2. ความทุกข์ที่ไม่มีทางออก จึงฝึกสมาธิด้วยตนเอง
           
ในเมื่อไม่มีสิ่งใดเป็นที่พึ่งได้  จึงเหลือทางเดียวคือเอา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  ช่วยพยุงจิตใจ  ทั้งที่ในครอบครัวของข้าพเจ้าไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ พี่ๆ  ไม่มีใครสนใจในเรื่องเหล่านี้เลย ยิ่งเป็นพ่อของข้าพเจ้าแล้ว  ไม่เชื่อถือเลย ข้าพเจ้าจึงหารูปถ่ายพระที่มีแจกในปฏิทิน  จึงได้รูปถ่ายของพระพุทธชินราชติดที่หัวนอนแล้วนั่งไหว้ มองพระทุกคืน  ฝ่ายพี่ๆ ก็ไม่สนใจแต่ไม่ได้ห้าม  เมื่อใกล้จะจบชั้นประถม ๗ พ่อก็เริ่มบีบบังคับให้ซ่อมจักรยาน หลังเลิกเรียน และเสาร์-อาทิตย์  ข้าพเจ้าเริ่มมีความกดดันในจิตใจเพิ่มขึ้น  จึงนึกถึงการนั่งสมาธิตามที่ เคยถามพระไว้
            แล้วเริ่มหัดนั่งสมาธิด้วยตนเอง โดยจะนั่งตามแบบพระพุทธรูป และคิดไปว่าจะต้องนั่งนิ่งๆ ไม่คิดอะไรไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น  ข้าพเจ้าต้องแอบหลบไปนั่งสมาธิในห้องนอนไม่ให้ใครรู้ ในการหัดนั่งสมาธิ แต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ ๕ - ๑๐ นาที ไม่สามารถทนได้มากกว่านี้ต้องเลิกเสียก่อน เพราะไม่มีอุบายหรือ อาจารย์สอนในการนั่งสมาธิ  เมื่อพยายามไม่คิดอะไร ในขณะนั่งสมาธิความรู้สึกก็ไปรู้ที่ร่างกายมาก และส่วนที่ไปรู้ มากที่สุดได้แก่บริเวณใบหน้า แล้วจะคันตามบริเวณใบหน้าเหมือนกับมีมดหรือแมลงไต่ตามแก้มตามใบหน้า ก็ทนเพราะตั้งใจไว้ว่าไม่ยอมเคลื่อนไหวเด็ดขาด บ้างครั้งเมื่อทำงานไม่ถูกใจพ่อเพราะความขี้เกียจของข้าพเจ้า ก็จะโดนพ่อด่าหรือตี ข้าพเจ้าก็จะแอบขึ้นไปนั่งสมาธิในห้อง ด้วยความเสียอกเสียใจน้ำตาจึงเริ่มไหลจากหัวตา ไหลไปตามร่องจมูกมันชั่งจักกระจี่ระคนกับความเสียใจ แต่ก็ไม่ยอมเคลื่อนไหว จนน้ำตาไหลไปตามมุมปาก และเข้าไปออที่ริมฝีปาก ต้องอดทนจนความเสียใจนั้นหายไป   มีอยู่ครั้งหนึ่งพ่อขึ้นไปตามในห้อง เห็นข้าพเจ้านั่ง สมาธิ จึงพูดว่า  "นั่งอยู่ทำไมในห้องมืดคนเดียว จะบ้าหรือ" [ ฟังเสียงเล่าตามเหตุการณ์ด้านบน ]
           
