พระโกกาลิกผู้มีวาสนาตกนรกเพราะทิฐิมั่น                                                                      กลับหน้าแรก 
 
 
 
 เนื้อความ : 
                  เล่าเรื่องพระโกกาลิกภิกษุ 
         ตอนเป็นฆารวาสนั้นท่านโกกาลิกเป็นบุตรชาย ของคหบดีมีทรัพย์ของตำบลหนึ่ง  
บิดาของท่านโกกาลิกศรัทธาในพระพุทธศาสนา จึงได้ถวายที่ดินและสร้างวัดถวายพระพุทธองค์  
เมื่อท่านโกกาลิกโตเป็นหนุ่ม มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา จึงขออนุญาติบิดาบวชพระ  
โดยมีพระตุทุภิกษุเป็นอาจารย์  เมื่อเวลาผ่านมาพระตุทุภิกษุก็มรณะภาพ  
ท่านพระโกกาลิกก็ได้เป็นเจ้าอาวาสปกครองวัดที่บิดาสร้างไว้  ก่อนเข้าพรรษาของปีหนึ่ง  
ท่านพระโกกาลิก ก็จิตนาการไปว่า ในพรรษาที่จะถึงนี้ต้องการให้ชาวบ้านได้มาทำบุญที่วัดตนเยอะ  
จึงได้ไปนิมนตร์ พระสารีบุตรและพระโมคคัลลา ให้มาจำพรรษาที่วัดของตน  
พระสารีบุตรและพระโมคคัลลาก็รับคำที่จะจำพรรษาทีวัดของพระโกกาลิก โดยหาได้คิดอะไรไม่ 
         เมื่อพระสารีบุตรและพระโมคคัลลาได้มาจำพรรษาที่วัด พระโกกาลิกเกิดมีความคิดละโมบขึ้นมาว่า  
"ในเมื่อพระอัครสาวกเบื้องขวาและอัครสาวกเบื้องซ้าย มาจำพรรษาที่วัดเรา เป็นลาภของเราแท้  
เราจะป่าวประกาศให้ชาวบ้านทั้งตำบลทราบว่า พระสารีบุตรและพระโมคคัลลา มาจำพรรษาที่วัดของเรา  
เพื่อให้ชาวบ้านมาทำบุญถวายเครื่องใช้ต่างๆ  เราก็จะได้ใช้ในวัดได้เต็มที่  
เนื่องจากท่านพระสารีบุตรและพระโมคคัลลาเป็นพระอรหันต์ คงยกปัจจัยเครื่องไทยทานให้กับวัดเราแน่"  
ด้วยจิตอันไม่บริสุทธิ์ พระโกกาลิก ประกาศให้ ชาวบ้านทราบ  
ก็ทำให้ชาวบ้านชาวเมืองที่มีความศรัทธาต่อพระอัครสาวก มาทำบุญถวายเครื่องใช้ไม่ขาด ตลอดทั้งพรรษา  
ของที่ชาวบ้านถวายนั้นมากมายกองเป็นพะเนินเท่าเนินเขาย่อม ๆ ลูกหนึ่ง  
นี้เป็นความศรัทธาของชาวพุทธที่เป็นมาแล้วตั้งแต่พุทธกาล 
           เมื่อถึงวันออกพรรษา พระโมคคัลลาและสารีบุตร ได้ตรวจดูทางจิตว่า  
บุญที่ชาวบ้านถวายทานจะมีความสมบูรณ์ไหมหนอ ! ก็ทราบได้ทันที่ว่า  
เจตนาการได้มาซึ่งทานของพระโกกาลิกนั้นไม่บริสุทธิ์ เพราะจะเก็บไว้แต่เพียงผู้เดียว  
ย่อมทำให้บุญกุศลของทายกไม่สมบูรณ์เต็มที่  แล้วจะทำอย่างไรหนอให้บุญกุศลของทายกสมบูรณ์  
ก็ทราบได้ทันที่ว่า ต้องเอาทานที่ทายกถวายไปแจกจ่ายกับวัดและพระที่ขัดสน 
             ดังนั้นเมื่อออกพรรษา พระโมคคัลลานะและพระสารีบุตร  
ก็สั่งให้พระเณรขนเครื่องปัจจัยทานทั้งหลาย ติดตามท่านไปด้วย เพื่อแจกจ่ายกับวัดรายทาง  
พระโกกาลิกพอทราบก็พูดอะไรไม่ออก มีความโกรธขัดเคืองในจิตใจเป็นอย่างมากว่า  
"พระสารีบุตรและพระโมคคัลลายังติดและห่วงอยู่ในลาภและมีความตระหนี่ในลาภ  
แทนที่จะยกทานทั้งหลายให้กับเรา  พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะมีความปรารถนาลามก  
เราจะต้องนำความไปกราบทูลพระพุทธเจ้า" 

