ภาคพิเศษ พระอภัยเถระและการทิ้งไปบวช                                                                      กลับหน้าแรก 
 
 
 
 เนื้อความ : 
                     ความจริงกระทู้นี้เป็นกระทู้ที่ต่อจากกระทู้ที่แล้ว แต่เห็นว่าเรื่องไม่ 
สัมพันกันเท่าไร จึงตั้งกระทู้ใหม่ ให้เจริญในธรรมกันเล่นๆ  (เรื่องทิ้งและถูกทิ้งนี้ 
มันเศร้า แต่ก็มีอะไรแฝ่งอยู่เยอะลองอ่านดู ในเรื่องตอนท้ายคงจะเข้าใจ) 
>>>> ขอเล่าภูมิหลังของท่านอภัยราชกุมาร เล็กน้อยก่อน ท่านอภัยราชกุมารเป็น 
ราชโอรสองค์หนึ่งของพระเจ้าพิมพิสาร และอภัยราชกุมารเป็นนายทหารรถ 
มีคู่ครองแล้วมีราชโอรสหรือราชธิดา ที่ยังเล็กมาก ตามที่กล่าวไว้ตอนก่อน และตอน 
ที่ผ่านมาเมื่อ อภัยราชกุมารทรงบุกป่าขึ้นภูเขาคิชฌกูฏ  เพื่อสนทนาธรรมที่สงสัยกับ 
พระพุทธเจ้า จนได้รับความกระจ่าง และได้บรรลุเป็นพระโสดาบันบุคคล หลังจากนั้น 
ได้ขอบวชกับพระพุทธเจ้า ทิ้งบุตรที่ยังเล็กทิ้งคู่ครองทิ้งสมบัติต่างๆ ทั้งอำนาจ ยศ 
และสรรเสริญ  ชั่งเป็นคนใจดำจริงทิ้งได้ลงคอนะ! ไม่สงสารลูกเมียและไม่เสียดายทรัพย์เลย 
        แต่ถ้ามองอย่างผู้มีปัญญา เห็นสัจจะธรรมอยู่ข้างหน้าและเอื้อมถึงแล้ว การทิ้งครั้งนี้คงเป็น 
การทิ้งครั้งสุดท้าย เพราะถ้าไม่ทิ้ง ก็ต้องทิ้งกันเองในที่สุดเพราะการพลัดพลาดหรือตายจาก 
และจะต้องถูกทิ้งอย่างนี้อีกหลายครั้ง  และการทิ้งนี้ก็หาทำให้ลูกเมียต้องลำบากในเรื่อง 
ทรัพย์สินเงินทอง เพราะมีมากอยู่แล้ว (การทิ้งลูกที่เพิ่งคลอดและเมีย เพื่อบวชพระ ผมมีเรื่อง 
จริงปัจจุบันเล่าให้ฟังหลังจากตอนนี้ ) 
        หลังจากท่านอภัยบวชแล้วไม่นานท่านออกไปวิเวก ปฏิบัติธรรมอย่างเด็ดเดี่ยว 
ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง และเป็นพระมหาสาวก 
    พระมหาสาวกต่างกับพระอเสติตรงที่  พระอเสติเป็นมหาสาวกที่พระพุทธเจ้า 
ทรงแต่งตั้งเป็นเอคทัคคะยอดเยี่ยมด้านไดด้านหนึ่งโดยเฉพาะ  ต่อไปผมจะยกคำ 
ปทานของพระอภัยเถระมาแสดง <<<< 
                               อภยเถราปทานที่ ๗ 
                   ว่าด้วยบุพจริยาของพระอภยเถระ 
      [๑๓๗] ในกัปที่แสนแต่ภัทรกัปนี้ พระพิชิตมารผู้รู้จบธรรมทั้งปวง เป็นพระ 
            ผู้นำ พระนามว่าปทุมุตระ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว พระตถาคตเจ้ายัง 
            บุคคลบางพวกให้ตั้งอยู่ในสรณคมน์ ยังบุคคลบางพวกให้ตั้งอยู่ใน 
            ศีล คือ กุศลกรรมบถ ๑๐ อันอุดม พระธีรเจ้าพระองค์นั้น ทรง 
            ประทานสามัญผลอันอุดมแก่บุคคลบางคน ทรงหลั่งสมาบัติ ๘ 
            และวิชา ๓ แก่บุคคลบางคน พระโลกนาถผู้อุดมกว่านรชนพระองค์ 
            นั้น ทรงประกอบสัตว์บางพวกไว้ในอภิญญา ทรงประทาน 
            ปฏิสัมภิทา ๔ แก่บุคคลบางคน พระผู้เป็นสารถีฝึกนระ ทรงเห็น 
            ประชาสัตว์ที่ควรจะนำไปให้ตรัสรู้ได้ แม้ในสถานที่นับโยชน์ไม่ 
            ถ้วน ก็รีบเสด็จไปทรงแนะนำ ครั้งนั้น เราเป็นบุตรของพราหมณ์ 
            ในพระนครหงสวดี เป็นผู้เรียนจบทุกเวท เข้าใจไวยากรณ์ ฉลาด 
            ในนิรุติ แกล้วกล้าในคัมภีร์นิฆัณฑุ เข้าใจตัวบท รู้ชัดในคัมภีร์ 
            เกฏุภะ ฉลาดในฉันท์และกาพย์กลอน เมื่อเที่ยวเดินพักผ่อน ได้ 
            ไปถึงพระวิหารหังสาราม ได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด อัน 
            มหาชนแวดล้อม เรามีมติเป็นข้าศึกเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ปราศจาก 
