กลับหน้าแรก
พระโพธิสัตว์ที่แน่นอน 
 
 
 
 เนื้อความ : 
ที่กล่าวว่าใจของพระโพธิสัตว์ที่แน่นอนแล้ว(ได้รับพุทธพยากรแล้ว) 
เหมือนดังพระอรหัน ทำไม่จึงกลาวอย่างนั้น ที่ว่ามีใจเหมือนกันคือตรง 
ส่วนใหน?
 จากคุณ : Vicha [ 21 เม.ย. 2543 / 21:32:45 น. ]  
     [ IP Address : 203.151.36.19 ] 
 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 1 : (ดังตฤณ) 
เห็นจากกระทู้ไหนหรือครับ? 
น่าจะกล่าวถามในกระทู้นั้น เจ้าของข้อความจะได้เห็นและตอบถูก 

ถ้าถือตามอักษรที่คุณ Vicha กล่าวมานี้ 
เจ้าของข้อความก็คงเข้าใจอะไรบางอย่างผิดแล้วครับ 
ใจพระโพธิสัตว์แม้ได้รับลัทธยาเทศ หรือพุทธพยากรณ์เต็มภูมิแล้ว 
อย่างไรก็ยังเป็นปุถุชน ยังมีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน 
อันเป็นต้นกำเนิดของภพชาติ โครงสร้างภพชาติยังอยู่ครบ 
แม้เที่ยงที่จะได้เป็นพระอรหันต์ 
ก็ต้องรอเป็นพระอรหันต์ประเภทตรัสรู้ด้วยตนเอง 
ในชาติที่ไม่อยู่ในพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์อื่น 

ส่วนพระอรหันต์นั้น ท่านจบกิจในชาติปัจจุบัน 
เมื่อดับขันธ์ หมดลมหายใจเมื่อไหร่ 
ก็เข้าสู่นิพพาน หลุดออกจากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏเมื่อนั้น 
เพราะหมดต้นตอการเกิด คืออวิชชา ตัณหา อุปาทานสิ้นแล้ว 
รื้อโครงสร้างภพชาติออกหมดแล้วอย่างเด็ดขาด

 จากคุณ : ดังตฤณ [ 21 เม.ย. 2543 / 22:20:40 น. ]  
     [ IP Address : 203.155.33.183 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 2 : (last disciple) 
เห็นด้วยกับคุณดังตฤณครับ ขอเพิ่มเติมนิดนึงครับว่าระหว่างพระอรหันต์กับพระโพธิสัตว์นั้นต่างกันตรงที่ ปณิธาน และความวิริยะ 

ถ้าพูดตามภาษาชาวบ้านก็คือคนที่คิดจะเป็นพระพุทธเจ้านั้นต้องมีความตั้งใจจริงและอึดครับ  

แต่กระนั้นก็มีข้ออยากจะเสนอว่า ผู้ที่ตั้งใจเป็นโพธิสัตว์มาพอสมควร แต่ก็ละไป หลุดพ้นไป) 
มิได้แปลว่า ท่านไม่เก่งหรือไม่ทุ่มเทนะครับ  
(ละในที่นี้ของผมจะไม่พูดถึงว่าเป็นอรหันต์เป็นปัจเจกพุทธะเพราะเป็นเรื่องที่ซับซ้อนเกินกว่าจะบอกได้ในที่นี้เพราะบางทีมันไม่ตรงกับตำราเดี๋ยวจะกลายเป็นลบหลู่โดยไม่ตั้งใจไป...แต่จะเจาะจงถึงว่า ไม่เกิดอีกต่อไปแล้ว 

ถ้าเราเอาความเมตตา ความเอื้ออาทรเป็นที่ตั้ง 
พระโพธิสัตว์บางท่านอาจจะเห็นว่ามีพระโพธิสัตว์ใหม่ๆเกิดขึ้นมามากพอสมควร 
หรือท่านรู้สึกว่ามีคนที่จะสืบทอดปณิธานนี้อย่างแน่นอนแล้ว ท่านก็ละไป 
เพราะว่าท่านมิได้คิดที่จะแข่งกันเป็นพระพุทธเจ้าเพื่อที่จะได้รู้สึกว่าท่านเหนือกว่าใคร 
และที่เป็นโพธิสัตว์เพราะเห็นว่าความทุกข์ยากของชีวิตทั้งหลายเป็นเรื่องที่ต้องแบ่งเบา 
ใจดวงใดที่มีความเมตตา ทุ่มเทเพื่อความเป็นสุขของผู้อื่น เขาก็ถือว่าเป็นโพธิสัตว์ครับ 

ท่านอยากจะเป็นผู้ที่ทุ่มเทท่านนั้นบ้างไหมล่ะครับ...

 จากคุณ : last disciple [ 22 เม.ย. 2543 / 03:19:32 น. ]  
     [ IP Address : 161.200.255.162 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 3 : (พัลวัน) 
ปัญหาเรื่องนี้ คงจะเกิดขึ้นเนื่องจากว่า ความเข้าใจในภาษาที่คลาดเคลื่อนครับ คือ 

พระโพธิสัตว์ ไม่ว่าจะองค์ใดก็ตาม กิเลส ตัณหา อาสวกิเลส มีอยู่ครบถ้วน เป็นเฉกเช่นคนธรรมดาทั่วไป หากแต่ว่าเมื่อท่านได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ใด ก็หมายความว่า ท่านได้สะสมบารมีมามากพอควรแล้ว ที่จะทำให้เที่ยงต่อพุทธภูมิ ซึ่งบารมีของท่านตอนนั้น หากว่าเป็นของบุคคลผู้มิได้ปราถนาพุทธภูมิแล้วไซร้ ก็สามารถที่จะเข้าสู้อริยะภูมิได้เมื่อได้รับการแสดงธรรม นี่คือการเทียบระดับของบารมีครับ 

มูลเหตุของการตั้งจิตปราถนาพุทธภูมิของพระโพธิสัตว์แต่ละองค์นั้น ก็มีแตกต่างกันไปครับ ซึ่งก็เป็นเหตุให้การลาพุทธภูมิก็แตกต่างกันไปด้วยครับ เพราะเมื่อมูลเหตุแห่งการตั้งจิตปราถนาพุทธภูมินี้ได้ทำเสร็จสิ้นลงแล้ว ก็อาจเป็นได้ครับ 

พระโพธิสัตว์บางองค์ ท่านตั้งจิตปราถนาพุทธภูมิ ก็เพราะว่าในชาติหนึ่งได้พบกับการทำลายล้างพุทธศาสนาครั้งใหญ่ นึกสลดสังเวชในใจ ก็ตั้งจิตเอาไว้เพียงว่า "ต้องหาทางหลุดพ้นเอง" แต่เมื่อมาเกิดในชาติหนึ่ง ได้พบกับพระสาวกที่เป็นพระอรหันต์ และสอนกรรมฐานที่ถูกต้องกับจริต พระโพธิสัตว์องค์นี้ ท่านก็ลาพุทธภูมิ เพราะเหตุคือ "ได้พบว่าทางหลุดพ้นมีอยู่แล้ว ไม่ต้องหาเอาเอง" อย่างนี้เป็นต้นครับ 

การลาพุทธภูมิของพระโพธิสัตว์ มิได้เกิดจากการยอมแพ้เสมอไปครับ แต่เกิดจากการได้พบกับ "ความสำเร็จประโยชน์" ตามมูลเหตุแห่งการปราถนาพุทธภูมิครับ 

แต่จะอย่างไรก็ตาม แม้ว่าท่านจะลาพุทธภูมิไปแล้ว มิได้เป็นพระโพธิสัตว์ไปแล้ว แต่พระกรุณาที่ได้สร้างสมบารมีมา ก็ยังติดตัวไปอยู่ครับ หากแม้ยังมิได้เข้าสู่ปรินิพพานในวันใด พฤติกรรมแห่งพระโพธิสัตว์อันมีพระกรุณาเป็นที่ตั้งก็ยังคงแสดงออกมาอยู่เรื่อยๆครับ 

อนึ่ง การสร้างสมบารมีขององค์พระโพธิสัตว์นั้น เป็นงานที่ยาก และยาวนาน ดังนั้นจึงควรที่จะต้องมีกำลังของตนเองให้เหมาะสมกับงาน กำลังของพระโพธิสัตว์ที่จักต้องมีนั้น จักต้องประกอบไปด้วย 2 ส่วน คือ "พระมหากรุณา" และ "อุเบกขา" 

พระมหากรุณา มีไว้เพื่อรักษาเจตนา หรือเพื่อความมุ่งมั่นต่อพุทธภูมิ เป็นไปเพื่อผู้อื่นมิใช่ตนเอง เมื่อพบเห็นความทุกข์ปรากฎอยู่ทั่วไปกับสัตว์โลกเมื่อใด พระมหากรุณาก็จักกระตุ้นเตือนพระโพธิสัตว์มิให้ละทิ้งสัตว์โลกทั้งหลายไป และถึงกับสละชีวิตของตนได้ เพื่อปลดปล่อยให้สัตว์อื่นได้พ้นภัยพิบัติ 

