สั่งเครื่องให้ทำการพิมพ์
ลานธรรมเสวนา > ชีวิตกับธรรมะ
กระทู้ 14637 มุ่งสู่พุทธภูมิ ( http://larndham.net/index.php?showtopic=14637 )


มีเรื่องไม่ค่อยเข้าใจนักเกิดขึ้นกับผม ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัยได้ไปออกค่ายวิปัสนา 3 ครั้งกับชมรมพุทธ ตอนแรกตั้งความอธิฐานให้พ้นทุกข์ในชาตินี้แต่พอครั้งที่3ผ่านไปความคิดเรื่องอยากช่วยคนอื่นและเปลี่ยนเป็นอธิฐานเป็นพระพุทธเจ้าแทนกลับเข้ามาโยไม่รู้ตัว แต่กลับลังเลกลับไปมาหลายครั้ง จนมาวันหนึ่งเป็นวันวิสาขบูชาด้วยความที่ยังสับสนรู้สึกหงุดหงิด จึงอธิฐานต่อหน้าพระประธานว่าถ้าชาติก่อนอธิฐานบารมีว่าอย่างไรขอสืบต่อให้จบสิ้น
     จากวันนั้นจนวันนี้มีเพียงสิ่งเดิยวที่ได้ยินในใจคือขอสร้างบารมีเพื่อให้เป็นพระพุทธเจ้าช่วยเหลือเหล่าสัตว์ทั้งหลายให้พ้นทุกข์
           อยากรู้ว่าเรื่องที่ผมกำลังทำอยู่ถูกต้องหรือไม่ในมุมมองของท่าน

ตอบโดย: pook59 06 เม.ย. 48 - 13:21


ถูกต้องหรือไม่ในมุมมองท่าน (คนอื่น)  ไม่สำคัญ   ช่างมันเถอะ

ถูกต้องหรือไม่ในมุมมองท่าน (ตัวคุณเอง)  นั่นนะสำคัญ   แล้วทำไปตามที่ใจบอกครับ

พระอาจารย์รูปหนึ่ง  ท่านบอกผมว่า  ถามใจตัวเองดูซิ?

ตอบโดย: คนกวน 06 เม.ย. 48 - 14:16


เข้ามาแลกเปลี่ยน พูดคุยได้ที่
http://www.krusiam.com

ตอบโดย: kuniza 06 เม.ย. 48 - 14:21


ลองฟังซีดีธรรมะ ทศชาติชาดกนะคะ และ หาหนังสือเช่นพระเจ้าห้าร้อยชาติ
ซึ่งอาจเล่าเรื่องของพระโพธิสัตย์ ในชาติต่างๆ
คุณคงจะได้เห็นว่าท่านประกอบคุณงามความดี เพิ่มบารมีอย่างไรบ้าง
และท่านได้เวียนว่ายตายเกิด มาแล้ว กี่หมื่น กี่พันปี

คุณคิดว่า อีกนานเท่าไร บารมีคุณจะเต็มเปี่ยม และสามารถเป็นพระพุทธเจ้าได้
คุณมั่นใจแค่ไหน ว่าแต่ละชาติบารมีคุณจะเพิ่มเพียงใด
จะมีโอกาสพ่ายแพ้กิเลส ตัณหา อุปทาน ที่เกิดขี้นในแต่ละชาติเพียงใด
ความตั้งใจของคุณจะมีโอกาสบรรลุจุดมุ่งหมายหรือไม่ อีกนาน แสน นาน เท่าไร

อย่างไรก็ตามขออนุโมทนา กับความตั้งใจดีๆ ค่ะ
ขอให้เจริญในธรรม มีดวงตาเห็นธรรม และบรรลุจุดหมายตามต้องการคะ

 