            กิเลสธุลี ซึ่งกำลังทรงแสดงธรรม ได้สดับพระดำรัสของพระองค์อัน 
            ปราศจากมลทิน ไม่ได้พบเห็นพระดำรัสที่ไร้ประโยชน์ของพระมุนี 
            นั้น คือ คำที่ชักมาผิด คำที่ต้องกล่าวซ้ำ หรือคำที่ไม่ถูกทาง 
            เพราะฉะนั้น เราจึงได้บวช โดยเวลาไม่นานเลย เราก็เป็นผู้แกล้ว 
            กล้าในธรรมทุกอย่าง ได้รับสมมติให้เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ ใน 
            พระพุทธพจน์อันละเอียด ครั้งนั้น เราได้กรองคาถา ๔ คาถา ซึ่งมี 
            พยัญชนะสละสลวย ชมเชยพระพุทธเจ้าเป็นผู้ปราศจากความ 
            กำหนัด มีความเพียรมาก ทรงอยู่ในสงสารที่มีภัย ไม่เสด็จนิพพาน 
            ก็เพราะพระกรุณา ฉะนั้น พระมุนีเจ้าจึงชื่อว่าทรงประกอบด้วย 
            พระกรุณา เพราะเหตุนั้น สัตว์ที่เป็นปุถุชนแต่ไม่ตกอยู่ในอำนาจ 
            กิเลส มีสัมปชัญญะ ประกอบด้วยสติ บุคคลไม่ควรจะคิด กิเลส 
            ที่มีกำลังทุรพล อันนอนเนื่องอยู่ในสันดานของเรา ถูกเผาด้วยไฟ 
            คือญาณแล้วไม่สิ้นไป ข้อนั้นไม่เคยมีเลย ผู้ใดเป็นที่เคารพของ 
            โลกทั้งปวง เป็นผู้เลิศลอยในโลก และเป็นอาจารย์ของโลก โลก 
            ย่อมอนุวัตรตามผู้นั้น เราประกาศพระธรรมเทศนาสดุดีพระสัมพุทธ- 
            เจ้า ด้วยคาถามีอาทิดังกล่าวมาตราบเท่าสิ้นชีวิต จุติจากอัตภาพนั้น 
            แล้วได้ไปสวรรค์ ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ เรากล่าวสดุดีพระพุทธเจ้าใด 
            เพราะการกล่าวสดุดีนั้น เราไม่รู้สึกทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการกล่าว 
            สดุดี ครั้งนั้น เราได้เสวยราชสมบัติใหญ่อันเป็นทิพย์ในเทวโลก ได้ 
            เสวยราชสมบัติใหญ่ของพระเจ้าจักรพรรดิก็มากครั้ง เราเกิดแต่ใน 
            สองภพ คือ ในเทวดาและมนุษย์ คติอื่นไม่รู้จัก นี้เป็นผลแห่งการ 
            กล่าวสดุดี เราเกิดแต่ในสองตระกูล คือ สกุลกษัตริย์และสกุล 
            พราหมณ์ หาเกิดในสกุลที่ต่ำทรามไม่ นี้เป็นผลแห่งการกล่าวสดุดี 
            ก็ในภพสุดท้าย ในบัดนี้ เราเป็นโอรสของพระเจ้าพิมพิสารในพระ- 
            นครราชคฤห์อันอุดม มีนามว่าอภัย เราไปสู่อำนาจของปาปมิตร 
            สมาคมกับนิครนถ์ อันนิครนถ์นาฏบุตรส่งไป จึงได้เฝ้าพระพุทธเจ้า 
            ผู้ประเสริฐสุด เราทูลถามปัญหาอันละเอียดสุขุม ได้สดับการ 
            พยากรณ์อย่างสูงแล้วจึงบวช ไม่นานก็ได้บรรลุอรหัต เราเป็น 
            ผู้กล่าวสดุดีพระชินวรเจ้าทุกเมื่อ เพราะกรรมนั้น เราจึงเป็นผู้มี 
            ร่างกายและปากมีกลิ่นหอม เป็นผู้เพรียบพร้อมด้วยความสุข เพราะ 
            กรรมนั้นส่งผลให้ เราจึงเป็นคนมีปัญญากล้า มีปัญญาร่าเริง มี 
            ปัญญาเบา มีปัญญามาก และปฏิภาณอันวิจิตร. 
                เราเป็นผู้มีจิตเลื่อมใส กล่าวสดุดีพระสยัมภูผู้ไม่มีใคร 
                เสมอเหมือน พระนามว่าปทุมุตระ เพราะผลของกรรม 
                นั้น เราจึงไม่ไปอบายภูมิถึงแสนกัป. 
            เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้วดังนี้ 
      ทราบว่า ท่านพระอภยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล. 
>>>>ท่านพระอภยเถระ ท่านอาวสานจากรูปนามนี้ได้อย่างสมบูรณ์มาก 
และสะอาดบริสุทธิ์<<<<  

