5. ผลของการปฏิบัติธรรมแปลกๆ ที่เกิดขึ้น
        
ในช่วงวันสองวันแรกก็ยังมีปัญหาระหว่างยุบหนอ-พองหนอ กับสติที่จมูกดูลมหายใจอยู่พอถึงวันที่ 3 จึงปลงใจได้ว่า ยุบหนอ-พองหนอไม่ต้องภาวนา ดูลมหายใจเหมือนเดิม และภาวนาอย่างอื่นเช่น นั่งหนอ-ถูกหนอ เจ็บหนอ คิดหนอ เดินจงกลม คืออะไรเด่นชัดที่สุดภาวนาสิ่งนั้นให้ทันเมื่อความกังวลเริ่มคลายจึงภาวนาสบายขึ้น ตัวเริ่มเบา มีอยู่ช่วงหนึ่งขณะนั่งกรรมฐานกำลังดูลมหายใจกระทบท้องอยู่เกิดตัวเบาสว่างนวล เหมือนปุยเมฆ มีความสุขปีติหูยังได้ยินเสียงภายนอกอยู่แต่เบามากสักพักหนึ่งมีเสียงกระสิบใสตรงทีจิตว่า "ให้พยายามทำต่อไป อย่าได้หยุด" หลังจากนั้นอีกประมาณ 10 หรือ 20 นาที ก็เป็นเวลาช่วงพักกรรมฐาน ความจริงเวลาพักกรรมฐาน ข้าพเจ้าก็ยังกำหนดภาวนาอยู่ทุกเวลาแต่อาจไม่เข้มข้นพอวันที่ 4 ของการเข้ากรรมฐานครั้งที่ 2 ข้าพเจ้าพิจารณาว่าเมื่อลมหายใจเข้า ลมหายใจออกก็ต้องพิจารณาให้ทัน จึงต้องมีคำภาวนากำกับ ตกลงใจใช้คำภาวนาว่า "ไม่เทียงเป็นทุกข์ " เมื่อหายใจเข้า และ "ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน" เมื่อหายใจออกโดยมีสติตั้งที่ปลายจมูกเป็นหลัก และเมื่อหายใจเข้าต้องให้พิจารณาเห็นว่าลมไม่เที่ยงจริงต้องเปลี่ยนไปเป็นทุกข์คือทนอยู่ไม่ได้  เมื่อหายใจออก พิจารณาเห็นว่า ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนจริงๆ ยึดถือไม่ได้ ส่วนคำภาวนาอย่างอื่นก็ตามแบบของคณะ 5 ทุกอย่าง [ เสียงเล่าเรื่องตอนนี้ ]
       
พอวันที่ 7 หลังจากพักกรรมฐานช่วง 20.00 น เป็นเวลาที่เตรียมตัวอาบน้ำข้าพเจ้าเห็นว่าช่วงนั้นมีคนใช้ ห้องน้ำกันมาก จึงทำกรรมฐานรอไปเรื่อยๆ แล้วเอนกายลงนอนแต่กำหนดภาวนาอยู่ ความรู้สึกก็หายไปมารู้อีก ครั้งคล้ายเป็นนิมิตที่ชัดเจน เห็นพระอายุประมาณ 50 ผิวขาวท้วมกำลังเดินขึ้นกุฏิ ความรู้สึกก็ได้น้อมมาที่จิต ของตนเองและคำนึงขึ้นว่า เป็นพระนี้ดีหนอถ้าไม่มี ราคะ โทสะ โมหะ จะอยู่อย่างสงบสุขหลังจากนั้นจิต ก็มีความรู้สึกเต็ม แต่ไม่ได้รู้ที่ร่างกาย แล้วรวมตัวดิ่งลงภวังค์ลึก ถอยขึ้นมารับความรู้สึกเหมือนเดิมแล้ว รวมตัวลงภวังค์ลึกไปอีก เป็นอยู่ 3 ครั้ง จึงขึ้นมารับรู้ทั้งตัวทันทีทันใด หลังจากนั้นร่างกายทุกส่วน ก็สะบัดอย่าง รวดเร็วติดต่อกันหลายครั้ง คล้ายปลาที่โดนตีหัว ต่อจากนั้นจิตใจวางเฉยมาก และไม่สนใจเรื่องที่ผ่านมา จึงเตรียมตัวไปอาบน้ำ ขณะที่อยู่ในห้องน้ำพอตักน้ำรดตัวขันแรกก็นึกขึ้นว่า เอะ ! ที่ผ่านมาคืออะไร? จึงคิดเข้าข้างตนเองว่าเป็นมรรคผลนิพพาน ก็บังเกิดตัวร้อนวูบวาบด้วยความดีใจ เมื่ออาบน้ำเสร็จขึ้นมาที่ห้อง ได้พูดกับเพื่อนถึงอารมณ์ที่ผ่านมา แล้วเข้าใจว่าเป็นมรรคผลนิพพาน หลังจากนั้นร่างกายร้อนวูบวาบมากขึ้น มีปีติบังเกิดขึ้นอย่างมากมายคล้ายระลอกคลื่นที่กระทบฝั่ง นอนไม่หลับต้องนั่งตัวโยกเพราะปีติทั้งคืน รุ่งวันใหม่ก็ยังมีปีติอยู่ หลังจากนั้นรู้สึกว่าผิวหนังและกล้ามเนื้อกระชับ ไม่มีอ่อนเพลียและง่วงนอนเลย แถมดวงตาเริ่มมองเห็นรัศมีจากคนทั่วไป และรูปพระต่างๆ ในขณะปกติไม่ใช่ขณะนั่งสมาธิ รัศมีของแต่ละคน นั้นแตกต่างกันตามระดับสมาธิ บุคคลทั่วๆ ไปรัศมีสีเหลืองอ่อนไม่ใสคลุมจางๆ สำหรับผู้ที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ เป็นสีเหลืองอ่อนใสมากขึ้นพอกับผู้ที่เพิ่งเริ่มเข้ากรรมฐานวันแรกๆ ที่เข้ามาทำกรรมฐานที่ทำจริง แต่ผู้ที่ทำกรรมฐาน จะทรงอยู่ตลอดเวลา และผู้ที่ทำกรรมฐานที่ดีขึ้นก็จะมีสีใสมากขึ้นแล้วกระจายเป็นวงกว้างมาขึ้น  มีผู้ทำกรรมฐาน ถึงอีกระดับหนึ่ง  จะมีรัศมีขาวนวลสว่างคลุมอานาบริเวนกว้างประมาณช่วงแขนของตนเองซึ่งมีน้อยคน แต่มีรัศมี ท่านผู้หนึ่งที่ต่างจากบุคคลทั่วไปมากและเป็นอยู่ตลอดเวลา รัศมีของท่านเป็นสีเหลืองทองอ่อนเข้มข้นระยิบระยับ เคลือบผิวอย่างหนาแน่นห่างจากผิวประมาณครึ่งนิ้วถึงหนึ่งนิ้ว แม้ว่าท่านจะเดินอยู่กลางแดดจ้าทามกลางฝูงชน รัศมีของท่านก็ยังคงอยู่ ทั้งที่ช่วงนั้นข้าพเจ้ายังมีความศรัทธาในตัวท่านน้อยอยู่มาก แต่ศรัทธาในตัวหลวงพ่อ มากกว่า ท่านผู้นี้คืออาจารย์ เมื่อข้าพเจ้าสามารถเห็นรัศมีจากผู้อื่นทำให้ข้าพเจ้ามีความหลงในตัวเองมาก ว่าเป็น พระอริยะไปแล้ว [ เสียงเล่าเรื่องตอนนี้ ]
            