ตอบโดย: อธิษฐาน 07 เม.ย. 48 - 02:27


การช่วยคนนั้นเพียงแค่เป็นพระสาวกหรือว่าอริยบุคคลขั้นใดขั้นหนึ่งก็เป็นประโยชน์กับสังคมกับผู้คนรอบข้างอย่างมหาศาล...การดูแลรักษาใจตนเองทำใจให้พร้อมที่จะเป็นผู้ให้และเมตตาช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ให้เมื่อเห็นโอกาส เห็นประโยชน์อันจะพึงเกิดขึ้นกับบุคคลหรือสิ่งนั้นๆก็เป็นคุณค่าอันหาได้ยากและน่ายกย่องบูชามากๆแล้วนะครับ
ส่วนการที่จะอธิษฐานตั้งความหวังว่าจะเป็นสิ่งใดหรือว่าการที่จะถอนตัวหรือว่าล้มเลิกสิ่งที่ตนตั้งใจไว้แล้วนั้นก็ต้องตั้งใจหรือล้มเลิกด้วยความจริงใจและต้องออกมาจากใจจริงๆไม่ใช่แค่การสั่งตนเองหรือว่าฝืนบังคับตนเองโดยที่ใจไม่ยินยอม
ผมว่าท่านน่าจะถามตนเองว่า ทำไมต้องปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า?และทำไมถึงต้องเลิกปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า?อย่างที่ความเห็นก่อนหน้านี้บอกแหละครับว่าน่าจะศึกษาด้วยว่า แล้วต้องทำอย่างไร?ทำอะไรบ้างจึงจะได้เป็นพระพุทธเจ้า?  ความหมายที่แท้จริงของทศบารมีนั้นคืออย่างไร? แล้วเมื่อศึกษาแล้วท่านจึงจะมีข้อมูลพอที่จะบอกกับตนเองได้ว่าสิ่งที่เราอยากจะเป็นจริงๆนั้นคืออะไร?แล้วเส้นทางนี้ใช่เส้นทางของเราหรือเปล่า?ในขณะนี้ชาตินี้ภพนี้เราเกิดมาได้มีบุญพบพระพุทธศาสนาได้พบพระสัทธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเราจะทำอย่างไรจึงจะใช้โอกาสที่ได้มานี้ให้คุ้มค่าไม่สูญเปล่า?อย่าเพิ่งรีบร้อนด่วนสรุปว่ามันจะต้องเป็น ผิด หรือ ถูก เลยครับ หน้าที่ของเรามีเพียงเจริญในสิ่งที่เป็นกุศล ละสิ่งที่เป็นอกุศลให้ยิ่งๆขึ้นไป ถ้าความคิดความปรารถนาของเรานั้นทำให้เกิดวิปฏิสารขึ้นทำให้ใจมัวหมองออกห่างจากสิ่งที่เป็นกุศลไปก็ขอให้ละความคิดที่เป็นตัวการขัดขวางกุศลนั้นๆเถิดครับแต่ถ้าความคิดใดที่ยังกุศลให้เกิดขึ้นก็ขอให้คล้อยตามความคิดที่เป็นกุศลนั้นๆไปและทำให้เจริญขึ้นในใจและกลายเป็นกายกรรมและวจีกรรมในทางกุศลต่อไปเถอะนะครับ
ทั้งนี้ทั้งนั้นทั้งหมดต้องมีพื้นฐานอยู่บนการเจริญสตินะครับไม่ใช่บนความฟุ้งซ่าน
ขอให้เจริญในธรรมนะครับ^^
ผมขอแนะนำให้ไปหาCDเรื่องบารมีในชีวิตประจำวันของ อ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มาลองฟังดูนะครับผมฟังแล้วได้ประโยชน์มากเลยครับ

ตอบโดย: ผู้ใหม่ในทุกๆความเป็นไป 07 เม.ย. 48 - 06:15


ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ การปรารถนาพุทธภูมิเพื่อจะช่วยเหลือสรรพสัตว์นั้นเป็นสิ่งที่ทำได้โดยยาก เป็นมหากุศล อันประกอบด้วยเมตตาอันยิ่งใหญ่ไม่มีประมาณ และขอให้คุณฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ พร้อมทั้งมีดวงจิตที่ตั้งมั่นในพุทธภูมิ หมั่นประกอบบุญกุศลและสะสมบารมี จนสามารถได้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลด้วยนะครับ

