(กลับที่เดิม กด ปุม  <-  back บนมุมช้ายนะครับ)
--------------------------------------------------------------

คุณ artheron ผมได้ตั้งกระทู้ เพื่อให้คุณถามและสนทนากัน ที่อยู่ในหลักเหตุผลและปัจจัยในพุทธศาสนา
เนื่องจากกระทู้เก่าของคุณโดนลบไปแล้ว และคุณคงรู้สึกขัดใจอย่างมาก ดังนั้นผมจึงเปิดโอกาสตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา เพื่อให้คุณถามผมก็ยินดีตอบตามที่ผมรู้และเข้าใจ และตามข้อมูลที่หาได้นะครับ

แต่สำหรับผู้อื่นนั้น ผมอาจจะหรือสงวนไม่ตอบหรือแสดงความเห็นสานต่อความเห็นให้ยื่ดยื้อออกไปนะครับ

และผมจะมาตอบตามเวลาที่ผมมีนะครับ

จากคุณ : P_vicha - [ 13 ก.ค. 49 10:05:24 ]


--------------------------------------------------------------------------------
--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 1

และขอให้ทราบด้วยว่า นีไม่ใช่เป็นการ เอาศาสนาสองศาสนามาชนกัน เพราะความเชื่อของแต่ละคนก็เป็นสิทธิของผู้นั้น

แต่เป็นการสนทนากัน ระหว่างบุคคลกับบุคคลนะครับในเเหตุและผลที่มีอยู่ของแต่ละบุคคล ขอให้ท่านทั้งหลายทำความเข้าใจตรงนี้ไว้ด้วย ก่อนที่จะก่ออคติขยายไปเป็นส่วนรวม นะครับ

จากคุณ : P_vicha - [ 13 ก.ค. 49 10:14:39 ]


ความคิดเห็นที่ 2

คุณ P_vicha ครับ..

อยากเสียเวลาถกกับคุณ artheron มากเลยครับ แกแถกหนีตลอดจนผมก็เบื่อแล้ว ได้แต่คอยตามดูแบบปลงๆกับความคิดประเภท "กวน" ไว้ก่อน..

เดี๋ยวว่างๆจะเข้ามาร่วมดู "ความคิดฟุ้งซ่าน" ของแกอีกรอบครับ..

จากคุณ : วิทยา-พล - [ 13 ก.ค. 49 10:38:44 ]


ความคิดเห็นที่ 3

ตามอ่านอยู่นะครับ
ยังไงก็ขอร้องผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นทุกท่านกรุณาไม่กล่าวพาดพิงถึงศาสนาอื่นๆนะครับ

จากคุณ : สัพเพ สัตตา (BiX-WiZ) - [ 13 ก.ค. 49 11:03:22 ]


ความคิดเห็นที่ 4

บางคนจิตใจดีพูดรกหู..............................สร้างแบรนด์เนม
บางคนกลัวตายใจกล้า.............................สร้างแบรนด์เนม
บางคนมีศาสนาอ้างใจอิสระ.......................สร้งแบรนด์เนม
บางคนจิตฟูแต่โลกมองสงบ.......................สร้างแบรนด์เนม
บางคนเคร่งศาสนาใจทุศีล.........................สร้างแบรนด์เนม
บางคนสมาธิดีทำพูดวกวน.........................สร้างแบรนด์เนม
บางคนเหงาเอะอะโลกตื่น..........................สร้างแบรนด์เนม
บางคนใจวิทยาศาสตร์แกล้งเชื่อไสยศาสตร์...สร้างแบรนด์เนม
แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 49 11:53:34

แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 49 11:47:57

 

จากคุณ : ธนะรัตน์ เอ็กโซติก - [ 13 ก.ค. 49 11:45:09 ]


ความคิดเห็นที่ 5

โปรดทราบ ! เนื่องจากคุณ อาร์ฯ..โตริ

แกไม่มีเจตนาจะสนทนาธรรมใดๆเพื่อใฝ่รู้หรอก

นอกจากเข้ามามั่วคำสอนพุทธ แล้วก้ขุดความเชื่อตัวเอง

ผสมเข้าไป

แล้วก้ล่องหนหายตัวไปตามระเบียบ


คุณจขกท.อย่าเสียเวลามาถกปัญหาธรรมกับคุณ อาร์ ฯแกเล้ย

ไม่มีประโยชน์

จากคุณ : net (แกงเผ็ด) - [ 13 ก.ค. 49 11:52:32 ]


ความคิดเห็นที่ 6

ผมว่าชาวพุทธหลายคนในที่นี้อ่อนไหวเกินเหตุ กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ...

ความจริง ก็คือความจริง ความจริงที่ไม่กล้าถูกพิสูจน์ ...
ก็เพราะเมื่อเปิดให้พิสูจน์แล้วมันไม่จริง

ผมถามว่า ใครที่หวังนิพพานบ้าง หลายคนก็คาดหวังเช่นนั้น... คุณเกิดมาทำไมครับ หากไม่มีวัตถุประสงค์ หรือรู้ว่า เกิดมาทำไม

คนที่สำเร็จ คือคนที่รู้เป้าหมายที่เขาไป จะเรียกว่า จุดหมาย ก็ได้ แต่พอผมถามในสิ่งที่เป็น จุดมุ่งหมาย ที่จะไป

ด้วยเหตุนั้น หลายคนที่ขลาด และอ่อนไหว กลับหาว่าผมเจาะประเด็น... ยังไงผลเสียไม่ได้เกิดที่ผมหรอกครับ เกิดที่พวกคุณ ... คุณก็ยังคลำทางที่มืดบอด ... โดยหวังว่าน่าจะเป็นไปได้อยู่ดี ...

ผมเสียดายหลายคนที่เข้ามาตอบ ... หลายคนเข้าใจ ... แต่หลายคนอ่อนไหวเกินไป กลัวว่าสิ่งที่ผมคิด จะเป็นเป็นจริงสิครับ ....

จากคุณ : artheron - [ 13 ก.ค. 49 14:59:43 ]



ความคิดเห็นที่ 7

คุณ artheron มีสิ่งใดก็สนทนากับผมนะครับ ส่วนท่านผู้อื่นก็ปล่อยๆ ไปก่อนนะครับ

การที่ผมตั้งกระทู้นี้ก็เพื่อผมจะได้รู้จักคุณ artheron พร้อมทั้งความคิดเห็น เช่นเดียวกันคุณ artheron ก็จะได้รู้จักผม

ไม่มีมีความคิดที่จะเอาชนะหรือแพ้(ผมไม่ได้อ่านรายละเอียดต่างๆ ในกระทู้อื่นๆ เท่าไร) แต่เพื่อรู้จักและยกเหตุและผล ในการสนทนา ซึ่งจะจบก็จบกันที่เหตุและผลของคนสองคน เท่านั้นส่วนจะจริงหรือไม่จริงก็อยู่ที่การพิสูจน์เองของผู้นั้นตามกาลเวลาที่อำนวย

จากคุณ : P_vicha - [ 13 ก.ค. 49 15:10:05 ]



ความคิดเห็นที่ 8

555 ก็ว่ากันไป ว่าแต่วันนี้มีเรื่องอะไรมาเสนออีกล่ะครับ
เอาแต่เรื่องดีๆ นะ

จากคุณ : สวรรค์รำไร - [ 13 ก.ค. 49 15:14:55 ]


ความคิดเห็นที่ 9

คุณวงกลม ไปตอบผมแล้ว ดังนั้น ผมจะยกมาแทนแล้วกัน ..

----------------------------------------------------------------
คำตอบคุณวงกลม ที่โพสในกระทู้ข้างล่าง ........
---- การตัดสินใจของพระอรหันต์ ไม่มีใครตัดสินใจ จิต เจตสิก ที่เกิดขึ้นตามปกติเมื่อยังมีชีวิตอยู่ (เกิดเฉพาะสิ่งที่ดี(แต่ไม่เรียกบุญ เพราะท่านไม่ยึดถือไว้จึงไม่เป็นกรรม ที่จะเรียกว่ากรรมดี หรือ บุญ)) ท่านก็ใจจิตเจตสิกที่เกิดขึ้นนั้น ตัดสินใจ แม้ไม่มีความยึดถือ ( เหมือนใช้ร่างกายทำประโยชน์ แม้ท่านไม่ยึดถือไว้ ) การที่ท่านไม่ยึดถือกายและจิต ที่เกิดขึ้น ไม่ได้แปลว่า ท่านใช้สิ่งนั้นไม่ได้ ท่านยังใช้ได้ตามปกติ
--------------------------------------------------------------------

แล้วที่ผมยกว่า ที่ ท่าน (อรหันต์) ตัดสินใจ คือ ไม่ใช่ท่านที่ตัดสินใจ ก็ไม่ได้ผิดตรงไหน เพราะไม่มีท่านที่เป็นบุคคล .... แล้วอะไรบ่งชี้ ... หรือไม่สิ่งบ่งชี้ กำกับ แม้แต่ วิญญาณ ท่าน ก็ไม่มีส่วนเกี่ยว ในขันธ์ ท่านใช้ขันธ์ แต่ไม่ยึดไว้ .... เมื่อนั้นก็คือปล่อยสภาวะที่เหลือให้แล่นไป คำว่า ที่ท่านใช้ขันธ์ สรุป คือใครเป็นผู้ใช้หละครับ ....................

เมื่อขันธ์ นั้นยังมีผู้ใช้ (พระอรหันต์คือผ่านใจเจตสิก) แล้ว ผู้ใช้นั้น บ่งชี้ที่สภาวะไหน ครับ ... แสดงอย่างน้อยลึกสุด ต้องมีสิ่งที่คงจริงเพื่อบ่งบอก หรือแยกแยะ ว่าวิญญาณ ของผู้นั้นผู้นี้ ... มองออกไหมว่า ณ จุดที่พระอรหันต์ เล็งเห็น และไม่ยึดว่าเป็นของตนแล้ว .... พระอรหันต์ (จะว่าจิต หรือวิญญาณ หรืออะไรสักสิ่งที่เป็นผู้ควบคุม และใช้ขันธ์นั้นนะ เป็นสิ่งใด....)

จากคุณ : artheron - [ 13 ก.ค. 49 15:28:36 ]


ความคิดเห็นที่ 10

พึงเข้ามาอ่าน ผมก็พยายามอ่านคำถามของคุณ artheron อย่างละเอียด

อึม เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ลึกซึ่งในการให้เหตุและผล ข้างบนนั้นกล่าวลอยๆ ก็จะคล้ายกันหมด แตกความคิดความเห็นไปได้หลายมุมครับ จนไม่มีหลัก

ดังนั้นผมจะนำมาสู่สะภาพแห่งความเป็นจริงของธรรมชาติก่อนนะครับ แล้วค่อยๆ เทียบเคียงกันไปนะครับ และคุณ artheron ก็สามารถแสดงความเห็นได้นะครับ

เริ่มจากพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าบุคคลประกอบด้วย ธาตุ 6 ได้แก่ 1ธาตุดิน 2.ธาตุน้ำ 3.ธาตุลม 4. ธาตุไฟ 5.อากาศธาตุ และ 6.วิญญาณธาตุ (ซึ่งผมได้แสดงไว้แล้วในความเห็นที่ถูกลบไปนะครับ)

ในเมื่อกล่าวถึงมนุษย์หรือคนเป็นหลัก ธาตุ 1 ถึง 5 ก็คือร่างกายของคนเรา คือมีกระดู เนื้อ เลื่อด น้ำต่างๆ ลมดันให้สภาวะของเหลวในร่างกายไหวหรืดไหล ไปตามช่องว่าง(อากาศธาตุ)ต่างๆ ในร่างกาย และคนเรามีความร้อนหรืออุณหภูมิ เมื่อบวกกับวิญญาณธาตุ ก็เป็นบุคคลตามพุทธศาสนา

มาดูนาย ก. นาย ข.ที่ประกอบด้วยธาตุทั้ง 6 ก็เป็นบุคคลตามพุทธศาสนา เช่นเดียวกันพระอรหันต์ ก็ประกอบไปด้วยธาตุทั้ง 6 ก็ถือว่าเป็นบุคคล ตามหลักของธาตุทั้ง 6

เพียงแต่วิญญาณธาตุของพระอรหันต์นั้น เป็นวิญญาณธาตุที่บริสุทธิ์ หรือวิสุทธิขันธ์

ดังนั้นพระอรหันต์จะกระทำอะไรก็ตามแต่ ก็กระทำด้วยภาวะของบุคคลประกอบด้วยธาตุ 6 เช่นเดียวกับคนทั่วไป ต่างที่ท่านไม่มีกิเลสแล้ว เท่านั้น

ต่อไปคุณ artheron จะแสดงความเห็นต่อก็เชิญครับ ผมจะรออ่านอยู่ครับ

จากคุณ : P_vicha - [ 13 ก.ค. 49 16:27:52 ]


ความคิดเห็นที่ 11

แสดงว่าวิญญาณธาตุ นั่นคือส่วนที่บ่งบอก ความเป็นบุคคล ของ พระอรหันต์ ใช่หรือปล่าวครับ

หรือว่า มีอีกส่วน แต่ว่าส่วนนี้ ใช้วิญญาณธาตุ (ขันธ์) จับไว้เพื่อไปตามเศษกรรมที่เหลือให้หมดอายุ ...

จากคุณ : artheron - [ 13 ก.ค. 49 16:38:20 ]


ความคิดเห็นที่ 12

ต้องกล่าวว่า ธาตุทั้ง 6 ครับ เป็นสิ่งบ่งชี้ ว่าพระอรหันต์ รูปนั้นรูปนี้ครับ

จะกล่าวว่า จับ วิญญาณธาตุ ไว้ก็ไม่ได้ครับ และธาตุทั้ง 6 เมื่อเกิดขึ้นแล้วเจริญได้ก็ด้วย อาหาร และอายุ ครับ ส่วนเรื่องเศษกรรมหรือกรรมเก่าเป็นเป็นเรื่องของปัจจัยอีกต่างหาก

จากคุณ : P_vicha - [ 13 ก.ค. 49 16:53:03 ]


ความคิดเห็นที่ 13

ดูนะครับว่า ทำไม่ผมจึงบอกว่า กล่าวคำว่า จับ วิญญาณธาตุ ไว้นั้นเป็นการกล่าวไม่ถูกต้อง

เพราะ เมื่อบุคคลประกอบด้วยธาตุ 6 แล้ว การดำรงณ์อยู่ ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยนั้นๆ ไม่จำเป็นต้องไปจับไว้ เช่น เมื่อมี ตาสมบูรณ์ และประสาทตาสมบูรณ์ เมื่อมีแสงมากระทบก็เห็นเป็นธรรมดา ไมต้องไปจับไว้ก็ได้ครับ

จากคุณ : P_vicha - [ 13 ก.ค. 49 17:01:33 ]


ความคิดเห็นที่ 14

เข้ามานั่งดูครับ..

จากคุณ : วิทยา-พล - [ 13 ก.ค. 49 17:07:11 ]


ความคิดเห็นที่ 15

พอดีเลิกงานผมต้องกลับบ้าน มีอะไรก็แสดงความคิดเห็นตั้งไว้ก็ได้ครับ คุณ artheron

แล้วผมจะมาสนทนาในความเห็นต่อนะครับ(อาจเป็นพรุ้งนี้ครับ)

จากคุณ : P_vicha - [ 13 ก.ค. 49 17:18:18 ]


ความคิดเห็นที่ 16

ส่วนที่ไม่ไปจับไว้นั่นแหละครับ .. คือสิ่งที่ผมอยากรู้ว่า มีอะไรหนอที่แยกออกมา

จากคุณ : artheron - [ 13 ก.ค. 49 17:22:41 ]


ความคิดเห็นที่ 17

ทำไม่ต้องกล่าวว่ามีอะไรแยกออกมา มันเป็นธรรมชาติอย่างนั้นนี้ครับ จะมีอะไรนอกจากนี้อีก

ถ้าถามว่ามีแต่ วิญญาณธาตุ หรือวิญญาณขันธ์เท่านั้นหรือ?
ผมสามารถตอบได้ว่า เมื่อมีวิญญาณขันธ์ ก็ต้องมี สังขารขันธ์ สัญญาขันธ์ เวทนาขันธ์และรูปขันธ์ ที่เกิดดับสัมพันธ์กันอยู่ เรียกว่า ขันธ์ 5 แต่ผมจะไม่ขอสนทนาลึกลงไปถึงขั้นอภิธรรมนะครับ

ผมเสนอเพื่อให้คุณได้คิดพิจารณาเพื่อจะสนทนาต่อนะครับ
แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 49 19:43:21

จากคุณ : Vicha (P_vicha) - [ 13 ก.ค. 49 19:42:13 ]


ความคิดเห็นที่ 18

"ผมเสียดายหลายคนที่เข้ามาตอบ ... หลายคนเข้าใจ ... แต่หลายคนอ่อนไหวเกินไป กลัวว่าสิ่งที่ผมคิด จะเป็นเป็นจริงสิครับ ...."

คุณ artheron คิดอะไรเหรอครับ?

จากคุณ : พักผ่อน - [ 14 ก.ค. 49 00:04:35 ]


ความคิดเห็นที่ 19

ขันธ์ 4 ก็มีครับ
v
v
[๑๐๙๐] ในโลกุตตระ มีขันธ์เท่าไร ฯลฯ มีจิตเท่าไร
ในโลกุตตระ มีขันธ์ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ สัจจะ ๒ อินทรีย์ ๑๒ เหตุ ๖ อาหาร ๓ ผัสสะ ๑ เวทนา ๑ สัญญา ๑ เจตนา ๑ จิต ๑

>>>>บรรดาธรรมเหล่านั้น ขันธ์ ๔ ในโลกุตตระ เป็นไฉน
คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เหล่านี้เรียกว่าขันธ์ ๔ ในโลกุตตระ

>>>>อายตนะ ๒ ในโลกุตตระ เป็นไฉน
คือ มนายตนะ ธัมมายตนะ เหล่านี้เรียกว่า อายตนะ ๒ ในโลกุตตระ

>>>>ธาตุ ๒ ในโลกุตตระ เป็นไฉน
คือ มโนวิญญาณธาตุ ธัมมธาตุ เหล่านี้เรียกว่า ธาตุ ๒ ในโลกุตตระ

>>>>สัจจะ ๒ ในโลกุตตระ เป็นไฉน
คือ มัคคสัจจะ นิโรธสัจจะ เหล่านี้เรียกว่า สัจจะ ๒ ในโลกุตตระ

>>>>อินทรีย์ ๑๒ ในโลกุตตระ เป็นไฉน
คือ มนินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ โสมนัสสินทรีย์ อุเปกขินทรีย์ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ อนัญญตัญญัสสามีตินทรีย์ อัญญินทรีย์ อัญญาตาวินทรีย์ เหล่านี้เรียกว่า อินทรีย์ ๑๒ ในโลกุตตระ

>>>>เหตุ ๖ ในโลกุตตระ เป็นไฉน
คือ กุศลเหตุ ๓ อัพยากตเหตุ ๓

>>>>บรรดาเหตุ ๖ เหล่านั้น กุศลเหตุ ๓ เป็นไฉน
คือ กุศลเหตุคืออโลภะ กุศลเหตุคืออโทสะ กุศลเหตุคืออโมหะ เหล่านี้เรียกว่า กุศลเหตุ ๓

>>>>อัพยากตเหตุ ๓ เป็นไฉน
คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ ฝ่ายวิบากแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย เหล่านี้เรียกว่า อัพยากตเหตุ ๓ เหล่านี้เรียกว่า เหตุ ๖ ในโลกุตตระ

>>>>อาหาร ๓ ในโลกุตตระ เป็นไฉน
คือ ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร เหล่านี้เรียกว่า อาหาร ๓ ในโลกุตตระ

>>>>ผัสสะ ๑ ในโลกุตตระ เป็นไฉน
คือ มโนวิญญาณธาตุสัมผัส นี้เรียกว่า ผัสสะ ๑ ในโลกุตตระ

>>>>เวทนา ๑ สัญญา ๑ เจตนา ๑ จิต ๑ ในโลกุตตระ เป็นไฉน
คือ มโนวิญญาณธาตุ นี้เรียกว่า จิต ๑ ในโลกุตตระ

ที่มา : http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=35&A=13973&Z=14102

จากคุณ : XLmen - [ 14 ก.ค. 49 01:44:48 ]


ความคิดเห็นที่ 20

คุยกันอยู่ที่นี่ครับ

นิพพานเป็นอัตตาครับ
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4529130/Y4529130.html

จากคุณ : วงกลม - [ 14 ก.ค. 49 08:55:32 ]


ความคิดเห็นที่ 21

ดีครับคุณ XLmen ที่เสนอให้ทราบ ว่ายังมีรายละเอียดมากกว่านั้น

แต่ทำให้คุณ artheron สับสนได้ จึงค่อยๆ เสนอเพื่อให้เขาค่อยคิดไปพิจารณาไปจากเบื้องต้นก่อน น่าจะดีกว่าครับ

จากคุณ : P_vicha - [ 14 ก.ค. 49 09:49:25 ]


ความคิดเห็นที่ 22

จากคำตอบคุณ วงกลม ...
.....................................................................
---------- คำถามที่ว่า สรุป คือใคร เป็นผู้ใช้หละครับ
ก็ตอบว่า
1. เมื่อตอบด้วยความจริงแท้จริง ก็ต้องตอบว่า รูปและนาม(จิต เจตสิก)นั้นแหละ (ที่กล่าวถึง)ที่ใช้ ----ไม่มีใคร(หรือผู้ใด)ใช้(เพราะในปรมัตถ์ ไม่มีบุคคล ที่จะเรียกว่า ผู้ใด)
2. เมื่อกล่าวโดยสมมติ มีบัญญัติเรียก รูปและนาม ว่าบุคคล ก็กล่าวว่า “ ท่านเป็นผู้ใช้”
.............................................................................