        ผมจะเล่าเรื่องผู้ที่ทิ้งลูกที่เพิ่งคลอดไม่ถึงเดือนและเมีย ไปบวชพระแล้วนะ 
เรื่องที่ผมเล่านี้ไม่ใช่เพื่อส่งเสริม และไม่ใช่เป็นการดูแคลนหรือซ้ำเติมฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง 
แต่ยกมาเพื่อให้รับทราบตามที่ผมทราบมา ดังนี้ 
         เมื่อ ปี 2537-2538 ผมต้องไปจังหวัดกระบี่บ่อย เกือบทุกเดือน และที่กระบี่นั้น 
มีสำนักปฏิบัติธรรม คือที่วัดถ้ำเสือ มีพระและชีพร้อมทั้งอุบาสก อุบาสิกา ปฏิบัติธรรมกัน 
พอประมาณ มีพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งบวชพระที่วัดนี้  และตั้งใจปฏิบัติกรรมฐานอย่าง 
เต็มกำลัง มีหน้าที่ค่อยแนะนำให้กับผู้ปฏิบัติใหม่ รวมทั้งอุบาสก อุบาสิกา  ได้มีเด็ก 
นักศึกษาหญิงจากจังหวัดสุราษฏร์ธานี มาปฏิบัติธรรมที่วัดถ้ำเสือช่วงปิดภาคเรียน 
มีนักศึกษาสาวคนหนึ่งหน้าตาดีผิวขาว (ผมได้เห็นและได้สนทนามาแล้ว ไม่ขี้เหร่หรอก) 
เป็นลูกของผู้ที่พอมีฐานะ เกิดนึกรักหลวงพี่เข้า ปัญหาการนึกรักนั้นคงไม่ร้ายแรงอะไรมาก 
เพราะใครๆ ก็นึกรักนึกชอบกันได้เป็นเรื่องปกติของคน 
        เมื่อสิ้นสุดช่วงเวลาของการปฏิบัติธรรม  หลังจากนั้นนักศึกษาสาวก็กลับจังหวัด 
ของตนเอง  แต่ใจนั้นได้ทิ้งไว้ที่วัดถ้ำเสือเสียแล้ว จึงหาโอกาสมาปฏิบัติธรรมเป็นชี 
พราหมณ์ที่วัดถ้ำเสือบ่อย จึงได้สนิทสนมกับหลวงพี่ ความรักของหญิงสาวกับพระหนุ่ม 
ก็สุกงอม และต่างก็มิได้ทำผิดศีลร้ายแรงอะไร ทั้งสองจึงตกลงแต่งงานกัน 
        พระหนุ่มก็ศึกออกมาเป็นทิดหนุ่ม พ่อแม่ฝ่ายหญิงสาวก็ไม่ว่าอะไร จึงได้แต่งงาน 
กันสมความปรารถนา 
        เรื่องนี้น่าจะจบอย่างมีความสุข แต่ใครจะไปรู้ละว่า ความปรารถนารุนแรงอันลึกๆ 
ของทิดหนุ่ม ที่ยังเป็นหนุ่มไฟแรงคือการบวชและปฏิบัติธรรมให้ถึงที่สุด 
        โอ้กิเลสกลบกิเลสชั่งร้ายนัก  แต่งงานกันไม่ทันถึงปี งานการของทิดหนุ่มก็ยังไม่เข้า 
ที่เข้าทาง งานการอะไรก็ไม่ถูกใจไปเสียหมดเพราะได้สร้างอุปนิสัยในการบวชมา 
หลายปีแล้ว  ภรรยาเริ่มตั้งครรภ ทิดหนุ่มกลับเห็นว่าสิ่งเหล่านี้คือความทุกข์  ตนเอง 
ไม่สามารถดำรงชีวิตแบบฆารวาสได้ 
        จากที่เคยมีความรักก่อจนความสุขงอม กลายเป็นความรักกัดให้กลายเป็นหนอง 
ระบมในจิตใจให้ต้องทุกข์เสียเหลือเกิน 
        (ผมก็เป็นคล้ายเช่นนี้มาก่อน อยากหนีบวชอยู่หลายครั้งหลายครา ย่อมมีความเข้าใจ 
ตรงนี้ดี  แต่ต้องทนอยู่ไปอย่างนั้นจนชินชา และปรับตัวใหม่เหมือนจิ่งจกปรับสีตนเอง 
ไปเสียแล้ว ความร้อนลุ่มจึงหมดไป) 
    กล่าวถึงทิดหนุ่มคนนี้ เห็นทุกอย่างในเพศฆารวาส เป็นทุกข์โทษขัดหูขัดตาไปเสียหมด 
จิตใจก็น้อมที่จะไปบวชให้ได้ 
    จึงตัดสินใจบวชพระอีกครั้ง ทิ้งภรรยาที่คลอดลูกได้ เพียงไม่กี่วัน กลับไปบวชที่วัดถ้ำเสือ 
และปฏิบัติธรรมอย่างเดิม 
    ฝ่ายภรรยาเก่า (ต้องใช้คำว่าภรรยาเก่า เพราะท่านบวชพระแล้วตัดขาดจากทางโลก) 
ด้วยความรักและผูกพันต้องหอบลูกอายุประมาณ 1 เดือน ติดตามบวชชีพราหมณ์ตามสามี 
    โดยได้พักที่กุฏิของฝ่ายชี เลี้ยงลูกไป และทำกิจกรรมภายในวัดไปตามฐานะ 
นี้และละครแห่งชีวิตเรื่องหนึ่ง 
    ผมได้จากวัดถ้ำเสือมาเป็นเวลา 5 ปีแล้วไม่รู้ว่าละครชีวิตของทั้ง 3 เป็นอย่างไร แต่รู้ว่าละคร 
ชีวิตของผมยังดำเนินไปเรื่อยๆ จนกว่าจะอาวสาน 
         นี้และหนอ ความสุข ความร่าเริง ความตื่นเต้น ความเร้าใจ การหัวเราะ รวมทั้ง ความทุกข์ 
ความโศก ความเศร้าใจ ความพลัดพราก การร้องให้ การคร่ำครวญ ย่อมอยู่คู่กับโลกและรูปนามนี้ 
มาตลอด ผู้ที่สละโลกและดับรูปนาม สูญจากกิเลส ย่อมสงบหลุดพ้น ถึงความสันติอันไม่กลับคืน