ตอบโดย: wit 07 เม.ย. 48 - 07:52


ขอขอบคุณทุกท่านครับที่ช่วยแสดงความคิดเห็น ตอนตั้งกระทู้พอดีเวลาไม่อำนวยเลยเขียนไม่ละเอียดครับ
            คือจากวันที่ตัดสินใจเลือกทางเดินตามคำอธิฐานต่อหน้าพระประธานก็เป็นเวลาเกือบ 6ปี แล้ว และจากนั้นก็ได้ศึกษาเรื่องราวของพระโพธิสัตย์มามากอยู่ ยิ่งได้รู้เรื่องยิ่งเทอดทูนพระพุทธเจ้าของเราเพิ่มขึ้นมากมาย จากคนที่ไม่รู้จักศาสนาตอนนี้ก็เป็นชาวพุทธจริงๆแล้ว และก็ได้มองเห็นการเกิดแก่เจ็บตายตามพุทธจริง ได้สวดมนต์ไหว้พระ ทำกุศลต่อคนอื่น ทำบุญ ทำสมาธิ และก็ตั้งใจว่าชักวันหนึ่งจะออกบวชบำเพ็ญธรรมตลอดชีวิตอย่างจริงจัง และคนรอบข้างผมก็พรอยได้ฝังธรรมกับผมไปด้วย เวลาเขาทำผิดผมก็ช่วยเตือนสติเขา และก็พยายามที่จะให้พ่อกับแม่เห็นทางแห่งธรรมเหมือนที่ผมเห็นด้วย แต่ก็นานๆจึงได้เจอกันเพราะผมทำงานเป็นวิศวะกรอยู่ กทม บ้านอยู่ มหาสารคาม ครับ .....

ตอบโดย: pook59 07 เม.ย. 48 - 08:25


เอาใจช่วยค่ะ  ทำเหตุให้มากๆนะคะ

เรื่องบารมีในชีวิตประจำวันของ อ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์  แนะนำให้อ่านค่ะ  ดีมากๆ

เอ..ทำไมมีแต่คนปรารถนาพุทธภูมิกันจังหว่า

ตอบโดย: ภพฺพาคมโน 07 เม.ย. 48 - 08:33


คุณ ภพฺพาคมโน เรื่องบางอย่างก็ยากแก่การอธิบายอยากแนะนำให้ลองอ่านพระสัทธรรมปุณฑริกสูตรดูครับ

ตอบโดย: wit 07 เม.ย. 48 - 09:42


    เอาละครับผมขอร่วมวงสนทนาด้วยคน แต่เอ้ กระทูนี้น่าจะไปอยู่ในเรื่องของ นิทานธรรมบันเทิง
จะได้ไม่ต้องมีการ ค้นหาข้อมูล และหลักฐานของความเป็นจริง เพื่ออ้างอิง เพื่อขัดแย้งกันจนหาที่จบไม่ได้ เพราะสุดท้ายเป็นเรื่องของความปรารถนา ที่ไกลเกินจากปัจจุบัน หรือเป็นเรื่องของจินตนการ หรือเป็นเรื่องสัมผัสสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ ว่าเป็นจริงหรือเท็จ แต่ก็จัดเป็นนิยายหรือนิทานทางธรรมเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
    แล้วผมก็จะเอาเรื่องพิสดารต่างๆ มาเล่าในเชิ่งบันเทิงต่อจากกระทู้นี้ให้อ่านกันเพื่อความบันเทิงสำหรับผู้ที่ยังชมชอบความบันเทิง จบแล้วก็วางลงเพียงแค่นั้น  เพราะหาเหตุและผลว่าจริงหรือไม่จริงไม่ได้ เมื่อจบแล้วก็เป้นเรื่องที่เป็น อจินไต หรือไม่มีสาระที่ต้องไปคิดจนฟุ่งซ้าน แต่สนุกและบันเทิงสำหรับผู้ชมชอบเรื่องเหล่านี้

  

ตอบโดย: Vicha 07 เม.ย. 48 - 11:21


หง่า...แล้วนิทานไปไหนละครับพี่มาหลอกให้อยากแล้วจากไปนี่นา(โป้ง - -")
ส่วนคุณภพฺพาคมโน(วุ๊ยไม่คุ้นเลยไอ้คิดเป็นภาษาบาลีแล้วพิมพ์เนี่ย - -")ลองไปหาเป็นCDมาฟังดูนะครับจะได้อรรถรสไปอีกแบบนึง

ตอบโดย: ผู้ใหม่ในทุกๆความเป็นไป 07 เม.ย. 48 - 12:45


ธรรมะสวัสดีค่ะ

   ไม่ค่อยเห็นด้วยที่คุณได้อธิษฐาน(เพื่อตัดความรำคาญในจิตใจ)ไปอย่างนั้น ว่าขอให้เป็นไปตามที่ได้เคยอธิษฐานไว้ในอดีตชาติเถิด...
    สิ่งที่คุณปรารถนานั้นก็เป็นมหากุศลนะคะ แต่คุณสามารถเปลี่ยนความตั้งใจในอดีตชาติได้ในทุกๆปัจจุบันจิตถ้าหากคุณต้องการ เพราะการเกิดตายในวัฎสงสารนั้นน่ากลัว น่าเบื่อยิ่งนัก หากคุณไม่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้านั้น คุณอาจบรรลุนิพพานได้ในภพชาตินี้เลยค่ะ ถ้าไม่ย่อหย่อนในการปฎิบัติ ก็ต้องบรรลุภายใน 7วัน, 7 เดือน หรือ 7ปี ตามบารมีค่ะ

ขอยกตัวอย่างนะคะ...

