เล่าเรื่องพระโกกาลิกภิกษุ
ตอนเป็นฆารวาสนั้นท่านโกกาลิกเป็นบุตรชาย ของคหบดีมีทรัพย์ของตำบลหนึ่ง
บิดาของท่านโกกาลิกศรัทธาในพระพุทธศาสนา จึงได้ถวายที่ดินและสร้างวัดถวายพระพุทธองค์
เมื่อท่านโกกาลิกโตเป็นหนุ่ม มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา
จึงขออนุญาติบิดาบวชพระ
โดยมีพระตุทุภิกษุเป็นอาจารย์ เมื่อเวลาผ่านมาพระตุทุภิกษุก็มรณะภาพ
ท่านพระโกกาลิกก็ได้เป็นเจ้าอาวาสปกครองวัดที่บิดาสร้างไว้
ก่อนเข้าพรรษาของปีหนึ่ง
ท่านพระโกกาลิก ก็จิตนาการไปว่า ในพรรษาที่จะถึงนี้ต้องการให้ชาวบ้านได้มาทำบุญที่วัดตนเยอะ
จึงได้ไปนิมนตร์ พระสารีบุตรและพระโมคคัลลา ให้มาจำพรรษาที่วัดของตน
พระสารีบุตรและพระโมคคัลลาก็รับคำที่จะจำพรรษาทีวัดของพระโกกาลิก
โดยหาได้คิดอะไรไม่
เมื่อพระสารีบุตรและพระโมคคัลลาได้มาจำพรรษาที่วัด พระโกกาลิกเกิดมีความคิดละโมบขึ้นมาว่า
"ในเมื่อพระอัครสาวกเบื้องขวาและอัครสาวกเบื้องซ้าย
มาจำพรรษาที่วัดเรา เป็นลาภของเราแท้
เราจะป่าวประกาศให้ชาวบ้านทั้งตำบลทราบว่า พระสารีบุตรและพระโมคคัลลา
มาจำพรรษาที่วัดของเรา
เพื่อให้ชาวบ้านมาทำบุญถวายเครื่องใช้ต่างๆ
เราก็จะได้ใช้ในวัดได้เต็มที่
เนื่องจากท่านพระสารีบุตรและพระโมคคัลลาเป็นพระอรหันต์
คงยกปัจจัยเครื่องไทยทานให้กับวัดเราแน่"
ด้วยจิตอันไม่บริสุทธิ์ พระโกกาลิก ประกาศให้ ชาวบ้านทราบ
ก็ทำให้ชาวบ้านชาวเมืองที่มีความศรัทธาต่อพระอัครสาวก
มาทำบุญถวายเครื่องใช้ไม่ขาด ตลอดทั้งพรรษา
ของที่ชาวบ้านถวายนั้นมากมายกองเป็นพะเนินเท่าเนินเขาย่อม
ๆ ลูกหนึ่ง
นี้เป็นความศรัทธาของชาวพุทธที่เป็นมาแล้วตั้งแต่พุทธกาล
เมื่อถึงวันออกพรรษา พระโมคคัลลาและสารีบุตร ได้ตรวจดูทางจิตว่า
บุญที่ชาวบ้านถวายทานจะมีความสมบูรณ์ไหมหนอ ! ก็ทราบได้ทันที่ว่า
เจตนาการได้มาซึ่งทานของพระโกกาลิกนั้นไม่บริสุทธิ์
เพราะจะเก็บไว้แต่เพียงผู้เดียว
ย่อมทำให้บุญกุศลของทายกไม่สมบูรณ์เต็มที่
แล้วจะทำอย่างไรหนอให้บุญกุศลของทายกสมบูรณ์
ก็ทราบได้ทันที่ว่า ต้องเอาทานที่ทายกถวายไปแจกจ่ายกับวัดและพระที่ขัดสน
ดังนั้นเมื่อออกพรรษา พระโมคคัลลานะและพระสารีบุตร
ก็สั่งให้พระเณรขนเครื่องปัจจัยทานทั้งหลาย ติดตามท่านไปด้วย
เพื่อแจกจ่ายกับวัดรายทาง
พระโกกาลิกพอทราบก็พูดอะไรไม่ออก มีความโกรธขัดเคืองในจิตใจเป็นอย่างมากว่า
"พระสารีบุตรและพระโมคคัลลายังติดและห่วงอยู่ในลาภและมีความตระหนี่ในลาภ
แทนที่จะยกทานทั้งหลายให้กับเรา พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะมีความปรารถนาลามก
