ผมเห็นว่าบางท่านสนใจเรื่องอิทธิปาธิหารย์ ผมก็ไม่รู้จะบรรเทาความสนใจของท่านให้น้อยลงได้อย่างไร แต่ผมจะเล่าเรื่องให้ฟังเผื่อจะบรรเทาลงได้บ้าง เรื่องพิเศษ(จะพิสูจน์อภิญญาได้อย่างไร) ดร.ทางฟิสิกส์ อาจารย์ผมเองตอนเรียนแต่ผมได้เรียนกับท่าน เพียง 1 เทอมในปีสุดท้าย ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกว่าท่านสนใจธรรมและเรื่องอภินิหารย์พอเรียนเกือบจบเทอม ก็ทราบว่าท่านสนใจในธรรมและฝึกสมาธิ พวกผมเลยถามท่านเกียวกับเรื่องสมาธิ ท่านจึงเล่าให้ฟังว่าท่านก็ฝึกสมาธิ ท่านมีอาจารย์เป็นพระชื่อหลวงปูไว และมีอยู่คราวหนึ่งบรรดาลูกศิษย์ของท่านร่วมถึงดอกเตอร์ พูดถึงพระเครื่องที่ทดสอบใช้ปืนยิงแต่ยิงไม่ออก แต่พอหันกระบอกปืนไปทางอื่นก็ยิงได้ปกติ หลวงปูไวจึงพูดทำนองว่า อย่าว่าแต่พระเครื่องเลย แม้แต่ฉี่ของท่านปืนก็ยิ่งไม่ออก หลวงปูจึงเดินไปฉี่ที่ขอนไม้ท่อนหนึ่ง แล้วบอกให้ลูกศิษย์ของท่านเอาปืนไปยิงดู ปืนยิ่งไม่ออกเลยสักกระบอกเดียว แต่เมื่อเล่งกระบอกปืนทางด้านอื่นก็ยิ่งออกได้เป็นปกติ เมื่อถึงตรงนี้ผมก็ยากจะถามว่า กระบวนการทางวิทยาศาสตร์จะพิสูจน์ฉี่ของหลวงปูไวได้อย่างไรว่า ทำไม่เมื่อเล่งปืนไปยิงแล้วยิงไม่ออก นี้เป็นฉี่นะ ซึ่งเป็นสารคนละอย่างกับพระเครื่องอย่างสิ้นเชิ่ง เรื่องนี้จริงหรือเท็จผมไม่ทราบแต่เมื่อดอกเตอร์ที่เป็นอาจารย์ฟิสิกส์เล่ามาผมก็เลยเล่าต่อ เพื่อจะได้คิดว่า 1. จะพิสูจน์ทางวิทยาสตร์อย่างไร จึงจะไม่เสียเวลาเปล่า 2. หรือไม่ควรจะพิสูจน์ 3. หรือฝึกจิตตนเองให้บังเกิดอภิญญา 4.หรือรอให้ผู้อื่นแสดงอภิญญาให้เห็น 5.หรือไม่ต้องสนใจหัดวางละกิเลสไปเรื่อยๆ 6.หรือเป็นเช่นนั้นเอง ผมขอให้ท่านช่วยแสดงความคิดเห็น เพื่อจะได้แนวทางที่ดีขึ้นก็เป็นไปได้
1.อาจเป็นแค่เรื่องเล่าที่คลาดเคลื่อน 2.ถึงจะจริงแต่ก็อาจไม่เที่ยงแท้เสมอไป 3.ถึงเที่ยงแท้ก็ไม่ช่วยให้ใครรอดตายได้จนเป็นอมตะ 4.ถึงเป็นอมตะได้จริงก็เป็นทุกข์ ไม่พ้นจากทุกข์ได้ อยู่100 ปี ก็เป็นทุกข์ 100 ปี พระพุทธเจ้าสอนวิธีดับทุกข์ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ถึงจะมีคนมายิงเดี๋ยวนี้ก็ไม่เป็นทุกข์ ถ้าเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงแล้วว่าแท้ที่จริงไม่มีตัวกูของกูที่เป็นแก่นสารสาระครับผลจะเป็นอย่างนี้ 1.ดับทุกข์ได้เด็ดขาด ที่นี่ เดี๋ยวนี้ 2.ถึงมีคนมายิงก็ไม่ทุกข์ 3.แม้จะตายก็ไม่มีอะไรให้ห่วงให้อาลัยเสียดาย 4.ตายไปแล้วไม่มีอะไรให้ไปเกิดอีก อย่างนี้สิครับเรื่องน่าอัศจรรย์จริงยิ่งกว่ามหัศจรรย์ นี่ต่างหาก เป็นพุทธปาฏิหารย์ครับ
