสรภชาดก  (๕๕) ในอุททาลกชาดก

(๕๖) ในอุททาลกชาดก  (๕๖) ในทสพราหมณชาดก  (๕๗) ในภิกขา-

ปรัมปรชาดก  (๕๘) ในสัตติคุมพชาดก  (๕๙) ในกุมภชาดก  (๖๐) ใน

เตสกุณชาดก  (๖๑) ในสามชาดก  (๖๒) ในเสยยชาดก  (๖๓) ในอัพ-

ภันตรชาดก  (๖๔) เคยเกิดเป็นพระเจ้ากรุงพาราณสี  มีปรากฏในชาดก

ต่าง ๆ เช่น ในกากชาดก  ในตจสารชาดก  ในสังเขปชาดก  ในอาวาริย

ชาดก  ในกุกกุชาดก  ในสุตนชาดก  ในอัฏฐิเสนชาดก  ในมหากปิชาดก

(๖๕) เป็นพระเจ้ามัลลิกะ  (๖๘) เป็นพระเจ้าวังกะ  ในฆตชาดก  (๖๙)

เป็นพระเจ้าโกรัพยะ  ในธูมการีชาดก  (๗๐) เป็นพระเจ้าอัฑฒมาสกะ

ในคังคมาลชาดก (๗๑) เป็นพระเจ้าชนัญชนะ  ในสัมมภวชาดกและวิธูร-

ปัณฑิตชาดก

       ง. เคยเป็นหญิงก็มี เช่น ในมหานารทกัสสปชาดก

       ในธรรมปทัฏฐกถา  เล่าไว้ว่า  ท่านพระอานนท์เคยเกิดเป็นหญิง

บาทบริจาริกาของชายอื่นอยู่ถึง ๑๔ ชาติ  ทั้งนี้  เพราะชาติก่อนหน้านั้น 

ท่านได้เกิดในตระกูลช่างทอง  แล้วทำชู้กับภริยาของชายอื่น  ครั้นตายจาก

นั้นไปเกิดในนรก  จากนั้นจึงไปเกิดเป็นหญิง ถึง ๑๔ ชาติ  และในชาติที่

๑๗  ท่านถูกเขาตอน (๑๓๑)

๑. องฺ.อ. ๑/๓๑๗ ; เถร.อ. ๓/๑๑๑ ; อปทาน.อ. -/๓๐๗ ;

ที.อ. ๒/๑๑๕ ; ม.อ. ๒/๘๑ ; สํ.อ. ๒/๑๑๙

๒. องฺ.อ. ๑/๒๐๕ ; ธ.อ. ๘/๘๐ ; พุทธ.อ. -/๕๐

๓. มหาวสฺตุ. แปล. ๓/๑๗๒ ; พุทธประวัติ ๑/๒๒

๔.ม.อ. ๒/๘๑  ๕. มหาวสฺตุ. แปล. ๓/๑๗๒

๖. เถร.อ. ๓/๑๑ ; อปทาน.อ. -/๓๐๗ 

๗. ชา.อ. ๑/๘๕ ; ปฐม. แปล. -/๕๔ ; ชิน. -/๓๘ ;

       ชิน. แปล. -/๓๑ ; อปทาน.อ. -/๕๘, ๑๓๑

๘. วินย. ๗/๑๕๙-๑๖๑ ; ธ.อ.  ๑/๑๑๙ ; ปฐม. แปล. -/๓๐๕-๖ ;

       ที.อ. ๒/๒๐๖-๗  

๙. วินย.อ. ๕/๔,๒๑๖ ; เถร.อ. ๑/๖๘

๑๐. สํ.อ. ๒/๑๑๙ ; วินย. ๗/๑๖๑ ; ธ.อ. ๑/๑๒๓

๑๑. สํ. ขนฺธ. ๑๗/๑๒๘-๙  ๑๒. ธ.อ. ๑/๑๒๓-๔ ; วินย. ๗/๑๖๓-๔

๑๓. ที.อ. ๒/๑๖ ;  องฺ.อ. ๑/๓๑๘ ; เถร.อ. ๓/๑๑๑ ;

สํ.อ. ๑/๓๐๓-๔ ;  อปทาน.อ. -/๓๐๗ ๑๔. องฺ.อ. ๑/๓๑๘-๙ ;

ที.อ. ๒/๑๖   ๑๕.  องฺ.อ. ๑/๓๑๙ ; ที.อ. ๒/๑๗ ;