เราจะต้องนำความไปกราบทูลพระพุทธเจ้า"
หมายเหตุ เนื้อเรื่องข้างบนนั้นจำมาจากพระอรรถาจารย์ขยายไว้เลยแต่งเติมต่อ
พระโกกาลิกก็มุ่งหน้าไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ดังใน สาวัตถีนิทาน ในพระไตรปิฏกเล่ม
15
พระสูตรเล่มที่ 7 ความว่า
ครั้งนั้นแล พระโกกาลิกภิกษุเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ครั้นแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วนั่ง ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
พระโกกาลิกภิกษุนั่ง
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้กราบทูลคำนี้
กะพระผู้มีพระภาคว่า
"พระเจ้าข้า พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะมีความปรารถนาลามก
ไปแล้วสู่อำนาจแห่งความปรารถนาอันลามก" ฯ
[๕๙๙] เมื่อพระโกกาลิกภิกษุกล่าวเช่นนี้แล้ว
พระผู้มีพระภาคได้ตรัส
คำนี้กะพระโกกาลิกภิกษุว่า
"โกกาลิก ก็เธออย่าได้กล่าวเช่นนี้
โกกาลิก ก็เธออย่าได้กล่าวเช่นนี้
โกกาลิก เธอจงทำจิตให้เลื่อมใสในภิกษุชื่อว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะ
ภิกษุชื่อ
ว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะเป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก"
ฯ
แม้ครั้งที่สองแล พระโกกาลิกภิกษุก็ได้กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า
"พระเจ้าข้า บุคคลผู้มีวาจาควรเชื่อได้ควรไว้ใจได้ของข้าพระองค์
จะมีอยู่ก็จริง ถึงเช่นนั้นแล พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะก็ยังเป็นผู้ปรารถนา
ลามก ไปแล้วสู่อำนาจแห่งความปรารถนาลามก ฯ
แม้ครั้งที่สองแล
พระผู้มีพระภาคก็ได้ตรัสคำนี้กะพระโกกาลิกภิกษุว่า
"โกกาลิก ก็เธออย่าได้กล่าวเช่นนี้ โกกาลิก ก็เธออย่าได้กล่าวเช่นนี้
โกกาลิก เธอจงทำจิตให้เลื่อมใสในภิกษุชื่อว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะ
ภิกษุ
ชื่อว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะเป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก
ฯ
แม้ครั้งที่สามแล พระโกกาลิกภิกษุก็ทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า
"ฯลฯ ไปแล้วสู่อำนาจแห่งความปรารถนาอันลามก"
ฯ
แม้ครั้งที่สามแล พระผู้มีพระภาคก็ตรัสคำนี้กะพระโกกาลิกภิกษุว่า
"ฯลฯ ภิกษุชื่อว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะเป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก
ฯ