 จากคุณ : Vicha [ 24 พ.ย. 2543 / 19:53:14 น. ]  
     [ IP Address : 203.151.36.3 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 1 : (วิลาศินี) 
ขอบคุณค่ะ ที่นำมาเล่าให้ฟัง :)  
ภาระ บ่วง ห่วง มาร เชื้อกิเลส คำเหล่านี้ตกอยู่กับสตรีเพศมานานเหลือเกินค่ะ  
ถ้าไม่ตกปากรับคำทำเรื่องอื่นก่อนหน้านี้ คงจะเอาเรื่องพระนางมัทรีและพระนางพิมพามาแก้ต่างให้ได้ ถ้าไม่มีผู้รู้ท่านอื่นมาช่วยเล่าก็ขอผลัดเป็นโอกาสหน้าก็แล้วกันค่ะ
 จากคุณ : วิลาศินี [ 24 พ.ย. 2543 / 20:42:09 น. ]  
     [ IP Address : 203.146.170.166 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 2 : (ดังตฤณ) 
สมัยปัจจุบันก็มีได้ยินเยอะครับ 
ที่นักปฏิบัติหญิงบ่นว่าอยากบวชชี 
แต่ติดสามีคนเดียว หรือทั้งสามีทั้งลูก หรือบางทีก็พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ฯลฯ 
สรุปคือบ่วงนั้นไม่จำกัดเพศ ขึ้นอยู่กับว่าเพศไหนอยากใช้ชีวิตสันโดษก่อน 
อีกฝ่าย ซึ่งหนักไปทางเพศตรงข้ามร่วมชายคา ก็ถือว่าเป็นบ่วงได้เมื่อนั้น 