ธ.อ. ๒/๑๑๐ ; องฺ. ๒๓/๓๖๖-๗ ๑๖. องฺอ. ๑/๓๑๘-๓๒๐ ;

เถร.อ. ๓/๑๑๑ ;  ที.อ. ๒/๑๗-๑๘ ; อปทาน.อ. -/๓๐๗-๘

๑๗. องฺ.อ. ๑/๓๒๐-๓๒๑ ; ที.อ. ๒/๑๘-๑๙ ;

เถร.อ. ๓/๑๑๑-๒ ;  อปทาน.อ. -/๓๐๘ 

๑๘. ขุ. เถร. ๒๖/๔๐๗ ;  สํ.อ. ๒/๒๒๒ ; อปทาน.อ. - ๙๒-๓,๑๓๗,

๒๔๑, ๒๙๔  ๑๙. องฺ.อ. ๑/๓๑๒-๓๒๒ ; เถร.อ. ๓/๑๐๙-๑๑๒ ;

ชา.อ. ๑/๖๑ ; ม.อ. ๓/๒๖๘ ;  ที.อ. ๒/๑๐๙-๑๑๕ ;

อปทาน.อ. -/๓๐๕-๗ ; ขุ. พุทฺธ. ๓๓/๔๗๙ ;  พุทฺธ.อ. -/๑๙๖

๒๐. องฺ.อ. ๑/๓๒๑-๓๒๒ ; อปทาน.อ. -๓๐๗-๙๐๓ ; เถร.อ. ๓/๑๑๒

๒๑. องฺ.อ. ๑/๓๑๒  ๒๒. ที. มหา. ๑๐/๑๖๖  ๒๓. องฺ.อ. ๑/๓๑๑

๒๔.  ม.อ. ๒/๔๕๔-๕  ๒๕. ขุ. เถร. ๒๖/๕๐๕-๖ ; สํ.อ. ๑/๓๔๑-๒

๒๖. วิภงฺอ.อ. -/๕๐๔  ๒๗. สํ.อ. ๑/๑๑๙ - ๑๒๐ ;  ที.อ. ๒/๑๐๙ ;

       ที. มหา. ๑๐/๖๕   ๒๘. สํ. นิทาน. ๑๖/๑๘๖-๗  ๒๙.ม.อ. ๒/๗๐

๓๐. ที.อ. ๒/๒๔๖-๙  ๓๑. ที. มหา. ๑๐/๑๖๘-๙

๓๒. องฺ. ๒๐/๓๒ ;  ที. มหา. ๑๐/๑๗ ; ที.อ. ๒/๒๐ ; เถร.อ. ๓/๑๑๒ ;

       อปทาน.อ. -/๓๐๙ ; องฺ.อ. ๑/๓๒๒ ; ขุ. เถร. ๒๖/๔๐๘ ;

       ม.อ. ๑/๓๕๘ ;  ม.อ. ๒/๔๕๕ 

๓๓. วินย. ๕/๒๐๗-๓  ๓๔. วินย. ๗/๔๐-๔๔  ๓๕. ธ.อ. ๑/๔๔ 

๓๖.  สํ. มหา. ๑๙/๔๐๔  ๓๗. ที. มหา. ๑๐/๑๗๑  ๓๘. ธ.อ. ๓/๗ 

๓๙. ธ.อ. ๓/๔๑     ๔๐. ที. มหา. ๑๐/๑๗๘ ; ธ.อ. ๔/๖-๗ ;

       วินย. ๗/๓๘๙ ; - ๓๙๓

๔๑. ชา.อ. ๘/๒๑๔-๕ , ๒๔๒ ; ธ.อ. ๑/๑๒๕  ;ปฐม. แปล. ๓๐๘-๙;

ชา.อ. /๕๘๗   ๔๒. วินย. ๕/๕๙-๖๐   ๔๓. วินย. ๕/๑๘๘-๑๙๑

๔๔. ที. มหา. ๑๐/๑๑๘   ๔๕. องฺ. ๒๐/๒๘๒-๓ 

๔๖. ที. มหา. ๑๐/๑๓๔-๑๓๙   ๔๗. ที. มหา. ๑๐/๑๕๙ ; ๑๖๖-๑๗๓

๔๘. ที. มหา. ๑๐/๑๘๒    ๔๙. สํ. สคาถ. ๑๕/๒๗๖-๗ ;