ซึ่งสิ่งพิเศษไม่ใช่มีแค่นี้ คือขณะที่นอนกำหนดอยู่พอเคลื่อนลงภวังค์ กายในเริ่มแยกจากร่างกายออกมา พอรู้ตัวก็รีบเข้าร่างกายตัวเองตามเดิม เพราะกลัวว่าออกไปแล้วมาเข้าร่างเดิมไม่ได้ ซึ่งจะทำให้ทำคุณประโยชน์ ต่อพุทธศาสนาไม่ได้ดังที่ตั้งใจ เป็นเช่นนี้หลายครั้ง แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่แปลก  คือเมื่อจิตกำลังเคลื่อนออกจากร่างกาย ได้มองเห็นคน 2 คน คนหนึ่งกำลังกวักมือเรียก การมองเห็นตอนนั้นยังเห็นไม่ชัดเจน และด้วยความวิตกที่ผ่านมา ทำให้ต้องรีบเข้าร่างกายตนเองตามเดิม  อีกอย่างหนึ่งข้าพเจ้ามีญาณรู้เหตุการณ์ปัจจุบันได้แมนยำ ดังมีเรื่องดังนี้ ขณะที่ ข้าพเจ้ากำลังเดินขึ้นชั้น 2 ของคณะ 5 ปกติมีคนเดินขึ้นลงเป็นประจำขณะนั้นข้าพเจ้าได้มองไปบนหลังคา ชั้น 1 สุดขอบหลังคาคณะ  มองเห็นคล้ายกับคลื่นความร้อนตอนที่มองบนถนนในช่วงตอนเที่ยง จิตก็แวบขึ้นมา ว่าไฟไหม้ เลยบอกให้เด็กวัดไปดูและมาทราบผลภายหลังว่าไฟกำลังไหม้หมอนเก่าที่โดนทิ้งไว้บนหลังคา และไม่รู้ ว่าใครสูบบุหรี่ทิ้งก้นบุหรี่บนหมอนพอดี เนื่องจากสถานการณ์เป็นเช่นนี้บวกกับช่วงนี้  ข้าพเจ้ากำหนดภาวนาแล้ว มีการวูบหายไปบ่อยๆ และจะมีญาณรู้อีกอย่างคือ ถ้าขาดหลวงพ่อและอาจารย์ผู้ที่สอนกรรมฐานตามแนว ยุบหนอ- พองหนอ อย่างจริงจัง  คณะ 5 จะรุ่งเรืองน้อยลงในด้านกรรมฐาน
       
ทำให้ข้าพเจ้าหลงมากขึ้นว่าข้าพเจ้ากำลังจะเป็นพระอรหันต์ ซึ่งอาจมีอายุไม่เกิน 7 วันตามตำรา ทำให้ข้าพเจ้า ยากจะบวชมาก และการที่เห็นรัศมีของผู้อื่นได้ไม่ใช่ว่าจะมีเพียงแต่ข้าพเจ้าคนเดียว เพื่อนข้าพเจ้าก็สามารถทำ ได้ด้วย ทำให้เรา 2 คนพากันหลงไปใหญ่ ทั้งที่ได้มีเสียงเตือนมาห้ามหลายครั้งว่าให้หยุด ซึ่งเสียงนี้ได้ยินเพียง สองคนคือข้าพเจ้าและเพื่อนเท่านั้น แต่กำลังโมหะของข้าพเจ้ามีมากกว่า และมีเหตุการณ์ที่ทำให้หลง หลายอย่าง ดังนี้ คืนหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้านอนสนทนากับเพื่อน และมีเด็กวัดคนหนึ่งนอนอยู่ใกล้ๆ คงหลับไป  แล้วลุกขึ้นมา นั่งผมชี้  แล้วลงกราบที่ปลายเท้าข้าพเจ้า อย่างที่ 2 คือ ช่วงพักเทียงกรรมฐานข้าพเจ้ากับเพื่อนชอบเดินไปโบสถ์ใหญ่ เพื่อไปไหว้พระธาตุและพระประธานจะต้องเดินผ่านคณะ 1 พอจะย่างเข้าคณะ 1 มีลมมาหอบข้างหลังทั้ง 2 คน พอย่างเข้าประตูโบสถ์ ก็จะมีลมมาหอบข้างหลัง เมื่อกราบพระเสร็จพอย่างออกประตูโบสถ์ ก็จะมีลมมาหอบข้าง หลังอีก ความรู้สึกนี้ไม่ใช่ข้าพเจ้ารู้สึกคนเดียวเพื่อนข้าพเจ้าก็เป็นด้วย ทำให้เกิดความหลงมากขึ้น ข้าพเจ้าได้ไปขอ บวชกับหลวงพ่อ แต่หลวงพ่อท่านไม่ตอบตกลง
       