และปัจจุบันเช่นกัน ก็ยังมีอยู่ครับ 
เท่าที่พบเห็นกับตาก็ไม่ต่ำกว่าสองคู่ขึ้นไป 
ที่บำเพ็ญภาวนามาด้วยกัน เมื่อล่วงสู่วัยกลางคนก็ต่างคนต่างยินดีในการถือบวช 
ไม่อาลัยกัน ส่งเสริมกันสละละวางบ้านเรือน 
เรียกว่ากอดคอร่วมทุกข์ร่วมสุขทางโลกจนพอแล้ว 
ก็กอดคอไปนิพพานด้วยกันเป็นลำดับต่อไป

 จากคุณ : ดังตฤณ [ 24 พ.ย. 2543 / 22:42:27 น. ]  
     [ IP Address : 203.155.130.71 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 3 : (yoyo) 
ภาระ บ่วง ห่วง มาร เชื้อกิเลส  
คือ สิ่งที่ คนสะบัดไม่หลุด ครับ  
รำคาญเหมือน มีหมากฝรั่งมาติดที่หน้า แต่สะบัดไม่หลุด  
ผมว่าบ่วงไม่มีหรอกครับ  
มีแต่ใจที่รู้สึกว่านั่นเป็นบ่วง   และนี่เป็นบ่วง  
 