                 หมายเหตุ  เนื้อเรื่องข้างบนนั้นจำมาจากพระอรรถาจารย์ขยายไว้เลยแต่งเติมต่อ 

         พระโกกาลิกก็มุ่งหน้าไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ดังใน สาวัตถีนิทาน ในพระไตรปิฏกเล่ม 15  
พระสูตรเล่มที่ 7 ความว่า 
    ครั้งนั้นแล พระโกกาลิกภิกษุเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ 
ครั้นแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ 
     พระโกกาลิกภิกษุนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้กราบทูลคำนี้ 
กะพระผู้มีพระภาคว่า 
     "พระเจ้าข้า พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะมีความปรารถนาลามก 
ไปแล้วสู่อำนาจแห่งความปรารถนาอันลามก" ฯ 
     [๕๙๙] เมื่อพระโกกาลิกภิกษุกล่าวเช่นนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัส 
คำนี้กะพระโกกาลิกภิกษุว่า 
     "โกกาลิก ก็เธออย่าได้กล่าวเช่นนี้ โกกาลิก ก็เธออย่าได้กล่าวเช่นนี้ 
โกกาลิก เธอจงทำจิตให้เลื่อมใสในภิกษุชื่อว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะ ภิกษุชื่อ 
ว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะเป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก" ฯ 
     แม้ครั้งที่สองแล พระโกกาลิกภิกษุก็ได้กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า 
     "พระเจ้าข้า บุคคลผู้มีวาจาควรเชื่อได้ควรไว้ใจได้ของข้าพระองค์ 
จะมีอยู่ก็จริง ถึงเช่นนั้นแล พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะก็ยังเป็นผู้ปรารถนา 
ลามก ไปแล้วสู่อำนาจแห่งความปรารถนาลามก ฯ 
      แม้ครั้งที่สองแล พระผู้มีพระภาคก็ได้ตรัสคำนี้กะพระโกกาลิกภิกษุว่า 
"โกกาลิก ก็เธออย่าได้กล่าวเช่นนี้ โกกาลิก ก็เธออย่าได้กล่าวเช่นนี้ 
โกกาลิก เธอจงทำจิตให้เลื่อมใสในภิกษุชื่อว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะ ภิกษุ 
ชื่อว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะเป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก ฯ 
     แม้ครั้งที่สามแล พระโกกาลิกภิกษุก็ทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า 
     "ฯลฯ ไปแล้วสู่อำนาจแห่งความปรารถนาอันลามก" ฯ 
     แม้ครั้งที่สามแล พระผู้มีพระภาคก็ตรัสคำนี้กะพระโกกาลิกภิกษุว่า 
     "ฯลฯ ภิกษุชื่อว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะเป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก ฯ 
     [๖๐๐] ลำดับนั้นแล พระโกกาลิกภิกษุลุกจากอาสนะถวายอภิวาท 
พระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณหลีกไปแล้ว ฯ 
         ก็เมื่อพระโกกาลิกภิกษุหลีกไปแล้วไม่นาน ต่อมทั้งหลายขนาดเมล็ด 
พรรณผักกาดได้ผุดขึ้นทั่วกายของเธอ ต่อมเหล่านั้นได้โตขึ้นเป็นขนาดถั่วเขียว 
แล้วก็โตขึ้นเป็นขนาดถั่วดำ แล้วก็โตขึ้นเป็นขนาดเมล็ดพุดซา แล้วก็โตขึ้นเป็น 
ขนาดลูกพุดซา แล้วก็โตขึ้นเป็นขนาดผลมะขามป้อม แล้วก็โตขึ้นเป็นขนาด 
ผลมะตูมอ่อน แล้วก็โตขึ้นเป็นขนาดผลมะตูม ต่อจากนั้นก็แตกทั่ว แล้วหนอง 
และเลือดหลั่งไหลออกแล้ว ฯ 
**** จบข้อความในพระไตรปิฏกส่วนหนึ่ง***** 
         มากล่าวถึง พระตุทุซึ่งเป็นอาจารย์ที่มรณะภาพไปเกิดเป็นพระพรหมสุทธาวาสพรหม  
เป็นถึงพระอนาคามีในพระพุทธศาสนา ด้วยความอาทรต่อลูกศิษย์ เห็นลูกศิษย์เห็นผิดอย่างแรงกล้า  
ถ้าไม่คลายทิฐินั้นจะต้องตกนรกเป็นแน่แท้  จำต้องไปอนุเคราะห์ต่อศิษย์ในกาลนี้  
ดังมีเนื้อความในพระไตรปิฏก ที่ยกมา 