หลังจากนั้นข้าพเจ้ากำหนดกรรมฐานเข้มมากขึ้น  มีเหตุการณ์อีกอย่างหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้ากำลังรับประทาน อาหารเที่ยง และกำหนดภาวนาไปพอเอาสติไปตั้งที่มือ ขณะกำลังช้อนอาหารและพิจารณา ว่ามือไม่เทียงเป็นทุกข์ ไม่ใช้ตัวไม่ใช่ตน มือเกิดเคลื่อนเปลี่ยนแปลงไปเองโดยอัตโนมัติ แต่ไม่ไปบังคับมันปล่อยให้เป็นไปตามปกติ พอมาพิจารณาที่ร่างกายๆ ก็เคลื่อนคู้ลง ไม่ไปบังคับมันซึ่งความจริงบังคับได้แต่เพราะอยากจะดูว่าเป็นอย่างไรต่อ ร่างกายเคลื่อนมากขึ้นและแรงขึ้นเอง จนทำให้ผู้อื่นตกใจกันใหญ่ แล้วเด็กวัดเข้ามาหามเพราะคิดว่าเป็นลมบ้าหมู ความจริงแล้วในชีวิตข้าพเจ้าไม่เคยเป็น พอเด็กวัดจับแบกจิตจึงเริ่มมารวมตัวที่ทรวงอกเป็นสีเหลืองทองสบาย ตกลงบ่ายนั้นข้าพเจ้าทำกรรมฐานในห้องหัวกะโหลกจนถึง 20.00 น เป็นช่วงที่อาจารย์สอบอารมณ์ ข้าพเจ้าไม่ยาก ที่จะลงไปสอบอารมณ์พอเวลาประมาณ 20.10น เหมือนกับมีอะไรดึงจิตข้าพเจ้า ให้ลงไปสอบอารมณ์อย่างรวดเร็ว ต้องรีบลงมากึ่งเดินกึ่งวิ่งลงมาสอบอารมณ์ ให้กับอาจารย์ เวลาที่ผ่านๆ มาจนถึงช่วงนี้ เมื่ออาจารย์ถามว่ามีอารมณ์ ใดที่จะให้อาจารย์แก้ไข ข้าพเจ้าจะตอบว่าไม่มีเป็นส่วนใหญ่ ทำให้อาจารย์ไม่ทราบข้อมูลจากข้าพเจ้ามากนัก  เนื่องจากการที่ยากบวชเพื่อบำรุงศาสนา  จึงได้ทำการตกลงกับเพื่อนว่าจะไปบวชที่บ้านเกิด ส่วนเพื่อนก็จะไปบวช ที่บ้านของตนเอง รวมเวลาการทำกรรมฐานครั้งที่ 2 เป็นเวลา 18 วันแล้วออกจากกรรมฐาน  จัดเก็บเสื้อผ้ากลับบ้าน เกิดทันที
           
พอถึงบ้านขออนุญาตพ่อ แม่บวชทันทีท่านก็ใจดีมากอนุญาตให้บวช พ่อของข้าพเจ้าหลังจากรู้ข้าพเจ้า เรียนจบ โดยใช้เวลาเรียน 3 ปี ตามที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้ ความกดดันเก่าก่อนที่มีอยู่ก็สลายไปเกินครึ่ง และมีความภูมิใจ ในตัวข้าพเจ้า เป็นเพราะคนรอบข้างกล่าวชมเรื่องการเรียนของข้าพเจ้ามาตลอด เป็นอันว่าข้าพเจ้าชนะใจ พ่อได้ระดับหนึ่ง เมื่อพ่อแม่อนุญาตให้บวช ข้าพเจ้าก็ไปนอนที่วัดซึ่งเป็นวัดฝ่ายเถรวาทไม่ยอมค้างคืนที่บ้าน ท่านสมภารก็ช่างใจดี ให้ข้าพเจ้าไปพักที่กุฏิร้างเป็นที่เก็บโลงศพเก่าไม่มีไฟฟ้า ต้องจุดเทียนเวลากลางคืน และข้าพเจ้าต้องเอากระดาษมาปูพื้น เพราะพื้นเป็นไม้เก่ามากมีมอดกินจึงระคายเท้ามาก มีอยู่คืนหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนั่งกรรมฐานมีเหตุการณ์ที่แปลกได้ยินเสียงวัตถุตกลงบนกระดาษข้างหน้าที่นั่งกรรมฐานอยู่  จึงค่อยลืมตา ขึ้นมา ดูตรง ข้างหน้าเจอจิ้งจกตัวใหญ่หันหน้ามาตรงกัน และตาของจิ้งจกกำลังจองตรงมาที่ตาของข้าพเจ้าๆ เห็นตาของมันออกเทาปนแดงแวววับเพราะต้องแสงเทียน  แล้วมันเอาส่วนหัวของตัวเอง เคาะกับกระดาษดังโป๊กๆ 3-4 ครั้ง จึงค่อยคลานออกไป อย่างนี้คนโบราณว่าจิ้งจกทัก แต่ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าทักเรื่องอะไร?
           