ดังนั้นภาวะของที่สุด แล้ว ก็คือ ไม่มีบุคคล แต่เรายังต้องอาศัยเรียกชื่อเรียกแทน .... แล้วผลสรุป ก็อย่างที่ผมบอก เมื่อมองแยกย่อยลึกสุด .... มันก็มองแบบ ไปเจาะที่กระบวนการ หรือ มองแค่การทำงานของภาวะ ที่เกิด ....

แม้ว่าต้องใช้ความเพียรวิปัสสนา แต่ผมได้ชี้จุดว่า เมื่อเราแยกย่อยจนถึงขั้นละเอียดสุด ... มันก็เหมือนว่า เราแยกย่อยการดำรงชีวิต (กล่าวในแง่กายภาพ) ชีวิตเราคือการทำงานของกลุ่มเซลล์ ... เซลล์ไม่มีความคิดในตัวมัน .... ระบบ ความคิด เกิดจากปฏิกิริยาเคมีในสมอง ... ส่งคลื่นกันไปตามประสาทสัมผัส ....

การมองแยกย่อย ในภาพเปรียบเทียบทางกายภาพ คือไม่อาจหา บุคคล มาแทน หรือรับผิดชอบ การกระทำ ... ไงละครับ .... ผมเข้าใจดีว่า คุณมอง ปรมัตถุ์ เป็นสิ่งลึกซึ้ง และต้องเพียรปฏิบัติ ........ แต่สุดท้ายของแนวความคิด คือกำลังบอกว่า เรา (หรือไม่มีเราแต่ต้น) เป็นแค่ กระบวนการของบางสิ่งบางอย่าง ที่มันไม่มีความคิดตั้งแต่แรกเริ่ม .... เพียงแค่เราไปพบกระบวนเหล่านั้น เราก็จะหลุดจากการยึดรูปแบบที่สมมตินี้ได้ไงละครับ .....

---------------------------------------------------------------

และอีกคำถามหนึ่ง คำว่า คือ มโนวิญญาณธาตุ นี้เรียกว่า จิต ๑ ในโลกุตตระ .... ส่วนนี้ยังคงบ่งชี้ ความเป็นบุคคล หรือ หามิได้แล้วของพระอรหันต์ ... ครับ

จากคุณ : artheron - [ 14 ก.ค. 49 10:20:01 ]


ความคิดเห็นที่ 23

เนี้ยและไปยกเรื่องที่ลึกที่ลองลอย เสียก่อนก็ย่อมไม่ก่อประโยชน์และไม่ได้รับประโยชน์

เหมือนดังคน ได้เห็นน้ำในลำคลอง แล้วอยากได้น้ำ วิ่งไปยังลำคลองแล้ว เอามือทั้งสองกอบน้ำขึ้นมา แทบจะเอาไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย แทนที่จะทำกระบวย ชะลอม ตักน้ำไปเก็บไปใช้ได้ ขอให้ผู้ร่วมสนทนาพึงสังวรไว้ด้วย

ผมจะตอบคำถามนี้ของคุณ artheron

และอีกคำถามหนึ่ง คำว่า คือ มโนวิญญาณธาตุ นี้เรียกว่า จิต ๑ ในโลกุตตระ .... ส่วนนี้ยังคงบ่งชี้ ความเป็นบุคคล หรือ หามิได้แล้วของพระอรหันต์ ... ครับ

ตอบ ไม่ควรกล่าวว่า มโนวิญญาธาตุ บ่งชี้ความเป็นบุคคล ผมก็ตอบไปแล้ว ความเป็นบุคคลประกอบด้วยธาตุทั้ง 6

ต่อไปผมขอให้พิจารณาตามให้ดี โดยธรรมชาติล้วนแล้วนั้นในพุทธศาสนา มีเพียง ปรมัตธรรม 4 ประการเท่านั้น ได้แก่

รูป จิต เจตสิก และนิพพาน

แล้วผมให้คิดตามต่อไป บุคคลประกอบด้วยธาตุ 6 จากความเห็นเก่า ก็จะได้ว่า
ธาตุ 1 ถึง 5 ก็คือ รูป นั้นเอง
วิญญาณธาตุ ก็คือ จิต นั้นเอง
เมื่อมีวิญญาณ ก็ต้องมี เวทนา สังขาร สัญญา ก็คือ เจตสิค นั้นเอง

จะเห็นว่าบุคคลประกอบด้วยธาตุ 6 สรุป คือ รูป จิต เจตสิก ประกอบรวมกันจึงเป็น บุคคล จะบอกว่า วัญญาณธาตุ อย่างเดียวว่าเป็นบุคคลก็หาได้ไม่ หวังว่าคุณ artheron คงพอเข้าใจที่ผมอธิบายแล้วนะครับ

ผมได้ผูกเงือนในเรื่อง ปรมัตธรรม มีเพียง 4 เท่านั้น คือ รูป จิต เจตสิก และนิพพาน เพื่อให้คุณพิจารณาสนทนากันต่อ
แก้ไขเมื่อ 14 ก.ค. 49 11:09:50

จากคุณ : P_vicha - [ 14 ก.ค. 49 11:05:43 ]


ความคิดเห็นที่ 24

อนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวิชาครับ

และอนุโมทนาในความสนใจใคร่แจ่มแจ้งของคุณอาธีรอนด้วยครับ

สาธุ

(อดีตเป็นอย่างไรก็คืออดีต ปัจจุบันเป็นอย่างไรก็คือปัจจุบัน)

จากคุณ : จุ๊ - [ 14 ก.ค. 49 11:24:05 ]


ความคิดเห็นที่ 25

อธิบายขันธ์ คืออะไรเหรอครับ ผมไม่รู้จริง คุณอาเธรอน อธิบายผมทีนะครับ แล้วพระอรหันต์กับขันธ์สัมพันธ์กันอย่างไร

จากคุณ : JohnnieWalker - [ 14 ก.ค. 49 11:25:32 ]


ความคิดเห็นที่ 26

ตอบคุณ JohnnieWalker อ่านทั้งแต่ความเห็นที่ 9 ลงมาแล้วลองทำความเข้าใจไปด้วย ก็จะพอเข้าใจ หรือเห็นแนวทางที่กำลังสนทนากันอยู่ ส่วนจะมีความคิดเห็นอย่างไรหรือขัดแย้ง ก็เป็นสิทธิเป็นภาวะของคูณ JohnnieWalker เอง
แก้ไขเมื่อ 14 ก.ค. 49 12:02:04

จากคุณ : P_vicha - [ 14 ก.ค. 49 12:01:10 ]


ความคิดเห็นที่ 27

หรือคุณ JohnnieWalker รู้อยู่แล้วแต่ถามเพื่อให้คุณ artheron อธิบายสิ่งที่สนทนากันว่า มีความเข้าใจอย่างไร ผมก็ขอบคุณครับที่กรุณาช่วยครับ

จากคุณ : P_vicha - [ 14 ก.ค. 49 12:07:59 ]


ความคิดเห็นที่ 28

คุณ artheron หมดความสงสัยแล้วหรือครับ หรือเห็นว่าผมตอบ ที่คุณเสนอไม่หมด ในความคิดเห็นที่ 22 จึงไม่สานต่อ

อย่างนั้นผมเอาความคิดเห็นของคุณ artheron ในความคิดเห็นที่ 22 มา ที่ว่า

************************
ผมเข้าใจดีว่า คุณมอง ปรมัตถุ์ เป็นสิ่งลึกซึ้ง และต้องเพียรปฏิบัติ ........ แต่สุดท้ายของแนวความคิด คือกำลังบอกว่า เรา (หรือไม่มีเราแต่ต้น) เป็นแค่ กระบวนการของบางสิ่งบางอย่าง ที่มันไม่มีความคิดตั้งแต่แรกเริ่ม .... เพียงแค่เราไปพบกระบวนเหล่านั้น เราก็จะหลุดจากการยึดรูปแบบที่สมมตินี้ได้ไงละครับ .....
**********************

นั้นเป็นเพียงความเข้าใจของคุณอย่างเดียว และยังเข้าใจผิดไปมาก ผมจึงต้อง วางลำดับในการอธิบายให้เห็นตั้งแต่จุดเริ่ม ของความเข้าใจที่คลาดเคลือนของคุณ นะครับ ถ้าคุณสนใจแสวงหาความรู้ต่อ

จากบุคคลประกอบด้วยธาตุ 6 แล้วไปเกี่ยวพันกับกิเลสอย่างไร? เกี่ยวกับกรรมอย่างไร? ไปเกียวกับการปฏิบัติอย่างไร?

เพราะธรรมเหล่านี้ไม่ใช่เพียงแค่ความคิดอย่างเดียวตามที่คุณเข้าใจ และแสดงให้ผู้อื่นทราบอยู่

จากคุณ : P_vicha - [ 14 ก.ค. 49 16:27:55 ]


ความคิดเห็นที่ 29

******** คุณ artheron ยังเข้าใจผิด และกล่าวผิดอีก อยู่ครับ
ที่ว่า
1. เป็นการมองแบบแยกย่อยและไม่มีผู้รับผิด
**** การมองจิตเกิดดับ ไมใช่การมองแบบแยกย่อย เป็นการมองเห็นสิ่งที่เป็นจริง มีอยู่จริง คือจิต และจิตเป็นผู้รับผิดชอบ การกระทำนั้น

2. จิตคิดไม่ได้ เหมือนเซลที่คิดไม่ได้
*** จิต คิดได้ ไม่เหมือนเซลที่คิดไม่ได้ ***

ดูรายละเอียดครับ
---------------
ความคิดเห็นที่ 22
...........
การมองแยกย่อย ในภาพเปรียบเทียบทางกายภาพ คือไม่อาจหา บุคคล มาแทน หรือรับผิดชอบ การกระทำ ... ไงละครับ
........
เรา (หรือไม่มีเราแต่ต้น) เป็นแค่ กระบวนการของบางสิ่งบางอย่าง ที่มันไม่มีความคิดตั้งแต่แรกเริ่ม .... เพียงแค่เราไปพบกระบวนเหล่านั้น เราก็จะหลุดจากการยึดรูปแบบที่สมมตินี้ได้ไงละครับ .....

***** ไม่ใช่อย่างที่คุณ artheron กล่าวครับ ว่า จิตคิดไม่ได้ เหมือนเซลต่างๆที่ประกอบมาเป็นร่างกายครับ จิต คิดได้ ไม่เหมือนเซลที่เป็นร่างกายคิดไม่ได้ครับ

1. ได้แสดงไว้แล้วในความเห็นเดิม(ยกมาให้ที่ท้ายความเห็นนี้) ว่า จิตคิดได้ เพราะจิต ที่เป็นปรมัตถ์ไม่มีบุคคลนี้แหละ ที่คิดได้ จึงหลงผิดได้ ไม่ใช่ปรมัตถ์ธรรม คือจิต นี้ ไม่มีความคิด

2. เมื่อมีความคิดได้ จิต นี้จึงต้องรับผล ของการกระทำนั้นได้ ไม่ใช่ว่าไม่มีผู้รับผล ซึ่งหากจิตไหนหลงผิดคิดว่าจิตนั้นเป็นบุคคล ตัวตน เรา เขา ก็เกิดความทุกข์ขึ้น เมื่อจิตนี้เห็นความจริง หลุดพ้นจากการหลงผิด ว่าเป็น บุคคล จิตนี้ก็พ้นทุกข์ทางใจทันที และ ไม่มีตัณหาที่เกิดจาการหลงผิดว่ามีตัวตน พาไปเกิดให้เกิดทุกข์กาย (และทุกข์ใจ) ในชาติต่อไป

ด้วยไมตรี

------------------------

นิพพานเป็นอัตตาครับ
ความเห็นที่ 16
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4529130/Y4529130.html#16
..............
**************** ดังนั้น ท่านจึงได้มีข้อพระธรรมว่า
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑ มีแต่ทุกข์ เท่านั้นที่เกิดขึ้น มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
หมายความว่า เมื่อจิตไม่รู้ว่า กายและจิตที่เกิดขึ้นเป็นเพียงกระแสการเกิดับของเหตุปัจจัยและผลของเหตุปัจจัยเท่านั้น ความรู้สึกเป็นตัวตน เป็นของตนก็เกิดขึ้น(เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา คืออุปาทาน(ความหลงผิดที่ไปยึดเอาขันธ์ ว่าเป็นตน ของตน) ความทุกข์ก็เกิดขึ้น เพราะความคิดว่ามีตัวตน(มี สัตว์ บุคคล) นั้น
ดังนั้น เมื่อเข้าใจผิดว่ามีบุคคล ทุกข์จึงเกิดขึ้น

( และทำให้เกิดอีกต่อเนื่องไป เพราะ มี ตัณหา เป็นเชื้อ เหมือนเซลชีวิตในเมล็ดพืชที่ยังไม่แห้งตาย ก็เพาะเป็นต้นใหม่อีก ในภพต่อไป(อาจจะเป็นภพเดิมก็ได้ )

เมื่อจิต เห็นความจริงว่า ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของตน เห็นแต่กระแสของรูปและนามที่ยัง เกิด ดับ ต่อไปใน(ชาตินี้เท่านั้น ) เมื่อเข้าใจถูกต้อง บุคคล ก็หายไป ทุกข์ ก็หายไป จึงมีข้อพระธรรมว่า มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป (คือเมื่อเข้าใจผิด ว่ามีบุคคล ก็เกิดทุกข์ ขั้น เมื่อเข้าใจถูกต้อง(ความเข้าใจผิดว่ามี)บุคคลก็หายไป ทุกข์ก็หายไป **********

จากคุณ : วงกลม - [ 15 ก.ค. 49 12:09:27 ]


ความคิดเห็นที่ 30

......
ความเข้าใจชัดเจนเรื่องนี้ ผมก็ได้จากท่านพุทธทาส จากคำสอนเรื่อง “ใครทุกข์ใครสุข” ในหนังสืองานศพเล่มบางๆรวมกับคำสอนบทอื่น แต่ใช้เวลาอ่านเพื่อทำความเข้าใจหลายรอบ และใช้เวลาคิดพิจารณาหลายครั้ง หลายวาระ จึงเข้าใจ

ด้วยไมตรีจิต
.....
จากคุณ : วงกลม - [ 13 ก.ค. 49 17:22:44 ]

จากคุณ : วงกลม - [ 15 ก.ค. 49 23:32:31 ]


ความคิดเห็นที่ 31

อืมม ดีจัง เดี๋ยวนี้กระทู้ แบบสนทนาธรรม ระหว่างศาสนิกต่างศาสนาเพิ่มขึ้น
ผมอยากให้กระทู้นี้มีแค่สองคนก่อนครับ เพื่อป้องกันความสับสน
เพราะ คุณ P_vicha จะต้องการหาจุดที่คุณ artheron เข้าใจผิด ดุจ ผู้รู้แนะนำผู้ไม่รู้ครับ

ผมมั่นใจว่ากระทู้นี้ จะต้องกลายเป็นตำนานถ้าไม่มีใครหลบไปก่อน ขอให้ทั้งคู่อยู่สนทนาธรรมกันเรื่อยๆนะครับ
มีผู้รอเก็บเกี่ยวความรู้หลายคนครับ

จากคุณ : mamarine - [ 16 ก.ค. 49 01:32:22 ]


ความคิดเห็นที่ 32

เมื่อจิต เห็นความจริงว่า ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของตน เห็นแต่กระแสของรูปและนามที่ยัง เกิด ดับ ต่อไปใน(ชาตินี้เท่านั้น ) เมื่อเข้าใจถูกต้อง บุคคล ก็หายไป ทุกข์ ก็หายไป จึงมีข้อพระธรรมว่า มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป (คือเมื่อเข้าใจผิด ว่ามีบุคคล ก็เกิดทุกข์ ขั้น เมื่อเข้าใจถูกต้อง(ความเข้าใจผิดว่ามี)บุคคลก็หายไป ทุกข์ก็หายไป **********

-------------------------------------------------------------------

ไอ้จิตที่เห็นนี่อะครับ ยังนับว่าเป็นตัวตนของใครอยู่หรือครับคุณวงกลม ... แสดงว่าจิต นี้แหละบ่งชี้ ภาวะของพระอรหันต์ขณะที่ถือขันธ์ไว้ และเมื่อดับขันธ์ จิตที่เห็นนี้ หายดับไป หรือ ไปอยู่ในส่วนโลกุตระ

จากคุณ : artheron - [ 18 ก.ค. 49 11:52:50 ]


ความคิดเห็นที่ 33

ผมขอตอบในความคิดเห็น 32 ของคุณ artheron ไปก่อน แต่ผมก็ไม่ทราบคุณวงกลมจะตอบคุณ artheron ในแบบใหน เพราะสนใจตอบในคำถามของคุณ artheron เท่านั้นนะครับ โดยแยกตอบเป็นส่วนๆ ดังนี้

****
ไอ้จิตที่เห็นนี่อะครับ ยังนับว่าเป็นตัวตนของใครอยู่หรือ
*****

ตอบ จิต ไม่นับว่าเป็นตัวตนหรือบุคคล เมื่อไม่กล่าวรวมประกอบกับธาตุ ทั้ง 5 หรือ เป็นขันธ์ 5

