เมื่อเหล่าเทวดาทั้ง หมื่นโลกธาตุ อันเชิญ พระมหาสัตว์พระเสตุเกตุเทพบุตรจุติลงไปเกิดบนโลกมนุษย์
เพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จนมหาโพธิสัตว์พระเสตุเกตุเทพบุตรทรงจุติ ก็ปรากฏมีแสงสว่างสะไหวไปทั่วสากลโลก
พร้อมทั้งพระนางมหามายาเทวี มเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะเจ้าเมืองกรุงกบิลพัสดุ์ อยู่ในราชวงค์โคตมะ ทรงพระสุบิน เห็นช้างเผือกลอยจากฝากฟ้ามาหาพระนาง
แล้วพระนางทรงตั้งพระครรภ์
เมื่อมหาโพธิสัตว์อยู่ในพระครรภ์
10 เดือนพระนางมหามายาเทวีออกเดินทางเพื่อจะไปคลอดพระครรภ์ที่เมืองเทวทหะซึ่งเป็นเมืองพระราชบิดาของพระนาง
แต่ระหว่างทางก็ทรงประสูติกาล ที่สวนลุมพินีวัน
อยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์กับเมืองเทวะทหะ
พระนางมหามายาเทวีทรงประสูติพระมหาโพธิสัตว์ในท่ายืนมือขวาจับกิ่งไม้
เมื่อมหาโพธิสัตว์คลอดออกมาก็ทรงยืนอยู่โดยมีดอกบัวผุดขึ้นมารับพระบาททั้งสอง
พร้อมทั้งปรากฏแสงสว่างสะไหวไปทั่วทั้งสากลโลก ด้วยแสงสว่างสะไหวนั้นสัตว์ต่างๆ
สามารถมองเห็นซึ่งกันและกันอย่างชัดเจน คือมนุษย์สามารถเห็นเทวดา เห็นพระพรหม
เห็นสัตว์อบายภูมิโดยทั่ว
แล้วพระมหาสัตว์ก็ทรงเปล่งพระสุระเสียงทำนองว่า เราเป็นเอกของโลก แล้วทรงพระดำเนิน(เดิน)ไปได้ถึง 7 ก้าว
โดยแต่ละย่างก้าวก็จะมีดอกบัวผุดขึ้นมารับถึง 7 ดอก แล้วทรงยืนสงบนิ่งอยู่ หลังจากนั้นแม่นมก็อุ้มพระกุมารมหาโพธิสัตว์ไปดูแล
ดูสถานที่ลุมพินีวันปัจจุบันเป็นดังนี้
ข้อมูล ลุมพีนีวัน ปัจจุบันเรียกว่า รุมมินเด อำเภอไพราว่า
ประเทศเนปาล ห่างจากพรมแดนอินเดียวราว
เมื่อครบเจ็ดวันพระราชกุมารมหาโพธิสัตว์ถูกขนานนามว่า เจ้าชายสิทธัทตะ และพระนางสิริมหามายาก็สวรรคต โดยมีพระนางประชาบดีโคตรมี
ซึ่งเป็นน้องของพระนางสิริมหามายามาเป็นแม่นมแทน เมื่อเจริญวัยพระชนมายุ 16
ชันษาก็ได้ราชสมรสกับพระนางยโสธรา
และเมื่อพระชนมายุ 29 พรรษา เจ้าชายสิทธัทตะ
ก็ทางเห็นมหาภูติทั้ง 4 คือ เกิด แก่
เจ็บ ตาย ในเวลาใกล้เคียงกัน และได้เห็นนักบวชโดยที่พระองค์ไม่เคยเห็นมาก่อนในช่วงเจริญวัย
เพราะทรงอยู่แต่ในพระราชวัง ทั้ง 3 หลังที่พระเจ้าสุทโธทนะ
สร้างไว้ให้ เพราะกันไม่ให้เจ้าชายสิทธัทตะออกบวช
ตามที่ฤาษีหรือนักพรตทำนายไว้ ส่วนการเห็นการเกิดนั้น
พระองค์ทรงเห็นพระราชโอรสของพระองค์เองประสูติ แล้วทรงตั้งพระนามว่า ราหุล แปลว่า
บ่วงผูกมัด แล้วเจ้าชายสิทธัทตะก็ทรงตัดสินใจทรงออกบวชในคืนนั้น ที่พระราชโอรสราหุลทรงประสูติ
โดยแอบหนีไปกับ นายฉันนะ เจ้าชายสิทธัทตะทรงม้ากันทกะไป ในก่อนรุ่งสางของคืนนั้น แต่เมื่อเดินทางออกประตูเมือง
พญามารที่เป็นราชาเทพฝ่ายมารบนสวรรค์ชั้น 6 (ปรมิน)
เข้ามาห้าม โดยบอกทำนองว่า พระองค์จะทรงออกบวชให้ทรมานกายมีแต่ความทุกข์ไปทำไม?