เมื่อถึงคืนก่อนวันบวชก็มีการทำพิธี ถ้าเป็นภาคกลางเรียกว่าขวัญนาค และในพิธีคืนนั้นมีคนเมาคนหนึ่ง รบกวนอยู่ในงานทั้งที่ไม่ได้รับเชิญ ส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่น พอเสร็จพิธีข้าพเจ้าบอกให้กลับบ้าน เขาไม่ยอมกลับ ข้าพเจ้าจึงไม่สนใจ สักพักหนึ่งเกิดเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นผู้หญิงมีอายุคนหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้ารู้จักอย่างดีเกิดล้มฟุบลง ไปเดินไม่ได้ จึงจัดเตรียมรถเข็นเพื่อจะเอากลับบ้านของเขา คนเมาคนนี้ได้เข้ามาพูดกับข้าพเจ้าว่า " ถ้ามึงต้องการให้เขาเดินได้ มึงต้องเอามือไปลูบฝ่าเท้าเขาแล้วเอามาลูบหัวมึง "  ตอนนั้นข้าพเจ้าไม่พอใจอย่างมาก  เพราะเป็นการสบประมาทกัน เพราะข้าพเจ้าเป็นนาคแล้วถือศีล 8   และข้าพเจ้ารู้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า คนนี้ต้องการจะมารบกวนในพิธี ตั้งแต่ตอนกลางวันและติดตามข้าพเจ้ามา คนนี้มีคาถาอาคมเวลามองข้าพเจ้าจะหลับตาข้างขวาเป็นประจำ ข้าพเจ้า จึงพูดดังๆ ว่า "มึงไปให้พ้น! ไม่ต้องมารบกวน มึงกวนมากไปแล้ว" คนเมาคนนั้นพูดตอบมาดังๆ ว่า "มึงยัง เด็กไม่สิ้น กลิ่นน้ำนมคาถาอาคมมึงไม่เก่งไปกว่ากู" มีการถกเถียงกันเล็กน้อย พี่ชายข้าพเจ้าจึงกันคนเมาคน นี้ให้กลับบ้าน แต่ไม่ยอมกลับจะนอนในบ้านให้ได้ พี่ชายจึงพาไปนอนบนศาลาใกล้ๆ กับบ้าน โดยพี่ชายไปนอน เป็นเพื่อน คืนนั้นทั้งคืนคนเมาคนนี้ท่องคาถาดังๆ พร้อมกระทืบเท้าลงบนพื้นศาลา คืนนั้นก็แปลกพอข้าพเจ้า เริ่มเคลิ้มจะหลับก็จะได้ยินคล้ายกับเสียงแตรรถ ให้ตื่นขึ้นทุกครั้ง เลยไม่ต้องนอนทั้งคืน วันรุ่งขึ้นก็ทำ พิธีโกนผม  คนเมาคนนี้ยังมานั่งแซ่วแต่ไม่มีเหตุการณ์อะไรรุนแรง
           
หลังจากนั้นพี่ชายคนที่นอนบนศาลากับคนเมา ได้ไปรับพระอุปชาและพระกรรมวาจาจารย์ ส่วนพวก ข้าพเจ้าไปเตรียมบวชที่วัด ปัญหาที่ไม่คาดคิดได้เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า เมื่อพี่ชายกลับมา ไม่มีพระอุปชามาด้วย และบอกว่า พระอุปชาไม่ยอมมา เพราะพี่ชายไปพูดว่าข้าพเจ้าพึ่งเรียนจบมาใช้เวลา 3 ปีถึงแม้เป็นลูกคนญวน ทำให้ พระกรรมวาจาจารย์เดินหนี พระอุปชาจึงไม่ยอมมาบวชให้ ข้าพเจ้าตัดสินใจไปตามพระอุปชา อ้อนวอนท่านๆก็ไม่ ยอมต้องกลับมาที่วัดเดิมไม่ได้บวช ดังนั้นต้องนุ่งขาวห่มขาวหัวล้าน ช่วงนี้ไม่ต้องพูดถึงว่าจิตใจของข้าพเจ้า บิดามารดาข้าพเจ้าญาติข้าพเจ้าเป็นเช่นไรในช่วงนี้ข้าพเจ้าเริ่มพอรู้แล้วว่าข้าพเจ้ากำลัง หลงอยู่  แต่กระแสโมหะ กำลังเด่นชัดอยู่ ความรู้แค่นี้ยังให้มันหายไปทันทีไม่ได้
           
ข้าพเจ้าต้องอยู่ในฐานะเช่นนี้ถึง 6 - 7 วันแล้วก็มีคนที่รู้จักกันบอกว่า ท่านเจ้าคุณวัดธรรมยุตสามารถบวชให้ได้ เลยได้ไปฝากตัวกับพระคุณท่านพระคุณท่านตอบตกลง และได้ให้ไปหาพระกรรมวาจาจารย์ท่านก็รับปากว่าจะบวชให้โดยให้บวชพร้อมกันกับนาคอื่นอีก 6 นาค ต้องรอไปอีก 7-8 วัน และระหว่างที่รอข้าพเจ้าก็ทำกรรมฐานต่อ โดยพิจารณาลมหายใจตามที่กล่าวมา มีเหตุการณ์ในตอนหนึ่งขณะนอนพิจารณาดูลมหายใจอยู่ ความรู้สึกตัวก็หายไปเหลือแต่จิตอย่างเดียว เป็นสว่างนวลมีปีติเล็กๆ มีสุขเด่นกว่า ทรงอยู่พักใหญ่แล้วถอนมารู้ทั่วตัว แล้วเริ่มกำหนดภาวนาใหม่ ก็มีอาการเหมือนเดิมครั้งนี้ใสกว่าเก่า มีปีติสุขละเอียดมากกว่าเก่า ทรงอยู่นานกว่าแล้วถอยออกมาปกติ แล้วก็ไม่พยายามทำต่อเพียงแต่ทรงอารมณ์กรรมฐานไว้ จนถึงวันที่ได้บวชสมใจดังที่ตั้งใจไว้ [ เสียงเล่าเรื่องตอนนี้ ] ไม่ใช่ว่าอุปสรรคของข้าพเจ้าจะหมดเพียงเท่านี้ยังมีต่ออีก
           