*****
แสดงว่าจิต นี้แหละบ่งชี้ ภาวะของพระอรหันต์ขณะที่ถือขันธ์ไว้
*****

ตอบ ถูกต้องครับ จิต ที่กล่าวประกอบรวมกับธาตุทั้ง 6 หรือขันธ์ 5 บ่งชี้ ภาวะของพระอรหันต์
แต่คุณ artheron ต้องเข้าใจตรงนี้ด้วย ภาวะของพระอรหันต์ คือ ความสิ้นไปหรือหมดไปของกิเลสอันได้แก่ ราคะ โทสะ และโมหะ
และภาวของความสิ้นไปหมดไปของ ราคะ โทสะ โมหะ ก็คือนิพพานนั้นเอง

*****
และเมื่อดับขันธ์ จิตที่เห็นนี้ หายดับไป หรือ ไปอยู่ในส่วนโลกุตระ
*****

ตอบ เมื่อพระอรหันธ์ดับขันธ์ จิตที่เห็นนี้ก็ย่อมดับไป เพราะหมดอาหารและอายุ แล้วไม่มีกิเลสที่เป็นอวิชชา ที่จะไปประกอบรวมกับธาตุทั้ง 5 กลาย เป็นธาตุทั้ง 6 เป็นบุคคลขึ้นมาอีก
เนื่องจากบรรลุนิพพาน ทั้งแต่บุคคลประกอบด้วยธาตุ 6 นั้นหมดสิ้นราคะ โทสะ โมหะ แล้ว

จากคุณ : P_vicha - [ 18 ก.ค. 49 14:20:36 ]


        เริ่มกระทู้ที่ สอง

** ถึงคุณวงกลม จากกระทู้เก่า ... มีคำถามเพิ่มครับ ..
พอดีกระทู้เก่ามันตกไปแล้วผมเลยยกมาถามอีกหน่อย

ที่คุณวงกลมตอบ-----------------------------------------------------------
เมื่อจิต เห็นความจริงว่า ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของตน เห็นแต่กระแสของรูปและนามที่ยัง เกิด ดับ ต่อไปใน(ชาตินี้เท่านั้น ) เมื่อเข้าใจถูกต้อง บุคคล ก็หายไป ทุกข์ ก็หายไป จึงมีข้อพระธรรมว่า มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป (คือเมื่อเข้าใจผิด ว่ามีบุคคล ก็เกิดทุกข์ ขั้น เมื่อเข้าใจถูกต้อง(ความเข้าใจผิดว่ามี)บุคคลก็หายไป ทุกข์ก็หายไป **********

-------------------------------------------------------------------------

สิ่งที่ผมอยากรู้คือ ไอ้ตัวจิตที่เห็น นี่แหละครับ .... ยังนับว่าเป็นตัวตนของใครอยู่หรือครับคุณวงกลม ... หรือนับเป็นส่วนของนิพพานธาตุ ( ไม่มีการอยู่ในโลกียะอีกต่อไป) .... หรือเป็นส่วนดั้งเดิมสุด เป็น จิตของพระอรหันต์นั่นเอง ....... แต่ไม่มีกิเลสแปดเปื้อนแล้ว .....

ตามด้วยอีกคำถาม ..... หาก พระพุทธเจ้าสามารถนับบารมี 4 อสงไขยกัปล์กับอีก 1 แสนกัปล์ นี่คือนับตั้งแต่ ชาติที่ พระองค์ทรงได้รับทำนาย.... หรือว่า เป็นการนับชาติที่มีทั้งหมดของพระองค์ในสังสารวฏฏ ทั้งหมด ......

หากว่านับชาติทั้งหมดได้ ก็แสดงว่ามีชาติที่ 1 ดังนั้นไม่ควรว่าการเวียนว่ายเป็นวงกลม (กระบวนการวฏฏ สืบเนื่องเป็นวงกลม) แต่ภพชาติ ต้องย้อนไปหาชาติที่ 1 ได้ ...

จากคุณ : artheron - [ 18 ก.ค. 49 13:00:45 ]


--------------------------------------------------------------------------------
--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 1

..

วงกลมของล้อเกวียน มันกลมเพราะมีเหตุปัจจัยให้ยังกลมอยู่
คือ มีล้อ มีกง มีดุม ทำให้หมุนไปได้

อันนี้เรียกว่าวงกลม
และก็อย่าได้สำคัญมั่นหมายว่า
อะไรที่กลม จะกลมอยู่อย่างนั้น

เมื่อยังกลมอยู่ ก็ยังกลิ้ง ยังหมุนต่อไป (เมื่อยังมีแรงมาหมุน)
เมื่อแรงหมุนไม่มี มันก็เลยหยุดหมุนเท่านั้นเอง

เมื่อล้อเกวียนหยุดหมุน
จะสมมุติว่า นั่นยังเป็นล้อเกวียน ก็ย่อมทำได้
หรือจะสมมุติว่า นั่นไม่ใช่ล้อเกวียนอีกต่อไป ก็ทำได้เหมือนกัน แล้วแต่ใครจะมอง

แต่เมื่อถอดทำลายทิ้งแล้ว ล้อเกวียนนั้นก็ไม่ใช่ล้อเกวียนอีกต่อไป
แม้จะประกอบขึ้นมาใหม่อีก ล้อเกวียนนั้นก็ไม่ใช่ล้อเกวียนอันเดิม

ชาติแรกของล้อเกวียนอันเดิม มีอยู่ (แต่ก็ไม่สำคัญนัก)
ชาติแรกของล้อเกวียนอันใหม่ ก็มีอยู่ (และก็ไม่สำคัญนัก)

พระพุทธเจ้าสอนให้ทำลาย กงเกวียนอันนี้เสีย
เพราะกงเกวียนอันนี้ มีแต่นำทุกข์มาให้

นำทุกข์มาให้ใคร
ก็นำมาให้ (เจ้าของ) ผู้ซึ่งยึดว่า นี่เป็นจิตของเรา นี่เป็นเรา นี่เป็นของๆ เรานั่นเอง

..

จากคุณ : ไม่เป็นดั่งใจ - [ 18 ก.ค. 49 13:52:29 ]


ความคิดเห็นที่ 2

^
^ ล้อเกวียน แทน วฏฏ ดังนั้นมันเป็นวงกลมได้

แต่ ภพชาติที่มันอาศัย... มันต้องมีเหตุ คือแรงแรกที่กระทำ
ใน วฏฏ จนสืบเนื่องมาจนเป็นแบบนี้ไงละ

เหตุที่ ไม่ตอบเพราะว่ากระบวนการนี้ ไม่อาจหาเหตุ
ได้ไงละครับ ....
-------------------------------------------------

จิตที่เห็น กระบวนการทั้งหมด นั้นแหละ คือ จิตใคร และมาได้ไง ....

จากคุณ : artheron - [ 18 ก.ค. 49 14:11:21 ]


ความคิดเห็นที่ 3

ผมจะยกคำถามในกระทู้เก่าของผม ที่คุณถามมาตอบที่นี้ เพื่อไม่ให้แตกประเด็น ไม่ให้กลายเป็นเหมือนมั่วไปหมดนะครับ

ความคิดเห็นที่ 32

เมื่อจิต เห็นความจริงว่า ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของตน เห็นแต่กระแสของรูปและนามที่ยัง เกิด ดับ ต่อไปใน(ชาตินี้เท่านั้น ) เมื่อเข้าใจถูกต้อง บุคคล ก็หายไป ทุกข์ ก็หายไป จึงมีข้อพระธรรมว่า มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป (คือเมื่อเข้าใจผิด ว่ามีบุคคล ก็เกิดทุกข์ ขั้น เมื่อเข้าใจถูกต้อง(ความเข้าใจผิดว่ามี)บุคคลก็หายไป ทุกข์ก็หายไป **********

-------------------------------------------------------------------

ไอ้จิตที่เห็นนี่อะครับ ยังนับว่าเป็นตัวตนของใครอยู่หรือครับคุณวงกลม ... แสดงว่าจิต นี้แหละบ่งชี้ ภาวะของพระอรหันต์ขณะที่ถือขันธ์ไว้ และเมื่อดับขันธ์ จิตที่เห็นนี้ หายดับไป หรือ ไปอยู่ในส่วนโลกุตระ

จากคุณ : artheron - [ 18 ก.ค. 49 11:52:50 ]

ความคิดเห็นที่ 33

ผมขอตอบในความคิดเห็น 32 ของคุณ artheron ไปก่อน แต่ผมก็ไม่ทราบคุณวงกลมจะตอบคุณ artheron ในแบบใหน เพราะสนใจตอบในคำถามของคุณ artheron เท่านั้นนะครับ โดยแยกตอบเป็นส่วนๆ ดังนี้

****
ไอ้จิตที่เห็นนี่อะครับ ยังนับว่าเป็นตัวตนของใครอยู่หรือ
*****

ตอบ จิต ไม่นับว่าเป็นตัวตนหรือบุคคล เมื่อไม่กล่าวรวมประกอบกับธาตุ ทั้ง 5 หรือ เป็นขันธ์ 5

*****
แสดงว่าจิต นี้แหละบ่งชี้ ภาวะของพระอรหันต์ขณะที่ถือขันธ์ไว้
*****

ตอบ ถูกต้องครับ จิต ที่กล่าวประกอบรวมกับธาตุทั้ง 6 หรือขันธ์ 5 บ่งชี้ ภาวะของพระอรหันต์
แต่คุณ artheron ต้องเข้าใจตรงนี้ด้วย ภาวะของพระอรหันต์ คือ ความสิ้นไปหรือหมดไปของกิเลสอันได้แก่ ราคะ โทสะ และโมหะ
และภาวของความสิ้นไปหมดไปของ ราคะ โทสะ โมหะ ก็คือนิพพานนั้นเอง

*****
และเมื่อดับขันธ์ จิตที่เห็นนี้ หายดับไป หรือ ไปอยู่ในส่วนโลกุตระ
*****

ตอบ เมื่อพระอรหันธ์ดับขันธ์ จิตที่เห็นนี้ก็ย่อมดับไป เพราะหมดอาหารและอายุ แล้วไม่มีกิเลสที่เป็นอวิชชา ที่จะไปประกอบรวมกับธาตุทั้ง 5 กลาย เป็นธาตุทั้ง 6 เป็นบุคคลขึ้นมาอีก
เนื่องจากบรรลุนิพพาน ทั้งแต่บุคคลประกอบด้วยธาตุ 6 นั้นหมดสิ้นราคะ โทสะ โมหะ แล้ว

จากคุณ : P_vicha - [ 18 ก.ค. 49 14:20:36 ]

จากคุณ : P_vicha - [ 18 ก.ค. 49 14:26:30 ]


ความคิดเห็นที่ 4

และจากคำถามของ คุณ artheron ในอีกกระทู้หนึ่ง

ความคิดเห็นที่ 6

หากเราสามารถนับจำนวนการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้าได้

แสดงว่า ต้องมีชาติที่หนึ่งของพระองค์ ...

แสดงว่าการเวียนว่าย มีจุดเริ่ม ไม่ได้เป็นวงกลม

จากคุณ : artheron - [ 18 ก.ค. 49 12:02:18 ]

ความคิดเห็นที่ 7

ตอบ คุณ artheron จุดเริ่มก็คือ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย ครับ

ให้ทำความเข้าใจว่า ปรมัติธรรม มีจริง ๆ อยู่ 4 คือ รูป จิต เจตสิก และ นิพพาน

ให้ทำความเข้าใจว่า ธรรมชาตินั้นมีอยู่ 2 คือ
1.ธรรมชาติที่มีการเปลี่ยนแปลง ที่มีการปรุงแต่ง ที่มีการยึดมั่นถือมั่น หมุนวนอยู่ตลอด
2.ธรรมชาติที่ไม่ปรุงแต่ง ไม่มีสิ่งใดปรุงแต่งได้ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง สงบเย็น

ชาติแรก มีได้ เพราะเริ่มาจาก อวิชชาเป็นปัจจัย จึงเกิดสังขาร เกิดเป็นวัฏจักรในปฏิสจมุทปบาท เป็นวัฏจักรวนเวียนอยู่อย่างนั้น คือปรุงแต่งอยู่เป็น รูป จิต เจตสิก หรือตกอยู่ในธรรมชาติแบบที่ 1 ด้านบน ทีมีการเปลี่ยนแปลง
จึงยาวนานมากๆ ๆ ๆ จนไม่สามารถบัญยัติประมาณได้ จึงสรุปได้ด้วยการประมาณว่า หาเบื้องต้นไม่ได้
พระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสทำนองว่า สัตว์ทั้งหลายวนเวียนเกิดตายมายาวนานมากๆๆ จึงตรัสเปรียบเทียบให้ทราบว่ายาวนานจนหาเบื้องต้นไม่ได้ เพราะความยาวนานมาก ๆๆๆๆๆๆๆๆ นั้นเอง

จากคุณ : P_vicha - [ 18 ก.ค. 49 13:51:03 ]

จากคุณ : P_vicha - [ 18 ก.ค. 49 14:30:18 ]


ความคิดเห็นที่ 5

ดีครับ คุณ วิชา

เอาหละ ตอนชาติแรก อวิชชา ได้ วิบาก หรือกรรมไหน
มาเป็นแรงเคลื่อน ใน ปฏิจสมุปบาท ครับ ...

หรือมันก่อเองได้เลย หากเช่นนั้น เหมือนไฟไม่มีเชื้อ แต่สร้างเชื้อมาเองหรือ

จากคุณ : artheron - [ 18 ก.ค. 49 14:37:33 ]


ความคิดเห็นที่ 6

และเมื่อดับขันธ์ จิตที่เห็นนี้ หายดับไป หรือ ไปอยู่ในส่วนโลกุตระ
*****

ตอบ เมื่อพระอรหันธ์ดับขันธ์ จิตที่เห็นนี้ก็ย่อมดับไป เพราะหมดอาหารและอายุ แล้วไม่มีกิเลสที่เป็นอวิชชา ....

จิตที่เห็น (Subject) หายไปแสดงว่าเรา บ่งชี้ จิตนี้ไม่ได้อีก ส่วนจิตที่ถูกเห็น (object) เป็นภาวะการสมมติโดยอวิชชาคลุมไว้ หายไปก่อนตั้งแต่ Subject ได้บรรลุ งั้นแสดงว่า คุณวิชา ว่า นิพพาน เป็น สูญ คือว่างไปเลยหรือครับ ...

จากคุณ : artheron - [ 18 ก.ค. 49 14:41:58 ]


ความคิดเห็นที่ 7

อีกข้อ ..... จาก
2.ธรรมชาติที่ไม่ปรุงแต่ง ไม่มีสิ่งใดปรุงแต่งได้ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง สงบเย็น ...
----------------------------------------------------------

เอาหละตัวธรรมชาติที่ไม่ปรุงแต่งนี่แหละครับ ...
ที่ผมสงสัย ว่า มันมีอยู่เดิม แล้วโดนจับปรุงแต่งได้ไง

จากคุณ : artheron - [ 18 ก.ค. 49 14:43:39 ]


ความคิดเห็นที่ 8

ดีครับคุณ artheron ถามได้ดีและแบ่งเป็นสัดเป็นส่วน

จากความคิดเห็นที่ 5
***************
เอาหละ ตอนชาติแรก อวิชชา ได้ วิบาก หรือกรรมไหน
มาเป็นแรงเคลื่อน ใน ปฏิจสมุปบาท ครับ ...

หรือมันก่อเองได้เลย หากเช่นนั้น เหมือนไฟไม่มีเชื้อ แต่สร้างเชื้อมาเองหรือ
***************

ตอบ เหตุ นั้นยอมมี เพราะความไม่รู้ (อริยสัจจะ) นั้นและก็คืออวิชชา ซึ่งเป็นตัวปฐมเหตุ ไปจับไปประกอบ ไปสีกับสังขาร หรือธาตุทั้ง 5 (ดิน น้ำ ลม ไฟ ช่องว่าง) ซึ่งปรากฏมีอยู่แล้วในธรรมชาติ ที่มีการเปลี่ยนแปลง ไหลวน และปรุงแต่ง

เซื่อก็คือ ความไม่รู้ในอริยสัจจะ 4 เป็นอวิชชา กับ ธาตุทั้ง 5 ที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติปรุงแต่งได้นั้นเอง

จากคุณ : P_vicha - [ 18 ก.ค. 49 15:10:01 ]


ความคิดเห็นที่ 9

จากความคิดเห็นที่ 6 ของ artheron
***********************************
และเมื่อดับขันธ์ จิตที่เห็นนี้ หายดับไป หรือ ไปอยู่ในส่วนโลกุตระ
*****

ตอบ เมื่อพระอรหันธ์ดับขันธ์ จิตที่เห็นนี้ก็ย่อมดับไป เพราะหมดอาหารและอายุ แล้วไม่มีกิเลสที่เป็นอวิชชา ....

จิตที่เห็น (Subject) หายไปแสดงว่าเรา บ่งชี้ จิตนี้ไม่ได้อีก ส่วนจิตที่ถูกเห็น (object) เป็นภาวะการสมมติโดยอวิชชาคลุมไว้ หายไปก่อนตั้งแต่ Subject ได้บรรลุ งั้นแสดงว่า คุณวิชา ว่า นิพพาน เป็น สูญ คือว่างไปเลยหรือครับ ...