       ขุ. เถร. ๒๖/๔๓๔-๕ ; สํ.อ. ๑/๓๑๘  ๕๐. สํ. สฬา.  ๑๘/๒๐๖-๘

๕๑. องฺ. ๒๓/๔๖๙-๔๗๖   ๕๒. สํ. สฬา. ๑๘/๒๐๘-๙

๕๓. สํ. ขนฺธ. ๑๗/๑๖๓-๑๖๖  ๕๔. สํ. มหา. ๑๙/๒๒๘-๙

๕๕. องฺ. ๒๒/๒๒๕-๖  ๕๖. องฺ. ๒๔/๒๔๐-๒๔๖ ; ม.อ. ๑/๑๓๖

๕๗. สํ. สฬา. ๑๘/๑๔๑-๔  ๕๘. สํ. มหา. ๑๙/๓๔๙-๓๕๑

๕๙. อง. ๒๐/๒๗๗-๒๘๙  ๖๐. องฺ. ๒๐/๒๘๐-๒  ๖๑. องฺ. ๒๐/๒๘๔-๕

๖๒. องฺ. ๒๔/๒๐๙-๒๑๙   ๖๓.  องฺ. ๒๒/๑๘๘-๓๙๓ ;

       องฺ. ๒๔/๑๔๗-๑๕๔  ๖๔.ม.ม. ๑๓/๔๙๘-๕๐๕ 

๖๕. วินย. ๕/๗๖-๘

*๕๗. ชา.อ. ๖/๑๘๔-๑๘๗  ๕๘. วินย. ๕/๑๒๔-๑๒๘ 

๕๙.  ชา.อ. ๓/๓๐๘  ๖๐. ธ.อ. ๗/๑๔๑-๑๔๔ ;  ธ.อ. ๑/๕๓-๕๖

๖๑.ม. มูล. ๑๒/๓๑๒-๓๓๕  ๖๒. วินย. ๗/๓๒๐-๓๒๗  *

๖๓. สํ. มหา. ๑๙/๒๐๖-๒๑๐  ๖๔. วินย. ๕/๒๒๖-๒๒๗ ;

วินย.อ. ๓/๒๔๓  ๖๕. องฺ. ๒๒/๔๐๔-๔๒๙  ๖๖. อง. ๒๔/๑๑๕-๑๒๐

๖๗.ม. อุป. ๑๔/๔๖๔-๔๗๓  ๖๘. สํ. มหา. ๑๙/๒๓๕-๗

๖๙. สํ. มหา. ๑๙/๒๓๗  ๗๐. ธ.อ. ๘/๙๕  ๗๑. สํ. ขนฺธ. ๑๗/๓๐

๗๒. สํ. สฬา. ๑๘/๖๗  ๗๓. สํ. สฬา. ๑๘/๖๗๔ ; ม. อุป. ๑๔/๒๒๖

๗๔. สํ. สฬา. ๑๘/๒๗๒  ๗๕. สํ. มหา. ๑๙/๓๖๓

๗๖. สํ. มหา. ๑๙/๔๑๖-๗  ๗๗. องฺ. ๒๐/๒๘๗  ๗๘. องฺ. ๒๔/๑,๓๓๕

๗๙. องฺ. ๒๔/๘,๓๔๓  ๘๐. อง. ๒๔/๗๘  ๘๑. องฺ. ๒๓/๒๘๘

๘๒. องฺ. ๒๐/๒๙๐, ชา.อ. ๓/๗๔-๖  ๘๓. องฺ. ๒๒/๑๕๐ 

๘๔.ม. อุป. ๑๔/๑๖๗  ๘๕. ธ.อ. ๖/๑๐๕  ๘๖. ธ.อ. ๖/๙๓

๘๗. ขุ. สุตฺต. ๒๕/๔๐๓-๗ ; สุตฺต.อ. ๒/๒๓๑ 

๘๘.ม.ม. ๑๓/๓๔-๓๘๗ ; อง. ๒๒/๒๒๖ ; ชา.อ. ๕/๔๒๗ ;