ข้าพเจ้าบวชได้ไม่เกิน 15 วัน รองเจ้าอาวาสกลับมาจากกรุงเทพฯ ในวันที่กลับมาก็ได้ไปฉันเพลรวมกันปกติพระทุกรูปต้องมาฉันเพลร่วมกันพอฉันเพลเสร็จกำลังจะลุกขึ้นกลับกุฏิ รองเจ้าอาวาสได้ถามชื่อข้าพเจ้าๆ ตอบว่าชื่อ เซียม ท่านกล่าวทำนองว่าชื่อของข้าพเจ้าดูถูกกันและถ้าท่านอยู่ในวันที่ข้าพเจ้ากำลังจะบวช ท่านจะไม่ยอมให้บวช ต่อจากนั้นพูดเกี่ยวกับการเมืองต่อท้าย ข้าพเจ้ารู้ทันที่ว่าข้าพเจ้าอยู่อย่างลำบากเสียแล้ว ตั้งแต่นั้นมาท่านจะพูดกับพระต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพระนวกะหรือพระผู้ใหญ่เรื่องการเมือง แล้วดึงเรื่องเข้ามาที่ข้าพเจ้าว่าไม่ควรให้บวชต่อถ้าต้องการบวชไม่สึกท่านพูดบ่อยจนพระนวกะที่เป็นเพื่อนพระด้วยกันมาบอกกับข้าพเจ้า และบอกว่าข้าพเจ้าอยู่ลำบากหลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ดำเนินตามศาสนากิจไปเรื่อยๆ จนใกล้ออกพรรษา เท่าที่ข้าพเจ้าสังเกตเวลาที่ข้าพเจ้ากลับมาจากการบิณฑบาตตอนเช้าต้องผ่านหน้ากุฏิของท่านประจำ เพราะเป็นทางผ่านและท่านต้องกระเอม เหมือนคนที่อึดอัดใจเกือบทุกครั้งและมีอยู่เช้าครั้งหนึ่งก่อนออกพรรษาไม่กี่วันขณะที่กลับจากบิณฑบาต ผ่านหน้ากุฏิท่านๆ ก็กระเอมแล้วเรียกข้าพเจ้าทำนองจะคุยด้วย ข้าพเจ้าก็หยุดรอท่านๆ เข้ามาพูดว่า "ผมว่าคุณสึกดีกว่า ถ้าคุณยังทำกรรมฐานตามแนววัดมหาธาตุและไปวัดมหาธาตุ" ข้าพเจ้าหยุดคิดอยู่ชั่วคราว เพราะพระผู้ใหญ่ท่านอื่น  ก็รู้ว่าข้าพเจ้าทำกรรมฐานมาจากวัดมหาธาตุ  ท่านยังสนับสนุนไม่มีตำนิเลยถ้าอย่างนี้คงมีกรรมร่วมกันมา และข้าพเจ้ารู้ตัวอย่างแน่ชัดว่า  ยังหลงอารมณ์กรรมฐานอยู่ข้าพเจ้าจึงพูดตอบว่า "ท่านต้องการให้ผมสึกดังนั้นผมจะสึกให้ท่านและขออโหสิกรรมซึ่งกันและกัน" ข้าพเจ้าสังเกตเห็นหน้าตาท่านมีชีวิตชีวาขึ้นและยิ้มน้อยๆ อย่างผู้ชนะ
           
หลังจากนั้นพอออกพรรษาข้าพเจ้าก็สึกจากพระแล้วได้กลับขึ้นกรุงเทพฯ เข้าทำกรรมฐานที่คณะ 5 วัดมหาธาตุท่าพระจันทร์ต่อ ช่วงนี้สามารถสละความหลงเก่าได้ไปมากแล้ว และจะไม่ให้เป็นเช่นที่ผ่านมาอีกพอเริ่มทำกรรมฐานวันแรก ก็ยังพิจารณาลมหายใจอยู่ เพราะกำหนดท้องพองหนอ-ยุบหนอไม่ได้ จะอึดอัดมาก และท่านอาจารย์เคยกล่าวว่า คนที่มีปัญญาเมื่อมาอยู่สำนักไหนก็ต้องเรียนรู้สำนักนั้นได้ ข้าพเจ้าจึงเกิดความคิดขึ้นได้ว่า ในเมื่อภาวนา พองหนอ-ยุบหนอ ไม่ได้ต้องหาอย่างอื่นที่ไม่ใช่พิจารณาลมหายใจที่เป็นฐานจึงคิดได้ว่ากำหนด ได้ยินหนอ ที่หูดีที่สุด เพราะเสียงที่มากระทบหูนั้นไม่ว่ากลางคืนกลางวันจะมีเสียงอยู่เสมออีกอย่างหนึ่งเพราะสติของข้าพเจ้ามีความเคยชินอยู่ที่จมูกเป็นประจำจะแยกมาที่หูคงไม่ยากหนัก ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าไม่กำหนดพิจารณาลมหายใจอีกจะเดินจงกลม นั่งกรรมฐาน ภาวนานั่งหนอ-ถูกหนอ รู้หนอ คิดหนอ เจ็บหนอ ง่วงหนอ ตามสิ่งที่บังเกิดเด่นชัด พออารมณ์นั้นหายไปก็จะมาจับ ได้ยินหนอ เป็นหลัก บางครั้งกำหนอได้ยินหนอต่อกันเป็นชั่วโมงมีอุปสรรคอย่างหนึ่งที่คอยขัดขวางอย่างรุนแรงคือความชาบนใบหน้า   เมื่อพยายามเปลี่ยนฐานของกรรมฐาน จึงผลักความชามารวมเป็นก้อนตรงระหว่างคิว และมีอาการรุนแรงด้วยแต่ก็ไม่ใส่ใจ จะเห็นว่าบทความที่ผ่านมาไม่ได้เขียนเกี่ยวกับวิปัสสนาญาณเพราะว่าอารมณ์วิปัสสนาญาณนั้นละเอียด ถ้าเขียนไปจะเกิดความสับสนกับผู้อ่านหลังจากที่ข้าพเจ้าภาวนายินหนอเป็นหลัก
           