เพราะพระองค์จะได้เสด็จเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ในอีกเจ็ดวันเบื้องหน้า
พระมหาโพธิสัตว์ตอบไปทำนองว่า ท่านอย่าเป็นมารขว้างเราเลย เราตั้งใจอย่างมั่นคงแล้วจะออกบวชหาโมกธรรมให้สำเร็จ
ท่านจงหลีกทางไปเถิด
พญามารจึงหลีกไป พระมหาโพธิสัตว์สิทธัทตะก็เสด็จเดินทางต่อ เมื่อถึงริมแม่น้ำเจ้าชายสิทธัทตะ ทรงสละม้าพร้อมทั้งนายฉันนะ
แล้วพระองค์ทรงปลงพระเกศา และเอาเครื่องแต่งกายให้กับนายฉันนะไป ส่วนม้ากันทกะเป็นม้าทรงของเจ้าชายสิทธัทตะทั้งแต่ตัวเล็กๆ รักผูกพันกับเจ้าชายสิทธัทตะเป็นอันมาก เมื่อเห็นว่าจะต้องจาก
จากเจ้านายจึงเสียใจและตายลง ได้ไปเกิดเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์ ชื่อ โฆษณเทพบุตร
เมื่อพระโพธิสัตว์สิทธัทตะเปลี่ยนเป็นผู้ออกบวช
ก็เสด็จข้ามแม่น้ำไปอีกฝังหนึ่ง ไปทางกรุงราชคฤห์ เพื่อจะไปยังตำบลอุรุเวลา
ที่เป็นแหล่งที่มีฤาษีและนักบวชบำเพ็ญพรตอยู่ เมื่อผ่านกรุงราชคฤห์ก็ได้เจอกับพระเจ้าพิมพิสาร
ซึ่งอยู่ในวัยที่ไม่ต่างกับพระมหาโพธิสัตว์มากนัก
ก็คืออยู่ในวัยหนุ่มใหญ่(35-39 พรรษา) พระเจ้าพิมพิสารศรัทธาในปฏิปทาของพระมหาโพธิสัตว์
เมื่อได้สนทนากัน ก็ทรงตรัสบอกกับพระมหาโพธิสัตว์ทำนองว่า เมื่อพระองค์ได้บรรลุตรัสรู้ธรรมแล้ว
โปรดนำมาบอกแนะนำให้หม่อมฉัน เพื่อจะได้แจ้งเห็นธรรมนั้นด้วย
พระมหาโพธิสัตว์ทรงรับคำนั้น แล้วจากไปเพื่อแสวงหาสัจจะธรรม แล้วพระมหาโพธิสัตว์ก็ไปศึกษากับท่านอาฬารดาบส อยู่พักหนึ่ง
จนหมดความรู้ของท่านอาฬารดาบส จนได้สมาบัติ 7
แต่ก็ยังไม่บรรลุสัจจะธรรมที่แท้จริง พระบรมโพธิสัตว์ลาจากสำนักของอาฬารดาบส
แล้วพระมหาโพธิสัตว์ก็ไปศึกษากับอุทกดาบส อยู่พักหนึ่ง ก็ถึงสมาบัติ 8
ก็หมดความรู้ของอุทกดาบส แต่ก็ยังไม่บรรลุสัจจะธรรมที่แท้จริง
พระมหาโพธิสัตว์จึงลาจากสำนักอุทกดาบส
แล้วพระมหาโพธิสัตว์ก็ทรงดำริทำนองว่า คงหามีมนุษย์ผู้ใดในโลกที่บรรลุถึงสัจจะธรรมที่แท้จริง
ดังนั้นพระองค์ต้องเพียรแสวงหาด้วยกำลังของพระองค์เองตามลำพัง
และในขณะนั้นเบญจวัคคีทั้ง 5 นำโดยท่านอัญญาโกนตัญยะ
ที่ได้เคยทำนายพระมหาโพธิสัตว์ตอนประสูติกาลใหม่ๆ ทำนองว่า พระมหาโพธิสัตว์กุมารจะต้องออกบวชและจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน ได้ชักชวนกันครบ
5 ท่านเพื่อไปดูแลพระมหาโพธิสัตว์ที่ทรงแสวงหาโพธิญาณ และก็ได้มาปรนนิบัติแก่พระมหาโพธิสัตว์
ตั้งแต่นั้น
พระมหาโพธิสัตว์เมื่อได้ผ่านการศึกษามาแล้วถึง
สองสำนักและได้ปฏิบัติตามลำพังแล้วก็ยังไม่สามารถตรัสรู้สัจจะธรรมได้