จากคุณ : artheron - [ 18 ก.ค. 49 14:41:58 ]
***********************************************

ตอบ เมื่อพระอรหันต์ ดับขันธ์ จิตย่อมดับย่อมสลายไป ไม่ก่อตัวขึ้นมาเป็นบุคคลที่ประกอบด้วย ธาตุ 6 ได้อีก
ส่วนพระอรหันต์ที่ยังประกอบด้วยธาต 6 จิตท่านดำรงณ์อยู่ด้วย อาหารและอายุ ตามธรรมชาติที่เปลียนแปลงปรุงแต่ง ไม่ใช่ด้วยอวิชชา เพราะอวิชชานั้นดับไปแล้วมีวิชชาบังเกิด

และจากข้อความของคุณ artheron
******************
ส่วนจิตที่ถูกเห็น (object) เป็นภาวะการสมมติโดยอวิชชาคลุมไว้ หายไปก่อนตั้งแต่ Subject ได้บรรลุ งั้นแสดงว่า คุณวิชา ว่า นิพพาน เป็น สูญ คือว่างไปเลยหรือครับ ...
******************

ตอบ ผมไม่ได้บอกว่า นิพพานสูญ
แต่จากความเห็นด้วนบน เรื่อง ปรมัตธรรมจริงๆ มี 4 คือ รูป จิต เจตสิก นิพพาน
และธรรมชาติมี 2 ดังความเห็นเก่า

ดังนั้นในเมื่อปัญญาพ้นจาก รูป จิต เจตสิก ก็คือ นิพพาน เป็นสัจจะธรรม ที่มีอยู่จริง
และเมื่อหมดจากธรรมชาติ ที่ปรุงแต่งและเปลี่ยนแปลง( รูป จิต เจตสิก) ที่หล่อเลียงอยู่ด้วยอาหารและอายุของธรรมชาตินั้น ก็สงบเย็นอยู่ 1 เดียว(นิพพานธาตุ)

(ขอโทษ ผมพิมพ์ตกขอแก้ไข)
แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 49 15:09:51

จากคุณ : P_vicha - [ 18 ก.ค. 49 15:26:56 ]


ความคิดเห็นที่ 10

จาก ความคิดเห็นที่ 7 ของคุณ artheron
********************************
อีกข้อ ..... จาก
2.ธรรมชาติที่ไม่ปรุงแต่ง ไม่มีสิ่งใดปรุงแต่งได้ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง สงบเย็น ...
----------------------------------------------------------

เอาหละตัวธรรมชาติที่ไม่ปรุงแต่งนี่แหละครับ ...
ที่ผมสงสัย ว่า มันมีอยู่เดิม แล้วโดนจับปรุงแต่งได้ไง

จากคุณ : artheron - [ 18 ก.ค. 49 14:43:39 ]
*************************

ตอบ คุณ artheron เข้าใจความหมายคลาดเคลื่อนไป จับมาปนกัน ผมได้ชี้แจงตอบแล้วในความคิดเห็นที่ 8 นะครับ

เอาแหละผมจะอธิบายให้ทราบในอีกมุมหนึ่ง
เพราะธรรมชาติทั้ง 2 นั้นไม่ปนกัน เป็นคนละอย่างกันอย่างสิ้นเชิง

ธรรมชาติที่ไม่ปรุงแต่ง ไม่ยึดมั่นถือมั่น สงบเย็น เป็นคันละฝั่งกับธรรมชาติที่ยึดมั่นถือมั่นได้ที่ปรุงแต่งได้
พระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสอุปมาอุปมัยเป็นบัญญัติว่า พระอรหันต์คือผู้ที่มีปัญญาข้ามพ้นจากฝั่งนี้ไปแล้วบรรลุนิพพานอย่างสมบูรณ์แล้ว

จากคุณ : P_vicha - [ 18 ก.ค. 49 15:39:17 ]


ความคิดเห็นที่ 11

ขอแสดงความคิดเห็นในเชิงวิทยาศาสตร์

"ไม่มีจุดที่ไม่มีอะไร ไม่มีจุดที่ทุกอย่างเป็น 0 และไม่มีจุดที่เวลาเป็นศูนย์ 0"

เริ่มจากแนวความคิดของคุณ atheron
"เหมือนไฟไม่มีเชื้อ แต่สร้างเชื้อมาเองหรือ"

ความคิดของคุณ atheron ผมเข้าใจว่า อยู่ที่ "ไม่มีอะไร หายไปสู่ความว่างเปล่าได้ และไม่มีอะไรเกิดจากความว่างเปล่าได้"

0 ไม่สามารถสร้าง 1 ขึ้นมาได้ (ไม่สามารถมีสิ่งใดเกิดจากความว่างเปล่าได้)
1 ไม่สามารถหายไปเป็น 0 ได้ (สสาร พลังงานเปลี่ยนสภาพ แต่หายไปไม่ได้)

ดังนั้น คำตอบคือ "ไม่มีจุดที่เป็นศูนย์ และ ไม่มีความว่างเปล่าจริงๆ"

ถ้ามีก็ไม่รู้ เพราะถ้ารู้ก็ไม่ว่างเปล่าแล้ว (เพราะมีจิตรับรู้อยู่)
ดังนั้น ถ้า เคยมีจุดที่ว่างเปล่าจริง ก็จะไม่มีอะไรเลย
แต่ "เรานั่งอยู่ตรงนี้" นั่นเป็นหลักฐานที่ดีว่า "มี" นั่นคือ "ไม่มีศูนย์ หรือ ความว่างเปล่าที่แท้จริง"

2. เรื่องเวลา เป็นศูนย์ นั้นไม่มี
เวลา เกิดจากการเปรียบเทียบ ของ สิ่ง ลำดับก่อนหลัง เรียก เวลา
ถ้ามี สิ่งใด เกิดขึ้น จะสามารถนับ "ความก่อนหลัง" ได้

ดังนั้น ถ้ามีจุดที่ "เวลาเป็นศูนย์อยู่จริง" จุดนั้นก็จะต้อง "ไม่มีอะไรเลย" ด้วย เพราะถ้ามีอะไรอยู่ สักนิด ก็จะมีคำถามตามมาว่า แล้ว ก่อนหน้านั้น สิ่งนั้น มาจากไหน??
ก่อนหน้านั้น จิตมาจากไหน? ดังนั้น ไม่มีจุดที่เวลาเป็นศูนย์ เพราะ มีสรรพสิ่ง ทำให้เกิดเวลา

ปัญหาเรื่องชาติที่ 1 นั้น ถ้านับได้ ก็ต้องมี ก่อนชาติที่ 1 ๆๆๆๆๆ ก่อนๆๆ ชาติที่ 1 ไปเรื่อยๆ แล้ว "ชาติที่1ที่แท้จริงอยู่ที่ไหน" ก็ต้องหา "ชาติที่ 0" ใช่ไหมครับ

ในเมื่อพิสูจน์ด้วยตรรกะแล้วว่า ชาติที่ 0 นั้น ไม่มี ก็คือ ไม่มีจุดเริ่ม

และไม่มีจุดจบด้วย เพราะ ไม่สามารถกลับไปที่ ศูนย์ 0 ได้

วนเวียนไปเรื่อยๆ เป็นสังสารวัฎ ละมั้งครับ


สรุป ไม่มีจุดเริ่ม ไม่มีจุดศูนย์ ทั้งเวลา และสรรพสิ่ง
ถึงก่อน Big Bang เป็น Singularity
ก่อน Singulatiry ต้องมี"อะไรสักอย่าง"ที่ทำให้เกิด Bigbang ขึ้นได้ นั่นคือ ''จิตอวิชชา"
ระเบิด-ยุบ-ระเบิด-ยุบ ไปเรื่อยๆ หลายล้านๆๆกัลป์

เป็นระบบลูกโซ่นี้เรื่อยๆ (จะหลุดพ้นจากระบบลูกโซ่นั้นทำได้อย่างไร ทำได้หรือไม่เป็นอีกประเด็น)

"จิตอวิชชาแรก มาจากไหน" มาจาก อะไรสักอย่าง แต่ "ไม่ใช่ 0" แสดงว่าต้องมีสรรพสิ่งอยู่เสมอ


ถ้ามี 0 ก็ไม่รู้ว่ามี
เพราะ ถ้ารู้ว่ามี มันก็ไม่ใช่ 0 แล้ว

รบกวนชี้แนะผมด้วย
ด้วยความเคารพครับ

จากคุณ : ไฟล์ท B ทีน้ำเงิน - [ 18 ก.ค. 49 15:41:14 ]


ความคิดเห็นที่ 12

ช้าก่อนครับ อย่าเพิ่งไปไกลคุณไฟล์ท B ....

แสดงว่าคุณวิชา มองในส่วนนิพพานธาตุ คือเมื่ออรหันต์ดับขันธ์ ส่วนจิตไม่มีอีกต่อไป แต่เข้าสู่ ธรรมชาติ ที่ 2
..................................................................................
แสดงว่า ... การมีชีวิตของเราและทั้งสัตว์ทั้งระบบ กับการดำรงอยู่ของสสาร แทบไม่ต่างกัน ( เกิดขึ้น ... แตกดับ .. เปลี่ยนรูป) เว้นเสียแต่ จิตสัตว์ จะหมดกิเลส ......
.................................................................................

นั่นแหละครับ ธาตุในธรรมชาติเอง ที่อวิชชาไปจับ ....
เหมือนกับภาวะของการตัดสินใจ แท้จริงไม่มีเลย ...
มีแค่อวิชชาไปจับไว้ ..... ภาวะบุคคล จึงไม่ต่างจาก
ภาวะที่อวิชชา จับกับธาตุ ... คือจริงๆ หามีบุคคล

---------------------------------------------------------
มองไปเหตุแรกเลยนะครับ ..... หากตัดระบบภพชาติออก
เหมือนกับว่า วันหนึ่ง สิ่งไม่มีชีวิต แร่ธาตุ ได้รวมกันเป็นกฏอะมิโน
แล้วมันก็รวมเป็นโปรตีน ของกลุ่มเซลล์น้อยใหญ่รวมกัน
เป็นชีวิต ....

เอาหละแค่นั้นก่อนนะครับ .... ย้อนไปที่คำถามเดิม

-----------------------------------------------------------
แต่ก่อนที่อวิชชา จะเริ่มจับ หากเรามองในปฏิจสมุปบาท
มันอาศัยวิบาก กรรมเก่ามาเกื้อหนุน จึงเกิดระบบวนได้
แต่ อันแรกนี้ผมยังมองไม่ออกว่ามันจะจับสังขาร โดยยังไง

เหมือนคนคิดสร้างเครื่องกำเนิดพลังงานแบบไม่รู้จบ โดย
ให้ มอเตอร์ ไปปั่น ไดนาโม ได้ไฟ มาส่งให้มอเตอร์อีกที
ซึ่งจะเป็นได้หากไม่มีแรงเสียดในระบบ .... แต่ยังไง ระบบนี้
ต้องมีการใส่พลังงานค่าหนึ่งเข้าไปให้กับมันได้ก่อน

จากคุณ : artheron - [ 18 ก.ค. 49 16:08:39 ]


ความคิดเห็นที่ 13

เพื่อให้ท่านที่ติดตามทราบความเป็นมา กระทู้เดิม อยู่ที่นี่นะครับ

คุณ artheron ผมได้ตั้งกระทู้ เพื่อให้คุณถามและสนทนากัน ที่อยู่ในหลักเหตุผลและปัจจัยในพุทธศาสนา
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4530649/Y4530649.html

โดยเชื่อมโยง คำถาม คำตอบ มาจากกระทู้นี้ครับ
นิพพานเป็นอัตตาครับ
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4529130/Y4529130.html

จากคุณ : วงกลม - [ 18 ก.ค. 49 16:10:34 ]


ความคิดเห็นที่ 14

เพื่อให้ได้คำตอบของคุณ ไฟล์ท B

ก่อนหน้าที่เวลาเป็น 0 จริงแล้วต้องมองเวลาเป็นมิติ 1 มิติ คือ เทียบอ้างอิง กับ กว้าง ยาว สูง เพราะการมีเวลานี่เอง ..... ทำให้เกิด กฏไตรลักษณ์ขึ้น .....

เมื่อเราอิงพิกัด เราบอกได้แค่ x y z แต่ไอนไตน์ มาสอน อีกพิกัดหนึ่งคือ กาลเวลา ... ผมว่าก่อนหน้าจะมีทุกสิ่ง แสดงว่า .... มันไม่มีเวลาอยู่ก่อนไงละครับ .... งงไหมเนี่ย

หากเราจะบอกว่าที่ภาวะนั้นคือนิรันดร์ .... แต่ว่าเมื่อทุกสิ่งที่เห็นกับตา หรือวัตถุธาตุ ถูกสร้าง ..(หรือจะไม่เชื่อว่ามีการสร้างก็แล้วแต่ครับ) เวลาจึงเกิดมาเกาะพร้อมพิกัดนั้น...

หากเราเอาเวลาออก กฏไตรลักษณ์จะใช้ไม่ได้ .... และสิ่งที่คิดไม่ถึงคือ ..... ทำไม การไม่มีเวลามาก่อน .... นั่นแหละเป็นไปได้จริงอย่างที่สุดไงละครับ ...

จากคุณ : artheron - [ 18 ก.ค. 49 16:29:47 ]


ความคิดเห็นที่ 15

เวลา จึงถูกสร้างขึ้นเช่นกัน และเกาะพิกัดไปกับ 3 มิติของ
วัตถุธาตุ เรื่องนี้ ต้องไปอ่านของ สตีเฟน ฮอว์คิง อีกที...

หลายคนคิดว่า ฮอว์คิง คิดว่ามีการแตกดับ big bang / big crunch

แต่ผมว่า ฮอว์คิง กำลังพิสูจน์ ว่าเวลา ถูกสร้างขึ้น คล้าย
ข้อสรุป ของนักวิทยาศาสตร์รัสเซีย ...แต่เขาไม่กล้าเผยออกมา
เพราะตอนนั้น โซเวียต เป็นคอมมิวนิสต์ ...

จากคุณ : artheron - [ 18 ก.ค. 49 16:34:35 ]


ความคิดเห็นที่ 16

ได้ความรู้อีกแล้ว ขอบคุณครับ

คุณไฟล์ท B ทีน้ำเงิน ^^

จากคุณ : mamarine - [ 18 ก.ค. 49 16:38:20 ]


ความคิดเห็นที่ 17

เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน ผมจะยังไม่ตอบคำถามที่ท่านวิชาได้ตอบไปแล้ว หากต้องการคำตอบของผมให้ถามเป็นหัวข้ออีกครั้งได้ ครับ
-----------------------------
จะตอบคำถาม ความเห็นที่ 12 เป็นต้นไป

-----------------------

ความคิดเห็นที่ 12

....
แสดงว่าคุณวิชา มองในส่วนนิพพานธาตุ คือเมื่ออรหันต์ดับขันธ์ ส่วนจิตไม่มีอีกต่อไป แต่เข้าสู่ ธรรมชาติ ที่ 2
..................................................................................
แสดงว่า ... การมีชีวิตของเราและทั้งสัตว์ทั้งระบบ กับการดำรงอยู่ของสสาร แทบไม่ต่างกัน ( เกิดขึ้น ... แตกดับ .. เปลี่ยนรูป) เว้นเสียแต่ จิตสัตว์ จะหมดกิเลส ......
..................................................................

************* ส่วนนี้มองถูกต้องแล้ว ครับ สิ่งที่มีจริงอย่างแท้จริง มี 4 ประเภท โดยแบ่งเป็น
ที่อยู่ในโลก 3 ประเภท อยู่เหนือโลก 1 ประเภท ได้แก่

1. ประเภทที่อยู่กับโลกนี้
1) รูป (กายภาพ )
2) จิต
3) เจตสิก (สิ่งที่เกิดพร้อมจิต ให้จิครับรู้ เช่น ความรู้สึก ความคิด ฯลฯ)

2. ประเภทอยู่เหนือโลก
1) นิพพาน

******** สิ่งทั้งหลายเมื่อเกิดมา ก็เป็นสิ่งมีอยู่จริง ที่อยู่กับโลก 3 ประเภทแรก
เมื่อจิต เห็นความจริง ทำลายเหตุปัจจัยของกระแสก็สัมผัสกับ นิพพาน เมื่อร่างกายที่เกิดจากเหตุปัจจัยเก่าหมดอายุ สิ่งที่มีอยู่กับโลก ทั้ง 3 ประเภทก็ดับไป[/u]
-------------------------------------------------

นั่นแหละครับ ธาตุในธรรมชาติเอง ที่อวิชชาไปจับ ....
เหมือนกับภาวะของการตัดสินใจ แท้จริงไม่มีเลย ...
**************** ส่วนนี้กล่าวผิดแล้วครับ
--------- จิตที่ยังมีกิเลสนั้น มีการตัดสินใจที่แท้จริง และต้องรับผิดชอบการตัดสินใจด้วย
---------- ส่วนจิตที่ไม่มีกิเลส มีการตัดสินใจที่แท้จริง แต่ด้วยเหตุแห่งการไม่ยึดถือว่าเป็นตัวตน จึงไม่มีผลต่อจิตนั้น เกิดเฉพาะผลที่มีจากการกระทำนั้นเท่านั้น ไม่เกิดกรรม เป็นวิบาก อีก
-------------------------------------------------

มีแค่อวิชชาไปจับไว้ ..... ภาวะบุคคล จึงไม่ต่างจาก
ภาวะที่อวิชชา จับกับธาตุ ... คือจริงๆ หามีบุคคล
********** จริงๆหามีบุคคลไม่ กล่าวถูกต้องแล้วครับ แต่ผลที่เกิดจากอวิชชาจับธาตุ กับ ไม่มีอวิชชาจับ ไม่เหมือนกัน คือ เกิดกรรม กับไม่เกิดกรรม

---------------------------------------------------------
(ต่อความเห็นต่อไป ครับ)

จากคุณ : วงกลม - [ 18 ก.ค. 49 16:39:10 ]


ความคิดเห็นที่ 18

ไอนไตน์ มาสอน อีกพิกัดหนึ่งคือ กาลเวลา ... ผมว่าก่อนหน้าจะมีทุกสิ่ง แสดงว่า .... มันไม่มีเวลาอยู่ก่อนไงละครับ .... งงไหมเนี่ย
จากคุณ : artheron
**************************************************************************
เวลาไม่สามารถแยกออกจากเหตุการณ์ได้นะครับ เรื่องเวลาเป็นศูนย์ เป็นไปไม่ได้ครับ ทฤษฎีหยุดเวลาไม่มีจริงในระบบสากลหรอกครับ

ต่อให้เราเปิดทีวีดู VCD แล้วกดปุ่ม pause เราจะมองเห็นภาพนั้นนิ่งจริงดูเหมือนเวลาของภาพจะเป็นศูนย์แต่แท้ที่จริงแล้วเวลากำลังเดินภาพเดิมซ้ำๆ ตะหากครับ เพราะเวลานั้นเดินหน้าไปเรื่อยๆ เป็นอำนาจของกาลเวลา ไม่มีทางที่เวลาจะเป็นศูนย์ได้จริงหรอกครับ

จากคุณ : XLmen - [ 18 ก.ค. 49 16:42:06 ]


ความคิดเห็นที่ 19

นั่นคือลึกสุดของเหตุในทางพุทธ ไม่ได้มาจากภาวะบุคคล แต่
โยง อวิชชา .... มันเริ่มของมันได้ยังไงละครับ

ไอ้เจ้าอวิชชา อยู่ดี ๆ มันจะไม่รู้ มีแรงอะไรมา
ให้มันเกิดจับธรรมชาติ ......


ฟังดู ...เหมือนว่าเราโทษก้อนหิน เป็นต้นเหตุของสรรพสิ่งทั้งหมดเลยนะครับ

จากคุณ : artheron - [ 18 ก.ค. 49 16:42:44 ]


ความคิดเห็นที่ 20

ตอบความเห็นที่ 12 ต่อ
---------------------------------------------

มองไปเหตุแรกเลยนะครับ ..... หากตัดระบบภพชาติออก
เหมือนกับว่า วันหนึ่ง สิ่งไม่มีชีวิต แร่ธาตุ ได้รวมกันเป็นกฏอะมิโน
แล้วมันก็รวมเป็นโปรตีน ของกลุ่มเซลล์น้อยใหญ่รวมกัน
เป็นชีวิต ....