เมื่อเรียนจบชั้นประถม ๗ พ่อก็ห้ามอย่างเด็ดขาด ไม่ให้ข้าพเจ้าเรียนต่อ ทำให้ข้าพเจ้ามีความเสียใจมาก แต่ไม่มีใครช่วยได้ และในยามที่เพื่อนๆ ไปสมัครเรียนต่อโรงเรียนประจำจังหวัด เมื่อมีการประกาศผลสอบ จึงทราบว่ามีใครบ้างที่เป็นเพื่อนข้าพเจ้าได้เข้าเรียนในโรงเรียนประจำจังหวัดพัทลุง และเมื่อโรงเรียนเปิดเทอม เพื่อนๆ ไปโรงเรียนกัน แต่ข้าพเจ้าต้องอยู่บ้านทำงานช่วยพ่อ บางครั้งขณะนอนหลับข้าพเจ้าฝันว่าได้ไปโรงเรียน    พอตื่นขึ้นมากลับไม่เป็นความจริง  ทำให้ข้าพเจ้าสะอื้นด้วยความเสียใจ เมื่อไม่มีทางออกข้าพเจ้าจึงไหว้ พระอธิฐานต่อหน้ารูปถ่ายพระพุทธชินราชเป็นประจำ   เมื่อใกล้จบปีการศึกษาปีนั้นข้าพเจ้าได้ข่าวว่า  อาจารย์ที่สอนในชั้นประถม  จะเปิดโรงเรียนราชระดับมัธยมต้นในตำบลที่ข้าพเจ้าอาศัยอยู่  ในสมัยนั้นโรงเรียน ระดับมัธยมในตำบลข้าพเจ้าไม่มี  พอทราบข่าวข้าพเจ้ามีความดีใจเป็นอย่างมาก จึงได้ไปขอร้องพ่อขอเรียนต่อ ระดับชั้นมัธยม โดยให้เหตุผลว่าอยู่ใกล้บ้านเดินไปเรียนได้ และค่าเทอมก็ถูก แต่ก็ได้รับคำปฏิเสธจากพ่อ  ถึงแม้ข้าพเจ้าข้อร้องติดต่อกันหลายครั้งพ่อก็ไม่ยอม
           
ครั้งสุดท้ายข้าพเจ้าได้ขอร้องพ่ออีก โดยให้เหตุผลเพิ่มเติมว่า โรงเรียนอยู่ใกล้บ้านเมื่อกลับจากโรงเรียน และเสาร์-อาทิตย์ ข้าพเจ้าก็ยังสามารถช่วยพ่อทำงานได้ บวกกับแม่คอยพูดสนับสนุน  พ่อจึงใจอ่อนให้ข้าพเจ้า ได้เรียนต่อหลังจากหยุดเรียนอยู่หนึ่งปี  ซึ่งข้าพเจ้าได้ทำตามสัญญาที่ให้พ่อไว้ ผลการเรียนของข้าพเจ้าได้ที่ ๑ ของโรงเรียน  ที่มีห้องเรียนอยู่ ๒ ห้องเรียน โรงเรียนเปิดสอนได้เพียง ๑ ปี แล้วโรงเรียนต้องปิดตัวเอง เพราะนักเรียน ที่จะสมัครเรียนในปีถัดมานั้นน้อยมาก  ข้าพเจ้าจึงต้องย้ายโรงเรียน ไปเรียนในโรงเรียนราชที่ใหญ่ที่สุด ของจังหวัดในขณะนั้น โดยที่พ่อไม่ทัดทานอะไรเลยเพราะอยู่ในระหว่างการเรียน และข้าพเจ้าก็ยังทำตามสัญญาอยู่ เมื่อข้าพเจ้าได้เรียนในชั้นมัธยมปีที่ ๒ ข้าพเจ้าสามารถสอบได้เป็นที่ ๑ ของโรงเรียนราชแห่งนั้น
            ส่วนการฝึกสมาธิของข้าพเจ้าได้พัฒนาขึ้น เพราะได้อ่านหนังสือธรรม เกี่ยวกับการฝึกสมาธิแบบ พุทธ โธ โดยหายใจเข้าภาวนาว่า พุทธ หายใจออกภาวนาว่า โธ จึงทดลองทำด้วยตนเอง แต่เนื่องจากพยายามที่จะทำให้ได้ และภาวนาวิ่งตามลม เพราะไม่มีครูบาอาจารย์แนะนำสั่งสอน  เมือนั่งสมาธิประมาณ ๕ - ๑๐ นาที  ก็จะมีอาการมึน  ศรีษะ ก็พยายามทนนั่งได้เต็มที่ประมาณ ๑๕ นาที หรือมากกว่าเล็กน้อย หลังจากนั่งสมาธิก็สวดมนตร์ไหว้พระ  ต่ออีกประมาณ ๑๐ นาที แล้วจึงนอนดูลมหายใจ พุทธ - โธ จนหลับ แต่ก็แปลกกำหนด พุทธ-โธ ตอนนอนนั้น สบาย ไม่มีการมึนและเกร็งจนหลับไป จึงชอบทำเป็นประจำต่อจากนั้นข้าพเจ้าได้เรียนต่อในชั้นมัธยม ปลายในโรงเรียนรัฐบาลประจำจังหวัด ผลการเรียนก็อยู่ใน  แนวหน้าของโรงเรียน
           