    พระอาจารย์วัดป่าท่านหนึ่งในช่วงหลังในการปฎิบัติของท่านค่อนข้างเนิ่นช้า ท่านส่งจิตดูรู้ว่าในอดีตชาตินั้นท่านปวารณาขอเป็นปัจเจกพระพุทธเจ้ามาตลอด จึงทำให้ในชาตินี้นั้นยังมิอาจบรรลุนิพพานได้ ท่านพิจารณาแล้วจึงขอถอนความปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้าดังกล่าว ในไม่ช้าท่านจึงได้บรรลุนิพพานค่ะ...นี่เอามาจากประวัติที่พระเกจิท่านหนึ่งได้เขียนเอาไว้นะคะ

ดังนั้นอยากขอให้คุณพิจารณาดูอีกทีเถิดค่ะ

     ตัวดิฉันเอง ขอเพียงเอาตัวเองให้หลุดพ้นเป็นพอ ไม่ได้คิดห่วงใยใครๆเลยค่ะ เพราะในที่สุดแล้วสัตว์โลกก็ย่อมเป็นไปตามกรรมของตน คุณเห็นว่าเขามีทุกข์จึงอยากช่วยเหลือ แต่แท้จริงแล้วเขาก็สุขอยู่ในกองทุกข์ กองกิเลสอยู่นั่นเอง และอาจยังไม่ต้องการพ้นทุกข์ค่ะ ในเมื่อเขายังไม่ถึงเวลา

ขอให้การปฏิบัติธรรมไปเถิดค่ะ แล้วอนาคตจะดีเอง


 

ตอบโดย: bipolar 07 เม.ย. 48 - 12:47


  เห็นด้วยกับพี่ Vicha แล้วค่อยนำเนื้อหามาลงสำหรับอรรถรสทางธรรมนะครับ...รออ่านครับ

ตอบโดย: พิทา 07 เม.ย. 48 - 12:49


ทำไมคนปรารถนาพุทธภูมิกันเยอะ จริงๆมีหลายสาเหตุครับ
บางคนเห็นพระพุทธเจ้าท่านเท่ห์ก็ปรารถนาพุทธภูมิ
บางคนเห็นพระพุทธเจ้าท่านมีความรู้มากก็ปรารถนาพุทธภูมิ
บางคนเห็นพระพุทธเจ้าท่านมีฤทธิ์มากก็ปรารถนาพุทธภูมิ
บางคนเห็นพระพุทธเจ้าท่านรูปงามมากก็ปรารถนาพุทธภูมิ
บางคนเห็นพระพุทธเจ้ามีปัญญามาก็ปรารถนาพุทธภูมิ
บางคนเห็นพระพุทธเจ้าท่านยิ่งใหญ่มากก็ปรารถนาพุทธภูมิ

ใครบ้างที่อยากเป็นพระพุทธเจ้าเพราะเห็นว่าพระองค์เคยอกหักมานับแสนชาติ
ใครบ้างที่อยากเป็นพระพุทธเจ้าเพราะเห็นว่าพระองค์เคยโดนฆ่าและปองร้ายมานับไม่ถ้วน
ส่วนใหญ่คนเราก็เห็นแต่ด้านดีๆตอนที่เป็นพระพุทธเจ้าแล้วทั้งนั้นครับ

แต่จะมีสักกี่คนที่เห็นพระพุทธเจ้าท่านเหน็ดเหนื่อยเพียงใดกับการสั่งสอนหมู่สัตว์
จะมีสักกี่คนที่เห็นว่าพระธรรมอันสูงค่านี้หาได้ยาก รู้ได้ยาก เข้าใจได้ยาก
ที่พระองค์ต้องเหน็ดเหนื่อยและต้องเผชิญทุกข์อย่างแสนสาหัสเพียงใด
เพื่อช่วยคนกลุ่มน้อยไม่กี่คนให้พ้นทุกข์ได้
ใครบ้างที่จะมีน้ำใจประเสริฐอย่างพระองค์ท่านที่ยอมลำบากและเหนื่อยยากเพื่อหมู่สัตว์
โดยที่บางคนก็ยังหันกลับมานินทาท่านต่างๆนานา
(เคยเห็นในกระทู้นึงที่มาตั้งข้อสงสัยว่าท่านเป็นเกย์)