อุเบกขา หรือ การวางเฉยต่อสังขารทั้งปวง ตรงอาจจะน่าสงสัย ว่าเพราะเหตุไรพระโพธิสัตว์จึงต้องมีการวางเฉยด้วย ก็เพราะว่า พระมหากรุณานี้ จะก่อให้เกิดทุกข์ในจิตใจของพระโพธิสัตว์เป็นอย่างมาก และมีหลายครั้งหลายคราที่พระโพธิสัตว์ก็มิอาจช่วยเหลือสัตว์ที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก เหตุเพราะเป็นกรรมเก่าของสัตว์เหล่านั้นอันเกินกำลังของพระโพธิสัตว์จะช่วยได้ เช่น การได้พบเห็นสุนัขถูกรถทับแหลกไปครึ่งตัว ไม่ว่าจะอย่างไรพระโพธิสัตว์ก็ไม่อาจจะทำให้สุนัขตัวนั้นกลับมาเดินปกติได้อีกแล้ว ความทุกข์จะเกิดขึ้นในใจพระโพธิสัตว์เป็นทบเท่าทวีคูณเพราะเหตุที่ตนช่วยเหลือสุนัขตัวนั้นไม่ได้ พระโพธิสัตว์ต้องวางเฉยต่อ "อารมณ์เศร้าโศก" ที่เกิดขึ้นในใจของตน และช่วยเหลือสุนัขตัวนั้นให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่มีทางที่พระโพธิสัตว์จะไม่รู้สึกสงสารต่อสุนัขตัวนั้น จิตใจของพระโพธิสัตว์ได้รับการกระทบกระเทือนเพราะเหตุนี้ อุเบกขาจึงมีความจำเป็นสำหรับเหตุอย่างนี้นี้ 

พระมหากรุณา และ อุเบกขา จึงมีความจำเป็นต่อพระโพธิสัตว์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย พระมหากรุณาจำเป็นเพื่อเป็นน้ำเลี้ยงให้กับน้ำใจพระโพธิสัตว์ ส่วนอุเบกขาจำเป็นเพื่อให้ฟันฝ่าต่ออุปสรรคทั้งหลายไปได้ หากสังเกตจะเห็นว่า พระมหากรุณานี้เป็นไปเพื่อผู้อื่น แต่อุเบกขานั้นเป็นไปเพื่อพระโพธิสัตว์เอง 

แต่อุเบกขา มิใช่จะทำกันได้ง่ายๆ เพราะหากมิได้ "สังขารุเปกขาญาน" เมื่อใด จิตใจของพระโพธิสัตว์ก็จะถูกความเศร้าโศกครอบงำอยู่ได้เกือบตลอดเวลา เป็นภาระอันหนักที่เปรียบได้กับความพยายามที่จะแบกความทุกข์ของสัตว์โลกทั้งหลายเอาไว้ และที่น่าสังเกตอีกจุดหนึ่งก็คือ "สังขารุเปกขาญาน" นี้ มิใช่สิ่งที่ยั่งยืนเหมือนสมาบัติของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ญานนี้มีเสื่อมได้ เพียงแค่ตายจากชาตินี้ไปแล้ว ญานนี้ก็เสื่อมลง ต้องไปฝึกฝนกันใหม่ในชาติต่อๆไป แต่ในชาติถัดๆไปก็จะใช้เวลาฝึกฝนตนเองน้อยลงกว่าชาติแรกเท่านั้นเอง 

มีอีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งผมเคยเห็นๆอยู่ในบางครั้ง ว่าพระโพธิสัตว์บางองค์ได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุโสดาบัน แล้วจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ และโสดาบันก็เสื่อมไปนั้น ผมมีความเห็นส่วนตัวว่า เป็นความเข้าใจที่ผิดไป อาจจะเป็นเพราะเข้าใจสับสนกันระหว่างคำว่า โสดาบัน คือ ได้ดวงตาเห็นธรรม จึงทำให้คิดกันไปว่า พระโพธิสัตว์ต้องได้ดวงตาเห็นธรรมสิ มิฉะนั้นจะท่านจะช่วยเหลือสัตว์โลกอื่นๆได้อย่างไร หากแต่พิจารณาให้ดีจะรู้ว่า หาก "สักกายทิฎฐิ" ถูกทำลายลงเมื่อใด เมื่อนั้นก็สิ้นสุดการเป็นพระโพธิสัตว์นี้ทันที! เพราะสักกายทิฎฐินี้ทำให้เกิดมี "เรา" ขึ้น หากสิ้น "เรา" เหมือนดั่งในใจพระอริยะทั้งหลายแล้ว ภารกิจแห่งพระโพธิสัตว์ที่ตั้งอยู่บน "เรา" ก็จบสิ้นทันที (สำหรับผู้สงสัยว่า "สักกายทิฎฐิ" นี้ เกี่ยวอะไรกับ "เรา" ได้อย่างไร ขอไม่วิพากษ์วิจารณ์ครับ หากแต่ใครเมื่อได้เห็น "สักกายทิฎฐิ" ในใจตนเมื่อไหร่ จะเข้าใจได้ทันทีครับ) 

สักกายทิฎฐิจึงเปรียบเมือน กำแพงที่ขวางกั้น มิให้พระโพธิสัตว์กระโดดข้ามเข้าสู่ "อริยมรรค อริยผล" ต่อไป จิตของพระโพธิสัตว์จึงมาหยุดได้เพียง "สังขารุเปกขาญาน" นี้เท่านั้น

 จากคุณ : พัลวัน [ 22 เม.ย. 2543 / 07:34:29 น. ]  
     [ IP Address : 203.149.1.253 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 4 : (Vicha) 
ท่านทั้ง 3 ตอบไดประทับใจผมมาก ท่านคงผ่านการคิดการวิเคราะห็เรืองนี้ 
มาบ้างแล้ว ผมก็จะถามต่อในฐานะเราเป็นชาวพุทธเถรวาด 
1.ควรจะยกพระโพธิสัตว์เสมอเท่ากับพระพุทธเจ้าได้หรือไม่ 
2.ควรจะยกพระโพธิสัตว์เสมอกับพระอริยะบุคคลได้เหรือไม่ 
ผมขอให้ช่วยอธิบายด้วยนะครับ โทษที่สายหลุดไปต้องต่อไม่ข้อความที่เขียไ 
ไม่รู้ว่าถึงใหน คือยากให้อธิบายให้ผู้คนเข้าใจกระจ่างขึ้น
 จากคุณ : Vicha [ 22 เม.ย. 2543 / 10:43:46 น. ]  
     [ IP Address : 203.151.36.19 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 5 : (ดังตฤณ) 
พระนิยตโพธิสัตว์ท่านมีเงาที่ทอดไปสู่ความเป็นพระพุทธเจ้าก็จริง 
แต่บารมีท่านยังบำเพ็ญไม่ครบหนึ่ง 
จิตท่านยังถูกห่อหุ้มด้วยกิเลสสามอีกหนึ่ง 
จึงไม่สมควรยกไว้เสมอพระพุทธเจ้าด้วยประการใดๆ 
ไม่แม้สมควร "คิด" ว่าตนมีบารมีสูงกว่าพระอรหันต์ 
(แม้ความจริงจะเป็นมีส่วนเช่นนั้นก็ตาม 
เพราะโดยฐานะของจิตย่อม "ต่ำ" กว่าด้วยประการทั้งปวง) 

แต่ก็เป็นความจริงครับ ที่มีพระโพธิสัตว์มากมาย 
หลงตัว ตีค่าตัวเองเสมอพระพุทธเจ้า 
ทั้งที่รู้แบบกลวงๆ กับทั้งชนิดที่รู้เพราะเห็นนิมิตตนเป็นเงาพระพุทธเจ้า

 จากคุณ : ดังตฤณ [ 22 เม.ย. 2543 / 11:01:41 น. ]  
     [ IP Address : 203.155.33.183 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 6 : (tchurit) 
ผมขอแจมสักหน่อยครับ 
ผมนับถือพระพุทธเจ้าในฐานะ ไก่ตัวแรกที่เจาะเปลือกไข่ออกมา เป็นผู้พบธรรมที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติ แล้วนำมาแสดงเพื่อช่วยให้ผู้อื่นพ้นจากความทุกข์ 
ผมนับถือพระอริยะบุคคล ในฐานะผู้ที่เข้ากระแสหนทางที่ถูกต้องแล้วในเบื้องต้น กำลังพัฒนาผึกฝนตนเองเพื่อความพ้นทุกข์ หลุดพ้น (วิมุติ) 
ผมนับถือพระโพธิสัตว์ ในฐานะผู้ที่กำลังบำเพ็ญบารมีอย่างหนึ่งอย่างใดอย่างยวดยิ่งเพื่อให้ตนเองมุ่งหน้าไปสู่การปลุกพุทธในตัวตนให้เกิดขึ้น 
การยกเสมอ การเปรียบเทียบ จำเป็นหรือเปล่า ? 
บัญญัติเหล่านี้แตกต่างจากสมมุติบางชนิดทางโลกที่ก่อให้เกิดมานะได้ เช่น นายพล เหนือกว่า นายพัน นายพันเหนือกว่านายร้อย นายร้อยเหนือกว่านายสิบ นายสิบเหนือกว่าพลทหาร 
ถ้าการเปรียบเทียบแล้วก่อให้เกิดมานะขึ้นในใจเรา แล้วเกิดภาพการแบ่งระดับผู้อื่นขึ้น ต้องระวังครับ
 จากคุณ : tchurit [ 22 เม.ย. 2543 / 11:23:06 น. ]  
     [ IP Address : 203.157.0.182 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 7 : (titan) 
คุณ tchurit กล่าวได้ดีแล้วครับ สาธุ สาธุ
 จากคุณ : titan [ 22 เม.ย. 2543 / 12:04:16 น. ]  
     [ IP Address : 203.159.32.52 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 8 : (พัลวัน) 
ผมมีความเห็นเช่นเดียวกันกับคุณดังตฤณครับ 