เอาหละแค่นั้นก่อนนะครับ .... ย้อนไปที่คำถามเดิม

-----------------------------------------------------------
แต่ก่อนที่อวิชชา จะเริ่มจับ หากเรามองในปฏิจสมุปบาท
มันอาศัยวิบาก กรรมเก่ามาเกื้อหนุน จึงเกิดระบบวนได้
แต่ อันแรกนี้ผมยังมองไม่ออกว่ามันจะจับสังขาร โดยยังไง
****************** เมื่อเกิดจิตครั้งแรกมาก็มีอวิชชามาเลย ประกอบกันขึ้นเป็นปฏิจจสมุปบาทเลย การเกิดครั้งแรก จะตอบในคำถามต่อไป

-------------------------------------------------
เหมือนคนคิดสร้างเครื่องกำเนิดพลังงานแบบไม่รู้จบ โดย
ให้ มอเตอร์ ไปปั่น ไดนาโม ได้ไฟ มาส่งให้มอเตอร์อีกที
ซึ่งจะเป็นได้หากไม่มีแรงเสียดในระบบ .... แต่ยังไง ระบบนี้
ต้องมีการใส่พลังงานค่าหนึ่งเข้าไปให้กับมันได้ก่อน

จากคุณ : artheron - [ 18 ก.ค. 49 16:08:39 ]

********************* เมื่อเกิดครั้งแรกจากความว่าง ก็ประกอบด้วยอวิชชา ให้ต้องเกิดอีกเลย รายละเอียดดังนี้

------------------------------
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4533207/Y4533207.html
ขอตัวตัวกับคุณSpiritWithinครับ

ความเห็นที่ 169

**** เมื่อคุณ SpiritWithin อิสระ ไปแล้ว จากการตอบคำถามกระทู้นี้ ****

--------------------------------------

*** ผมก็ขออนุญาตคุยกับ คุณ SA. ต่อ ด้วยเหตุที่เกิดต่อเนื่องมาจากเหตุก่อน แบบปุถุชน (ไม่ใช่แบบผู้เข้าถึงธรรม) เพื่อทำความเข้าใจแบบชาวบ้านๆ ถึง เหตุที่แท้จริง แบบที่ผมคิดว่าคุณ SA.อยากทราบ นะครับ ดังนี้ครับ ******
-----------------------------------
ความคิดเห็นที่ 161
ตอนนี้เรายังไม่หลงประเด็นไปไหน

เพราะประเด็นอยู่ที่ "ผล มาจากเหตุ" (ดังที่SpiritWithin ได้แสดงธรรมไว้แล้ว)

คำถาม...อะไรคือ "เหตุที่แท้จริง"
จากคุณ : SA Student - [ 17 ก.ค. 49 18:19:52 ]

******************************

----------------------------------------

คำถาม...อะไรคือ "เหตุที่แท้จริง"

*** คุณ SA. คงตั้งคำถาม มาจากความเข้าใจที่ว่า มีสิ่งใดสิ่งใดเป็นผู้สร้างสิ่งทั้งหลาย ก็จะมีคำตอบได้ว่า มีเหตุคือมีคนสร้าง
-- จึงไม่ได้ถามว่าคำถามว่า อะไรคือสิ่งแรก(ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ หรือความว่างใดๆ) ซึ่งถ้าความเชื่อคุณ SA. ก็คงจะตอบว่าพรเจ้าเป็นสิ่งแรก และสร้างโลก มนุษย์และสิ่งอื่น อีกนั่นเอง

********
1. ถ้าตามความเชื่อของศาสนายิว คริสต์ อิสลาม ที่เชื่อตามคัมภีร์เก่าว่า พระเจ้าสร้างโลก สัตว์ และสิ่งต่างๆ จากความว่างเปล่า มาครั้งเดียว จนมาถึงปัจจุบัน ถูกต้องไหมครับ

2. ตามศาสนาพุทธ โลกนี้เกิดการเกิดดับมาแล้วมากมายหลายครั้งนับไม่ถ้วน ด้วย ไฟ น้ำ ลม ยกตัวอย่างเช่น เมื่อคราวที่โลกนี้ถูกทำลายด้วยไฟหลอมละลาย สัตว์ทั้งหลายไปเกิดเป็นจิตในสภาวะที่ไม่ต้องอาศัยโลกแบบวัตถุ เมื่อโลกเย็นตัว สัตว์ก็กลับมาเกิดในโลกที่เห็นวัตถุได้อีกครั้งหนึ่ง
-- ดังนั้นความเชื่อ ของศาสนาพุทธ โลก(และมนุษย์) จึงเป็นจึงมีมานานแล้ว และเป็นหรือมีต่อไป ไม่ใช่เกิดมาครั้งเดียวอย่างศาสนาที่เชื่อว่าพระเจ้าสร้างโลกครั้งเดียว และหากแม้ว่ามีการเริ่มต้นด้วยสิ่งใด หรือสิ่งใดเป็นสิ่งแรก ก็มีความแตกต่างจากศาสนาที่เชื่อว่าพระเจ้าสร้างโลก(และมนุษย์)มาครั้งเดียว เพราะศาสนาพุทธเชื่อว่าโลก(และมนุษย์ และสิ่งที่มีจิตทั้งหลาย)เกิดมานานแล้ว และเกิด-ตายมากหลายครั้ง ไม่ใช่เกิด-ตาย ครั้งเดียวหรือ อะไรคือสิ่งแรก ที่เกิดขึ้น

3. อะไรคือ "เหตุที่แท้จริง" หรือ อะไรคือ สิ่งแรกสุด เกิดมาจากอะไร เกิดมาจากเหตุใด

*** ในพระไตรปิฎก ได้แสดงการเกิดของ สิ่งต่างๆไว้ว่าเป็นเหตุปัจจัยกัน อย่างที่คุณ SpiritWithin นำมาแสดงไว้ ซึ่งเป็นสาเหตุแห่งการเกิดขึ้นของสิ่งทั้งหลาย และเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์ และเป็นแนวทางในการดับทุกข์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรสนใจสำคัญที่สุด และ กระทำการปฏิบัติ เพื่อให้พ้นจากทุกข์ใจที่มีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนี้ และไม่มีมีทุกข์กายและทุกข์ใจ ในชาติต่อไป

แต่เมื่อกล่าวถึงคำถามที่เราสสงสัย ตามประสาคนธรรมดาที่ว่า
---------------- การเกิด ครั้งแรกสุด เพื่อใดนั้น
ในพระไตรปิฎกได้แสดงไว้ว่า เม้ระลึกชาติย้อนหลังไปนานมากๆๆๆๆๆๆ มากมายหลายกัลป์ ก็ไม่ถึงที่สุดแห่งจุดเริ่มต้นแห่งการเกิดมี จิตหรือสิ่งที่มีจิต ขึ้น
(ต้องทำความเข้าใจเบื้องต้นไว้ก่อนว่า ในกรณีแม้ยังไม่เห็นจุดเริ่มต้น แต่ก็ไม่เหมือนศาสนาอื่นที่เชื่อว่าเกิดครั้งเดียว เพราะศาสนาพุทธเชื่อว่ามีการเกิดตายหลายครั้ง และช่วงระยะเวลายาวนามมาก กินช่วงเช่วงเวลาเกิด-สลายตัวของโลกมากมายหลายครั้ง(ไม่ใช่เกิดโลกครั้งเดียว)

แต่มีคำสอนของครูบาอาจารย์ ที่กล่าวถึงไว้ เพื่อให้ปุถุชนชาวพุทธที่ยังสงสัยในปัญหานี้ ได้แสดงไว้ ขอนำมาให้ท่านทั้งหลายพิจารณา โดยต้องไม่เข้าใจว่าการเกิด จิต แรก นั้นมีผู้สร้าง เนื่องจากความเชื่อนั้นไม่เหมือนกันเลย ทั้งระยะเวลาอันมีมายาวนานประมาณไม่ได้ และสิ่งที่ปรากฎขึ้น (ต่อ ที่ความเห็นต่อไป นะครับ)

จากคุณ : วงกลม - [ 18 ก.ค. 49 16:47:41 ]


ความคิดเห็นที่ 21

ตอบคุณ XLmen

เวลาไม่ได้เป็น 0 ครับ แต่ก่อนหน้านั้น มันไม่มีเวลา มาก่อนไงละครับ .....

หากเราอยู่ในโลก เอาเป็นว่ามี 3 มิติ กว้างยาวสูง เป็นภาวะจับต้องได้ ..... ก็ต้องมีอีกมิติหนึ่งที่อิง 3 อันนี้ไปเพื่อให้กฏไตรลักษณ์อธิบายได้

ที่บอกว่ามันไม่มีตัวตนทุกขณะจิต เพราะมันอิงการมีเวลาไงละครับ ใบไม้ 1 ใบ ณ เวลา 1 กับ 2 ก็ไม่มีรูปเดิมของมัน กฏไตรลักษณ์ จึงถูก เพราะอธิบายในสิ่งที่อยู่ใน มิติเวลา ............

แต่ใบไม้ ที่ จุดหนึ่ง ก็ยังบอกมิติมันได้ในจักรวาล หากเรายกเรื่องเวลาทั้งหมดออกไป ................... ภาวะกฏไตรลักษณ์ จะไม่จริงเลย ..................... เพราะมันคงรูปมิติ ในจุดหนึ่งของเวลา .....

คิดได้ยาก ใช่ไหมครับ ว่า การไม่มีของเวลา เป็นยังไง ........
หากนิพพาน อธิบายได้ยาก ว่า มีอยู่ แต่สูญ ไม่ได้
ภาวะนิรันดร์ ก็อธิบายยากแบบนั้น ...... เพียงแต่ภาวะนิรันดร์ Eternity
หรือ Timeless มีมาก่อนภาวะที่เห็นจริงอย่างนี้ทั้งหมด

จากคุณ : artheron - [ 18 ก.ค. 49 16:48:50 ]


ความคิดเห็นที่ 22

ความเห็นที่ 170

แต่มีคำสอนของครูบาอาจารย์ ที่กล่าวถึงไว้ เพื่อให้ปุถุชนชาวพุทธที่ยังสงสัยในปัญหานี้ ได้แสดงไว้ ขอนำมาให้ท่านทั้งหลายพิจารณา โดยต้องไม่เข้าใจว่าการเกิด จิต แรก นั้นมีผู้สร้าง เนื่องจากความเชื่อนั้นไม่เหมือนกันเลย ทั้งระยะเวลาอันมีมายาวนานประมาณไม่ได้ และสิ่งที่ปรากฎขึ้น
-------------

-- ขอความกรุณา ท่านที่ได้อ่าน เมื่อได้อ่านแล้ว ท่านใดจะเข้าใจหรือยังสงสัยอย่างไร ขอให้สนทนากับผมโดยตรง ยอ่าได้กล่าวล่วงถึงท่านผู้เทศนา โดยประการใดๆ นะครับ


*********************************

_/l\__/l\__/l\_ ขอกราบขออนุญาตหลวงปู่
ในการยกธรรมเทศนาของท่าน มาแสดง ณ ที่นี้
และขออนุญาตท่านผู้นำมาแสดงให้ผมทราบ เพื่อประโยชน์แก่ผู้ที่ยังสงสัยอยู่

*********************************

ที่มาของสรรพสิ่งทั้งปวง


"สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตในจักรวาลมีนับไม่ถ้วน รวมแล้วมี รูป กับ นาม 2 อย่างเท่านั้น นามเดิมคือความว่างของจักรวาลเข้าคู่กันเป็นเหตุเกิดอวิชชา เกิดเหตุก่อ ที่ใดมีรูป ที่นั้นต้องมีนาม ที่ใดมีนาม ที่นั้นต้องมีรูป รูปนามรวมกันเป็นเหตุเกิดปฎิกริยา ให้เปลี่ยนแปลงตลอดกาล และเกิดกาลเวลาขึ้น คือรูปย่อมมีความดึงดูดซึ่งกันเละกัน จึงเป็นเหตุให้รูปเคลื่อนไหวและหมุนรอบตัวเองตามปัจจัย รูปเคลื่อนไหวได้ต้องมีนาม ความว่างคั่นระหว่างรูป รูปจึงเคลื่อนไหวได้

เมื่อสภาวะธรรมเป็นเช่นี้ สรรพสิ่งของ วัตถุ สสารมีชีวิตและไม่มีชีวิต จึงต้องเปลี่ยนแปลงเป็น ไตรลักษณ์ เกิดดับ สืบต่อ ทุกขณะจิต ไม่มีวันหยุดนิ่งให้คงทนเป็นปัจจุบันได้

จิตวิญญาณ ก็เกิดมาจากรูปนามของจักรวาล มันเป็นมายาหลวกลวง แล้วเปลี่ยนแปลงให้คนหลง จากรูปนามไม่มีชีวิต เปลี่ยนเป็นรูปนามที่มีชีวิต จากรูปนามที่มีชีวิตมาเป็นรูปนามมีชีวิตที่มีจิตวิญญาณ แล้วจิตวิญญาณก็เปลี่ยนแปลงแยกออกจากกัน คงเหลือแต่นามว่างที่ปราศจากรูป นี้เป็นสุดยอดของการหลอกลวงของรูปนาม

ต้นเหตุ เกิดรูปนาม ของจักรวาลนั้น เป็นเหตุเกิดรูปนาม พิภพต่างๆ ตลอดทั้งดวงดาวนับไม่ถ้วนเพราะไม่มีที่สิ้นสุด รูปนาม พิภพต่างๆ เป็นเห็นให้เกิดรูปนามพืช รูปนามพืชเป็นเหตุให้เกิดรูปนามสัตว์เคลื่อนไหวได้ จึงเรียกกันว่า เป็นสิ่งมีชีวิต

ความจริงรูปนาม จะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็เคลื่อนไหวได้ เพราะ มันมีรูปกับนาม เป็นเหตุเป็นผลให้เกิดปฏิกิริยาอยู่ในตัว ให้เคลื่อนไหวตลอดกาล และมีการเปลี่ยนแปลง เรามองด้วยตาเนื้อไม่เห็น จึงเรียกว่าเป็นสิ่งไม่มีชีวิต เมื่อรูปนามของพืชเปลี่ยนมาเป็นรูปนามของสัตว์ และเป็นเหตุให้เกิดจิตวิญญาณ การแสดงการเคลื่อนไหวเป็นเหตุให้เกิดกรรม

สัตว์ชาติแรกมีแต่สร้างกรรมชั่ว สัตว์กินสัตว์ และ (มี) ความ โกรธ โลภ หลง ตามเหตุ – ปัจจัยภายนอกภายในที่มากระทบ กรรมที่สัตว์แสดงมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย 5 อย่าง ไปกระทบกับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส 5 อย่าง แล้วก็มาประทับ บรรจุบันทึก ถ่ายภาพ ติดอยู่กับรูป (ปรมาณู) ซึ่งเป็นสุขุมต่อแฝงอยู่ในความว่างระหว่างคั่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย นั้นไว้ได้หมดสิ้น

เมื่อสัตว์ชาติแรกเกิดนี้ได้ตายลง มีกรรมชั่วอย่างเดียวเป็นเหตุให้สัตว์เกิดอีก เพื่อให้สัตว์ได้ใช้หนี้กรรมชั่วที่ได้ทำไว้ แต่สัตว์เกิดขึ้นมาแล้ว หายอมใช้หนี้เกิดกันไม่ มันกลับเพิ่มหนี้ให้เป็นเหตุเกิดทวีคุณด้วยเพศผู้ เพศเมีย เกิดเป็นสุขุมรูป ติดอยู่ใน 5 กองนี้เป็นทวีคุณจนถึงปัจจุบันชาติ

ดังนั้น ด้วยอำนาจกรรมชั่วในสุขุมรูป 5 กอง ก็เกิดหมุนรวมกันเข้าเป็น (รูปปรมาณู ) กลม คงรูปอยู่ได้ด้วยการหมุนรอบตัวเองไม่หยุดนิ่ง เป็นคูหาให้จิตใจได้อาศัยอยู่ข้างใน เรียกว่า (รูปวิญญาณ) หรือจะเรียกว่า (รูปถอด) ก็ได้ เพราะถอดมาจาก นาม ระหว่างคั่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย นั้นเอง ซึ่งเป็นสุขุมรูปแฝงอยู่ในความว่าง รูปวิญญาณจึงมีชีวิตอยู่ คงทนอยู่นานกว่ารูปหยาบ มีกรรมชั่วคอยรักษาให้หมุนคงรูปอยู่ ไม่มีเทพเจ้าองค์ใดฆ่าให้ตายได้ นอกจากนิพพานเท่านั้น รูปวิญญาณจึงจะสลายได้

ส่วนการแสดงกรรมของสัตว์ที่ประทับอยู่สุขุมรูป มี ตา หู ลิ้น จมูก กาย 5 กองนั้น รวมกันเข้าเรียกว่า ( จิต ) จึงมีสำนักงานจิตติดอยู่ในวิญญาณ 5 กอง รวมกันเป็นที่ทำงานของ( จิตกลาง ) แล้วไปติดตอกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ภายนอก ซึ่งเป็นสื่อติดต่อของจิต

ดังนั้น จิต กับ วิญญาณ จึงไม่เหมือนกัน จิตเป็นผู้รู้สึกนึกคิด ส่วนวิญญาณ เป็นคูหาให้จิตได้อาศัยอยู่ และเป็นยานภาหะนะพาจิตไปเกิด หรือจะไปไหนๆก็ได้ เป็นผู้รักษาสุขุมรูป ( รูปที่ถอดจากรูปหยาบ มีรูปเพศผู้เพศเมีย รูป ตา หู จมูก ลิ้น กาย ) อยู่ในวิญญาณไว้ได้ เป็นเหตุ เกิด สืบภพต่อชาติ

เมื่อสัตว์ตาย ชีวิตร่างกายหยาบของภพภูมิชาตินั้นๆ ก็หมด ไป ตามอายุขัยชีวิตร่างกายหยาบของภพภูมิชาตินั้น ส่วนชีวิตแท้ ( รูปปรมาณู ) วิญญาณ จะไม่ตายสลายตาม จะต้องไปเกิดตามภพภูมิต่างๆ ตามเหตุปัจจัยของวัฏฏะ หมุนเวียนเปลี่ยนไปด้วย

ชีวิตแท้ รูปถอด หรือ วิญญาณหมุนรอบตัวเอง นี้เอง เป็นเหตุให้ จิตเกิด – ดับ สืบต่อ คอยรับเหตุการณ์ภายนอกภายในที่มากระทบจะดีหรือชั่วก็สะสมเข้าไว้เป็นทุน เหตุเกิด เหตุดับ หรือปรุงแต่งต่อไปจนกว่ากรรมชั่วเหตุเกิดจะหมดไป ชีวิตแท้ รูปถอด หรือ วิญญาณ ก็จะหยุดการหมุน รูปสุขุม “รูปวิญญาณ” ซึ่งเกิดมาจากกรรมชั่วสืบต่อมาจากชาติแรกเกิด ก็จะสลายแยกออกจากกันไป คงรูปอยู่ไม่ได้ มันก็กระจายไป ส่วนกิจกรรมดี ธรรมที่ติดอยู่กับวิญญาณ มันก็กระจายไปกับ รูปปรมาณู คงเหลือแต่ความว่างที่คั่นช่องว่างของรูปปรมาณูทุกๆ ช่อง ฉะนั้น โดยปราศจากรูปปรมาณู คามว่างนั้นจึงบริสุทธิและสว่าง รวมเข้ากับความว่างบริสุทธิ์สว่างของจักรวาลเดิม เป็นหนึ่ง เรียกว่า “พระนิพพาน”

------------------

ที่มา

จิต คือ พุทธ พระราชวุฒาจารย์ ( หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ) วัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์
****************************
แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 49 17:00:59

จากคุณ : วงกลม - [ 18 ก.ค. 49 16:49:31 ]


ความคิดเห็นที่ 23

จากความเห็นที่ 12 ของคุณ artheron
******************************
แสดงว่าคุณวิชา มองในส่วนนิพพานธาตุ คือเมื่ออรหันต์ดับขันธ์ ส่วนจิตไม่มีอีกต่อไป แต่เข้าสู่ ธรรมชาติ ที่ 2
*****************************

ตอบ ไม่ได้เป็นดังที่คุณ artheron แสดงว่า นะครับ พระอรหันต์ท่านบรรลุนิพพานอย่างสมบูรณ์ อวิชชาหมดสิ้น ก็คือกิเลสหมดสิ้นนั้นเอง ไม่ใช่ว่าท่านมีขันธ์อยู่ท่านยังไม่นิพพาน


และจากข้อความของคุณ artheron
***********************************
แสดงว่า ... การมีชีวิตของเราและทั้งสัตว์ทั้งระบบ กับการดำรงอยู่ของสสาร แทบไม่ต่างกัน ( เกิดขึ้น ... แตกดับ .. เปลี่ยนรูป) เว้นเสียแต่ จิตสัตว์ จะหมดกิเลส ......
.................................................................................