ผมเคยได้ยินมาว่าพระโพธิสัตว์นั้นเป็นง่าย แต่จะไปให้ถึงเป็นพระพุทธเจ้านั้นแสนยาก
หากไม่ได้เริ่มด้วยมหากรุณาจิต หรือระหว่างสร้างบารมีมีมหากรุณาจิตเกิดเป็นระยะก็ยากมาก

ดังนั้นผู้ปรารถนาพุทธภูมิส่วนใหญ่เมื่อเห็นทุกข์หนักเข้าก็มักจะลาไปซะก่อน
ดังนั้นแม้ผู้ปรารถนาจะมีมากมายมหาศาล แต่ผู้ถึงได้จริงๆมีน้อยยิ่งกว่าน้อยครับ

ตอบโดย: rising_sun 07 เม.ย. 48 - 12:51


อนุโมทนากับคุณ rising_sunครับ อ่านไปหัวเราะไปแล้วก็ได้ข้อคิดต่างๆไปด้วย
ชอบมากๆเลยครับ

ตอบโดย: ผู้ใหม่ในทุกๆความเป็นไป 07 เม.ย. 48 - 14:02


เอาผมจะเล่าเรื่องบันเทิงทางธรรมในเรื่องแรกก่อน
   คำว่าบันเทิง ก็เป็นเรื่องบันเทิง ไม่ควรปรุงแต่งจนฟุ่งซ้านทำให้เป็นทุกข์ในภายหลัง