หากนับกันด้วยความสิ้นกิเลส พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งปวง ท่านเสมอกัน ส่วนพระโพธิสัตว์ก็เสมอด้วยสัตว์โลกทั้งปวง(คือยังไม่สิ้นกิเลสเลย) 

หากนับด้วยบารมี พระโพธิสัตว์ย่อมเหนือกว่าสัตว์โลกอื่นๆ และในพระโพธิสัตว์เอง พระโพธิสัตว์ที่เป็นสัมมาทิฎฐิย่อมเหนือกว่าพระโพธิสัตว์ที่เป็นมิจฉาทิฎฐิ เมื่อใช้ปัญญาบารมีมาเป็นเครื่องวัด 

แต่พระโพธิสัตว์จะเอาไปเปรียบเทียบกับพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งปวงไม่ได้ เพราะเหตุว่ามีความแตกต่างที่ชัดเจนอยู่ก่อนแล้วคือความสิ้นกิเลส เหมือนกับความพยายามที่จะเปรียบเทียบระหว่าง เสื้อผ้า กับ ผิวหนัง ว่าอะไรสวยกว่ากัน แม้ว่ามันจะห่อหุ้มร่างกายเช่นกัน แต่มันก็คนละเรื่องกันเลย เปรียบเทียบกันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย 

สำหรับพระโพธิสัตว์ที่พยายามยกตนเสมอด้วยพระพุทธเจ้า หรือเหนือกว่าพระอรหันต์ทั้งปวง ก็เป็นเพราะกิเลสที่ครอบงำชักนำไป เป็นอันตรายอย่างยิ่ง ทั้งต่อพระโพธิสัตว์องค์นั้นเอง และต่อบุคคลที่เข้าไปเคารพเลื่อมใส หากพระโพธิสัตว์มิเอาใจของตนไปตั้งอยู่ในความยิ่งใหญ่เหนือสัตว์อื่น หรือความมีฤทธิ์เหนือสัตว์อื่น แต่เอาใจตั้งอยู่ในสติ-อนุสติ ทั้งหลาย เช่น พุทธานุสติ ธรรมานุสติ สังฆานุสติ มรณานุสติ ให้ได้โดยมากแล้ว ความผิดเพี้ยนเช่นนี้ ก็จักไม่เกิดขึ้น และการสะสมบารมีก็จะเป็นไปโดยรวดเร็ว และเป็นประโยชน์มากขึ้นไปอีก

 จากคุณ : พัลวัน [ 23 เม.ย. 2543 / 05:35:07 น. ]  
     [ IP Address : 203.149.1.253 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 9 : (Vicha) 
สาธุ ธรรมที่ควรบังเกิดได้บังเกิดขึ้น เพราะการถกปัญหาด้วยสติปัญญา 
ผมจะถามต่อ 
1 การที่ผู้ปารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ทำตนเสมอพระพุทธเจ้า ลูปคลำพระธรรมด้ยธิติตนเอง เพื่อให้สัจจธรรม 
เป็นดังที่ตนเองเห็นและเข้าใจ เป็นการทำถูกหรือไม่ เราควรจะนับถือพระโพธิสัตว์ อย่างนี้ได้เหรือไม่ 
2 การที่ผู้ปารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ยกทูลพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์เหนือศรีษะ แต่ลูบคลำพระธรรมด้วยความเห็ 
เป็นการทำถูกหรือไม่ 
(ความเห็นส่วนตัว ความศรัทธาเมื่อก่อให้เกิดเป็นความรัก ผู้ที่เราศรัทธาทำผิดเราอาจจะมองไม่เห็นก็เป็นได้) 
ขอช่วยตอบให้ความกระจ่างแก่ผมและผู้เข้ามาอ่านด้วย
 จากคุณ : Vicha [ 23 เม.ย. 2543 / 06:40:37 น. ]  
     [ IP Address : 203.151.36.17 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 10 : (tchurit) 
ในความคิดเห็นของผม 
สัจธรรมเป็นความจริงที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติ ไม่ว่าพระพุทธองค์จะอุบัติขึ้นมาหรือไม่ สัจธรรมแท้ก็ยังคงเป็นความจริงแท้มีอยู่ในธรรมชาติอยู่ดี 
คำสอนในพระไตรปิฏกก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรม 
คำสั่งสองของเซ็นบางทีเขาอ้างว่าเป็นธรรมนอกพระไตรปิฏก 
เมื่อพระพุทธองค์สอนใครให้เกิดสภาวธรรมเข้าก็จะพบความจริงนั้นและเห็นเหมือนกับที่พระพุทธองค์เห็น  
จากเบื้องต้นที่เชื่อโดยใช้ศรัทรานำเชื่อในปัญญาของพระพุทธองค์ เมื่อปัญญามาก็เป็นการรู้เห็นด้วยปัญญาของตนเอง ซึ่งไม่จำเป็นต้องอาศัยความเชื่อต่อเพราะเห็นด้วยตัวเองแล้ว 
ผมนับถือพระพุทธองค์ในฐานะที่ค้นพบสัจธรรมนั้นได้ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากจริงๆ และสามารถนำมาสั่งสอนเผยแพร่ให้คนเข้าใจได้เป็นจำนวนมากได้ 
ผมนำถือพระพุทธองค์ในฐานะผู้นำความจริงมาเผยแพร่ในชมภูทวีปในยุคที่คนอยู่ด้วยวัฒนธรรม ประเพณี และ ความเชื่อแตกต่างกันไป ทั้งนิครท์ ทั้งพราหม์ ทั้งโยคี ๆลๆ และประสบผลสำเร็จมากด้วย 
ผมนับถือพระพุทธองค์ในฐานะผู้ตั้งสมมุติบัญญัติทำให้องค์กรสงฆ์ของพระองค์เป็นองค์กรที่มีอายุยืนที่สุดในโลกมากกว่าองค์กรจัดตั้งใดๆคือมีอายุมากว่าสองพันห้าร้อยปีแล้ว 
ผมนับถือพระพุทธองค์ที่ค้นพบความจริงและวางสมมุติบัญญัติให้คนสามารถอยู่ร่วมกันด้วยดีกับธรรมชาติ และในสังคมมนุษย์ด้วยกันเอง และดูแล้วน่าจะเป็นทางออกที่ดีในยุคปัจจุบันนี้ด้วย 
     โลกธรรม ๘ ได้ยศ เสื่อมยศ ได้ลาภ เสื่อมลาภ สุข ทุกข์ สรรเสริญ นินทรา ไม่มีผลต่อพระพุทธองค์อยู่แล้ว ใครจะยกตัวเสมอหรือดีกว่าก็เป็นเรื่องของบุคคลคนนั้นเอง 
      บางครั้งการศึกษาในเบื่องต้นเมื่อปัญญายังไม่มาเราฝากปัญญาของเราไว้กับผู้อื่น ฝากไว้กับตัวหนังสือในพระไตรปิฏกที่เราอ่าน ฝากไว้กับครูบาอาจารย์ที่เราเชื่อว่าท่านรู้ ฝากไว้กับเพื่อนๆกัลยานมิตรของเรา ๆลๆ จนถึงฝากไว้กับโยนิโสมนสิการของเราเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้ายังมีอัตตาขึ้นมารับสิ่งต่างๆ ความรู้ที่ได้ก็ยังอยู่ในระดับความเชื่ออยู่ดี 
     การที่มีผู้หนึ่งยกตัวเสมอพระพุทธเจ้า ก็เป็นปัจจัยตัวหนึ่งประกอบการตัดสินใจว่าเราจะเชื่อท่านดีหรือเปล่า พอจะฝากปัญญาไว้กับท่านได้ไหม ? 
     การลูบคลำพระธรรมวินัยด้วยความเห็น ถ้าดูในแง่เป็นการศึกษาเพื่อพัฒนาปัญญาให้เกิดขึ้นก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นปัจจัยตัวหนึ่งที่เราใช้พิจารณาว่าเราจะเชื่อท่านหรือเปล่า  
     การที่ผู้ที่เราศรัทราทำผิดแล้วเรามองไม่เห็นก็เป็นลำเอียง ๑ ใน ๔ ที่พระพุทธองค์เตือนไว้คือลำเอียงเพราะรัก (ลำเอียงเพราะเกลียด,ลำเอียงเพราะเขลา,ลำเอียงเพราะกลัว)
 จากคุณ : tchurit [ 23 เม.ย. 2543 / 10:53:27 น. ]  
     [ IP Address : 203.157.0.182 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 11 : (yong_happy) 
จากหนังสือของหลวงพ่อฤาษี ลิงดำครับ เล่าคร่าวๆจากความจำอันไม่เที่ยงของข้าพเจ้านะครับ 