ข้าพเจ้าเริ่มทำกรรมฐานวันหนึ่งประมาณ 20 ชั่วโมง และภาวนาจนหลับไปเองเมื่อร่างกายต้องการพักผ่อนกระทำติดต่อกันจนถึงวันที่ 7 ของการเข้าทำกรรมฐานครั้งนี้ และในวันนั้นหลังสอบอารมณ์ 21.00น เมื่อทำการอาบน้ำเสร็จข้าพเจ้าก็ทำกรรมฐานต่อตามปกติ ความชาบนใบหน้าบังเกิดขึ้นมากจนทนนั่งไม่ไหวจึงกำหนดนอนกรรมฐาน ภาวนาได้ยินหนอเป็นหลัก เมื่อกำหนดมากเข้าแหนบชาเริ่มจับตั้งแต่มือที่วางทับอยู่บนอกแล้วเคลื่อนมาตามลำตัวจนถึงใบหน้า จึงคอยมารวมที่บริเวณหูที่กำหนด ขณะนั้นจิตข้าพเจ้าวางแล้วว่าถ้าเกิดพิการหรือเกิดผิดปกติทางระบบประสาทก็ยอมเสี่ยงเพราะที่ศึกษามามีบุคคลเป็นเช่นนี้ก็ไม่เป็นอะไร เมื่อศรัทธาในธรรมจริง เพราะข้าพเจ้าศรัทธาจริงๆ จึงกำหนดกรรมฐานต่อความชาก็มารวมที่บริเวณหูมากขึ้น เมื่อมากขึ้นความรู้สึกก็หายไปชั่วระยะหนึ่งมารู้สึกอีกครั้งรู้เฉพาะจิต ไม่มีร่างกาย แต่ยังภาวนาอยู่ว่า "ยินหนอ ยินหนอ ยินหนอ" ได้ 3 ครั้งก็ขาดความรู้สึกทันทีทันใดหรือที่เขาเรียกว่าดับ มันเสมือนไฟฟ้าดับไปทันที่ พอรู้สึกตัวก็รู้สึกทันทีสติเต็มตัวทันใด    ไม่มีความชาหลงเหลืออยู่เลย   แถมร่างกายยังกระฉับกระเฉงมีปีติสุขที่นิ่มนวลกว่าที่ผ่านมา ซึ่งครั้งนี้ข้าพเจ้าไม่ให้ความหลงเข้ามาครองใจเหมือนที่ผ่านมาเพราะที่ผ่านมาเป็นบทเรียนที่เจ็บปวดทางใจที่มากพอแล้ว หลังจากนั้นมีสติกำหนดภาวนาได้ละเอียดขึ้นและภาวนาได้เป็นเวลานาน สะดวกขึ้นความชาเป็นก้อนระหว่างคิวมีอยู่ แต่ไม่ได้รบกวนอะไรมากตั้งใจทำกรรมฐานต่อไปไม่มีอะไรเป็นห่วงเรียนก็เรียนจบแล้ว หนังสือหนังหาไม่ได้จับอีกเลย โครงการเรียนต่อปริญญาโทก็ไม่มีแรงกระตุ้นที่ยากให้เรียนต่อเรียกว่าเป็นช่องว่างของชีวิตจึงทำกรรมฐานต่อไปไม่หยุด แถมมีความละเอียดขึ้นสามารถภาวนาได้ยินหนอติดต่อเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง หรือชั่วโมงครึ่งได้ และในช่วงนี้อาจารย์ให้ทำกรรมฐานเพิ่มเติมคือพรหมวิหาร 4 ภาวนาแผ่เมตตา "อะหัง สุขิโท โหมิ"(ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุข) แผ่เมตตาให้กับตัวเองแล้วแผ่ให้กับสรรพสัตว์คือ "สรรพเพ สัตว์ตา สุขิตา โหนตุ" (ขอให้สัตว์ทั้งหลายมีความสุข) ก่อนที่จะภาวนากรรมฐานหลักประมาณ 10 ถึง 15 นาที หรือหลังกรรมฐานหลัก ซึ่งช่วงนี้ให้อะไรมาข้าพเจ้าก็รับ ปรากฏเหตุการณ์แปลกอยู่ตอนหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้าภาวนาแผ่เมตตาอยู่ใจก็น้อมไปจริงๆ มีปีติขนลุกทั้งตัวสักระยะหนึ่งแต่ยังแผ่เมตตาต่อ แล้วค่อยลงภวังค์จิตขึ้นรับอารมณ์ภาวนาต่อ แต่หนืดมากคล้ายกับคนที่ถีบจักรยานลงในหลุมโคลนแล้วความรู้สึกขาดทันทีทันใด ขึ้นมารับรู้อารมณ์ปกติแต่มีปีติสุขมากส่วนกรรมฐานหลักข้าพเจ้าก็กำหนดโดยไม่ขาดระยะ จะว่ากำหนดภาวนาทั้ง 24 ชั่วโมงก็ว่าได้ ในวันหนึ่งจะนอน 4 ชั่วโมง  และในขณะที่นอนก็ภาวนากำหนด ได้ยินหนอ จนหลับหายไปเมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาก็ภาวนาได้ยินหนอติดต่อเป็นไปเอง  นับว่าเมื่อไรเมื่อมีความรู้สึกอยู่ก็ไม่ขาดจากการภาวนานอกจากหลับ เป็นเช่นนี้ติดต่อกัน 6-7 วัน [ เสียงเล่าเรื่องตอนนี้ ]
           