      นานมาแล้ว 20 กว่าปี เทพผู้ซึ่งบรรลุเป็นพระอรหันต์ สามารถทรงสังขารอยู่ได้เป็นเวลาพักใหญ่ (อาจเป็นเวลาหลายวันหรือหลายเดือนบนมนุษย์โลกมาแล้ว) ได้ปรากฏในการสัมผัส ในขณะที่ได้สัมผัสกับโอปาติกะอื่นหลายท่าน แล้วท่านก็สอนธรรม หลังจากสอนธรรมท่านก็กล่าวว่าอยากหนอ  ที่มนุษย์จะสือสัมผัสได้ชัดเจนอย่างนี้ จนทำให้เหล่าโอปาติกะได้ฟังธรรมกันได้ทั่วถึง
     จึงถามท่านว่า แล้วพระคุณท่านไม่สามารถเทศนาธรรมกับเหล่าโอปติกะเหล่านั้นได้โดยตรงหรือ?
      ได้รับคำตอบว่า  อาตมาไม่ได้มีวาสนาบารมีทำได้อย่างนั้น แม้แต่ในภพภูมิเดียวกัน ก็มีแต่เพียงบางส่วนบางกลุ่มเท่านั้นที่แนะนำเทศนาธรรมได้ก็กับผู้ทีมีวาสนาต้องกันเท่านั้น ภพที่สูงกว่าเทศนาธรรมได้ยาก เพราะความต่างกันของภพภูมิ ส่วนภพที่ต่ำกว่าจะรวมกลุ่มกันเพื่อฟังธรรมก็มีน้อย  ซึ่งก็บางส่วนก็ได้มาสนทนากับท่านอยู่แล้ว ส่วนภพที่สูงกว่าต่างก็สนใจติดตามดูติดตามฟังท่านอยู่แล้ว
     จึงถามท่านว่า ที่ท่านมานี้ประสงค์ที่จะเทศนาธรรมอย่างเดียวหรือ?
     ได้รับคำตอบว่า  อาตมาไม่ได้มาเพื่อเทศนาธรรมอย่างเดียว อาตมามาเพื่ออนุเคราะห์โยม เพื่อให้โยมได้สมบูรณ์ในสิ่งที่ยังพล่องอยู่  เพราะแต่ก่อนอาตมาก็ปรารถนาเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าเหมือนกัน แต่เมื่อพิจารณาความทุกข์ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ และความยาวนานของภพภูมิ ก็เกิดความเบื่อหน่าย มองไปในอดีตก็ไม่เห็นว่าตนเองได้รับพุทธพยากรณ์เลย มองไปในอนาคตก็ไม่เห็นว่าจะได้รับพุทธพยากรณ์เมื่อไหร? เมื่อชั่งใจดูแล้วก็ไม่เห็นจะสำเร็จเมื่อไหร? จึงคลายความปรารถนาปฏิบัติธรรม ละกิเลสเพื่อนิพพานในภพปัจจุบัน  เมื่อเห็นโยมยังพล่องอยู่ในผู้ที่ปรารถนาเป็นเอกในเรืองฤทธิ์ เพราะอัครสาวกเบื้องซ้ายและผู้ชำนาญเอกทัคคะทางฤทธิ ยังไม่ปรากฏมีได้รับพุทธพยากรณ์มาก่อนเลย
       จึงถามแบบสงสัยว่า อย่างนั้นอัครสาวกเบื้องขาว ก็ได้รับพยากรณ์แล้วนะสิ ครับ
        ท่านตอบว่า อัคครสาวกเบื้องขวาของท่านมีแล้ว    เอาละเดี๋ยว ผู้ที่ปรารถนาเพื่อตั้งมั่นในสมัยของท่านในอนาคตกาล จะปรากฏมาบอกกล่าวให้ท่านได้ทราบ อาตมาก็ไปทำกิจต่อ
        แล้วท่านก็ถอดออกไปจากการสัมผัส
        สักผักหนึ่งก็มีผู้มาสัมผัสแล้วกว่าว่า  เราเป็นพรหมอยู่พรหมโลก ได้ติดตามฟังและสนใจท่านอยู่ ขอตั้งความปรารถตั้งมั่นเป็นเอกใน...... ในสมัยของท่าน    เมื่อกล่าวเสร็จก็ถอนออกไป
        สักผักหนึ่งก็มีผู้มาสัมผัสแล้วกว่าว่า  เราเป็นเทพชั้น... ได้เห็นและได้ติดตามดูท่านโดยตลอด ขอตั้งความปรารถนาตั้งมั่นเป็นเองใน.... ในสมัยของท่าน  เมื่อกล่าวเสร็จก็ถอนออกไป
        สักผักหนึ่งก็มีผู้มาสัมผัสแล้วกว่าว่า  เราเป็นพรหมฌาน 4 มีความปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องขวามีปัญญาเป็นเลิศในสมัยของท่าน
        จึงเกิดความเอ่ะใจจึงถามไปว่า  อย่างนั้นท่านก็ได้รับพุทธพยากรณ์แล้วใช่ไหม?
        พรหมตอบว่า  ได้รับพุทธพยากรณ์มาแล้ว
        จึงถามต่อไปว่า  ท่านได้รับพุทธพยากรณ์มานานแล้วหรือยัง?
        พรหมตอบว่า   ได้รับพุทธพยากรณ์มานานมากแล้ว
        จึงถามต่อไปว่า  ท่านรู้ได้อย่างไร
        พรหมตอบว่า  รู้ด้วยจิตของความเป็นพรหม    แล้วท่านก็ถอนออกไป
หลังจากนั้น ก็มีเทพเทวดาเหลายท่านทีมีตั้งความปรารถนา
       แต่ได้ถามท่านเหล่านั้นก่อนว่า  ยังอีกยาวนานนะ ต้องทุกข์ไปอีกยาวนานนะ ท่านไม่หวั่นไหวหรือ?
       ส่วนมากจะตอบว่า  ด้วยความเป็นเทพย่อมรู้ฐานะตนเอง ว่ายังไม่สามารถบรรลุได้ในภพนี้ เมื่อใจปรารถนา ก็ตั้งความปรารถนาเพื่อตั่งมั่นไว้ก่อนย่อมเป็นการดีกว่า
      หลังจากนั้นก็ยุติการสัมผัสเข้านอนตามปกติ