แต่การศึกษาของข้าพเจ้ากำลังเดินเข้าสู่ทางตันเพราะตามกฎกระทรวงมหาดไทย  ข้าพเจ้าไม่สามารถ เรียนต่อ  ในระดับอุดมศึกษา ด้วยกฎกระทรวงนี้ทำให้ข้าพเจ้าเหมือนล้มทั้งยืน เมื่อข้าพเจ้าสอบ เอนทรานซ์ ในโคตาของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้คณะวิทยาศาสตร์  พอสอบสัมภาษณ์ ข้าพเจ้าแทบล้มทั้งยืน  และมึนงงพูดอะไรไม่ออก เมื่อคำถามแรกของอาจารย์ที่สอบสัมภาษณ์ ถามข้าพเจ้าว่า "เธอเป็นลูกญวนอพยพ ไม่มีสิทธิ์เรียนในระดับอุดมศึกษา แล้วจะมาเรียนได้อย่างไร" ข้าพเจ้าจึงตกสัมภาษณ์โดยปริยาย ทำให้ความกดดัน  เกิดขึ้นกับข้าพเจ้ามากไปอีก จนไม่กล้าแสดงออก และประหม่าในการแสดงออก  ไม่คอยมีความมั่นใจ  เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นการสะสมมาเรื่อยๆ
       
แต่ข้าพเจ้าถือหลักประจำใจว่า ต้องเป็นคนดี มีศีลมีธรรม เพื่อเป็นกำลังใจของตนเอง และต้องต่อสู้ใน  การศึกษาไปเรื่อยโดยไม่ท้อถอย จนกว่ามีโอกาส เมื่อข้าพเจ้าผิดหวังจากการ เอนทรานซ์ พ่อของข้าพเจ้าก็ซ้ำ เติมความกดดันกับข้าพเจ้าเพิ่มไปอีก โดยประกาศออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว  ไม่ให้ข้าพเจ้าเรียนต่อไม่ว่ากรณีใดทั้งสิ้น ข้าพเจ้าจึงแอบขอร้องแม่ให้ช่วยส่งเรียน เพราะข้าพเจ้าจะสมัครไปเรียนที่ มหาวิทยาลัยรามคำแหง แม่ใจอ่อนเพราะ กลัวว่าข้าพเจ้าจะเสียสติหรือบ้าเหมือนพี่ชายคนโต  โดยที่พ่อไม่รู้ข้าพเจ้าจึงมุ่งหน้าเข้าสมัครเรียนต่อที่ มหาวิทยาลัย  รามคำแหง ด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนที่เรียนอยู่ที่ จุฬาลงกรมหาวิทยาลัยคณะนิติศาสตร์ กำลังขึ้นปีที่ ๒ เป็นผู้ที่พาไปสมัคร  และให้พัก(เรียกว่าสิงก็ว่าได้)ในหอพักของจุฬาลงกรมหาวิทยาลัยชั่วคราว เพราะเป็นเพื่อน ที่สนิทกันมาก เมื่อถึงวันที่ไปสมัครเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยรามคำแหง  ข้าพเจ้ายื่นหลักฐานต่างๆ ให้กับอาจารย์ ที่รับสมัครเพื่อเข้าเรียนในคณะวิทยาศาสตร์ เมื่ออาจารย์ท่านเห็นทะเบียนบ้าน  ท่านรีบคืนหลักฐานการ สมัครกลับให้ข้าพเจ้าทันที่  แล้วพูดว่า "นี่เป็นลูกญวนอพยพ ไม่มีสิทธิ์เรียนระดับอุดมศึกษา" ข้าพเจ้าเหมือนเป็นลม ทั้งยืนครั้งที่  ๒ และข้าพเจ้าสังเกตเห็นหน้าของเพื่อนมีความผิดหวังอย่างแรง ต่อจากนั้นข้าพเจ้ากลับบ้านอย่างคน ผิดหวัง   ต้องหัดซ่อมรถจักรยาน และทำสีรถยนตร์เป็นเวลาเกือบ ๑ ปี พยายามทำใจให้ยอมรับสภาพของตนเอง แล้วมีอยู่คืนหนึ่งได้ฝันว่าราชรถมาเกยถึงหน้าแต่ไม่คอยชัดเจน ต่อจากนั้นไม่กี่วัน น้าที่อยู่ในตัวจังหวัดได้มาหา ข้าพเจ้าที่บ้าน แล้วบอกในสิ่งที่จุดประกายขึ้นในจิตใจของข้าพเจ้าขึ้นมาว่า "มึงมีโอกาสได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย เพราะทางกระทรวงมหาดไทย จะอนุมัติให้ลูกคนญวนได้เรียนเป็นรายๆ ไป"
           