นั่นแหละครับ ธาตุในธรรมชาติเอง ที่อวิชชาไปจับ ....
เหมือนกับภาวะของการตัดสินใจ แท้จริงไม่มีเลย ...
มีแค่อวิชชาไปจับไว้ ..... ภาวะบุคคล จึงไม่ต่างจาก
ภาวะที่อวิชชา จับกับธาตุ ... คือจริงๆ หามีบุคคล
**********************************

ผมได้ย้ำนักย้ำหนาแล้วว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลประกอบด้วยธาตุทั้ง 6 ทำไมคุณ artheron พยายามที่จะชีไปว่าหามีบุคคล

แต่บุคคลที่ประกอบด้วยธาตุทั้ง 6 ไม่ได้เทียงแท้ถาวร ยอมตกไปตามไตรลกณ์ซึ่งเป็นธรรมชาติ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

อนิจจัง ได้แก่ ความไม่เทียง
ทุกขัง ได้แก่ ความทนอยู่ไม่ได้ หรือตั้งอยู่ไม่ได้
อนัตตา ได้แก่ ความยึดมั่นถือมั่นไม่ได้

เพราะไปเข้าใจความหมาย อนัตตา ไม่ถูกต้อง จึงเข้าใจว่า ไม่มีตัวไม่มีตน ซึงคุณ artheron ก็ตกอยู่ในความเข้าใจคลาดเคลือนนี้ จึงคิดไปว่า เมื่อคิดว่า ไม่มีตัวไม่มีตน ก็หมดกันไป นั้นเป็นเพียงความคิดเป็นเพียงการปรุงแต่งของความคิดเอง

และจากความเห็นของคุณ artheron
**********************
มองไปเหตุแรกเลยนะครับ ..... หากตัดระบบภพชาติออก
เหมือนกับว่า วันหนึ่ง สิ่งไม่มีชีวิต แร่ธาตุ ได้รวมกันเป็นกฏอะมิโน
แล้วมันก็รวมเป็นโปรตีน ของกลุ่มเซลล์น้อยใหญ่รวมกัน
เป็นชีวิต ....
**********************

ตอบ นั้นเป็นสมมุติฐานทางวิทยาศาสตร์

และจากความเห็นของคุณ artheron
*******************************
แต่ก่อนที่อวิชชา จะเริ่มจับ หากเรามองในปฏิจสมุปบาท
มันอาศัยวิบาก กรรมเก่ามาเกื้อหนุน จึงเกิดระบบวนได้
แต่ อันแรกนี้ผมยังมองไม่ออกว่ามันจะจับสังขาร โดยยังไง

เหมือนคนคิดสร้างเครื่องกำเนิดพลังงานแบบไม่รู้จบ โดย
ให้ มอเตอร์ ไปปั่น ไดนาโม ได้ไฟ มาส่งให้มอเตอร์อีกที
ซึ่งจะเป็นได้หากไม่มีแรงเสียดในระบบ .... แต่ยังไง ระบบนี้
ต้องมีการใส่พลังงานค่าหนึ่งเข้าไปให้กับมันได้ก่อน
*******************

ตอบ ผมก็เสนอไว้แล้วว่า เพราะความไม่รู้(ไม่รู้อริยสัจจะ 4) นั้นและคืออวิชชา เป็นปัจจัย จึงเกิดสังขาร ทอดยาวเป็นปฏิจสมุทปบาท วิบากกรรม จึงส่งผลได้
ไม่ใช่วิบากกรรมทำให้เกิดอวิชชา แต่วิบากกรรมนั้นแหละปรุงแต่ง สังขาร ปรุงแต่งวิญญาณ ซึ่งเป็นของเก่าถ้ามีมาปรุงแต่งเท่านั้น ดังนั้นบุคคลประกอบด้วยธาตุทั้ง 6 ปรากฏได้หลายรูปแบบก็เพราะกรรมและวิบากกรรมนั้นแหละปรุงแต่ง

ดังนั้นการใช้ความคิดแบบวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน คงยังไม่สามารถครอบคลุมหมดในพุทธศาสนา แต่ที่วิทยาศาสตร์คิดเทียบเคียงไปได้ ก็ยังอยู่ในเหตุผลที่พุทธศาสนากล่าวไว้

จากคุณ : P_vicha - [ 18 ก.ค. 49 16:53:25 ]


ความคิดเห็นที่ 24

ความเห็นที่ 172
*********

และเมื่อศาสนพุทธ แสดงไว้ว่า สิ่งที่มีจริงอย่างแท้จริง มี 4 ประเภท โดยแบ่งเป็น
ที่อยู่ในโลก 3 ประเภท อยู่เหนือโลก 1 ประเภท ได้แก่

1. ประเภทที่อยู่กับโลกนี้
1) รูป (กายภาพ )
2) จิต
3) เจตสิก (สิ่งที่เกิดพร้อมจิต ให้จิครับรู้ เช่น ความรู้สึก ความคิด ฯลฯ)

2. ประเภทอยู่เหนือโลก
1) นิพพาน

------------------------------------

*** ดังนั้น ตามความเข้าใจของผม สิ่งที่เกิดมาสิ่งแรก จึงเป็นการเกิดมาของสิ่งในโลก โดยตัวมันเอง โดยธรรมชาติ เมื่อ จิตนั้น เข้าใจกฎธรรมชาตินั้นแล้ว ก็กระทำการเพื่อให้พ้นจากกฎธรรมชาตินั้น พ้นจากการยึดถือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นตัวตนของตน ก็จะพ้นจากโลก พ้นจากปัจจัยการเกิดทางร่างกายและจิตใจครั้งแล้วครั้งเล่าในโลกนี้ หมดทุกข์ในปัจจุบัน และไม่เกิดให้มีทุกข์กายทุกข์ใจอีกในอนาคต

----- ในความคิดของผม การเกิดขึ้นของสรรพสิ่งจึงเป็นเหตุของมันเอง และเกิดมายาวนานนักแล้ว ไม่มีปัจจัยภายนอกทำให้เกิด เมื่อสิ่งนั้นเข้าใจปัจจัยที่ทำให้เกิดจึงทำลายปัจจัยนั้น และ ออกพ้นจากโลก อยู่เหนือโลก

จากคุณ : วงกลม - [ 18 ก.ค. 49 16:53:41 ]


ความคิดเห็นที่ 25

เพิ่งเห็น สวัสดีครับ ท่านวิชา อนุโมทนาในกุศลจิต ครับ

จากคุณ : วงกลม - [ 18 ก.ค. 49 16:55:38 ]


ความคิดเห็นที่ 26

สิ่งที่คุณวงกลม มองต่างไป
---------------------------------------------------------

เหตุของภาวะการเกิดของพุทธ ไม่ได้มาจากการมีบุคคล
ที่ตัดสินใจ .... คือมันเป็นอย่างนั้นมาเลย .....
เลยทำให้คุณวงกลม มองพระเจ้า ในศาสนาอื่น ว่า อยู่ใน
ภาวะที่ต้องมี ..... คือ วนในสงสารวฏฏ ..... ไม่หลุด

---------------------------------------------------------
แต่หากมองในแง่ของคนที่เชื่อว่าพระเจ้า

ก็แน่นอน ทุกสิ่งมีการตั้งใจให้เกิด .... มีภาวะบุคคล
ที่รับผิดชอบเจตจำนงนั้น ....... และทุกบุคคลก็เกิดมา
เพื่อรับผิดชอบ การตัดสินใจของตน ....
และแม้แต่เวลา ก็ถูกสร้างขึ้น เพื่อจะอิงรูปวัตถุ .......

เพื่อบ่งชี้ตัวตนทางกายภาพ ในจักรวาลนี้เท่านั้น แต่
แท้จริง เวลา จะถูกทำลายไป และไม่มีเวลาอีก .....

---------------------------------------------------------

จากคุณ : artheron - [ 18 ก.ค. 49 16:55:54 ]


ความคิดเห็นที่ 27

อีกหน่อย ครับคุณวิชา ....

----------------------------------------------------------
ไม่ใช่วิบากกรรมทำให้เกิดอวิชชา แต่วิบากกรรมนั้นแหละปรุงแต่ง สังขาร ปรุงแต่งวิญญาณ ซึ่งเป็นของเก่าถ้ามีมาปรุงแต่งเท่านั้น ดังนั้นบุคคลประกอบด้วยธาตุทั้ง 6 ปรากฏได้หลายรูปแบบก็เพราะกรรมและวิบากกรรมนั้นแหละปรุงแต่ง
---------------------------------------------------------

วิบากนั่นแหละ.... ที่ผมสงสัย ว่า อวิชชา อาศัยแรงวิบากแรกจากไหน ...

----------------------------------------------------------

ส่วนเรื่องไตรลักษณ์ นั่นตอบได้ในระบบความคิดที่การอิงของเวลาครับ .... ผมเข้าใจอยู่แล้ว.... แต่การคิดถึงการไม่มีเวลา .... สิ่งนี้ไม่มีในทางพุทธ จึงไม่ขออธิบายมากกว่านี้ ....

------------------------------------------------------------
แต่ผมอยากรู้เอาเป็นว่า ชาติที่ 1 ยังไงก็ต้องมี แสดงว่า
ยังไม่มีวิบาก มากำหนดรูป สัตว์นั้นสัตว์นี้ แล้วจิต มาก่อ
รูปเป็นสัตว์ภพใดก่อนละครับ...
--------------------------------------------------------------

จากคุณ : artheron - [ 18 ก.ค. 49 17:01:15 ]


ความคิดเห็นที่ 28

จากกระทู้นี้ทำให้ผมพบอะไรอีกหลายๆอย่าง
ขอบคุณทุกๆท่านครับ

คุณ artheron ครับ สิ่งที่คุณถามมาถึงจุดสิ้นสุดแล้วล่ะครับ

มันมาถึงจุดความต่างของพุทธ และ คริสต์ แล้วครับ เหมือนกับลากเส้นตรงมา2เส้นแล้วต้องการให้เหลือเส้นเดียว ซึ่งการที่จะทำให้เหลือเส้นเดียวมีเพียง2วิธี คือ
1. ลากให้เส้นใดเส้นหนึ่งโค้งลงมาบรรจบกัน --- ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้เพราะแต่ละศาสนาต่างก็มีวิถีของตนเอง ถูกมั๊ยครับ
2. ลบเส้นตรงไปเส้นหนึ่ง

ถ้าคุณไปต่อ เท่ากับอัตตาของคุณกำลังเคลื่อนคำถามครับ ไม่ใช่ความใฝ่รู้ คุณต้องการลบเส้นตรงออกไปหรือครับ

ถ้าเช่นนั้นการกระทำของคุณ จะเป็นกลายเป็นการโจมตีอีกศาสนาหนึ่งแล้วล่ะครับ แค่ดูสุภาพขึ้นเท่านั้นเอง

หวังว่าคงไม่โกรธกันนะครับ^^

จากคุณ : mamarine - [ 18 ก.ค. 49 17:04:09 ]


ความคิดเห็นที่ 29

จากความคิดเห็นที่ 27 ของ คุณ artheron

ผมต้องโยงความเห็นให้กลับไปจุดเริ่มอีกครังนะครับ

เพราะความไม่รู้ในอริยสัจ 4 เป็นอวิชชา อวิชชาเป็นปัจจัย จึงเกิดสังขาร นี้และคือการเกิดกรรมใหม่แล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงวิบากกรรมเก่า

คุณ artheron อย่าไปติดของเก่าอย่างเดียวสิ เพราะการเป็นปัจจัยกันนั้นแหละเป็นกรรมใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ เมื่อปรากฏชัดก็ย่อมปรุงแต่งกันชัดเจนขึ้น ในระดับผัสสะ เวทนา ตันหา และอุปทาน

จากคุณ : P_vicha - [ 18 ก.ค. 49 17:13:01 ]


ความคิดเห็นที่ 30

ตอบความเห็นที่ 26
------------------------
ความคิดเห็นที่ 26
สิ่งที่คุณวงกลม มองต่างไป
---------------------------------------------------------
เหตุของภาวะการเกิดของพุทธ ไม่ได้มาจากการมีบุคคล
ที่ตัดสินใจ .... คือมันเป็นอย่างนั้นมาเลย .....
************* มันเกิดเป็นเช่นนั้นขึ้นพร้อมอวิชชา ทำให้เกิดความรุ้สึกว่าเป็นตัวตน เป็นเรา เป็นของเรา และทำการตัดสินใจ และต้องรับผลจากการตัดสินใจนั้น เต็มที่โดยจะรู้หรือไม่รู้ว่าการกระทำนั้น จะมีผลเป็นวิบากตามมาหรือไม่ตาม
-------------------------------------------------

เลยทำให้คุณวงกลม มองพระเจ้า ในศาสนาอื่น ว่า อยู่ใน
ภาวะที่ต้องมี ..... คือ วนในสงสารวฏฏ ..... ไม่หลุด
****************ในความเห็นของผม ถ้ามีจิตที่ผู้ที่เชื่อเรียกว่าพระเจ้าที่อยู่ที่สวรรค์ตามความคิดของผู้ที่เชื่อ จิตนั้น ก็ ย่อมมีอวิชชา จึงมีความเกิดในสวรรค์ และต้องวนเวียนในสงสารวัฏฏ์

ส่วนจะหลุดหรือไม่ อยู่ที่พบทางหลุดพ้นหรือไม่และปฏิบัติหรือไม่ครับ

-------------------------------------------------

แต่หากมองในแง่ของคนที่เชื่อว่าพระเจ้า
ก็แน่นอน ทุกสิ่งมีการตั้งใจให้เกิด .... มีภาวะบุคคล
**** รับทราบความเชื่อของคุณ ครับ

ที่รับผิดชอบเจตจำนงนั้น ....... และทุกบุคคลก็เกิดมา
เพื่อรับผิดชอบ การตัดสินใจของตน ....
************ รับทราบความเชื่อของคุณครับ ในส่วนของศาสนาพุทธ จิตที่เกิดมาพร้อมอวิชชานั้น ก็ต้องรับผิดชอบการตัดสินใจของจิตนั้น เด็มที่ เช่นกัน
-------------------------------------------------

และแม้แต่เวลา ก็ถูกสร้างขึ้น เพื่อจะอิงรูปวัตถุ .......
เพื่อบ่งชี้ตัวตนทางกายภาพ ในจักรวาลนี้เท่านั้น แต่
แท้จริง เวลา จะถูกทำลายไป และไม่มีเวลาอีก .....
-------------------------------------------------
จากคุณ : artheron - [ 18 ก.ค. 49 16:55:54 ]

*************** รับทราบความเชื่อของคุณ ครับ

ในความเห็นของผม กาลเวลาดำเนินไป จากอดีต ถึงปัจจุบัน ไปสู่อนาคต ยาวไกลไม่มีประมาณ ครับ

_______________________________________


ด้วยไมตรี
แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 49 17:35:22

แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 49 17:24:24

แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 49 17:19:38

จากคุณ : วงกลม - [ 18 ก.ค. 49 17:17:01 ]


ความคิดเห็นที่ 31

คุณ artheron พิจารณาดูดีๆ นะครับ เพราะผมเลิกงานแล้วครับ ต้องเดินทางกลับบ้าน ถ้ามีโอกาสดีก็ได้สนทนากันต่อในคืนนี้ ไม่อย่างนั้นก็ต้องเป็นพรุงนี้แล้วนะครับ

จากคุณ : P_vicha - [ 18 ก.ค. 49 17:19:35 ]


ความคิดเห็นที่ 32

หากพิจารณาโดยแท้จริง เวลาไม่ได้หมายเรียกตามหรือเกิดขึ้นจากการกำหนดใดๆ

เวลาเป็นความเป็นไป เมื่อมีการเกิดของเหตุการณ์ ถ้าที่ใดมีเหตุการณ์ที่นั่นย่อมมีเวลา

ในที่ใดไม่มีสิ่งใดๆ ไม่มีเหตุการณ์ใดๆ ที่นั้นจึงไม่มีเวลา

ขออนุญาตคุณดอยขาว คัดลอกพระสูตรที่คุณดอยขาวนำมา มาแสดง ครับ
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นพระอรหันต์ ครัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง พระองค์นั้น

[๑๕๘]ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ..(นิพพานนั้นมีอยู่)

ดิน น้ำ ไฟ ลม
อากาสานัญจายตนะ
วิญญาณัญจายตนะ
อากิญจัญญายตนะ
เนวสัญญานาสัญญายตนะ
โลกนี้ โลกหน้า
พระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสอง
ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น............(ย่อมไม่มีในนิพพานนั้น)

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า
เป็นการมา เป็นการไป
เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ
เป็นการอุปบัติ
อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้
มิได้เป็นไป
หาอารมณ์มิได้
นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ
จบสูตรที่ ๑

๒. นิพพานสูตรที่ ๒
[๑๕๙]
ตัณหาอันบุคคลแทงตลอดแล้ว
กิเลสเครื่องกังวลย่อมไม่มีแก่บุคคล
ผู้รู้ ผู้เห็นอยู่ ฯ
จบสูตรที่ ๒


๓. นิพพานสูตรที่ ๓
[๑๖๐]ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ธรรมชาติไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว
อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว
ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่
จบสูตรที่ ๓


๔. นิพพานสูตรที่ ๔
[๑๖๑] ความไม่หวั่นไหว
ตัณหาและทิฐิไม่อาศัย
ปัสสัทธิ
ไม่มีการมาการไป
ไม่มีการจุติและอุปบัติ
นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ
จบสูตรที่ ๔

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ บรรทัดที่ ๓๙๗๗ - ๓๙๙๒. หน้าที่ ๑๗๕.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=25&A=3977&Z=3992&pagebreak=0

จากคุณ : ดอยขาว - [ 16 ก.ค. 49 08:33:16 ]
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

จากคุณ : วงกลม - [ 18 ก.ค. 49 17:39:54 ]


ความคิดเห็นที่ 33

แต่ผมอยากรู้เอาเป็นว่า ชาติที่ 1 ยังไงก็ต้องมี แสดงว่า
ยังไม่มีวิบาก มากำหนดรูป สัตว์นั้นสัตว์นี้ แล้วจิต มาก่อ
รูปเป็นสัตว์ภพใดก่อนละครับ...
--------------------------------------------------------------
จากคุณ : artheron

ถามคำถามเมื่อถามว่า ไก่กะไข่อะไรเกิดก่อนกัน ยังไงยังงั้น คนอื่นก็อธิบายไปสิ พออธิบายไปคุณเองก็จะวกกลับมาถามอีก

ผมเข้าใจว่าคุณกำลังจะถามว่า วิญญาญ แรก นั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แล้วใครเป็นผู้สร้างใช้ไหมครับ หลังจากวิญญาญเกิดขึ้นแล้ว อะไรเป็นตัวทำให้วิญญาญนั้นมาเกิดเป็นสัตว์ต่างๆ ถูกต้องไหมครับ

จากคุณ : muk_22 - [ 18 ก.ค. 49 18:19:52 ]


ความคิดเห็นที่ 34

..

ลองลบสรรพสิ่งออกไปทั้งหมด ทั้งรูป (มวลสาร) และนาม (ความว่าง)

เอาแบบไม่เหลืออะไรเลยนะครับ
ไม่เว้นพระเจ้าด้วยนะ

เมื่อไม่มีทั้งรูปและนามมาแต่เดิม
หรือพูดง่ายๆ คือ ยังไม่มี (ธาตุ) อะไรๆ เลย ดินน้ำ ลม ไฟ อากาศ จิตใจ ไม่เคยมีมาก่อนเลย

แล้ว..
พระเจ้ามาจากไหนกัน
พระเจ้าอยู่เหนือธาตุ พระเจ้าอยู่เหนือเวลา พระเจ้าอยู่เหนือสรรพสิ่ง ???