ในสมัยหนึ่ง มีพระอรหันต์ระดับปฏิสัมภิทาญาน องค์หนึ่งรับเด็กคนหนึ่งเข้ามาบวชเป็นเณร เมื่อถึงเวลาบิณฑบาต พระท่านก็เดินนำหน้าโดยมีเณรคอยเดินตาม ในระหว่างที่เดินอยู่ เณรก็คิดในใจว่า พระอาจารย์ของเราเป็นถึงพระอรหันต์ระดับสูงสุดในพระพุทธศาสนา แต่ก็ยังไม่เท่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้เป็นราชาแห่งกองทัพธรรม ตอนนั้นในใจของเณรจึงคิดปราถนาพุทธภูมิขึ้นมา พอคิดแค่นี้ พระอาจารย์ท่านก็หยุดเดินและบอก เณร ให้มาเดินนำหน้าฉันเดี๋ยวนี้ เณรก็ไม่กล้าขัด จึงมาเดินนำหน้าพระอาจารย์ เดินอยู่ซักพัก เณรก็คิดในใจ ต่อว่า เอ ถ้าเป็นพระพุทธเจ้า ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างหนัก หลายอสงไสยกัป รู้สึกท้อ จึงเปลี่ยนใจไม่ไหว ขอเป็นสาวกดีกว่า พอคิดแค่นี้ พระอาจารย์ก็บอก เณร หยุด ให้มาเดินข้างหลังฉันเดี๋ยวนี้ ตอนนี้เณรก็แปลกใจ จึงเรียนถามอาจารย์ว่าทำไมถึงให้เณรเดี๋ยวเดินนำหน้า เดี๋ยวก็ให้เดินอยู่ข้างหลัง พระท่านก็บอกว่า ก็เพราะสิ่งที่เจ้ากำลังคิดอยู่ในใจอย่างไรละ เพราะพระอรหันต์ทุกองค์ต้องโมทนา และไม่ตีตัวเสมอบุคคลที่ปรารถนาช่วยเหลือขนสัตว์อย่างแท้จริง  

ดังนั้น ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์แท้ บารมีเต็มแล้ว อันนี้พระอรหันต์ตั้งแต่ระดับเตวิชโชขึ้นไปก็จะทราบและไม่เทียบเคียง ตีตัวเสมอเหมือน และก็ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์แท้ ก็จะไม่ทำตนเสมอ พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เช่นกัน เพราะว่าพระโพธิสัตว์ท่านก็ยังตัดกิเลสได้ไม่หมด ยังมีความประมาท ยังพลาดได้ ยังคงต้องเรียนรู้ศึกษาจากพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์อยู่ดี  

แต่ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ที่บารมียังไม่เต็ม หรือพระโพธิสัตว์เทียม ไม่ได้มีความจริงใจจริง อันนี้ยังมีความประมาทอยู่ บางชาติยังทำชั่วอยู่ ตายไปก็ตกนรกใช้กรรมไปเหมือนกัน 

ข้าพเจ้ารู้จากการอ่านหนังสือหลวงพ่อเท่านั้นครับ ยังไม่สามารถรู้จริงได้ ภาคปฏิบัติยังสู้เด็กอนุบาลไม่ได้เลยครับ แต่ก็จะพยายาม ดีใจที่มีเว็ปไซต์แบบนี้บนโลกมนุษย์ด้วยครับ ขออนุโมทนาเว็ปมาสเตอร์และทุกท่านที่สนธนาธรรมครับ

 จากคุณ : yong_happy [ 23 เม.ย. 2543 / 11:05:57 น. ]  
     [ IP Address : 129.22.237.153 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 12 : (พัลวัน) 
สงสัยมากๆ ก็สิกขาตัวสงสัยจะดีกว่านะครับ เพราะรู้แล้วเป็นประโยชน์กว่ามากครับ
 จากคุณ : พัลวัน [ 23 เม.ย. 2543 / 17:23:09 น. ]  
     [ IP Address : 203.149.1.253 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 13 : (นายสงบ) 
ถ้าพระโพธิสัตว์ยุคนี้ เข้าใจอย่างพี่ดังตฤณกับพี่พัลวัน ปัญหาต่างๆที่แปลกๆก็คงจะไม่เกิดครับ 
สำหรับเรื่องการลาพุทธภูมินี้ มิใช่เกิดจากการพ่ายแพ้อย่างเดียวอย่างที่พี่พัลวันกล่าวไว้แล้วครับ 
ครั้งหนึ่งผมก็เคยปราถนาอย่างรุนแรงด้วย บางครั้งนึกถึงความปราถนาถึงทีไรน้ำตาไหลทุกที 
จนเจอครูอาจารย์ ท่านก็สอนว่าถ้าปราถนาเพราะมหากรุณาก็ให้ลุยไปเลย แต่ถ้าไม่แล้ว 
จะลำบากและอาจจะทำให้เกิดความเสียหาย อย่างที่เราเห็นๆกันอยู่ทุกวันนี้ 
ดังนั้นผมจึงพิจารณาดูจึงพบว่าความปราถนานั้นแม้จะมีกรุณาอยู่บ้าง 
แต่ที่เน้นนำหน้าคือความอยากรู้อยากได้ทศพลญาณและอยากที่จะเป็นพระพุทธเจ้า 
ผู้เป็นเลิศที่สุดมากกว่า ซึ่งผมพิจารณาแล้วว่าถ้าเป็นแบบนี้ผมมีโอกาสหลงผิดแน่ๆ  
และยากที่จะสำเร็จเพราะขาดมหากรุณาอันมหาศาล และทำไปเพื่อสนองความต้องการตน 
ดังนั้นเพื่อประโยชน์ของผมเอง และเพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่นและพระศาสนาอื่นๆจะได้ไม่มัว 
หมองเพราะการที่ผมอาจจะหลงผิดได้ในอนาคตผมเลยตัดสินใจขอเลิกดีกว่า หันมาศึกษาธรรม 
แห่งพระพุทธองค์ องค์ปัจจุบันดีกว่า และใช้เวลาในชาตินี้ไปรบกับกิเลสดีกว่าครับ จะได้หยุด 
การเดินทางอันยาวไกลเสียที ส่วนพุทธภูมิก็ปล่อยให้พระโพธิสัตว์ผู้มีจิตที่เป็นมหากรุณาจริงๆ 
ดีกว่าครับ เพื่อประโยชน์อันแท้จริงของสรรพสัตว์ทั้งปวง 
 จากคุณ : นายสงบ [ 24 เม.ย. 2543 / 09:25:21 น. ]  
     [ IP Address : 203.146.18.42 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 14 : (thesky) 
อ่านแล้วได้ความรู้มากเลยค่ะ  
ขอบคุณสำหรับทุกๆ ความเห็นมาก 
มีสนทนาธรรมดีดีมาให้ได้อ่านเรื่อยๆ  
นับเป็นความรู้สำหรับผู้ที่ไม่เคยรู้มากค่ะ 
สาธุ .
 จากคุณ : thesky [ 24 เม.ย. 2543 / 12:17:54 น. ]  
     [ IP Address : 202.80.252.165 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 15 : (last disciple) 
ผมพอจะเข้าใจ feel ของคุณ vicha แล้วล่ะครับ ว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่ 

ผมคงต้องเสนออย่างรวมๆว่า ไม่ว่าใครจะเป็นอะไร เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระโพธิสัตว์เป็นพระอรหันต์ ถ้าเรานับถือท่านเหล่านั้นด้วยความประเสิรฐที่ท่านมีอย่างแท้จริง(และด้วยความเข้าถึง)ความประเสริฐของท่านเหล่านั้นอย่างแท้จริง ผมว่าผมจะนับถือท่านเหล่านั้นโดยไม่แบ่ง(ระดับ) 
ผมเคยแต่งนิทานเรื่องนึงและเล่าให้คนกลุ่มหนึ่งฟัง 

...เรื่องมีอยู่ว่า สมัยหนึ่งมีชายผู้หนึ่งได้ยินว่ามีเจ้าสำนักท่านนึงบรรลุธรรมสำเร็จเป็นพระโสดาบัน 
ชายผู้นั้นจึงขอไปเป็นศิษย์อยู่รับใช้นานพอสมควร จนตนเองสำเร็จธรรมเป็นพระโสดาบัน จึงลาอาจารย์ไป 
ด้วยเห็นว่าอาจารย์ของตนก็โสดาบัน ตนก็โสดาบัน อาจารย์คงสอนอะไรเราไม่ได้ไปกว่านี้แล้ว จึงเดินทางไปยังสำนักที่มีผู้เล่าว่า 
เจ้าสำนักสำเร็จเป็นพระสกทาคามี 