ทันทีที่พ่อของข้าพเจ้าได้ยินดังนั้นเข้ามาขวางทันที่ แล้วพูดขึ้นว่า "ไม่ให้มันเรียนต่อ จะขัดขวางทุกวิธีทาง เพราะเรียนจบมาก็หางานทำไม่ได้" น้าข้าพเจ้าได้ฟังดังนั้นหน้าเสียต้องกลับบ้านทันที  แต่ใจข้าพเจ้านั้นมีความหวัง ขึ้นมาแล้วแม้มันจะริบหรี่ก็ตาม จึงขอร้องแม่ให้แม่ช่วย  แม่จำใจต้องช่วยเพราะกลัวว่าข้าพเจ้าจะเสียสติ ข้าพเจ้าจึง แอบ ไปพบน้าที่บ้านของน้า เพื่อขอทราบรายละเอียด น้าอธิบายให้ฟังว่า ต้องทำเรื่องขออนุญาติเรียนต่อระดับมหา วิทยาลัยต่อกระทรวงมหาไทยเป็นรายๆ ไป โดยทั้งพ่อและแม่ต้องอนุญาติและสนับสนุนในการเรียน เมื่อได้ทราบ ดังนั้น ทำให้ข้าพเจ้าหนักใจ  เพราะพ่อของข้าพเจ้าคงไม่ยินยอม จึงบอกกับน้าว่าลองยื่นเรื่องไปดูโดยมีแม่เป็น ผู้รับรองและสนับสนุน  น้าก็ช่วยดำเนินเรื่องให้ทุกอย่าง หลังจากนั้นข้าพเจ้าเฝ้ารออยู่เป็นเวลาเดือนกว่า ก็ยังไม่ได้ รับคำตอบจากกระทรวงมหาดไทย  จึงไปที่โรงพักแผนกควบคุมชาวญวนอพยพ ถามเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมข้าพเจ้า มาตั้งแต่เล็กจนโต ว่าเรื่องของข้าพเจ้าทางกระทรวงมหาดไทยตอบรับแล้วหรือยัง เจ้าหน้าที่บอกว่าทางกระทรวง มหาดไทยยังไม่อนุมัติ แต่ส่งใบสอบถามมาทางจังหวัด ข้าพเจ้าจึงบอกกับเจ้าหน้าที่ว่า ช่วงนี้กำลังจะเปิดรับ สมัครสอบ เอนทรานซ์  ถ้าข้าพเจ้าไม่มีหลักฐานในการสมัครก็จะสมัครไม่ได้  เจ้าหน้าที่คงจะเห็นว่าข้าพเจ้า เป็นเด็กดีไม่ก่อปัญหาอะไรเลย จึงช่วยข้าพเจ้าโดยยอมถ่ายเอกสารใบสอบถามเรื่องข้าพเจ้าจากกระทรวงมหาดไทย ให้ไปสมัครสอบก่อน แต่บอกย้ำกับข้าพเจ้าว่า "เป็นความลับทางราชการห้ามเอาไปใช้อย่างอื่น  เดียวพี่จะมีความผิด นี้เพราะเห็นว่าน้องเป็นเด็กดีจึงช่วย" ข้าพเจ้าจึงไปสมัครสอบ เอนทรานซ์ แต่ข้าพเจ้ารู้ตัวว่าคงสอบไม่ได้ เพราะระยะ เวลา ๑ ปีที่ผ่านมาข้าพเจ้าไม่ได้เรียนและอ่านหนังสือเลย  จะเอาความรู้อะไรไปแข่งขันได้   จึงสอบ ไม่ติด  แม้แต่ข้อเขียน แต่ข้าพเจ้าก็หาเสียใจไม่  ดังนั้นจุดมุ่งหวังจริงๆ  อยู่ที่ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
       
ในวันสมัครเข้าเรียนในคณะวิทยาศาสตร์รามคำแหง ปัญหาก็บังเกิดขึ้นจนได้ เพราะหลักฐานที่ข้าพเจ้ายื่นนั้น ยังไม่สมบูรณ์  เป็นเพียงใบสอบถามทางกระทรวงมหาดไทยเท่านั้น ซึ่งทางกระทรวงยังไม่ได้อนุญาติ ข้าพเจ้าจึง ถูกเรียก ให้ขึ้นไปหา ผู้อำนวยการ ส... ของมหาวิทยาลัย เมื่อท่านดูหลักฐานของข้าพเจ้า ท่านจึงบอกว่าหลักฐาน นี้ยังไม่สมบูรณ์  แต่จะอนุญาติให้เรียนไปก่อน เป็นเวลาหนึ่งปี ยังไม่มีสิทธิ์เป็นนักศึกษาที่สมบูรณ์ จนกว่าจะได้ หลักฐาน เพิ่มเติม ข้าพเจ้าจึงได้เรียนในมหาวิทยาลัยไปก่อน
       