             ก็โดยสมัยนั้นแล พระโกกาลิกภิกษุ เป็นผู้อาพาธ ถึงความลำบาก 
เป็นไข้หนัก ฯ 
         ครั้งนั้นแล ตุทุปัจเจกพรหม เมื่อราตรีปฐมยามล่วงไปแล้วมีรัศมี 
อันงามยิ่งนัก ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่าง เข้าไปหาพระโกกาลิกภิกษุจนถึง 
ที่อยู่ ครั้นแล้วได้ยืนในเวหาส กล่าวคำนี้กะพระโกกาลิกภิกษุว่า 
     "ข้าแต่ท่านโกกาลิก ท่านจงทำจิตให้เลื่อมใสในพระสารีบุตรและ 
พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ เป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก" ฯ 
     พระโกกาลิกภิกษุถามว่า "ผู้มีอายุ ท่านเป็นใคร" ฯ 
     ตุทุปัจเจกพรหมตอบว่า "เราคือตุทุปัจเจกพรหม" ฯ 
     พระโกกาลิกภิกษุกล่าวว่า "ผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคได้ทรงพยากรณ์ท่าน 
แล้วว่าเป็นพระอนาคามี มิใช่หรือ ไฉนเล่า ท่านจึงยังมาเที่ยวอยู่ในที่นี้ จงเห็น 
เถิดว่า ก็นี่เป็นความผิดของท่านเพียงไร ฯ 
     [๕๙๗] ตุทุปัจเจกพรหมได้กล่าวว่า 
          ชนพาลเมื่อกล่าวคำเป็นทุพภาษิต ชื่อว่าย่อมตัดตนด้วย 
          ศัสตราใด ก็ศัสตรานั้นย่อมเกิดในปากของบุรุษผู้เกิดแล้ว ฯ 
          ผู้ใดสรรเสริญผู้ที่ควรถูกติ หรือติผู้ที่ควรได้รับความสรรเสริญ 
          ผู้นั้นชื่อว่าสั่งสมโทษด้วยปาก เพราะโทษนั้น เขาย่อมไม่ 
          ประสบความสุข ฯ 
          ความปราชัยด้วยทรัพย์ ในเพราะการพนันทั้งหลาย พร้อม 
          ด้วยสิ่งของของตนทั้งหมดก็ดี พร้อมด้วยตนก็ดี ก็เป็นโทษ 
          เพียงเล็กน้อย ฯ 
          บุคคลใดทำใจให้ประทุษร้ายในท่านผู้ปฏิบัติดีทั้งหลาย ความ 
          ประทุษร้ายแห่งใจของบุคคลนั้นเป็นโทษใหญ่กว่า ฯ 
          บุคคลตั้งวาจาและใจอันลามกไว้ เป็นผู้มักติเตียนพระอริยเจ้า 
          ย่อมเข้าถึงนรก ซึ่งมีปริมาณแห่งอายุถึงแสนสามสิบหก 
          นิรัพพุท กัปห้าอัพพุท ๑- ฯ 
      ******จบ  ทุติยโกกาลิกสูตรที่ ๑๐ ***** 
        เพราะก่อนหน้านี้พระพุทธเจ้าตรัสเตือน ถึง 3 ครั้งก็หาฟังไม่  
ครั้งนี้แม้แต่ผู้ที่เป็นสุทธาวาสพรหมมาปรากฏให้เห็น  และกล่าวเตือน เพราะมีความกรุณา  
แต่พระโกกาลิกหาได้ฟังไม่แถมย้อนกลับเสียอีกว่า "พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า  
พระพรหมอนาคามีจะไม่กลับมายังโลกมนุษย์อีก  
แต่ท่านกลับมาเทียวยังโลกมนุษย์นี้เป็นความผิดของท่าน"  นับว่าพระโกกาลิกมีทิฐิแรงกล้ามาก  
หลังจากนั้นต่อมาด้วยทิฐินั้นอันไม่ยอมคลาย ก็เป็นไปตามข้อความที่เหลือ 
     ****** เริ่มในพระสูตร***** 
              ครั้งนั้นแล พระโกกาลิกภิกษุได้กระทำกาละแล้ว เพราะอาพาธอันนั้น 
เอง ครั้นกระทำกาละแล้วก็เข้าถึงปทุมนรก ๑- เพราะจิตอาฆาตในพระสารีบุตร 
และพระโมคคัลลานะ ฯ 
     [๖๐๑] ครั้งนั้นแล ท้าวสหัมบดีพรหม เมื่อราตรีปฐมยามล่วงแล้ว 
มีรัศมีงามยิ่งนัก ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ 
ประทับ ครั้นแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วน 
ข้างหนึ่ง ฯ 
     ท้าวสหัมบดีพรหมยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้ทูลคำนี้ 
กะพระผู้มีพระภาคว่า 
@๑. ปทุมนรก เป็นส่วนหนึ่งแห่งมหานรกอเวจี ผู้ที่เกิดในมหานรกอเวจี 
@ส่วนนี้จะต้องหมกไหม้อยู่สิ้นกาลปทุมหนึ่ง ปทุมนั้นเป็นสังขยาซึ่งมีจำนวนสูญ ๑๒๔ 
@สูญ 
     พระเจ้าข้า พระโกกาลิกภิกษุได้กระทำกาละแล้ว และเข้าถึงแล้ว 
ซึ่งปทุมนรก เพราะจิตอาฆาตในพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ฯ 
     ท้าวสหัมบดีพรหมได้กล่าวคำนี้แล้ว ครั้นแล้วถวายอภิวาทพระผู้มี 
พระภาค กระทำประทักษิณแล้วหายไปในที่นั้นแล ฯ 
                  >>>>> จบเรื่องพระโกกาลิก <<<<<< 
***** พระโกกาลิก คงตกนรกนาน และในสมัยของพระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้า ก็คงยังอยู่ในนรก  
เพราะ เวลา 1 ปทุมนรก นั้น ยากนานว่า 1 พุทธันดร เป็นใหน ๆ น่าหวาดเสียวๆ  
ไม่รู้ว่าจะได้เจอพระพุทธศาสนาอีกเมื่อไร? เพราะหลังจากภัทรกัปนี้ไปแล้ว  
คงไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นอีกนานกัป (เพราะไม่มีการกล่าวถึงในพระไตรปิฏกเลย) ถ้าพระโกกาลิก  
ไม่ผูกโกรธไม่ผูกพยาบาทและรู้จักให้อภัย ในผู้ที่ทำให้ขัดใจและไม่พอใจ หรือโกรธเคือง  
ไม่ว่าผู้ที่กระทำนั้นมีคุณธรรมหรือไม่มีคุณธรรม เหตุการณ์เช่นนี้คงไม่เกิดขึ้น*****