...ชายผู้นั้นจึงขอไปเป็นศิษย์อยู่รับใช้นานพอสมควร จนตนเองสำเร็จธรรมเป็นพระสกทาคามี จึงลาอาจารย์ไป 
ด้วยเห็นว่าอาจารย์ของตนก็สกทาคามี ตนก็สกทาคามี อาจารย์คงสอนอะไรเราไม่ได้ไปกว่านี้แล้ว จึงเดินทางไปยังสำนักที่มีผู้เล่าว่า 
เจ้าสำนักสำเร็จเป็นพระอนาคามี 

...ชายผู้นั้นจึงขอไปเป็นศิษย์อยู่รับใช้นานพอสมควร จนตนเองสำเร็จธรรมเป็นพระอนาคามี จึงลาอาจารย์ไป 
ด้วยเห็นว่าอาจารย์ของตนก็อนาคามี ตนก็อนาคามี อาจารย์คงสอนอะไรเราไม่ได้ไปกว่านี้แล้ว จึงเดินทางไปยังสำนักที่มีผู้เล่าว่า 
เจ้าสำนักสำเร็จเป็นอรหันต์ 

...ชายผู้นั้นจึงขอไปเป็นศิษย์อยู่รับใช้นานพอสมควร จนตนเองสำเร็จธรรมเป็นพระอรหันต์ ต่อมาได้ยินว่าเจ้าทั้งหลายที่ตนไป 
ฝากตัวเป็นศิษย์มิได้สำเร็จธรรมใดๆเลย...ชายผู้นั้นได้ยินก็ตกใจว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้...จึงรีบกลับไปถามอาจารย์ของตนทั้งหลายว่า 
เป็นเช่นที่ใครบอกมาหรือไม่ อาจารย์ทั้งหลายของชายผู้นั้นต่างก็บอกเหมือนกันหมดว่า เรายังมิได้บอกเสียหน่อยว่าเราสำเร็จธรรมอย่างนั้นอย่างนี้ 
เธอมาอยู่กับเราเอง...เราเพียงแต่เห็นว่าเป็นการดีที่ได้มีคนมาฝึกฝนจิตใจเพื่อพัฒนาตนเองให้เป็นผู้ดี และเป็นผู้ประเสริฐในที่สุด 
ท่านทำของท่านเองท่านก็ย่อมได้ของท่านเองเราเป็นเพียงผู้ชี้แนะได้บ้างเท่านั้น... 

นิทานเรื่องนี้สอนว่า... 

อย่าคิดว่าคนนี้ระดับนี้สูงกว่าระดับนั้น ต้องเคารพ ระดับนั้นมากกว่าระดับนี้ซิครับ(อ่านแล้วงงไหมเนี้ย) 
ผมเคยคิดเล่นๆว่าถ้าามีคนที่สำเร็จอรหันต์แต่แต่งตัวเหมือนคนปกติใส่สูทผูกไท 
กับมี(ภิกษุ)อลัชชีที่ทำทางสำรวมดูจากภายนอกแล้วน่าเคารพเลื่อมใสเดินมาในกลุ่มชนพร้อมกัน 
กลุ่มชนกลุ่มนั้นจะแสดงความเคารพแก่ใคร... 

นับถือใครก็สมควรจะนับถือกันที่ใจ นับถือในการกระทำที่ดีงามของท่านเหล่านั้น...อย่าเอาอะไรมาทำให้ความเป็นหนึ่งเดียวกันของใจทั้งหลายต้องแบ่งแยกซิครับ... 

อย่างนั้นถ้าวันนึงคุณ สำเร็จเป็นพระโพธิสัตว์ขึ้นมา คุณจะกล้ากราบครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นเพียงคนธรรมดาแต่ชี้แนะให้คุณจนได้ดีได้หรือครับ  

เรื่องแบบนี้มันเกี่ยวกับบุญบารมีเดิมด้วย...แต่ว่าขนาดพระพุทธเจ้า ตอนท่านสำเร็จ ท่านก็ยังตามหาอาจารย์ของตน เพื่อที่จะบอกในสิ่งที่ท่านรู้เลย... 

หลวงปู่วัดอ้อน้อยซึ่งผมนับถือท่านเป็นคุรุ ท่านบอกว่า"รวงข้าวยิ่งสุกก็ยิ่งโน้มลงดินที่มันอาศัยเกิด" 

...และก็ต้องถามว่าคำจำกัดความว่า"พระโพธิสัตว์"นั้น แค่ไหนที่จะเรียกได้ว่าพระโพธิสัตว์ 

ช่วยคนอื่นมากๆแต่ตนก็หวัง"อะไร"จากการกระทำนั้นๆจากมหาชนเหล่านั้น กระนั้นหรือ.... 

ทำประโยชน์ให้กับชนทั้งหลายเพื่อที่จะเทียบชั้นว่า...ตนก็เก่งได้เหมือนมหาบุรุษทั้งหลาย กระนั้นหรือ 

เราต้องแยกให้ออกระหว่างคนที่อยากดีกับผู้ที่ดีแล้ว... 

คำถามที่ว่า"การที่ผู้ปารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ทำตนเสมอพระพุทธเจ้า ลูปคลำพระธรรมด้ยธิติตนเอง เพื่อให้สัจจธรรม 
เป็นดังที่ตนเองเห็นและเข้าใจ เป็นการทำถูกหรือไม่ เราควรจะนับถือพระโพธิสัตว์ อย่างนี้ได้เหรือไม่" 

คำถามนี้มันสะกิดใจผมยังไงชอบกลอยู่ คนที่ได้ชื่อว่าพระโพธิสัตว์นั้น ไม่ใช่คน...มนุษย์มาเรียกกันเองง่ายๆ 
ว่าพอเห็นคนนี้เขาทำดีหน่อยช่วยชาวบ้านบ้างก็เรียกเขาว่าโพธิสัตว์... 

***คำพูดและความคิดของมนุษย์นั้นหยาบด้อยเกินกว่าจะตัดสินได้ว่าคนนั้นคนนี้เป็นโพธิสัตว์*** 

ผู้ที่เป็นโพธิสัตว์อย่างแท้จริงนั้น...เทพพรหม เทวดา (ทุกชั้นฟ้า) ย่อมรับรู้ แม้แต่พระโพธิสัตว์และพระพุทธเจ้าก็ทรงรู้ 
และ แซ่ซ้อง สรรเสริญ ในการทุ่มเทเพื่อให้ใจทั้งหลายเป็นสุข(โดยไม่คิดว่าตนจะได้อะไรบ้างจากการกระทำนั้น) 

ที่มีปัญหาข้อนี้ถามก็เพราะว่ายุคหลังๆนี้คนเราไปยึดถือตามตำราว่าทำอย่างนี้ๆก็จะเป็นอย่างนั้นๆ (โดยเอากิเลสเป็นที่ตั้ง) 
เรียกว่าทำสิ่งใดเพราะต้องการสิ่งตอบแทน...ไม่ได้กระทำเพราะเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่มีคุณค่าน่าจะกระทำเพื่อที่จะพัฒนาตนเองสู่ความประเสริฐ 
ผมมักจะพูดกับคนใกล้ชิดเสมอๆว่า"ที่รู้มาน่ะถูกแต่ที่คุณเข้าใจและกระทำน่ะผิด" 

คนอยากดีจึงมีให้เห็นในปัจจุบันมากมายเหลือเกิน แม้ว่าความอยากดี(อาจจะเป็นเบื้องต้นของการไปสู่ความเป็นผู้ที่ดีแล้วก็ตาม) 
แต่ความอยากแบบผิดๆจึงทำให้...คิดผิด...ทำผิด...พูดผิด 
และในขณะเดียวกัน คนที่(ดูเหมือนจะเกือบดี)ก็กับอิจฉา ริษยากันเอง เอาดาบ(แห่งความริษยา อิจฉาและอัตตาตัวตน )มาทิ่มแทงกันเอง 
ด้วยความ(คิดน้อย...หรือไม่คิดเลย)ว่าใครที่ดูเก่งดูมีคนศรัทธาเลื่อมใสนั้น..... เขาเป็นมาอย่างนั้นเลย ก็เลยอิจฉาเขาแบบไม่มีเหตุผล 
เป็นคนที่ดื้อรั้น... 