      เช้าวันใหม่เป็นวันพระ   แล้วตกคืนนั้นก็ลองสัมผัสใหม่ อรหันต์ที่เป็นเทพก็สัมผัสทันที ก็กล่าวคำทักทายกันเพื่อทำความรู้จัก เพื่อความไม่ผิดคน
      แล้วท่านก็บอกว่า  อาตมาได้เทศนามาตั้งแต่เมื่อคืนที่แล้วของโลกมนุษย์จนถึงคืนนี้ของโลกมนุษย์ และพึ่งจบการเทศนานี้เอง  โยมก็มีผู้ที่ตั้งความปรารถนาในสมัยของโยนก็หลายท่าน แต่เอะ ไม่มีผู้ที่ตั้งความปรารถนาเพื่อเป็นอัครสาวกเบื้องช้ายที่มีฤทธิ์เป็นเลิศเลยหรือ?
      แล้วท่านก็มองไปทั่ว  กล่าวว่า มีผู้ใดปรารถนาบ้างหรือไม่?
      แต่ก็เงียบ สักพักหนึ่งท่านก็ถอนออกไป แล้วก็มีเทวดาองค์หนึ่งเข้ามาสัมผัสแบบสั่นๆ เล็กน้อย แล้วกว่าว่า   โอ้เรามีปีติมากๆ ได้ฟั่งเทศนาธรรมของพระอรหันต์ ได้เห็นท่านแสดงฤทธิ์ ที่พิสดาร เราชอบในฤทธิ์นั้นมาก อยากมีฤทธิ์เยี่ยงท่าน อยากเป็นเลิศในทางฤทธิ์ แต่เราไม่มั่นใจถึงบารมีของเราที่ได้ปรารถนามายาวนานเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตนั้นจะเพียงพอต่อการจะปรารถนาเปลี่ยนเป็นอัครสาวกเบื้องช้ายได้หรือไม?   เช่นเดียวกันเราไม่เห็นว่าเราได้รับพุทธพยากรณ์มาก่อนเลย และไม่รู้ว่าจะได้รับพุทธพยากรณ์เมื่อไร? เหมือนดังท่านพระอรหันต์
     ดังนั้นเราจึงตัดสินใจ ละความปรารถนาเหมือนดังท่านพระอรหันต์นั้น แต่จิตใจเรายังปรารถนาเป็นเลิศในทางฤทธิ์ให้ได้อยู่ และเห็นว่าสามารถตั่งมั่นเพื่อเป็นเลิศในทางฤทธิ์ในสมัยของท่านได้อยู่ ซึ่งใช้เวลาสั้นกว่า ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าที่ไม่รู้ว่าจะได้เป็นหรือเปล่า? แต่ก็ไม่รู้ว่าบารมีจะมากพอที่จะเป็นอัครสาวกเบื้องช้ายได้หรือเปล่า?
       จึงขอกล่าวสัจจะ ตั้งมั่นปรารถนาเพื่อเป็นเลิศในฤทธิ์ในสมัยของท่าน  แล้วเทพนั้นก็ถอนออกไป
   
    หลังจากนั้นก็ได้สนทนากับพระอรหันต์ที่เป็นเทพนั้น สักพักหนึ่งก็ยุติ เข้านอนตามปกติ

   เรื่องบันเทิงธรรมนี้ ให้แง่คิด ให้เกิดความเห็นได้ต่างๆ นาๆ แล้วแต่หยิบยกไปปรุงแต่งต่อ ตีเป็นนิทาน หรือนิยายก็ได้ ตีเป็นเรื่องอุปทาน ปรุงแต่งของจิต ก็ว่าได้ ตีเป็นเรื่องไม่มีสาระก็ว่าได้ เนอะ! ต่างๆ นาๆ
      แต่ก็ขออย่างเดียวอย่าให้ก่อเกิดเป็นทุกข์ กับกับจิตใจและอารมณ์ จนฟุ่งช้านไม่เป็นปกติ ในฐานะของความเป็นมนุษย์
      ถ้าเกิดความฟุงช้าน ก็ขอให้เลือกสรรจิตที่เป็นปัญญา ระงับความฟุ่งช้านนั้นเสียอย่างพอเหมาะพอควรตามฐานะ
    
    จบเรื่องที่หนึ่ง (น่าจะไปอยู่ในหมวดของบันเทิงธรรม  สำหรับเรื่องปรารถนาต่างๆ ที่ยาวไกล เพราะไม่เป็นสาระเลยกับหมวด ชีวิตกับธรรม)

ตอบโดย: Vicha 07 เม.ย. 48 - 16:20


        พี่วิชา

ตอบโดย: Pansak 07 เม.ย. 48 - 16:57


         
อนุโมทนา สาธุ ด้วยครับ  คุณ วิชา

ขอให้เจริญในธรรมครับ

ตอบโดย: อินเดีย 07 เม.ย. 48 - 17:19


ขอบคุณครับสำหรับทุกคำตอบ
           ขอให้ทุกท่านมีแตความเจริญรุ่งเรืองและพ้นทุกข์ได้ในที่สุดครับ ...