 จากคุณ : Vicha [ 15 พ.ย. 2543 / 21:18:55 น. ]  
     [ IP Address : 203.151.36.3 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 1 : (ดังตฤณ) 
คนไม่เชื่อก็รู้สึกเหมือนเรื่องขู่ 
คนที่เห็นอะไรๆมาแล้วอย่างคุณ Vicha ก็คงได้แต่ยกพระสูตรมาแสดงเท่านี้เอง
 จากคุณ : ดังตฤณ [ 16 พ.ย. 2543 / 02:04:37 น. ]  
     [ IP Address : 203.155.129.230 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 2 : (พุทธศาสนิกชน) 
สาธุ ในธรรมที่แสดงมา
 จากคุณ : พุทธศาสนิกชน [ 17 พ.ย. 2543 / 16:45:31 น. ]  
     [ IP Address : 203.151.96.48 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 3 : (ปิ่น) 
_/|\_ สาธุครับ
 จากคุณ : ปิ่น [ 20 พ.ย. 2543 / 15:32:50 น. ]  
     [ IP Address : 204.160.183.15 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 4 : (ผู้มีนามไม่พึงประสงค์) 
สาธุด้วยคนครับ 
ผู้ที่ได้อ่านเรื่องนี้ พึงสำเนียกเป็นตัวอย่างที่เตือนใจดีมากๆครับ
 จากคุณ : ผู้มีนามไม่พึงประสงค์ [ 21 พ.ย. 2543 / 07:31:03 น. ]  
     [ IP Address : 203.148.183.225 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 5 : (กอบ) 
สาธุครับ
 จากคุณ : กอบ [ 21 พ.ย. 2543 / 12:21:55 น. ]  
     [ IP Address : 132.147.160.28 ] 
 

จบกระทู้บริบูรณ์

 กลับหน้าแรก