ก็อยากจะทิ้งไว้ให้คิดครับ...ระหว่างคนที่อยากดีกับคนที่ดีจนกระทั่งเป็นผู้ประเสริฐ 

วีรบุรุษกับมหาบุรุษนั้นต่างกัน… 

วีรบุรุษทำประโยชน์ใดแก่สังคมอาจเพราะลาภยศ ชื่อเสียง  เมื่อไม่มีผู้ใดสนับสนุนให้ความนิยมชมชอบก็อาจหมดกำลังใจ  เลิกทำในสิ่งที่เป็นอุดมการณ์ 

วีรบุรุษทำประโยชน์ใดแก่สังคมอาจเพราะเห็นว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่น  จึงคิดที่จะคุ้มครองปกป้องชนเหล่านั้นๆด้วยหวังให้ชนเหล่านั้นสนองอัตตาตัวตนโดยการยกย่องเชิดชูตนเองเป็นนายเหนือหัว  เมื่อไม่มีใครมอบอัตตาตัวตนให้ก็ล้มเลิกความตั้งใจ  เพราะเห็นว่าเหนื่อยเปล่ามิได้ประโยชน์อันใดแก่ตน  

…วีรบุรุษจึงอาจเป็นแค่คนที่อยากดีเท่านั้น 

มหาบุรุษทำประโยชน์อันใดแก่มหาชนเพราะเห็นว่าความทุกข์ยากของมหาชนเป็นเรื่องที่ต้องแบ่งเบา  แม้ไม่มีใครสนับสนุน ยกย่อง เชิดชู  ให้ลาภยศถาบรรดาศักดิ์   ท่านก็ถูลู่ถูกังทำจนสำเร็จจนได้แม้จะเสียอะไรไป… กระทั่งชีวิตท่านก็ยอม  ถ้ามันจะทำให้มหาชนอยู่อย่างเป็นสุขและมีสติ…  เมื่อชนผู้มีปัญญาเห็นความทุ่มเทพากเพียรของท่านดังนั้นก็จะพากันช่วยเหลือกิจการงานที่ท่านทำและยกย่องท่านเป็นผู้ปกครองโดยที่ท่านมิได้ต้องการและเรียกร้องแต่อย่างใด 

มหาบุรุษทำประโยชน์อันใดแก่มหาชน  มิใช่เพราะเห็นว่าตนมีอะไรเหนือผู้อื่น  แม้ในความเป็นจริงที่จริงแท้จะเหนือกว่าก็ตาม… แต่ที่ดูมีอะไรมากกว่าผู้อื่นนั้น  ผู้มีปัญญาย่อมรู้ดีว่าเกิดจากการทุ่มเท ขัดเกลา  เคี่ยวกรำ ทุบตีตนเองอย่างแสนสาหัสมานับภพชาติไม่ถ้วน…เพียงเพื่อที่จะได้เอื้อประโยชน์แก่มหาชนอันท่านเห็นเป็นพี่น้องร่วมความมีอยู่เป็นอยู่ 
…โดยรู้ทั้งรู้ว่าโลกนี้มีทั้งผู้มีปัญญาและผู้โง่เขลา  ชนผู้โง่เขลาก็จะเกิดใจอิจฉาริษยา คิดอย่างผู้มืดบอดว่าคนๆนี้เป็นใครมาทำเป็นใจดี   ชี้แนะคนอื่นแถมยังอวดดีมีวิชชา  ชนผู้โง่เขลานั้นหารู้ไม่ว่ากว่าใครจะทุ่มเทจนสามารถสำเร็จในสิ่งใดๆได้นั้น  คนผู้นั้นเพียรพยายามมาขนาดไหน… แล้วตนเองทำไมไม่คิดจะพัฒนาตนให้เป็นอย่างคนผู้นั้นบ้างล่ะ  เอาแต่อิจฉาริษยาไปชาติแล้วชาติเล่า  ด้วยกรรมอันหนักที่ขัดขวางความเจริญของมหาชนจึงดักดานอยู่ในความโง่ของตนเองไปนานแสนนานจนกว่าจะได้สติผิดกับชนผู้มีปัญญาเมื่อเห็นมหาบุรุษผู้นั้นกระทำการใดอย่างทุ่มเทเพื่อประโยชน์ของมหาชน…ชนผู้มีปํญญาเหล่านั้นก็จะมอบตัวเป็นศิษย์ติดตามรับใช้โดยที่ท่านผู้นั้นมิได้ร้องขอ  เมื่อทดสอบกำลังใจสักระยะจนเห็นความเพียรพยายามและความมุ่งมั่นตั้งใจ  ท่านก็จะถ่ายทอดสรรพวิชาอันเป็นการขยายหน่อพันธุ์แห่งพุทธะมหาบุรุษ…เพื่อยังประโยชน์แก่มหาชนและสืบทอดปณิธานอันเป็นความงามนิรันดรนี้จนกว่าจะสิ้นภพจบจักรวาล  

อาจจะดูเหมือนตอบไม่ตรงประเด็นเท่าไหร่นะครับแต่ตั้งใจให้เป็นเช่นที่ว่านี้ครับ 

ผู้ประเสริฐแล้วย่อมมีความอ่อนน้อมและอ่อนโยนอยู่ในจิตและวิญญาณเสมอ 

  
…บุญใดอันบังเกิดมีจากการเข้าถึงใจแห่งโพธิสัตว์ ขอถวายเป็นพุทธบูชา 
แด่มหาโพธิสัตว์เจ้าบรมครูและคุรุธรรมในทุกภพชาติแห่งข้าทั้งหลาย… 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 จากคุณ : last disciple [ 24 เม.ย. 2543 / 17:06:20 น. ]  
     [ IP Address : 203.149.1.253 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 16 : (Vicha) 
ความคิดอาจมีการขัดแย่งกันบ้างเป็นธรรมดา แต่มันก็มีคำตอบอยู่ในตัวมันเอง 
ผมจะถามต่อเพื่อให้ผู้รู้อธิบายให้แจ่มแจ้ง 
1.พระโพธิสัตวที่เข้าศึกษาพระพุทธศาสนาและปฏิบัติกรรมฐาน ยกทูลพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์ไว้บนศรีษะ 
ลูบคลำพระธรรมด้วยความเห็นตามที่ท่านปฏิบัติมา แต่ไม่ทำรายพระสัจจะธรรม ย่อมมีพระโพธ(โทษทีตกไปสายหลุด) ย่อมมี 
พระโพธิสัตว์ที่เที้ยงแท้อยู่ในกลุ่มนี้ใช้หรือไม่? 
2.พระโพธิสัตว์ที่เข้าศึกษาและปฏิบัติกรรมฐาน ยกตนเสมอพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์ลูบคลำพระธรรมด้วยความเห็นแห่งตน  
เพื่อให้พระธรรมเป็นไปตามความเห็นแห่งตน ย่อมไม่มีพระโพธิสัตวที่เที้ยงแท้อยู่ในกลุ่มนี้ใช้หรือไม่? 

ผู้มีความรู้ช่วยพิจจารณาให้กระผมทราบด้วยเถอ 
3.ข้อที่ 3.เกิดขึ้นตามธรรมที่ควรบังเกิดขึ้น หาได้มีอคติต่อกลุ่มใด คำถามมีอยู่ว่า 
   ถ้าหากมีผู้อ้างว่าเป็นนักสร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้า แล้วลูบคลำพระธรรมด้วยความเห็นแห่งตน 
ขัดแย้งกับพระธรรมที่เป็นแก่นซึ่งบัณทิต ทั้งหลายสืบทอดกันมาเป็นเวลายาวนานตั้งแต่พุทธกาล  
เพื่อให เพื่อให้พระธรรมนั้นเป็นไปตามความเห็นของตนและกลุ่มตน เราควรจะเชื่อได้หรือไม่? 
(ความเห็นส่วนตัว คุณสมบัติข้อหนึ่งของพระโพธิสัตวที่เที้ยงแท้ คือมีอุปนิสัยที่จะบรรลุเป็นพระอรหันต์อยู่เต็มเปลียมบริบูรณ์ 
อยู่ในสันดานเป็นปกติ)

 จากคุณ : Vicha [ 24 เม.ย. 2543 / 23:14:52 น. ]  
     [ IP Address : 203.151.36.23 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 17 : (พัลวัน) 
พระสมณโคดม เมื่อครั้งทรงเป็นพระโพธิสัตว์ที่เที่ยงต่อพุทธภูมิแล้ว ในสมัยหนึ่งได้เกิดในกาลแห่งพระพุทธศาสนา มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่ (ขออภัยที่จำพระนามของท่านไม่ได้) พระโพธิสัตว์เสด็จไปพบองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับใต้ร่มไม้ พระโพธิสัตว์กล่าวตำหนิออกมาว่า "สมณโล้นนี้จะรู้พระสัทธรรมได้อย่างไร" (ข้อความจริงๆ คงต้องค้นในพระไตรปิฎกล่ะครับ ผมจำได้แต่ว่าเป็นข้อความทำนองนี้) ด้วยผลกรรมนั้น พระโพธิสัตว์ก็ต้องรับผลของกรรมแสนสาหัส และแม้ในชาติสุดท้าย กรรมก็ยังตามมาทัน เป็นผลให้ท่านต้องไปหลงหาทางพ้นทุกข์ถึง 6 ปี และรวมถึงต้องไปทรมานตนเองด้วย จนเป็นเหตุให้ทรงมีอาการปวดท้องอยู่เนืองๆ (และเป็นเหตุให้ถึงกับเสด็จปรินิพพานด้วย) 