[๖๐๐] ลำดับนั้นแล พระโกกาลิกภิกษุลุกจากอาสนะถวายอภิวาท
พระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณหลีกไปแล้ว ฯ
ก็เมื่อพระโกกาลิกภิกษุหลีกไปแล้วไม่นาน ต่อมทั้งหลายขนาดเมล็ด
พรรณผักกาดได้ผุดขึ้นทั่วกายของเธอ ต่อมเหล่านั้นได้โตขึ้นเป็นขนาดถั่วเขียว
แล้วก็โตขึ้นเป็นขนาดถั่วดำ แล้วก็โตขึ้นเป็นขนาดเมล็ดพุดซา
แล้วก็โตขึ้นเป็น
ขนาดลูกพุดซา แล้วก็โตขึ้นเป็นขนาดผลมะขามป้อม
แล้วก็โตขึ้นเป็นขนาด
ผลมะตูมอ่อน แล้วก็โตขึ้นเป็นขนาดผลมะตูม ต่อจากนั้นก็แตกทั่ว
แล้วหนอง
และเลือดหลั่งไหลออกแล้ว ฯ
**** จบข้อความในพระไตรปิฏกส่วนหนึ่ง*****
มากล่าวถึง พระตุทุซึ่งเป็นอาจารย์ที่มรณะภาพไปเกิดเป็นพระพรหมสุทธาวาสพรหม
เป็นถึงพระอนาคามีในพระพุทธศาสนา ด้วยความอาทรต่อลูกศิษย์
เห็นลูกศิษย์เห็นผิดอย่างแรงกล้า
ถ้าไม่คลายทิฐินั้นจะต้องตกนรกเป็นแน่แท้
จำต้องไปอนุเคราะห์ต่อศิษย์ในกาลนี้
ดังมีเนื้อความในพระไตรปิฏก ที่ยกมา
ก็โดยสมัยนั้นแล พระโกกาลิกภิกษุ เป็นผู้อาพาธ ถึงความลำบาก
เป็นไข้หนัก ฯ
ครั้งนั้นแล ตุทุปัจเจกพรหม เมื่อราตรีปฐมยามล่วงไปแล้วมีรัศมี
อันงามยิ่งนัก ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่าง
เข้าไปหาพระโกกาลิกภิกษุจนถึง
ที่อยู่ ครั้นแล้วได้ยืนในเวหาส กล่าวคำนี้กะพระโกกาลิกภิกษุว่า
"ข้าแต่ท่านโกกาลิก ท่านจงทำจิตให้เลื่อมใสในพระสารีบุตรและ
พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ เป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก"
ฯ
พระโกกาลิกภิกษุถามว่า
"ผู้มีอายุ ท่านเป็นใคร" ฯ
ตุทุปัจเจกพรหมตอบว่า
"เราคือตุทุปัจเจกพรหม" ฯ
พระโกกาลิกภิกษุกล่าวว่า
"ผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคได้ทรงพยากรณ์ท่าน
แล้วว่าเป็นพระอนาคามี มิใช่หรือ ไฉนเล่า ท่านจึงยังมาเที่ยวอยู่ในที่นี้
จงเห็น
เถิดว่า ก็นี่เป็นความผิดของท่านเพียงไร ฯ
[๕๙๗] ตุทุปัจเจกพรหมได้กล่าวว่า
ชนพาลเมื่อกล่าวคำเป็นทุพภาษิต ชื่อว่าย่อมตัดตนด้วย
ศัสตราใด ก็ศัสตรานั้นย่อมเกิดในปากของบุรุษผู้เกิดแล้ว ฯ
ผู้ใดสรรเสริญผู้ที่ควรถูกติ หรือติผู้ที่ควรได้รับความสรรเสริญ
ผู้นั้นชื่อว่าสั่งสมโทษด้วยปาก เพราะโทษนั้น เขาย่อมไม่
ประสบความสุข ฯ
ความปราชัยด้วยทรัพย์ ในเพราะการพนันทั้งหลาย พร้อม
ด้วยสิ่งของของตนทั้งหมดก็ดี พร้อมด้วยตนก็ดี ก็เป็นโทษ
เพียงเล็กน้อย ฯ
บุคคลใดทำใจให้ประทุษร้ายในท่านผู้ปฏิบัติดีทั้งหลาย ความ
ประทุษร้ายแห่งใจของบุคคลนั้นเป็นโทษใหญ่กว่า ฯ