จะไปเหนือได้อย่างไร
เพราะไม่มีสรรพสิ่งให้เหนือ
จะสร้างธาตุจากอะไร เพราะไม่เคยมีธาตุมาก่อน
จะสร้างเวลาได้อย่างไร เพราะไม่เคยมีเวลามาก่อน

ผมถามอีกครั้งว่า ในความไม่มีอะไรเลย (ไม่มีความว่าง ไม่มีธาตุ ไม่มีพระเจ้า)
พระเจ้ามาได้อย่างไรกัน

หากคุณตอบว่า พระเจ้ามีอยู่มาก่อนแล้ว
ผมก็จะตอบว่า ธาตุต่างๆ ก็มีอยู่มาก่อนแล้วเหมือนกัน
หากคุณบอกว่า พระเจ้าสร้างธาตุต่างๆขึ้นมา สร้างเวลาขึ้นมา
ผมก็จะตอบว่า ธาตุต่างๆ เวลาที่มีอยู่แล้วนั่นแหละ สร้างพระเจ้าขึ้นมา

ขอให้คุณย้อนกลับเข้าไปในความคิดของคุณเอง
ว่า สิ่งที่คุณคิดนั้น เป็น(เพียง) จินตนาการของคุณเท่านั้น
และบังเอิญไปตรงกับของใครอีกหลายคน (ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร)

..

จากคุณ : ไม่เป็นดั่งใจ - [ 18 ก.ค. 49 20:48:00 ]


ความคิดเห็นที่ 35

พอดีเลย กำลังคิดจะตั้งกระทู้ถามเรื่องนี้ คุณartheronพูดขึ้นมาก่อน

จากค.26
แต่หากมองในแง่ของคนที่เชื่อว่าพระเจ้า

ก็แน่นอน ทุกสิ่งมีการตั้งใจให้เกิด .... มีภาวะบุคคล
ที่รับผิดชอบเจตจำนงนั้น ....... และทุกบุคคลก็เกิดมา
เพื่อรับผิดชอบ การตัดสินใจของตน ....
และแม้แต่เวลา ก็ถูกสร้างขึ้น เพื่อจะอิงรูปวัตถุ .......

เพื่อบ่งชี้ตัวตนทางกายภาพ ในจักรวาลนี้เท่านั้น แต่
แท้จริง เวลา จะถูกทำลายไป และไม่มีเวลาอีก .....
----------------------------------------------------

"ทุกสิ่งมีการตั้งใจให้เกิด .... มีภาวะบุคคล
ที่รับผิดชอบเจตจำนงนั้น " ซึ่งนั่นหมายถึง ไม่ว่าจะอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นมา มีผู้ทำให้เกิด ถูกหรือไม่ครับ?

ดังนั้น หมายความว่า"ความชั่ว"ก็เป็นสิ่งที่พระเจ้าเป็นผู้ทรงกำเนิดเช่นกัน ใช่หรือไม่ครับ?
บาปทั้ง7 ก็มีต้นกำเนิดมาจากพระเจ้า ใช่หรือไม่ครับ?

อีกเรื่องหนึ่ง "พระเจ้ามีอำนาจสิทธ์ขาด"จริงหรือ?
ถ้าจริง ทำไมต้องให้อัครเทวดามิคาเอล เป็นผู้ปราบลูซิเฟอร์ด้วย เพราะพระองค์ทรงสร้าง จะกำราบหรือทำลาย ก็ง่ายนิดเดียว
ถ้ามี"อำนาจสิทธิ์ขาดเพียงผู้เดียว โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ"แล้ว ทำไมถึงต้องทำตามเรื่องที่มีเงื่อนไขมากมายด้วยครับ

จากคุณ : YF-01 - [ 18 ก.ค. 49 22:15:31 ]


ความคิดเห็นที่ 36

http://www.geocities.com/Athens/Troy/2909/Stories/lastquestion.html

พึ่งอ่านจบมา เป็นแง่มุมที่เจ๋งมาก

สภาพที่ "ไม่มีเวลา" ก็หมายถึง "ไม่มีจุดอ้างอิงกับการเปลี่ยนแปลง" ถูกมั้ยครับ? (ก็เวลา คือการพิจารณาแบบสัมพัทธ์จากผู้สังเกตการณ์กับจุดอ้างอิง ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษของไอน์สไตน์)

ไม่มีสภาพสัมพัทธ์ ก็ต้องไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันทำให้เกิดจุดต่าง ต้องไม่มีการหยุดนิ่งที่เป็นจุดอ้างอิง

แต่"การเปลี่ยนแปลง"และ"จุดอ้างอิง"ก็เป็นเพียง"สภาวะสมมติ"ขึ้นมา(สมมติให้จุดหนึ่งเป็นจุดอ้างอิง จุดอื่นๆก็เปลี่ยนแปลง)

ไม่มี"สภาวะสมมติ" ไม่"มี"และไม่"สูญ"
คุ้นๆกับเรื่องใดในศาสนาพุทธมั้ยครับ?

จากคุณ : YF-01 - [ 18 ก.ค. 49 22:46:08 ]


ความคิดเห็นที่ 37

ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ

1.
เรื่องจิตพระอรหันต์
ตอบทางปรมัตธรรม จิตไม่ใช่ของพระอรหันต์ จิตไม่ใช่ของใคร ไม่มีอะไรเป็นของใครอยู่แล้ว เพราะทุกอย่างเป็นอนัตตา
แต่ถ้าตอบทางสมมุติว่าเป็นของท่าน สมมุติว่าจิตนั้นเป็นของท่าน

2.
"หาก พระพุทธเจ้าสามารถนับบารมี 4 อสงไขยกัปล์กับอีก 1 แสนกัปล์ นี่คือนับตั้งแต่ ชาติที่ พระองค์ทรงได้รับทำนาย.... หรือว่า เป็นการนับชาติที่มีทั้งหมดของพระองค์ในสังสารวฏฏ ทั้งหมด"
ตามความเข้าใจของผม 4 อสงไขยกัปล์กับอีก 1 แสนกัปล์ นี่คือชาติที่ได้เริ่มบำเพ็ญบารมีหรือเริ่มอธิษฐานจิตมา ไม่ใช่ชาติทั้งหมด

3.
"หากว่านับชาติทั้งหมดได้ ก็แสดงว่ามีชาติที่ 1 ดังนั้นไม่ควรว่าการเวียนว่ายเป็นวงกลม (กระบวนการวฏฏ สืบเนื่องเป็นวงกลม) แต่ภพชาติ ต้องย้อนไปหาชาติที่ 1 ได้"
เวลาที่เราเขียนวงกลมบนกระดาษ มันก็มีจุดเริ่มต้นครับ

แต่วงกลมแห่งการเวียนวายตายเกิดนี้ หลังจากเขียนจนเต็มวงแล้วก็ยังไม่หยุด เขียนย้ำๆๆวงเดิมไปเรื่อยๆจนกว่าเราจะหาทางหยุดได้

4.
นิพพานมีหรือสูญ?
ถ้าเราเกิดแล้วตายแล้วเกิดแล้วตายแล้วเกิดแล้วตายแล้วๆๆๆๆ แล้วอยู่ๆไม่เกิดอีก เราจะเรียกว่ามีหรือสูญดีครับ

5.
เรื่องเวลา ถ้าจะมองเป็นมิติก็ได้อยู่ครับ มันก็ไหลมาอย่างนี้และก็ไหลไปอย่างนี้ ไม่มีเวลาเริ่มต้นหรือสิ้นสุดที่แท้จริงหรอกครับ
เพราะถ้ามีเริ่มต้น ก็ต้องมีก่อนเริ่มต้น และก็ต้องมีก่อนๆๆเริ่มต้นไม่สิ้นสุด

6.
"เอาหละตัวธรรมชาติที่ไม่ปรุงแต่งนี่แหละครับ ...
ที่ผมสงสัย ว่า มันมีอยู่เดิม แล้วโดนจับปรุงแต่งได้ไง"(คห.7)
อาจประกอบจากแรงกระทำจากภายนอกเข้ามากระทำด้วย เช่น
เทียบกับไม้ขีดไฟที่มีเชื้อ เชื้อคืออวิชชา ไม้ขีดโดนแรงจากภายนอกให้ไปขีดกับกล่อง เกิดไฟติด เป็นตัวไปตน(ไฟ)ขึ้นมา

แต่ถ้าไม้ขีดไม่มีเชื้ออวิชชา โดนแรงจากภายนอกมายังไง ก็ไม่ติดไฟ

จากคุณ : สัพเพ สัตตา (BiX-WiZ) - [ 19 ก.ค. 49 00:01:34 ]


ความคิดเห็นที่ 38

ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ

เรื่องเวลา

สภาพที่ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่ง จนไม่สามารถเอาอะไรมาเป็นเกณฑ์วัดได้
ทุกๆอย่างทั้งจักรวาลหยุดหมด ทุกๆโมเลกุลหยุด ทุกๆอะตอมหยุด ทุกๆนาฬิกาหยุด ทุกๆพลังงานหยุด

สภาพเช่นนี้อาจจะสมมุติเอาว่าเวลาหยุดได้ เพราะไม่มีอะไรมาวัดว่าเวลาเดินอยู่หรือไม่ได้ แต่ที่จริงแล้วเวลามันก็เดินไปของมันอยู่

ในสภาพนี้ก็ย่อมไม่มีพลังงานเกิดขึ้น ไม่มีจิตเกิดขึ้น ไม่มีการรับรู้ใดๆเกิดขึ้น

ยังไงเสีย ถ้ามีการรับรู้เกิดขึ้น อย่างน้อยสถาพนั้นย่อมถือว่ามีเวลาอย่างแน่นอน

จากคุณ : สัพเพ สัตตา (BiX-WiZ) - [ 19 ก.ค. 49 00:18:04 ]


ความคิดเห็นที่ 39

กระทู้นี้เปิดหูเปิดตาผมหลายอย่างจริงๆ

จากคุณ : mamarine - [ 19 ก.ค. 49 00:25:47 ]


ความคิดเห็นที่ 40

สรุป จากธาตุ ก่อ ภาวะบุคคล

คล้ายกับเราโยน ... หินไปก้อนหนึ่ง ผ่านไปสักล้าน ๆ ๆ ๆ ปี

มันจึงมีชีวิตของมัน

วิทยาศาสตร์บอกว่า สสาร <-> พลังงาน ....
รูปแบบของ วฏฏ จะตีคุณค่า บุคคล ไม่ต่างจากธาตุ ไงละครับ

ณ ที่ภาวะ การไร้เวลา มันมีมาก่อน เวลาแค่อิงพิกัด เพื่อ
ให้กฏไตรลักษณ์ หรือ เทอร์โมไดนามิค เป็นจริง
------------------------------------------------------------
ณ ที่ไร้เวลาไม่ใช่ ภาวะ นิ่ง หรือไม่มีเปลี่ยนแปลง
แต่เป็นอีกมิติ ที่มีมาก่อน .....

จากคุณ : artheron - [ 19 ก.ค. 49 08:40:08 ]


ความคิดเห็นที่ 41

เราจะเปรียบ อวิชชา กับอะไรดี

มันมีชีวิต หรือ ไร้ชีวิต .... มันเป็นตัวตนบุคคล
หรือ เหมือนไวรัส ที่มีแค่สาย RNA แต่ก็พอจำลอง
รูปแบบตัวเองได้อย่างอัศจรรย์

--------------------------------------------------------
เราตีคุณค่าทุกอย่างจากสิ่งที่ไร้ชีวิต ดังนั้น คุณธรรม
ความดีงามเป็นแค่เครื่องยืดเวลาในภพสุคติ ....
---------------------------------------------------------
เมื่อเราถอดภาวะตัวตน ค่าของเราจึงคงแค่ธาตุประชุม
จริงแล้ว ไม่อาจมีภพชาติ ....

เพราะก่อนรูปเกิด เป็นสัตว์นั้น สัตว์นี้ ยังไม่มีวิบากอันไหน
มาขับให้เกิดเลยครับ .... สิ่งนี้ ไม่มีใครตอบเพราะ ยังเป็น
ใบไม้ที่ตถาคตท่านไม่ได้กำมาให้ท่านเรียนรู้... แต่ผมว่า
มันสำคัญ เพราะเราจำต้องรู้ประวัติศาตร์ พอ ๆ กับ จุดหมาย
ที่จะไปเลยนะครับ

จากคุณ : artheron - [ 19 ก.ค. 49 08:45:13 ]



ความคิดเห็นที่ 42

ณ ที่ไร้เวลาไม่ใช่ ภาวะ นิ่ง หรือไม่มีเปลี่ยนแปลง
แต่เป็นอีกมิติ ที่มีมาก่อน .....

จากคุณ : artheron - [ 19 ก.ค. 49 08:40:08 ]

*************** หากที่ใดมีสิ่งใดๆ มีเหตุการณ์ ย่อมเวลาขึ้นโดยธรรมดา(ไม่ต้องวัดด้วยนาฬิกา หรือเครื่องวัดใด) เมื่อมีเหตุการณ์ก็มีช่วงเวลาก่อนเหตุการณ์ ช่วงเหตุการณ์ ช่วงหลังเหตุการณ์ จะปฏิเสธว่าไม่มีเวลาไม่ได้

************* มีสภาวะที่ไม่มีสิ่งใดๆ เหตุการณ์ใดๆเท่านั้นที่ไม่มีเวลา ********************

จากคุณ : วงกลม - [ 19 ก.ค. 49 09:29:18 ]


ความคิดเห็นที่ 43

โอ้โฮ จะเอาจุดเริ่มต้นเลยหรือครับ แปลว่าผมเดาใจคุณ artheron ถูก

จากคุณ : muk_22 - [ 19 ก.ค. 49 09:38:34 ]


ความคิดเห็นที่ 44

คห.40
"ณ ที่ไร้เวลาไม่ใช่ ภาวะ นิ่ง หรือไม่มีเปลี่ยนแปลง
แต่เป็นอีกมิติ ที่มีมาก่อน"
ถ้ามีมาก่อน
มีก่อนก็คือมีเวลา และก็ต้องมีก่อนของก่อนๆๆ ต่อไปไม่รู้จบ

คห.41
"เพราะก่อนรูปเกิด เป็นสัตว์นั้น สัตว์นี้ ยังไม่มีวิบากอันไหนมาขับให้เกิดเลยครับ "
ที่จริงใช้คำว่าเหตุแทนคำว่าวิบากดีกว่าครับ เพราะวิบากคือรับผล ไม่ได้เป็นเหตุ

ที่จริงสิ่งนี้เข้าใจได้ยาก แต่ถ้าตอบตามความเข้าใจของผมนะ
อวิชชาคือสิ่งที่เกิดเอง มีเหตุที่ตัวเอง
อวิชชายึดถือว่าเป็นตัวเป็นตนแล้วก็กลายเป็นสังขารเกิดในทันที

จากคุณ : สัพเพ สัตตา (BiX-WiZ) - [ 19 ก.ค. 49 09:50:02 ]


ความคิดเห็นที่ 45

เรื่องเวลา ผมคิดเหมือนคห.42 นั้นเลยครับ

จากคุณ : สัพเพ สัตตา (BiX-WiZ) - [ 19 ก.ค. 49 09:53:42 ]


ความคิดเห็นที่ 46

ตอบความเห็นที่ 41

--------------------

เราจะเปรียบ อวิชชา กับอะไรดี

มันมีชีวิต หรือ ไร้ชีวิต .... มันเป็นตัวตนบุคคล
หรือ เหมือนไวรัส ที่มีแค่สาย RNA แต่ก็พอจำลอง
รูปแบบตัวเองได้อย่างอัศจรรย์

****************** เห็นพูดว่าอวิชชาๆ มาตั้งนาน นึกว่ารู้แล้วว่าอวิชชาคืออะไร กลับไม่รู้ ไปเปรียบเทียบอะไรกับตัวตน กับไวรัส
ไม่เห็นต้องเปรียบเทียบกับอะไร อวิชชาคือความไม่รู้ เหมือนเด็กเกิดมาใหม่ๆย่อมไม่รู้อะไรมากมายหลายอย่าง จะไปเปรียบเทียบคิดอะไรไปให้สับสนวุ่นวาย อวิชชาไม่ได้มีตัวตน อวิชชาคือความไม่รู้เท่านั้น ความไม่รู้นั่นแหละทำให้ต่อเนื่องยาวไป เมื่อรู้แล้วก็หาทางพ้นได้

-- มาคิดงงอะไร กับเรื่องที่ชัดเจนแบบนี้ ไปคิดอะไรว่าคำว่าอวิชชาคือตัวอะไร อวิชชาก็คือความไม่รู้ของสิ่งที่เกิดมาใหม่นั่นเอง ว่าทำไม่จึงมีความเกิดอย่างนั้นขึ้นมา ไม่รู้ว่าจะพ้นจากความเกิดต่อเนื่องนั้นอย่างไร ไม่รู้แม้กระทั่งว่ามีการเกิดต่อเนื่องนั้นมาจากอะไร มีการพ้นความเกิดเช่นนั้นอยู่

--------------------------------------------------------


เราตีคุณค่าทุกอย่างจากสิ่งที่ไร้ชีวิต ดังนั้น คุณธรรม
ความดีงามเป็นแค่เครื่องยืดเวลาในภพสุคติ ....

*************** ถ้าอย่างนั้นคนที่คิดว่าพระเจ้ามาจากความว่าง จู่ก็มีพระเจ้าขึ้นมาก็ตีคุณค่าจากส่งที่ไร้ชีวิต เหมือนกันน่ะซิ...........ไม่เห็นจะต่างกันเลย แล้วมีอะไร ********

-- คุณพูดเพื่อให้เห็นว่าความคิดคนอื่นผิดเท่านั้นเอง เมื่อพูดอย่างนั้น คำพูดของคุณนั่นแหละ ที่ทำให้รู้ว่าความเชื่อของคุณผิดเอง เข้าใจผิดเอง
- สุคติไม่ใช่เป้าหมายของการพ้นทุกข์ การดับทุกข์ทางใจในชาติปัจจุบันและการไม่เกิดอีกต่างหากที่เป็นเป้าหมายของชีวิตที่รู้ว่าอะไรคือเหตุแห่งทุกข์ ส่วนผู้ไม่รู้ก็เกิด-ตาย เกิด-ตาย กันต่อไป
---ความไม่รู้เหตุปัจจัยของการเกิด เมื่อสร้างกรรม ความดีงามหรือความชั่ว ก็เป็นเครื่องยืดเวลาในภพทั้งสิ้น
***************

----------------------------------------------------

เมื่อเราถอดภาวะตัวตน ค่าของเราจึงคงแค่ธาตุประชุม
จริงแล้ว ไม่อาจมีภพชาติ ....

-************** ข้อนี้เข้าใจถูกต้องแล้วครับ ถ้าถอดได้จริงๆทางจิต ก็ไม่มีภพชาติอีก แต่ไม่ใช่แค่คิดและพูดว่าถอดก็ถอดได้ แค่นี้ถอดไม่ได้หรอก ครับ ******************

เพราะก่อนรูปเกิด เป็นสัตว์นั้น สัตว์นี้ ยังไม่มีวิบากอันไหน
มาขับให้เกิดเลยครับ ....