พระพุทธเจ้าสอนวิธีดับทุกข์ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ถึงจะมีคนมายิงเดี๋ยวนี้ก็ไม่เป็นทุกข์ ถ้าเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงแล้วว่าแท้ที่จริงไม่มีตัวกูของกูที่เป็นแก่นสารสาระครับผลจะเป็นอย่างนี้ 1.ดับทุกข์ได้เด็ดขาด ที่นี่ เดี๋ยวนี้ 2.ถึงมีคนมายิงก็ไม่ทุกข์ 3.แม้จะตายก็ไม่มีอะไรให้ห่วงให้อาลัยเสียดาย 4.ตายไปแล้วไม่มีอะไรให้ไปเกิดอีก อย่างนี้สิครับเรื่องน่าอัศจรรย์จริงยิ่งกว่ามหัศจรรย์ นี่ต่างหาก เป็นพุทธปาฏิหารย์ครับ
ผมว่าจะมัวไปเสียเวลาพิสูจน์เลยเพราะเป็นเรื่องที่คนทั่วไปจะสัมผัส หรือมองเห็นได้หรือเข้าใจได้ด้วยปัญญาทางโลก และสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงเครื่องประดับเท่านั้นมิใช่แก่นที่จะดับทุกข์ได้ ควรจะปฏิบัติธรรมให้มั่นคง และปฏิบัติให้ถูกต้อง ถึงเวลาก็จะทราบเองว่ามีหรือไม่ อะไรเป็นเรื่องจริง อะไรไม่จริง และความรู้ที่ได้ก็เป็นความรู้เฉพาะตนที่ทราบอย่างแน่ชัด
มีเรื่องต่าง ๆ มากมายที่เป็นพุทธานุภาพ ซ฿่งวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถเข้ามาพิสูจน์ได้ ถ้าท่านมีความศรัทธาละก้อ อย่ามีความสงสัยเลยครับ ทว่าหลักใหญ่ หัวใจของพุทธศาสนานั้น คือ ทำดี ละเว้นความชั่ว และ ทำจิตใจให้ผ่องใส เราควรเน้นหลักนี้ดีกว่า ครับ
ถ้าท่านมีความศรัทธาละก้อ อย่ามีความสงสัยเลยครับ
ทว่าหลักใหญ่ หัวใจของพุทธศาสนานั้น คือ ทำดี ละเว้นความชั่ว และ ทำจิตใจให้ผ่องใส เราควรเน้นหลักนี้ดีกว่า ครับ
เห็นด้วยกับทุกท่านที่กล่ามมาครับ เรื่องพวกนี้พิสูจน์ไปก็เสียเวลาเปล่า อภิญญาถึงมีจริงก็ไม่ใช่ทางออกจากทุกข์ ดีไม่ดีถ้าได้อาจทำให้เกิดทิฐิติดแน่นเข้าไปอีก เอาเป็นว่าผมเห็นด้วยกับข้อ ๕ ก็แล้วกัน ไม่ต้องสนใจหัดวางกิเลสไปเรื่อยๆ แถมอีกนิด กุศลธรรม เช่น ความเพียร ทาน ปัญญา ...(บารมี ๑๐)ก็หมั่นเจริญเข้าไว้ ไม่ใช้ปล่อยวางแต่กิเลสอย่างเดียว
ถามใจตัวเองดีกว่า ถ้าอยากฝึกก็ฝึก แต่ทำแล้วควรทำให้เกิดประโยชน์ แก่ตัวเอง และคนอื่นๆ ถ้าจะรอให้คนอื่นเขาทำให้ดูเดี่ยวจะสงสัยอีกว่าเล่นกล ถ้าไม่อยากฝึกก็ไปฝึกอย่างอื่นซิ ทางเดินมีหลายสาย สำคัญที่ยังไม่เห็น และยังไม่ได้เริ่มเดิน ถามว่าสงสัยไหม ทำไม จะเลือกทางไหนดี ตอบไม่รู้ซิแล้วแต่ใจตัว สวัสดี