ไม่ทราบว่า จะเป็นคำตอบให้กับคุณ Vicha หรือไม่ครับ

 จากคุณ : พัลวัน [ 25 เม.ย. 2543 / 07:17:05 น. ]  
     [ IP Address : 203.149.1.253 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 18 : (yong_happy) 
เรียนถามคุณ Vicha ว่า คำว่า "ลูบคลำพระธรรมด้วยความเห็นแห่งตน" หมายความว่าอะไรครับ ไม่เข้าใจครับ ช่วยแปลหน่อยครับ ขอบคุณครับ 

ชอบนิทานของคุณ last disciple มากครับ แต่ที่บอกว่า มีคนที่สำเร็จอรหันต์แต่แต่งตัวเหมือนคนปกติใส่สูทผูกไท กับที่พวกเปรตในผ้าเหลือง คนทั่วไปก็คงจะนับถือเปรตครับ เพราะไม่รู้ว่าพระพวกนี้ที่จริงแล้วเป็นเปรตครับ ดังนั้นคนทั่วไปถ้าไม่มีเจโตปริยญาน ดูใจพวกเปรตไม่ออก ก็ต้องสังเกตจากพฤติกรรมของพระว่าพระองค์ไหนสะสมเงินเข้าตัวหรือไม่ครับ เป็นประเภท ข้างนอกสุกใส ข้างในห่วยแตก หรือว่า เป็นผ้าขี้ริ้วห่อเพชร กันแน่  

สำหรับชาวบ้านถ้าตัดกิเลสหมด เป็นพระอรหันต์ แล้วบวชไม่ทันนี่ จะต้อง

 จากคุณ : yong_happy [ 25 เม.ย. 2543 / 07:25:32 น. ]  
     [ IP Address : 129.22.237.153 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 19 : (yong_happy) 
สำหรับชาวบ้านถ้าตัดกิเลสหมด เป็นพระอรหันต์ แล้วบวชไม่ทันนี่ จะต้องตายภายใน 24 ชั่วโมง (อันนี้จากหนังสือหลวงพ่อฤาษีอีกนั่นแหละ แต่ "พี่เอก" บอกว่า 7 วันครับ) ถ้าเป็นปุถุชนก็ไม่เอาครับ กลัวตาย แต่ถ้าเป็นพระขีนาสพแล้ว ไม่กลัวตายครับ อยากตายด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ฆ่าตัวตายครับ ร่างกายชาวบ้านไม่สะอาดพอต่อใจไร้กิเลสครับ ต้องบวชเป็นพระเท่านั้นครับ ดังนั้นพวกเปรตในผ้าเหลืองนี่ตายไปใช้กรรมในนรกนานจนลืมเลยครับ เพราะทำตัวไม่เหมาะสมความเป็นพระ  

ในสมัยพุทธกาล เวลาชาวบ้านฟังธรรมจากพระพุทธองค์ จนตัดกิเลสได้หมด และไม่ได้ขอบวชต่อ ก็จะต้องตายครับ ก็มักจะมีวัวแม่ลูกอ่อน วิ่งมาควิดท่านตายครับตอนท่านกำลังเดินทางกลับ วัวแม่ลูกอ่อนไม่บาปครับที่มาฆ่าพระอรหันต์ครับ ถ้าอ่านในพุทธประวัติ จะมีพระอรหันต์หลายองค์ที่เป็นฆราวาสแล้วต้องไปพระนิพพานทันที แฮปปี้ ไปเลยครับ เพราะไม่ต้องอยู่มีภาระต่อไปเหมือนพระสงฆ์ครับ หมดห่วงทุกอย่างครับ 

 จากคุณ : yong_happy [ 25 เม.ย. 2543 / 07:37:43 น. ]  
     [ IP Address : 129.22.237.153 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 20 : (ยุศม์) 
ขอเสริม คุณพัลวัน ในความคิดเห็นที่ 17 
จำได้ว่าในกาลนั้นพระโพธิสัตว์มีนามว่าโชติสหาย 
ส่วนเพื่อนของท่านเป็นช่างปั้นหม้อได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น (คงสมัยพระพุทธกัสสป) แล้วได้อนาคามี
 จากคุณ : ยุศม์ [ 25 เม.ย. 2543 / 08:30:32 น. ]  
     [ IP Address : 203.159.0.15 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 21 : (Listener) 
นิทานของคุณ last disciple มี flaw อยู่ตรง ที่ว่า เมื่อศิษย์สำเร็จ เป็นพระ โสดาบันแล้ว ก็ พอจะรู้ได้ว่าอาจารย์มีภูมิธรรมเป็นปุถุชนอยู่ และพระโสดาบัน ก็จะไม่วิ่งไปหาครูอาจารย์ตามคำร่ำลือ หรือถือมงคลตื่นข่าวหรอกครับ 

มีข้อสังเกตุคือ คำว่า คุรุ ที่ ผู้ปฎิบัติธรรมกลุ่มหนึ่งใช้อยู่ มุ่งเอาผู้มีบารมีสูงที่จะช่วยยกระดับจิตวิญญาณให้ ศิษย์ผู้มอบกายถวายชีวิตให้โดยถือเป็นที่พึ่งสูงสุด ในขณะที่ แม้แต่คำ พ่อแม่ครูอาจารย์ ที่สายวัดป่าใช้ก็เพียง เล็งเอาท่านผู้จักช่วยขี้ทางให้เราเข้าใจ และปฎิบัติตามพระธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้  โดยอาศัยที่ท่านได้รู้แจ้ง ในพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อน 

หากจะอธิษฐานเป็น พระโพธิสัตว์ เพื่อหวังกรุณาต่อสัตว์โลก พึงอธิษฐานเถิด หากนับถือพระนิยตโพธิสัตว์ สัมมาทิฐิ เพราะเหตุท่านเป็นผู้ปฎิบัติดี และคำสอนของท่านลงได้กับพระสัทธรรม ก็พึงนับถือเถิด แต่อย่านับถือสิ่งใด ท่านใด เกินกว่าพระรัตนตรัยในศาสนานี้ เลย มิเช่นนั้น หากท่านเป็นสัมมาทิฐิ ก็ต้องตามไปบรรลุ เมือถึงคิวท่าน (หลังพระศรีอารย์) อีกหลาย Big Bang หากท่านเป็น มิจฉาทิฐิ  สาวกก็ไม่รู้จะต้องตามท่านไปอีกนานเท่าใด

 จากคุณ : Listener [ 25 เม.ย. 2543 / 08:47:20 น. ]  
     [ IP Address : 205.173.93.35 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 22 : (morning_glory) 
เรื่องโชติปาละ ดูหมิ่นพระกัสสปะพุทธเจ้า อยู่ในพระไตรปิฎก ที่นี่นะครับ 
http://dharma.school.net.th/cgi-bin/tread.pl?start_book=32&start_byte=539736
 จากคุณ : morning_glory [ 25 เม.ย. 2543 / 10:46:41 น. ]  
     [ IP Address : 203.185.64.4 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 23 : (พัลวัน) 
ลองอ่านอีกที่นะครับ 