 
 จากคุณ : yoyo [ 24 พ.ย. 2543 / 23:00:59 น. ]  
     [ IP Address : 203.144.198.54 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 4 : (พีทีคุง) 
ทางออกจาก วัฏฏฯ ยากจริงหนอ
 จากคุณ : พีทีคุง [ 25 พ.ย. 2543 / 01:39:30 น. ]  
     [ IP Address : 203.148.182.107 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 5 : (วิลาศินี) 
:) ขอบคุณพี่ดังตฤณที่ชี้แนะค่ะ มองโลกแคบไปจริงๆ
 จากคุณ : วิลาศินี [ 25 พ.ย. 2543 / 10:37:56 น. ]  
     [ IP Address : 203.146.170.166 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 6 : (หนู) 
อยากทราบว่า การทิ้งลูกเมีย/พ่อแม่ (หรือคนที่ต้องพึ่งพิงเรา) ไปบวช ถือเป็นการไม่มีความรับผิดชอบหรือเปล่าคะ คิดว่าหลายๆคนที่ติดบ่วงอยู่ ส่วนใหญ่อาจจะติดบ่วงของความรู้สึกรับผิดชอบน่ะค่ะ
 จากคุณ : หนู [ 27 พ.ย. 2543 / 10:11:04 น. ]  
     [ IP Address : 144.9.158.87 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 7 : (Vicha) 
คุณหนู ครับ เรื่องการทิ้งลูกเมีย หรือสามี ลูก ไปบวชเป็นกรณีเฉพาะบุคคลครับ  หาได้เป็นอย่างนี้ทุกคน  
เป็นบ่วงแห่งกรรม ทุกอย่างที่ปรากฏขึ้นย่อมเป็นไปตามเหตุและปัจจัย ของแต่ละบุคคล ที่สัมพันธ์กันอยู่  
ผมนำเรื่องเล่าย่อๆ ของพระสหายของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ในสมัยของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน  
พระกัสสปะพุทธเจ้า ซึ่งเป็นช่างหม้อ มีอาชีพทำหม้อขาย เลี้ยงชีพ และเลี้ยงมารดาที่ตาบอด  
ได้บรรลุธรรมเป็นพระอนาคามี ก็ยังไม่สามารถบวชได้ ถึงใจนั้นประสงค์จะบวช  
เพราะต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูมารดา  จนกระทั้งมารดาตาจึงจะได้บวช  
เมือบวชแล้วก็หาได้บรรลุธรรมอะไรเพิ่มขึ้น  
เมื่อสิ้นชีวิตก็ไปเกิดเป็นพระพรหมชั้นสุทธาวาส(อนาคามีพรหม)  
และได้มาสนทนากับพระพูทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ตามที่มีในพระไตรปิฏก  

ผมสรุปได้ว่า คำว่า บ่วงในสมัยนี้ คือไม่ย่อมสละเวลา เพื่อปฏิบัติธรรมเสียมากกว่า หลงเพลินกับกิเลส  
ถ้าไม่หลงเพลินในกิเลส ปฏิบัติธรรมไปเรื่อยๆ ก็สามารถหาโอกาศบวชโดยที่ทุกฝ่ายยอมรับได้  
เพราะทำหน้าที่ของตนเองต่อผู้อื่นได้สมบูรณ์แล้ว 

 จากคุณ : Vicha [ 27 พ.ย. 2543 / 20:26:55 น. ]  
     [ IP Address : 203.151.36.3 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 8 : (listener) 
ขอบคุณครับ 
เห็นด้วยกับย่อหน้าสุดท้ายอย่างยิ่ง
 จากคุณ : listener [ 28 พ.ย. 2543 / 08:53:56 น. ]  
     [ IP Address : 202.183.197.9 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 9 : (หนู) 
อืมม์ ท่าจะจริงค่ะ เห็นด้วยเหมือนกันค่ะ  
บางทีที่ยังไม่คิดจะบวชจริงๆ นอกจากบ่วงความรับผิดชอบแล้ว 
ก็คงจะเป็นบ่วงติดความเพลินในกิเลสและกามคุณทั้งหลายอยู่  
ขอบคุณมากค่ะ คุณ Vicha
 จากคุณ : หนู [ 28 พ.ย. 2543 / 11:40:55 น. ]  
     [ IP Address : 144.9.158.87 ] 
 
 


                                                                                                              กลับหน้าแรก