ข้าพเจ้าจึงตั้งแผนการเรียนเพื่อให้จบภายในเวลา ๓ ปี ปัญหาหนักของข้าพเจ้าหาใช่เรื่องการเรียน  แต่เป็นเพราะ ทั้งแต่นั้นมา ข้าพเจ้ายังไม่ได้รับใบอนุญาติให้เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยอีกเลย  ซ้ำพ่อก็ขัดขวางทุกวิธีทาง แม่ของ ข้าพเจ้าต้องทนทุกข์ตลอดเพราะโดนด่าโดนว่าทุกวัน  และแม่ต้องแอบส่งเงินให้ข้าพเจ้าเรียน  ดังนั้นการอยู่  การกินของข้าพเจ้าจึงฝืดเคืองมากในชั้นปีที่ 1 ที่เรียนอยู่ จึงให้สติตัวเองว่า "ต้องอดทนเพราะเลือกมาทางนี้แล้ว" เมื่อกำลังเรียนเทอมที่ 2 ของชั้นปีที่ 1 ความกดดันความกลัวและความทุกข์ทางจิตใจประดังเข้ามามาก  เพราะใบ อนุญาติให้เรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยไม่มีวีแววว่าจะได้ ไปถามเจ้าหน้าที่ควบคุมคนญวนอพยพ ก็บอกว่าถ้าอนุมัติ ทางกระทรวงจะส่งเอกสารไปเองที่บ้าน
       
ความหวังที่จะได้ใบอนุญาติดับวูบไปทันทีเพราะรอมาเป็นเวลาครบหนึ่งปีแล้ว ซ่ำการควบคุมให้คนเวียตนาม อพยพอยู่ในเขตจังหวัดควบคุมนั้นเข้มงวดขึ้น  ข้าพเจ้าได้ข่าวคราวของคนที่แอบไปทำงานต่างจังหวัด โดนจับตัวก็หลายคน  ทำให้ข้าพเจ้าบังเกิดความกลัวอย่างมากในขณะที่เรียนอยู่ เวลาป่วยก็ไม่กล้าไปหาหมอ ไม่กล้าไปเทียวที่ไหน ไม่กล้าคบกับคนแปลกหน้า กลัวจะรู้ฐานะของข้าพเจ้า  แล้วแจ้งตำรวจจับส่งกลับจังหวัด ที่ควบคุมทำให้ความหวังในการศึกษาของข้าพเจ้าดับวูบลงได้  ส่วนความกลัวที่แทบจะทำให้ข้าพเจ้ากลายเป็นคน เสียสติด้วยความกดดันคือ  กลัวว่าทางมหาวิทยาลัยรามคำแหงไม่ให้สิทธิ์ในการเรียนต่อในชั้นปีที่ 2 เมื่อเหตุการณ์ เป็นอย่างนี้แล้วข้าพเจ้าจะทำอย่างไร เพราะข้าพเจ้ามีเจตนาอย่างเด็ดเดี่ยวว่า "จะเรียนเพื่อความรู้ไม่ได้หวังในสิ่งอื่น ถึงลำบากถึงชีวิตข้าพเจ้าก็ยอม"

  อันดีชั่วอยู่ที่เดียวกัน                     คือใจนั้นเป็นตัวเริ่ม
เป็นตัวเสริมให้ดีชั่วตามที่เติม        จึงควรเริ่มเติมดีทั้งแต่ต้น
จะเป็นคนหนักแน่นในความดี      ใช้ปัญญาที่มีตรวจค้น
หาอุบายหลบชั่วให้พ้น                   แล้วตั้งต้นเข้าสุ่ความจริง (นิพพาน)

   กำเนิดเกิดมาเป็นคน          อย่าสับสนในสิ่งดีชั่ว
เลือกสิ่งดีเอาไว้ใจอย่ามัว       ถอยห่างจากชั่วให้ไกลเป็นคนดี

     อ่านหน้าต่อไป  103.html                 กลับไปหน้าแรก   100.html