พอถึงเช้ามืดหลังจากทำกรรมกรรมฐานมา 24 วันในการเข้าทำกรรมฐานครั้งนี้ พอจิตขึ้นมาจากภวังค์หลับ รับรู้เพียงอารมณ์ที่รู้สึกที่หูไม่ทันรู้ทั่วร่างกาย ก็กำหนดภาวนาทันที ซึ่งสติมีความเร็วมาก พอภาวนาที่จุดนั้นก็เกิดความเจ็บที่ภาวนาขึ้นแต่ไม่สนใจภาวนาต่อก็มีความเจ็บมากขึ้น ความคิดก็แวบขึ้นมาว่าจะภาวนายินหนอหรือ เจ็บหนอดี ก็เกิดความคิดขึ้นว่าภาวนา ยินหนอต่อ เพราะทำมาอย่างนี้แล้ว ก็เลยตัดสินใจภาวนา ยินหนอต่อ ภาวนาเร็วขึ้น ความเจ็บก็เพิ่มมากขึ้น จนเกิดแสงสว่างสีเหลืองอ่อนเท่ากับดาวประกายพรึกเจ็บเจียนตายแต่ก็ไม่กลัว เพราะที่ผ่านมาครั้งก่อนไม่เป็นอะไร ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะเป็นมากกว่ามากหลายเท่าตัว คำภาวนาเร็วขึ้นมาก ความเจ็บทวีคูณขึ้น แสงสว่างจ้าขึ้นใสมากขึ้น เป็นมากขึ้นจนชีวิตนี้กำลังจะตายจากจึงเกิดความหน่วงของจิตคล้ายกับรถที่วิ่งมาอย่างเร็วมาก แล้วเบรกกะทันหันชะรอตัวลงแล้วคำภาวนาคงที่ ความเจ็บคงที่ แสงสว่างคงที่ เสมอเรียบได้สักระยะหนึ่ง (ขอให้เข้าใจด้วยว่าช่วงนี้ใดๆ ในโลกนี้ไม่มีอะไร นอกจากจุดนี้จุดเดียว) หลังจากนั้นจิต ก็มีการ เกิด ดับ คือแสงของจิตดับ ความเจ็บขาดเป็นช่วงๆ ประมาณ 7 - 8 ครั้งที่ชัดเจนที่สุดและอีกหลายครั้งที่ไม่ชัดเจนหลังจากนั้นจิตก็ตกจากที่สูงดิ่งลงเหมือนคนกำลังตกเหวลงมาข้างล่างแล้วขาดหายไปชั่วเวลาไม่นานจากนั้นจิตยกขึ้นมารับอารมณ์เพราะจิตไม่มีร่างกาย มีความสุขและเอกคะตาแล้วจิตพิจารณาอารมณ์ว่า "นี้เป็นมรรคผลนิพพาน" แต่ด้วยความกลัวหลงจนวิปลาสเหมือนที่ผ่านมาจึงพิจารณาว่า "ไม่ใช่ออ! อารมณ์สุขอย่างนี้ เป็นอารมณ์ของพรหม" พอพิจารณาเสร็จหลังจากนั้นช่วงเวลาไม่นานก็บังเกิดเป็นดวงสีเหลืยงอ่อนเท่าดวงดาวขึ้นมาหลังจากนั้นรู้สึกโครงเคลงคล้ายกับคนที่อยู่ในท้องเรือใหญ่โดนคลื่นกระทบ แล้วรู้สึกทั่วตัวในท่านอนหายคู้เข่าด้านขวามือสองข้างทาบบนอกเหมือนอย่างเดิมกับตอนแรกที่กำหนดกรรมฐานเข้าภวังค์จนออกมาหลังจากนั้นกำหนดกรรมฐานก็จะมีความสุขความสบายอาบทั่วทั้งจิตละร่างกาย และเวลากำหนดกรรมฐานมีอาการดับขาดตอนบ่อยคือนั่งกำหนดกรรมฐานก็ดับไปทันทีและสติบังเกิดขึ้นเต็มตัวทันที่ [ เสียงเล่าเรื่องตอนนี้ ]
           
รวมเวลาเข้ากรรมฐานครั้งนี้ 1 เดือนกว่าประมาณ 40 วันจึงออกจากกรรมฐานออกไปหาที่พักเพราะยกเลิกหอพักเก่าก่อนที่จะกลับไปบวชที่บ้านเกิด  ต้องอาศัยอยู่หอพักคนอื่นบ้านของคนอื่นเนื่องจากไม่มีเงินที่จะเช่าเอง ทั้งที่ทางบ้านไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินทองเลย แต่กรรมเฉพาะตัวที่อยู่ไกลบ้านทำให้เป็นเช่นนี้ หลังจากนั้นยังมาเข้าทำกรรมฐานที่คณะ 5 ท่าพระจันทร์ อีกหลายครั้งๆ ละ 7 ถึง 15 วัน และบางครั้งนั่งกำหนดภาวนายินหนอ อยู่ความรู้สึกหายไปแล้วมีอาการดับไม่มีอะไรเหลือเหมือนกับไฟดับแล้วมีสติเกิดขึ้นเต็มตัวทันทีอาการเช่นนี้เป็นอยู่หลายครั้ง และในปี 2526 เป็นปีที่น้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯติดต่อเป็นเวลาประมาณ 1 เดือน ทำให้เกิดมีความเสียหายทั่วไป มหาวิทยาลัยต้องบิดการสอนเลือนการรับปริญญาเพราะเหตุนี้เป็นผลดีต่อข้าพเจ้าเพราะทางมหาวิทยาลัยได้ส่งจดหมายตั้งแต่ตอนบวชพระ ให้ติดต่อทางมหาวิทยาลัยๆ ต้องการหลักฐานเพิ่มเติม แต่ในช่วงนั้นทางมหาวิทยาลัยติดต่อข้าพเจ้าไม่ได้เนื่องจากน้ำท่วม พอมหาวิทยาลัยเปิดทำการไม่กี่วันขณะนั้นข้าพเจ้าก็ทำกรรมฐานที่ คณะ 5 วัดมหาธาตุอยู่และได้ขออนุญาตอาจารย์ออกไปทำธุระ (ไม่มีใครทราบปัญหาของข้าพเจ้า) เพื่อติดต่อเรื่องหลักฐานเพิ่มเติมซึ่งข้าพเจ้าไม่มีกะว่าจะไปขอร้องทางมหาวิทยาลัย แต่ก่อนที่ข้าพเจ้าจะขึ้นขอร้อง ข้าพเจ้าได้ลองไปดูรายชื่อผู้ที่ทางสภามหาวิทยาลัยอนุมัติ ซึ่งก่อนหน้านี้ประมาณ 1 อาทิตย์ข้าพเจ้าได้มาดูแล้วไม่มีชื่อข้าพเจ้า แต่เนื่องด้วยความกรุณาของทางมหาวิทยาลัยครั้งนี้กลับมีชื่อของข้าพเจ้าทำให้ข้าพเจ้าได้รับปริญญาเหมือนกับผู้อื่น แต่จิตใจของข้าพเจ้าวางเฉยเพราะติดอยู่กับกรรมฐานมากกว่าแม้แต่ก่อนวันที่พระเทพประทานปริญญาบัตร ข้าพเจ้าก็ยังอยู่ในวัดแล้วออกมารับปริญญานับว่าการต่อสู่กับอุปสรรคและการเรียนปริญญาตรีจบลง
           