บุคคลตั้งวาจาและใจอันลามกไว้ เป็นผู้มักติเตียนพระอริยเจ้า
ย่อมเข้าถึงนรก ซึ่งมีปริมาณแห่งอายุถึงแสนสามสิบหก
นิรัพพุท กัปห้าอัพพุท ๑- ฯ
******จบ
ทุติยโกกาลิกสูตรที่ ๑๐ *****
เพราะก่อนหน้านี้พระพุทธเจ้าตรัสเตือน
ถึง 3 ครั้งก็หาฟังไม่
ครั้งนี้แม้แต่ผู้ที่เป็นสุทธาวาสพรหมมาปรากฏให้เห็น
และกล่าวเตือน เพราะมีความกรุณา
แต่พระโกกาลิกหาได้ฟังไม่แถมย้อนกลับเสียอีกว่า
"พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
พระพรหมอนาคามีจะไม่กลับมายังโลกมนุษย์อีก
แต่ท่านกลับมาเทียวยังโลกมนุษย์นี้เป็นความผิดของท่าน"
นับว่าพระโกกาลิกมีทิฐิแรงกล้ามาก
หลังจากนั้นต่อมาด้วยทิฐินั้นอันไม่ยอมคลาย ก็เป็นไปตามข้อความที่เหลือ
****** เริ่มในพระสูตร*****
ครั้งนั้นแล พระโกกาลิกภิกษุได้กระทำกาละแล้ว เพราะอาพาธอันนั้น
เอง ครั้นกระทำกาละแล้วก็เข้าถึงปทุมนรก ๑- เพราะจิตอาฆาตในพระสารีบุตร
และพระโมคคัลลานะ ฯ
[๖๐๑] ครั้งนั้นแล ท้าวสหัมบดีพรหม
เมื่อราตรีปฐมยามล่วงแล้ว
มีรัศมีงามยิ่งนัก ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่
ประทับ ครั้นแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วได้ยืนอยู่
ณ ที่ควรส่วน
ข้างหนึ่ง ฯ
ท้าวสหัมบดีพรหมยืนอยู่
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้ทูลคำนี้
กะพระผู้มีพระภาคว่า
@๑. ปทุมนรก เป็นส่วนหนึ่งแห่งมหานรกอเวจี ผู้ที่เกิดในมหานรกอเวจี
@ส่วนนี้จะต้องหมกไหม้อยู่สิ้นกาลปทุมหนึ่ง ปทุมนั้นเป็นสังขยาซึ่งมีจำนวนสูญ
๑๒๔
@สูญ
พระเจ้าข้า พระโกกาลิกภิกษุได้กระทำกาละแล้ว
และเข้าถึงแล้ว
ซึ่งปทุมนรก เพราะจิตอาฆาตในพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ
ฯ
ท้าวสหัมบดีพรหมได้กล่าวคำนี้แล้ว
ครั้นแล้วถวายอภิวาทพระผู้มี
พระภาค กระทำประทักษิณแล้วหายไปในที่นั้นแล ฯ
>>>>> จบเรื่องพระโกกาลิก <<<<<<
***** พระโกกาลิก คงตกนรกนาน และในสมัยของพระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้า
ก็คงยังอยู่ในนรก
เพราะ เวลา 1 ปทุมนรก นั้น ยากนานว่า 1 พุทธันดร
เป็นใหน ๆ น่าหวาดเสียวๆ
ไม่รู้ว่าจะได้เจอพระพุทธศาสนาอีกเมื่อไร? เพราะหลังจากภัทรกัปนี้ไปแล้ว
คงไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นอีกนานกัป (เพราะไม่มีการกล่าวถึงในพระไตรปิฏกเลย)
ถ้าพระโกกาลิก
ไม่ผูกโกรธไม่ผูกพยาบาทและรู้จักให้อภัย ในผู้ที่ทำให้ขัดใจและไม่พอใจ
หรือโกรธเคือง
ไม่ว่าผู้ที่กระทำนั้นมีคุณธรรมหรือไม่มีคุณธรรม
เหตุการณ์เช่นนี้คงไม่เกิดขึ้น*****