       ม.อ. ๒/๒๒ ; ธ.อ. ๕/๓๗, ๑๐๘

๘๙. สํ. สฬา. ๑๘/๔๘๖  ๙๐. ที. มหา. ๑๐/๑๐๘ ; สํ. มหา. ๑๙/๔๔๖

๙๑. สํ. มหา. ๑๙/๕๖  ๙๒. สํ. ขนฺธ. ๑๗/๔๖-๗ ; องฺ. ๒๔/๑๖๒-๔

๙๓.  สํ. มหา. ๑๙/๒๐๔-๖.   ๙๔. องฺ. ๒๔/๓๘-๔๔

๙๕. องฺ. ๒๒/๑๕๕-๑๖๐   ๙๖. องฺ. ๒๐/๒๘๕-๗ 

๙๗. ที. มหา. ๑๐/๘๕-๑๙๕  ๙๘. ที. มหา. ๑๐/๖๕-๘๔

๙๙. ที. มหา. ๑๐/๑๙๖-๒๒๘  ๑๐๐.  องฺ. ๒๒/๓๖๐-๓

๑๐๑.ม.ม. ๑๓/๒๕-๓๒  ๑๐๒.ม. อุป. ๑๔/๒๔๖-๒๕๔ 

๑๐๓.ม. อุป. ๑๔/๓๕๒-๖ ;  ควรดู องฺ. ๒๓/๔๕๖ ;

สํ. สคาถ. ๑๕/๑๒๖-๙ ;  สํ. มหา. ๑๙/๒-๓ ; องฺ. ๒๓/๓๘-๔๑ ;

องฺ. ๒๒/๒๐๕ ; ๒๒๔-๖, ๓๘๘, ๔๔๘ ; สํ. สฬา. ๑๓/๒๗๖-๘ ;

ม.ม. ๑๓/๙๔-๕ ; สํ. นิทาน. ๑๖/๓๔-๔๑, ๔๔-๗

๑๐๔. อง. ๒๓/๒๐๗-๙ ; วินย. ๗/๒๘๓-๕, ๒๙๓

๑๐๕.  ม. มูล. ๑๒/๔๓๗-๔๖๓  ๑๐๖. สํ. สคาถ. ๑๕/๒๖๘-๙

๑๐๗.ม. มูล. ๑๒/๓๙๗, ม.อ. ๑/๓๓๓

๑๐๘. องฺ. ๒๑/๒๒๖  ๑๐๙. องฺ. ๒๔/๑๐-๑๑ 

๑๑๐. องฺ. ๒๒/๒๒๔-๕   ๑๑๑. องฺ. ๒๒/๔๐๓-๔

๑๑๒. องฺ. ๒๒/๔๐๔-๕  ๑๑๓. วินย. ๕/๒๐๕-๖ 

๑๑๔. สํ. มหา. ๑๙/๒๑๕-๗ ; สํ.อ. ๓/๓๒๔ 

๑๑๕. ขุ. เถร. ๒๖/๔๐๗  ๑๑๖. วินย. ๔/๑๘๖-๗

๑๑๗. สํ. นิทาน. ๑๖/๒๕๔-๕ ; สํ.อ. ๒/๒๒๐

๑๑๘. วินย. ๗/๓๘๐-๒ ; วินย.อ. ๑/๖-๑๒   ๑๑๙. วินย.อ. ๑/๑๒

๑๒๐. เถร.อ. ๒/๑๓๐   ๑๒๑. วินย. ๗/๓๘๔-๕ ; วินย.อ. ๑/๑๒-๑๖

๑๒๒. วินย. ๗/๓๘๕-๙, ที. มหา. ๑๐/๑๒๐-๑, ๑๓๔-๙ ;

Rockhill -/๑๕๓ ๑๒๓.  วินย. ๗/๓๘๙-๓๙๔ 

๑๒๔ มงฺคล. ๒/๓๐๖-๗  ๑๒๕.ม.ม. ๑๓/๑๘-๒๓ 

๑๒๖.ม. อุป. ๑๔/๘๙-๑๐๐  ๑๒๗. ที. สีล. ๙/๒๕๐-๒๗๒

๑๒๘. ธ.อ. ๓/๑๗๘-๙ ; ในพระไตรปิฏกไม่ได้กล่าวถึงเรื่องปรินิพพาน

ของท่านเลย.  ๑๒๙. บันทึกการท่องเที่วของฟาเหียม (Giles

แปล. ฉบับแคมบริจ)-/๔๔๔ ; Rockhill -/๑๖๕  

๑๓๐. ขุ. อปทาน. ๓๒/๗๕-๖  ๑๓๑. ธ.อ. ๒/๑๔๕