หลังจากนั้นข้าพเจ้าในสายตาของผู้อื่นกลายเป็นคนเฉื่อยไม่มีไฟใจเย็นไม่มีประสิทธิภาพในการทำงานเพราะงานหลักของข้าพเจ้าคือกรรมฐาน และการที่ข้าพเจ้าจะหางานทำตามบริษัทใหญ่หรือเล็กคงไม่ได้ เพราะหลักฐานข้าพเจ้าไม่พร้อมจึงต้องอาศัยความรู้จริงๆ หากิน คือการเป็นติวเตอรติวคณิตศาสตร์ ติวสถิติ หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหงที่จบออกมาเนื่องจากเป็นงานอิสระ งานติวเตอรจึงเป็นงานรองเพื่อเอาเงินมาเลียงชีพ แต่งานหลักจริงๆ คือกำหนดภาวนากรรมฐานเข้าวัด แม้ขณะกำลังสอนอยู่ก็ยังกำหนดกรรมฐาน เมื่อเป็นอย่างนี้จะรุ่งเรื่องกว่าผู้อื่นได้อย่างไรและฐานะทางกฎหมายข้าพเจ้าจะรุ่งเรืองไม่ได้ เพราะจะต้องมีผู้อื่นที่ไม่ปารถนาดีทำให้ข้าพเจ้าหมดอาชีพหากินได้ แต่ข้าพเจ้าก็ภูมิใจในตัวเอง เพราะพ่อของข้าพเจ้า ไม่มีอคติกับข้าพเจ้าและมีความภูมิใจในลูกของท่านที่สามารถหากินด้วยความรู้ของตนเอง ไม่รบกวนเงินของแม่อีกเลย และถ้าท่านสนทนากับใครเรื่องลูกของท่านๆ ก็ไม่น้อยหน้ากว่าใคร ข้าพเจ้าดำรงชีวิตอย่างนี้เป็นเวลา 6 ปี ที่ทำกรรมฐานเป็นหลักถ้ากล่าวถึงเรื่องเงินข้าพเจ้าไม่มีเก็บเอาเสียเลยแม้แต่เครื่องใช้ต่างๆ เพราะต้องการบวชอีกครั้งแต่ยังขยาดกลัวที่ผ่านมาของการบวชครั้งแรกอยู่ และไม่ยากให้พ่อแม่และญาติรวมทั้งข้าพเจ้าเองต้องสะเตือนใจอีกครั้งถ้าเกิดในกรณีเดิม ในช่วงเวลา 6 ปีนี้ข้าพเจ้าและเพื่อนได้แนะนำเพื่อนๆ เข้าทำกรรมฐานรวมกันแล้วประมาณ 12 คน ได้แนะนำพระภิกษุที่เดินธุดงค์โดยไม่มีจุดหมายเข้าทำกรรมฐานที่คณะ 5 วัดมหาธาตุท่าพระจันทร์อีก 1 รูป ความจริงแล้วในช่วงเวลา 6 ปีมีเหตุการณ์ต่างๆ มากมายจะขอเล่าเป็นเรื่องไป  ในปี พ.2530 หลวงพ่อท่านมรณภาพต่อมาปี พ.2532      อาจารย์ก็มรณภาพ ด้วยโรคหัวใจทั้ง2 ท่านๆ ทำงานหนักเกินสภาพร่างกายที่จะรับได้

    ธรรมชาติคือธรรมมะ                       ธรรมมะเป็นสิ่งธรรมดา
ตั้งอยู่ไม่ได้ไม่เทียงดังว่า                     ซ้ำเป็นอนัตตาหมุนเวียนเปลี่ยนไป
จงอย่ายึดเป็นตัวตน                             เพราะดิ้นรนทนทุกข์ในกายใจ
จงใช้ปัญญาพิจารณาทุกครั้งไป          สติใสแม้แต่ใจไม่ใช่ตน
พิจารณาอย่างอย่าสับสน                     ปัญญาค้นในใจตน
เข้าใจธรรมชาติที่หมุนวน                  ให้ปัญญาดลเห็นธรรมว่างอัตตา.

    อันเวลาผ่านไปไม่หยุดยั้ง                     แม้กระทั้ง ความจำเก่าก็เลือนหาย
ที่เหลื่ออยู่คือปัจจุบันกำลังกลับกลาย      แล้วสลายเป็นวันเก่าดังนี้เรื่อยๆ ไป
สิ่งคงอยู่คือใจหลงและยึดมั่น                   เหมือนดั่ง มุดปักติดในจิตใจ
ก่อเกิดทุกข์ดิ้นรนเรื่อยๆ ไป                     ซ้ำจิตใจมืดมนไม่รู้ในสิ่งจริง
    
แล้วปรุงแต่งตัณหาไม่สิ้นสุด              หลงสมมุติไขว่คว้าเพื่อได้มา
ในที่สุดต้องพลัดพรากจำจากลา              ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหามี ที่สิ้นสุด
อย่าลุ่มหลงอยู่เลยจงศึกษาธรรม              ซึ่งเป็นคำสั่งสอนให้ละสมมุติ
ด้วยฝึกสติสมาธิเพื่อจิตบริสุทธิ์               วางสมมุติด้วยปัญญาเห็นสัจจะธรรม.

    อ่านหน้าต่อไป  106.html                 กลับไปหน้าแรก   100.html