http://dharma.school.net.th/cgi-bin/tread.pl?start_book=13&start_byte=514570

 จากคุณ : พัลวัน [ 25 เม.ย. 2543 / 16:00:58 น. ]  
     [ IP Address : 203.149.1.253 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 24 : (tchurit) 
คุณ Vicha กำลังจะหาพระโพธิสัตว์ที่เที่ยงแท้อยู่หรือครับ ? 
เพื่ออะไรครับ ?
 จากคุณ : tchurit [ 26 เม.ย. 2543 / 06:33:00 น. ]  
     [ IP Address : 203.157.0.182 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 25 : (Vicha) 
เจตฯาการตั้งกระทู้ของผมมีดังนี้ 
1)ให้คุณธรรมของพระโพธิสัตวบังเกิดเพื่อให้ผู้อื่นเอาไปใช่แต่ไม่ใชข่ว่า 
จะต้องเป็นพระโพธิสัตว์ หรือต้องไปบรรลุในสัยของพระโพธิสัตว์องค์นั้น 
2)ให้ช่วยแยกแยะพระโพธิสัตวที่เป็นสมมาธิติ กับพระโพธิสัตว์ที่เป็นมิจจาธิติ 
เพื่อให้ผู้อ่านได้ทราบและทำให้ผมกระจ่างขึ้น 
3)ช่วยให้ชี้ให้เห็นโทษของมิจจาธิติโพธิสัตวที่มีอันตรายต่อพระพุทธศาสนา ให้บุคคลเข้าใจ
 จากคุณ : Vicha [ 26 เม.ย. 2543 / 19:16:36 น. ]  
     [ IP Address : 203.151.36.21 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 26 : (Vicha) 
คำว่าลูบคลำผมยืมมาจาก 
      พระสุตตันตปิฏก เล่มที่ 4 สัลเลขสตูร (ว่าด้วยการธรรมเครื่องขัดเกลา) เพียงตอนหนึ่งว่า 
"ฌะอทั้งหลายพึ่งทำความขัดเกลาว่า ชนอื่นจักเป็นคนลูบคลำทิธิของตน ยึดถืออย่างมั่นคง 
และสละคืนได้ยาก ในข้อนี้เราทั้งหลายจักไม่ลูบคลำทิธิของตน ไม่ยึดถืออย่างมั่นคงและสละคืนได้อย่างง่าย"
 จากคุณ : Vicha [ 26 เม.ย. 2543 / 19:24:03 น. ]  
     [ IP Address : 203.151.36.21 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 27 : (Vicha) 
อยู่ดีๆ มีคนมาตั้งให้ผมเป็นพระโพธิสัตวโดยที่ผมไม่ได้บอกกล่าว 
ผมเลยนั่งยิ้มอยู่คนเดียวครับ ได้เป็นพระโพธิสัตวและเราคล่าวนี้ (ล้อเล่น)
 จากคุณ : Vicha [ 26 เม.ย. 2543 / 19:27:43 น. ]  
     [ IP Address : 203.151.36.21 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 28 : (tchurit) 
อนุโมทนาเจตนาดีของคุณ Vicha ด้วยครับ 
ผมก็แสดงความคิดตามที่ผมเข้าใจ ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นสัมมาทิฐิ หรือมิจฉาทิฐิ ผู้อ่านโปรดใช้โยนิโสมนสิการรด้วยครับ 
จากความคิดเห็นที่ ๑๖ ข้อที่ ๑,๒  ผมคิดว่าคำตอบคือใช่ 
ส่วนข้อ ๓.จะเชื่อหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับโยนิโสมนสิการของผู้นั้นเองครับ เชื่อหรือไม่เชื่อไม่ถูกและไม่ผิด
 จากคุณ : tchurit [ 27 เม.ย. 2543 / 16:11:08 น. ]  
     [ IP Address : 203.157.0.182 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 29 : (พัลวัน) 
หากมีผู้อ้างว่าเป็นพระโพธิสัตว์ที่เที่ยงแล้ว จะอย่างไรก็ยังไม่อาจละกิเลสได้ในกัปป์นี้ เป็นเพราะกัปป์นี้เหลือให้เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นครับ ยกเว้นแต่จะอ้างว่าตนเป็นพระศรีอาริย์ 

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ในขณะที่พระสัทธรรมยังไม่ปฎิรูปไป ก็ควรจะสนใจในการปฎิบัติธรรมเพื่อให้ตนหลุดพ้น มากกว่าที่จะไปฟุ้งในเรื่องของพระโพธิสัตว์ครับ เพราะไม่ก่อประโยชน์ใดๆกับตัวเราเองครับ และอาจจะทำให้การบรรลุมรรคผลเนิ่นช้าไปด้วย หากเผลอในขณะใดขณะหนึ่งตั้งจิตปราถนาเป็นพระโพธิสัตว์เพื่อปลดปล่อยสัตว์โลกทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์ จะกลายเป็นการเดินทางไกลไปในทันทีครับ 

หันกลับมาภาวนา รักษาศีล เจริญสติ-สัมปชัญญะกันเถิดครับ

 จากคุณ : พัลวัน [ 27 เม.ย. 2543 / 17:10:11 น. ]  
     [ IP Address : 203.149.1.253 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 30 : (last disciple) 
...มีคนรู้ไต๋จนได้นะครับ ^__^  
ก็เป็นจริงอย่างที่ คุณListener ว่าน่ะครับว่า 
"เป็นพระ โสดาบันแล้ว ก็ พอจะรู้ได้ว่าอาจารย์มีภูมิธรรมเป็นปุถุชนอยู่ และพระโสดาบัน ก็จะไม่วิ่งไปหาครูอาจารย์ตามคำร่ำลือ หรือถือมงคลตื่นข่าวหรอกครับ" 

แต่อยากจะขอแก้ตัว(แบบน้ำขุ่นๆ) ^__^  ว่าจุดมุ่งหมายที่แต่งเรื่องนี้ให้ใครอ่าน ใครฟังเนี้ย ต้องการ ให้เขามีความคิดเพิ่มเติม(จากที่ฉลาดกันอยู่แล้ว)ว่า 

"บางทีการฉลาดอย่างดียวก็ยังไม่พอ และแม้ความฉลาดเองก็ยังสามารถแบ่งย่อยไปได้อีกหลายระดับตามความ"เข้าถึง"ของผู้นั้น ความรัก ความเมตตา ความเอื้ออาทรต่อกันต่างหากที่ผมเห็นว่า สำคัญ ไม่น้อยกว่าการหาความฉลาดใส่ตัวเลย ด้วย เหตุว่าแม้จะเป็นผู้ที่รู้อะไรไปเสียหมด แต่ไม่สามารถแบ่งปันสิ่งดีๆให้แก่คนรอบข้างได้ เขาผู้นั้นก็น่าจะได้ชื่อว่า เป็นคนเห็นแก่ตัว และบางที การใช้ความฉลาด ไปเพื่อใช้เป็นอาวุธทิ่มแทงผู้อื่น เพราะเห็นว่าตนเองเหนือกว่า มันก็เป็นเรื่องที่มิควรกระทำอย่างยิ่ง" 

ใครบางคนที่ผมนับถือเป็น"คุรุ"ตลอดกาลท่านเคยกล่าวไว้ว่า 

"แม้ว่าเราจะหลอกให้เขาทำความดี โดยที่ไม่บอกความจริงทั้งหมดเสียแต่แรก แต่พอตอนหลัง...เขาฝึกฝนจนเกิดปัญญาด้วยตัวเขาเองแล้วรู้ว่าความจริงทั้งหมดเป็นเช่นไร ก็มิใช่สิ่งที่ผิด ที่เราได้ชักนำให้เขาได้ลิ้มรสของความดีบ้าง" 

ลูกรัก...สัมมาวาจา คือ อะไรก็ได้ที่พูดออกมาจากใจ ออกมาจากจิตวิญญาณของตนเองอันบริสุทธิ์ไม่ต้องใส่ใจว่าใครจะมาเชื่อหรือไม่ พูดแล้วยังให้เกิดประโยชน์ ทำลายโทษได้ 

ผมจึงยอมรับความผิดที่เกิดขึ้นที่ไม่เขียนให้ตรงกับตำรา 
แต่ผมไม่ยอมรับผิดที่ตั้งใจเขียนเพื่อให้ผู้อ่านได้มีความคิดอย่างที่ผมตั้งใจจะบอก 

เป็นการง่ายที่จะเก็บตัวเพื่อที่จะไม่ต้องกระทบกับสิ่งใด เพื่อที่จะไม่ต้องเกิดกรรมพัวพันกับใคร เพื่อที่จะหลุดพ้นได้โดยง่าย...แต่เป็นการยากที่จะทำสิ่งใดโดยรู้ทั้งรู้ว่าจะต้องมีการกระทบอยู่บ้าง...เพื่อให้"ใคร"ได้เข้าใจและเข้าถึงจิตวิญญาณแห่งพุทธะที่มีอยู่ในตัวเขาเอง 

การที่ผมตั้งใจจะทำอะไรนั้น ผมไตร่ตรองอย่างดีแล้วว่าจะมีผลดีผลเสียอะไรตามมาบ้าง 

ผมไม่ใช่คนบ้า...หรือคนที่ดีแต่เพ้อฝันโดยไม่เคยคิดว่าความจริงมันเป็นเช่นไร... 

และถ้าการจะต้องทนรู้สึกเจ็บอยู่บ้างจากการกระทบกระเทียบต่างๆที่เกิดขึ้นมาตลอด...มันจะทำ 
ให้ใครได้มีเกิดความคิด จิตวิญญาณของการเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานและการเป็นผู้ที่ให้(อย่างแท้จริง)ได้บ้าง 

ผม"เลือก"ที่จะกระทำ 

ลูกรัก...บารมี แปลว่าเต็ม คือ อิ่มทุกอย่าง คนมีบารมี คือ คนที่มีจิตคิดจะให้ตลอดเวลา...

 จากคุณ : last disciple [ 28 เม.ย. 2543 / 04:17:37 น. ]  
     [ IP Address : 161.200.255.162 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 31 : ([email protected]
แล้วพระพุทธเจ้าอีก 10พระองค์ในภายหน้ารู้ไหมว่าเป็นใครบ้าง
 จากคุณ : [email protected] [ 7 พ.ค. 2543 / 01:47:26 น. ]  
     [ IP Address : 202.183.231.224 ] 
 
 
 ความคิดเห็นที่ 32 : ([email protected]
แล้วที่ได้เกิดมาเจอกับพระพุทธศาสนาในชาติปัจจุบันนี้คุณเข้าถึงเพียงไร 
 จากคุณ : [email protected] [ 7 พ.ค. 2543 / 01:49:56 น. ]  
     [ IP Address : 202.183.231.224 ] 
 

จบกระทู้บริบูรณ์

 กลับหน้าแรก