จึงดำริถึงทางสุดโต่ง คือการทรมานตนให้ถึงที่สุดเพื่อการตรัสรู้สัจจะธรรม ซึ่งเบญจวัคคีทั้ง 5 ก็เห็นดีด้วย
ทั้งแต่นั้นมาพระมหาโพธิสัตว์ก็บำเพ็ญพรตแบบทรมานตนที่ละแบบๆ ลวงเลยเวลามา 5 ปี
ก็หาทรงได้ตรัสรู้สัจจะธรรม
จึงทรงตัดสินใจที่จะลดอาหารให้ถึงที่สุด
จนร่างกายของพระเหลือหนังที่หุ้มกระดู
ดังภาพตัวอย่าง
การอดอาหารทรมานของพระมหาโพธิสัตว์เป็นดังนี้ จากที่รับประทานปกติ
ในวันต่อมาก็ลดลงทีละส่วนจนใช้เวลาเป็นเดือนๆ
สุดท้ายก็ลดอาหารลงเหลือเท่าเมล็ดถั่ว
ร่างกายนั้นผ่ายผอมเหลือเพียงหนังติดกระดูกชี่โครงเห็นกระดูชี่โครงทุกชิ้น
ส่วนช่องท้องนั้นผนังท้องปุ่มเข้าไปข้างในจนเกือบติดกับกระดูสันหลัง พระองค์ทรงมึนวิงเวียนพระเกศา เป็นระยะๆ
ก็ยังไม่สามารถตรัสรู้โมกธรรมได้
เมื่อพระมหาโพธิสัตว์เอามือลูบแขนของพระองค์
ก็จะมีขนหลุดออกมาติดฝ่ามือของพระองค์
แล้วพระองค์ทรงดำริทำนองว่า
เราได้ทรมานกายมาถึง 6 ปี
และด้วยการอดอาหารนี้ก็เสมือนกับจะทำให้ชีวิตจะหาไม่
แต่ก็ยังไม่สามารถบรรลุโมกธรรมสัจจะธรรมเลย
พอดีกับขณะนั้น ก็ทรงได้ยินเสียงดีดพิณอันไพเราะ ทำเกิดมีสติสัมปัญยะและพิจารณาทำนองว่า เปรียบเสมือนดังสายพิณ
ถ้าขึงสายพิณตึงเกินไปเวลาดีดเสียงก็ไม่ไฟเราะและสายพิณก็ขาดได้ง่าย เช่นเดียวกันถ้าขึงสายพิณหย่อนเกินไปเวลาดีดก็ไม่เกิดเสียงหรือเสียงไม่ไพเราะ ดังนั้นการขึงสายพิณต้องขึงด้วยความพอดี
ไม่ตึงเกินไปและหย่อนเกินไปก็สามารถดีดได้เสียงที่ไพเราะ เช่นเดียวกับกับการแสวงหาโมกธรรม ก็ควรจะดำเนินการปฏิบัติด้วยทางสายกลาง
หรือมัฌชิมาปฏิปทา จึงจะแสวงหาโมกธรรมได้โดยง่าย
เมื่อพระมหาโพธิสัตว์พิจารณาได้ดังนี้
พระองค์ก็ทรงเสวยอาหารเพิ่มขึ้นตามลำดับ เพื่อให้ร่างกายฟื้นสมบูรณ์ขึ้น
เมื่อร่างกายพอสมบูรณ์ขึ้น
ฝ่ายเบญจวัคคีทั้ง 5 เมื่อเห็นเจ้าชายสิทธัทตะ ล้มเลิกในการทรมานตนในการแสวงหาโมกธรรม ก็คิดไปว่าเจ้าชายสิทธัทตะจะทรงยกเลิกในการแสวงหาโมกธรรม และเลิกการออกบวช
เพื่อกลับไปครองราชย์สมบัติแน่
จึงได้ลาและหลีกจากเจ้าชายสิทธัทตะไป
ปล่อยให้พระองค์อยู่เพียงผู้เดียวตามลำพัง
เรื่องต่อไปก็จะเป็นเรื่องที่พระบรมโพธิสัตว์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งได้มีลิงค์อยู่แล้วในหน้าหลักของเว็บ เล่าเรื่องพระพุทธเจ้า
ซึ่งเป็นเหตุการณ์ต่อจากเนื้อเรื่องที่กล่าวด้านบน
ดูสถานที่พระบรมโพธิสัตว์ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าที่ต้นมหาโพธิ์ ในสภาพปัจจุบันดังนี้...