********* แล้วเป็นยังไงครับ ผู้ที่เชื่อพระเจ้า ก็ว่า พระเจ้าจู่ๆก็เกิดมาเอง คนอื่นเกิดมาเองได้เหมือนกัน ไม่เห็นจะต้องต่างกันเลย *********

พระพรหมก็เคยเชื่อว่าตนเองเกิดมาก่อนคนอื่น เป็นผู้สร้างคนอื่น ความจริงก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เช่นกัน

-------------------------------

สิ่งนี้ ไม่มีใครตอบเพราะ ยังเป็น

*********** ตอบไปข้างบนแล้วครับ ศาสนาคริสต์ก็คิดขึ้นมาทีหลังว่าพระเจ้าเกิดขึ้นเอง ตอนมีเพทเจ้าบาล เทพเจ้ายาหะเวห์แรกๆก็ไม่มีใครคิดหรอกครับว่าพระเจ้ามาได้ยังไง พอมีคนสงสัย ก็เลยคิดตอบว่า เกิดขึ้นมาเอง ไม่มีอะไร ตอบก็เหมือนไม่ตอบ เท่านั้นเอง ****************

-----------------------------------------

ใบไม้ที่ตถาคตท่านไม่ได้กำมาให้ท่านเรียนรู้... แต่ผมว่า
มันสำคัญ เพราะเราจำต้องรู้ประวัติศาตร์ พอ ๆ กับ จุดหมาย
ที่จะไปเลยนะครับ
จากคุณ : artheron - [ 19 ก.ค. 49 08:45:13 ]

*********** คุณคิดว่ามันสำคัญเพราะคิดว่ามีพระเจ้า และคิดว่ากำหนดทุกสิ่ง เหมือนศาสนาพราหมณ์สมัยก่อนที่คิดว่าพระพรหมสร้างทุกอย่าง สร้างมนษย์ กำหนดทุกสิ่งทุกอย่าง ความจริงก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น

***** เมื่อรู้ความจริงของเหตุปัจจัยของการเกิด ก็รู้ว่าไม่มีผู้สร้าง เมื่อรู้เหตุปัจจัยของความดับ ก็ทำตนให้พ้นทุกข์ได้ *******


******** ส่วนผู้ไม่รู้ ไม่ยอมรับ ย่อมเกิดทนทุกข์ในภพทั้งหลาย บางคราวได้เกิดในสุคติก็หลงในสุขทางโลกที่มีอยู่เป็นส่วนน้อยในโลกหรือในสวรรค์ เมื่อเกิดในทุคติก็ทุกข์ร้อนแสนสาหัส วนเวียนเช่นนี้อยู่ร่ำไปไม่สิ้นสุด **********
แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 49 10:58:10

แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 49 10:42:48

แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 49 10:37:38

แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 49 10:19:32

แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 49 10:19:27

จากคุณ : วงกลม - [ 19 ก.ค. 49 10:02:38 ]



ความคิดเห็นที่ 47

ความคิดเห็นที่ 41 ของคุณ artheron
*****************************************
เราจะเปรียบ อวิชชา กับอะไรดี

มันมีชีวิต หรือ ไร้ชีวิต .... มันเป็นตัวตนบุคคล
หรือ เหมือนไวรัส ที่มีแค่สาย RNA แต่ก็พอจำลอง
รูปแบบตัวเองได้อย่างอัศจรรย์

--------------------------------------------------------
เราตีคุณค่าทุกอย่างจากสิ่งที่ไร้ชีวิต ดังนั้น คุณธรรม
ความดีงามเป็นแค่เครื่องยืดเวลาในภพสุคติ ....
---------------------------------------------------------
เมื่อเราถอดภาวะตัวตน ค่าของเราจึงคงแค่ธาตุประชุม
จริงแล้ว ไม่อาจมีภพชาติ ....

เพราะก่อนรูปเกิด เป็นสัตว์นั้น สัตว์นี้ ยังไม่มีวิบากอันไหน
มาขับให้เกิดเลยครับ .... สิ่งนี้ ไม่มีใครตอบเพราะ ยังเป็น
ใบไม้ที่ตถาคตท่านไม่ได้กำมาให้ท่านเรียนรู้... แต่ผมว่า
มันสำคัญ เพราะเราจำต้องรู้ประวัติศาตร์ พอ ๆ กับ จุดหมาย
ที่จะไปเลยนะครับ

จากคุณ : artheron - [ 19 ก.ค. 49 08:45:13 ]
**********************************************

ผมได้ตอบคุณ artheron ไปแล้วในความคิดเห็นที่ 29

ความคิดเห็นที่ 29

จากความคิดเห็นที่ 27 ของ คุณ artheron

ผมต้องโยงความเห็นให้กลับไปจุดเริ่มอีกครังนะครับ

เพราะความไม่รู้ในอริยสัจ 4 เป็นอวิชชา อวิชชาเป็นปัจจัย จึงเกิดสังขาร นี้และคือการเกิดกรรมใหม่แล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงวิบากกรรมเก่า

คุณ artheron อย่าไปติดของเก่าอย่างเดียวสิ เพราะการเป็นปัจจัยกันนั้นแหละเป็นกรรมใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ เมื่อปรากฏชัดก็ย่อมปรุงแต่งกันชัดเจนขึ้น ในระดับผัสสะ เวทนา ตันหา และอุปทาน

จากคุณ : P_vicha - [ 18 ก.ค. 49 17:13:01 ]

***********

ท่าทางคุณ artheron ยังไม่เข้าใจ เอาแหละผมจะอธิบายให้ละเอียดขึ้น

เพราะการไปมุ่งประเด็นไปที่ เรื่องวิบากกรรม เป็นจุดของการเกิด จึงทำให้เข้าใจคลาดเคลือน ไปว่า วิบากกรรมนั้นทำให้เกิด ทำให้มีภพชาติอย่างโน้นอย่างนี้ ถือว่ายังไม่เข้าใจที่ถูกต้องอย่างแท้จริง

เพราะวิบากกรรมเก่านั้นจะส่งผลหลังจาก อวิชชา เป็นปัจจัย จึงเกิดสังขาร

ดังนั้นจุดเริ่มของสัตว์ ผมไม่ขอกล่าวถึงเรื่องเวลา เพราะมันนานจนไม่รู้ว่าไปเอาอะไร มาเปรียบเทียบให้ทราบได้ โดยที่ไม่ต้องอาศัยวิบากกรรม เพราะวิบากกรรมยังไม่มียังไม่ปรากฏ ก็เริ่มจากเพราะ

ความไม่รู้ในอริยสัจ4 เป็น อวิชชา เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงเกิดสังขาร นี้และกรรมเริ่มต้นของสัตว์ที่กำลังกระทำ เกิดเป็นปัจจัยขึ้นมา (ตัดวิบากกรรมไปได้เลย) เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงเกิดวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดอายตนะ เพราะอายตนะเป็นปัจจัยจึงเกิด ผัสสะ ........
เกิดเป็นปัจจัยสืบต่อไปเรื่อย ๆ ล้วนแต่เป็นกรรมใหม่ที่กระทำตามปัจจัยสืบต่อไป จนเป็น ตัณหา และอุปทาน และด้วยการกระทำที่ ตัณหา และอุปาทาน นี้แหละ เป็นกรรมที่รุนแรง ส่งผลข้ามต่อไปได้ เรียกว่าวิบากกรรม

คุณ artheron คงพอเข้าใจแล้วว่า คุณกำลังคลาดเคลื่อนเข้าใจเรื่องวิบากกรรมผิดไปว่า วิบากกรรมเป็นสิ่งทำให้สัตว์นั้นเกิด ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่ แต่เป็นเพราะ
ความไม่รู้(ไม่เกิดปัญญา)ในอริยสัจ 4 เป็นอวิชชา นั้นแหละเป็นปัจจัยจึงเกิดสังขาร .... ทำให้สัตว์เกิดขึ้น และวนเวียนอยู่อย่างนั้น

ผมขอให้คุณ artheron พิจารณาให้ละเอียดนะครับ (ย้ำครั้งที่ 2)
แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 49 15:21:27

จากคุณ : P_vicha - [ 19 ก.ค. 49 10:04:58 ]



ความคิดเห็นที่ 48

..
อ้างอิง คห.40
ณ ที่ไร้เวลาไม่ใช่ ภาวะ นิ่ง หรือไม่มีเปลี่ยนแปลง
แต่เป็นอีกมิติ ที่มีมาก่อน .....


มันก็เหมือนกับคุณบอกว่า
พิกัด x,y,z นั้น

แต่เดิมยังไม่มีแกน y และ แกน z
แกน x ทำให้เกิดแกน y และแกน z ทีหลัง

ความจริงก็คือ
แกน x แกน y แกน z มันมีอยู่อย่างนั้น
มันมาพร้อมกัน

สรรพสิ่งที่มีการเคลื่อนไหว ก็ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง ก็ย่อมมีแกนของเวลามาพร้อมๆ กัน

..

จากคุณ : ไม่เป็นดั่งใจ - [ 19 ก.ค. 49 12:29:54 ]



ความคิดเห็นที่ 49

เวลา มีความหมายถึง การเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบจากจุดอ้างอิง
ถ้าจะมี"ภาวะหนึ่งซึ่งมีกมาก่อนเวลา" ภาวะนั้นก็ต้องไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่มีการกระทำ ไม่มีการคิด
ซึ่งในแง่นั้น คุณก็ปฏิเสธสิ่งที่คุณกำลังเชื่ออยู่ไปเช่นกันนะครับ

เปรียบอวิชชากับอะไรดี.........
ผมว่าคำอวิชชานี่ ง่ายแล้วนะครับ การเปรียบเทียบจะยิ่งทำให้ยากรึเปล่า

ไม่เห็นคุณartheronตอบให้ผมบ้างเลยครับ คำถามในคห.35ของผมน่ะ

จากคุณ : YF-01 - [ 19 ก.ค. 49 23:07:12 ]



ความคิดเห็นที่ 50

เวลา ... แค่ถูกสร้างขึ้นครับ ... เพื่อให้สิ่งที่อยู่ในมิติ ...
มีการเปลี่ยนเสมอไปตามกฏ

........................................................................
จะคิดนอกการไม่มีเวลา ต้องไม่อยู่ภายในมิติที่จะคิดได้
คล้าย ๆ ที่คุณเชื่อ ว่า นิพพาน ไม่สูญ แต่ไม่มี ... หรือ มี แต่ว่าง อะไรแบบนั้นครับ

จากคุณ : artheron - [ 20 ก.ค. 49 13:07:34 ]



ความคิดเห็นที่ 51

คุณ artheron ครับ

ในพุทธศาสนานั้น ธรรมชาติมี 2 คือ

1.ธรรมชาติที่เปลียนแปลง ถูกปรุงแต่งได้ ไหลวน มีความยึดมั่นและถือมั่น และต้องทุกข์ เรียกว่า สังขตธรรม

2.ธรรมชาติที่ไม่ถูกปรุงแต่ง หรือปลุงแต่งไม่ได้ สงบเย็น ไม่ยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง เรียกว่า อสังขตธรรม

ธรรมชาติทั้ง 2 นั้นเป็นธรรมเช่นนั้นเอง

ดังนั้น เมื่อกล่าวถึง ผู้สร้าง(บุคคล) สิ่งถูกสร้าง ก็ย่อมอยู่ในธรรมชาติที่ปรุงแต่ง ก็คือ สังขตธรรม นั้นเอง

และจากข้อความของคุณ artheron
********************
จะคิดนอกการไม่มีเวลา ต้องไม่อยู่ภายในมิติที่จะคิดได้
คล้าย ๆ ที่คุณเชื่อ ว่า นิพพาน ไม่สูญ แต่ไม่มี ... หรือ มี แต่ว่าง อะไรแบบนั้นครับ
********************

ตอบ นั้นเป็นความคิดความเห็นของคุณ artheron เอง เพระพระพุทธเจ้าทรงเน้นสอนเรื่อง ปัญญาในการดับความทุกข์

ปัญญา หาใช่ความคิดดังที่คุณ artheron เข้าใจ

ปัญญา ในพุทธศาสนามี 3 ระดับ (ผมเคยบอกแล้ว)
1.สุตมยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการฟัง อ่าน
2.จินตมยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการคิดและจินตนาการ
3.ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการภาวนา
แก้ไขเมื่อ 20 ก.ค. 49 14:18:38

จากคุณ : P_vicha - [ 20 ก.ค. 49 14:16:42 ]



ความคิดเห็นที่ 52

อสังขตธรรม ... เป็นธรรมชาติ แต่ไม่มีความเป็นบุคคล
คือไม่มีความคิด หรือการตัดสินใจในตัวเอง

กับ พระเจ้า ในความคิดชาวคริสต์ คือ บุคคลที่ไม่มมีวันเปลี่ยนแปลง ... สิ่งต่างคือ ความเป็นบุคคล ได้สะท้อน
ออกเป็น เจตจำนงค์ ... ดังนั้นผู้สร้าง ... จึงสร้างมิติ
ที่วันนึงต้องเปื่อยเน่า ..... แต่ตัวผู้สร้างไม่คงอยู่ใน
มิติที่สร้าง ครับ และพระเจ้าก็เป็นเช่นนั้น ...

เสียดายที่ ภาวะบุคคลนี้ กลายเป็นสิ่งอันยึดไว้ในภพ
ตามความคิดเรื่องการเวียนว่าย ... ซึ่งผมรู้ว่าสิ่งใดทำให้
พวกนั่งฌาณ เห็น ภพวุ่นวายแบบนี้ เพราะเมื่อก่อน ผม
เคยพยายามถอดจิต กะไปดูว่ามี นรก สวรรค์จริงหรือ ...

........................................................................
ผมถึงรู้ว่าโดนหลอกไงละครับ ...

จากคุณ : artheron - [ 20 ก.ค. 49 15:29:57 ]


ความคิดเห็นที่ 53

********* เอา เมื่อประเด็นเก่า ตอบไม่ได้แล้ว แล้วก็มาประเด็นใหม่ต่อไป *********

ความคิดเห็นที่ 52
อสังขตธรรม ... เป็นธรรมชาติ แต่ไม่มีความเป็นบุคคล คือความคิด หรือการตัดสินใจในตัวเองไม่มี
********** เอ้า ไม่รู้จัก ไม่เข้าใจ คำว่า อสังขตธรรม ก็มาอวดรู้พุดผิดๆอีกแล้ว เข้านิสัยอวดรู้ในสิ่งไม่รู้แบบเดิมอีกแล้ว บอกแล้วไม่รู้จักคิด ไม่รู้จักจำ นะ artheron เอาคำแปลไปก่อนนะ

http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=อสังขตธรรม
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)

อสังขตธรรม ธรรมอันมิได้ถูกปรุงแต่ง ได้แก่ นิพพาน
(ข้อ ๒ ในธรรม ๒);
ตรงข้ามกับ สังขตธรรม
-------------------------------------

*** เมื่ออสังชตธรรม หมายถึง นิพพาน ย่อมไม่มีอะไร ไม่มีบุคคลอยู่แล้ว คำพูดที่ว่า " แต่ไม่มีความเป็นบุคคล คือความคิด หรือการตัดสินใจในตัวเองไม่มี"
จึง เป็น ความคิด คำพูด ของคนนับถือศาสนคริสต์ โง่ๆ และเป็นคนเลว คนหนึ่งเท่านั้น

------------------------------------------

กับ พระเจ้า ในความคิดชาวคริสต์ คือ บุคคลที่ไม่มมีวันเปลี่ยนแปลง ... สิ่งต่างคือ ความเป็นบุคคล ได้สะท้อน
ออกเป็น เจตจำนงค์ ... ดังนั้นผู้สร้าง ... จึงสร้างมิติที่วันนึงต้องเปื่อยเน่า ..... แต่ตัวผู้สร้างไม่คงอยู่ในมิติที่สร้าง ครับ และพระเจ้าก็เป็นเช่นนั้น ...
********** ความคิด และคำพูด ของคนโง่ และเลว อย่างคุณ ใครเขาจะเชื่อ ..... ยิ่งพูดไปเขายิ่งจะไม่เชื่อพระเจ้าที่คุณพูด....
---------------------------------------

เสียดายที่ ภาวะบุคคลนี้ กลายเป็นสิ่งอันยึดไว้ในภพ
ตามความคิดเรื่องการเวียนว่าย ... ซึ่งผมรู้ว่าสิ่งใดทำให้พวกนั่งฌาณ เห็น ภพวุ่นวายแบบนี้ เพราะเมื่อก่อน ผมเคยพยายามถอดจิต กะไปดูว่ามี นรก สวรรค์จริงหรือ ...
........................................................................
ผมถึงรู้ว่าโดนหลอกไงละครับ ...
จากคุณ : artheron - [ 20 ก.ค. 49 15:29:57 ]
************* ตอนนี้ยิ่งโดนหลอกกว่าเก่าอีก หลอกว่ามีพระเจ้าสร้างโลก ถ้าระลึกชาติได้ เขาไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าสร้างโลกหรอก เด็กโง่ เพราะที่เขาหลอกคือพรเจ้าสร้างโลกมาครั้งเดียว
********** เลิกถูกหลอก และเลิกโง่ซะ ********

ด้วยเวทนาสงสาร
แก้ไขเมื่อ 20 ก.ค. 49 16:47:58

จากคุณ : วงกลม - [ 20 ก.ค. 49 16:37:36 ]


ความคิดเห็นที่ 54

ในเมื่อเป็นบุคคล ก็ย่อมตกอยู่ในธรรมชาติที่ปรุงแต่งได้ เป็นสังขตธรรม โดยธรรมชาติ ไม่ใช่ไม่เป็นโดยเพียงแค่ความคิด

และจากข้อความของคุณ artheron
****************************
เสียดายที่ ภาวะบุคคลนี้ กลายเป็นสิ่งอันยึดไว้ในภพ
ตามความคิดเรื่องการเวียนว่าย ... ซึ่งผมรู้ว่าสิ่งใดทำให้
พวกนั่งฌาณ เห็น ภพวุ่นวายแบบนี้ เพราะเมื่อก่อน ผม
เคยพยายามถอดจิต กะไปดูว่ามี นรก สวรรค์จริงหรือ ...

........................................................................
ผมถึงรู้ว่าโดนหลอกไงละครับ ...
*********************************

ตอบ ใครหลอกคุณ ตัณหา(ความอยากมีอยากเป็น)และอุปทานของคุณ artheron นั้นแหละหลอกตนเอง และกำลังหลอกให้คุณ artheron สร้างสมทิฏฐิคลาดเคลือนจนผิดๆ ได้ เป็นธรรมชาติของฝ่ายปรุงแต่ง
แก้ไขเมื่อ 20 ก.ค. 49 17:19:22

จากคุณ : P_vicha - [ 20 ก.ค. 49 17:11:41 ]



ความคิดเห็นที่ 55

เป็นธรรมชาติแล้ว จะให้เป็นบุคคล หมายความว่ายังไงเหรอครับ?
อ่านแล้วงง เหมือนความเป็นบุคคลที่จำเป็นมากเลย

ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงสร้าง หรือไม่ทรงสร้าง นิยามของเวลาก็ยังหมายถึง"การพิจารณาการเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับจุดอ้างอิง"นี่ครับ

ถ้าพระองค์"ไม่มีการเปลี่ยนแปลง" แล้ว จะทรงสร้างบ้าง ทรงพิโรธบ้าง ทรงส่งพระบุตรลงมาบ้าง ได้อย่างไรกัน
แค่"การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์"ของพระองค์ ก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไปในไบเบิลแล้ว ไม่ใช่เหรอครับ?

สุดท้ายก็ยังไม่เห็นตอบคห.35ของผมเลย

จากคุณ : YF-01 - [ 20 ก.ค. 49 21:36:06 ]



ความคิดเห็นที่ 56

เอาใจช่วยคุณวงกลมครับ

จากคุณ : lotojohn - [ 21 ก.ค. 49 00:39:11 ]



ความคิดเห็นที่ 57

ชอบคำตอบ คุณวิชา นุ่มนวล น่าฟัง

จากคุณ : นะยะ - [ 21 ก.ค. 49 14:28:09 ]