ตอบโดย: pook59 07 เม.ย. 48 - 17:29


แหะๆเรื่องมีสีสันมันส์ๆผมชอบบบ^0^

ตอบโดย: ผู้ใหม่ในทุกๆความเป็นไป 07 เม.ย. 48 - 17:53


  ขอบคุณมากครับพี่วิชา สำหรับเนื้อหาที่นำมาเพื่อเพิ่มอรรถรส  

ตอบโดย: พิทา 07 เม.ย. 48 - 19:14


เคยมีโอกาสสนทนากับหลวงปู่ท่านหนึ่ง ท่านกล่าวว่าไม่มีใครหรอกที่ไม่เคย
ปราถนาเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อมาพิจารณาดูก็เห็นจริงดังนั้น เพราะทุกคนก็อยาก
เป็นคนดี และพระพุทธเจ้าก็เป็นหนึ่งในคนดีทั้งหลายที่เราสามารถดูเป็นแบบ
อย่างได้ การสร้างบารมีเพื่อโพธิญาณนั้นเป็นศิลปะของการดำเนินชีวิต เราต้อง
เรียนรู้ที่จะสร้างสมดุลระหว่างความเบื่อหน่ายในกองทุกข์และความเมตตาต่อ
สรรพสัตว์ เมื่อใดที่ความเบื่อหน่ายมีมากกว่าความเมตตา บุคคลผู้นั้นก็จำเป็น
ต้องลาพุทธภูมิและมุ่งปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์เป็นที่สุด อิทธิบาท4 เป็นธรรม
บทสำคัญที่จะนำเราไปสู่เป้าหมายได้ เริ่มต้นด้วยฉันทะคือความรักในโพธิญาณ
เพราะเห็นแล้วว่ามีประโยชน์ใหญ่หลวงต่อสรรพชีวิต หลายท่านแค่เริ่มต้นก็ผิด
เสียแล้วคือมีความหลงในโพธิญาณจนกลายเป็นตัณหาไป เมื่อสร้างบารมีธรรม
ไปเรื่อยๆ จิตเริ่มมีสติปัญญามากขึ้นความหลงและตัณหาเริ่มลดน้อยลงไป ความ
ปรารถนาต่อพุทธภูมิก็พลอยลดน้อยลงไปจนทำให้อาจจะปฏิบัติเพื่อเข้าสู่สาวกภูมิ
หรือปัจเจกพุทธภูมิได้ บางท่านมีความเพียรในการสร้างบารมีมากจนไม่ประมาณ
กำลังตนทำให้ประสบณ์ทุกข์หนักก็เป็นเหตุนำไปสู่การลาได้อีกเช่นกัน เหตุสำคัญ
อันนำไปสู่การลาพุทธภูมิคือเวลา หรือความยาวนานในการสร้างบารมีจนสำเร็จ
ฉะนั้นผู้เริ่มต้นไม่ควรคำนึงถึงเวลา ควรรู้จักผ่อนหนักเบาบ้างในการสร้างบารมี
จนเริ่มรู้แนวรู้หลักมีฐานมั่นคงแล้วก็ลองทดสอบบารมีโดยการประกาศให้หมู่ชน
ทราบบ้าง จนสุดท้ายมีจิตอันตั้งมั่นไปแปรเปลี่ยน จิตและโพธิญาณหลวมรวมเป็น
หนึ่งคือโพธิจิตแล้ว ก็จะได้รับพุทธพยากรณ์ต้อนรับเข้าสู่พุทธวงศ์เป็นหน่อเนื้อ
พุทธางกูรที่จะเติบโตไปสู่พระพุทธเจ้าในกาลต่อไป

ตอบโดย: เบญจ์ 07 เม.ย. 48 - 19:40


ชอบที่คุณเขียนนะ คุณเบญจ์   สบายดีน่ะครับ

สมัยตอนผมบวช ผมก็อธิษฐานต่อหน้าพระพุทธรูปอย่างที่คุณทำน่ะแหละครับ  ถ้ามีอะไรที่เป็นคำมั่นสัญญาเดิม ที่เราเคยให้ไว้ ให้เป็นไปตามนั้น  แล้วคุณก็ทำไปเลย เต็มที่ วัดบารมีกับมันว่า  คุณจะเดินวิปัสนา ไปตามทางจนสุดสาย ไม่ต้องกลัวว่าจะหลุด มันไม่หลุดหรอก เพราะถึงที่สุด ใจเจ้าของจะย้อนกลับมาเตือนตัวเอง

การช่วยเหลือทางโลก  ก็ทำไปตามที่ควรเป็น อย่างที่คุณเบญจ์บอกนั่นแหละครับ

ตอบโดย: คนกวน 07 เม.ย. 48 - 20:42


บางครั้ง การที่คิดว่าเราได้เลือกทางเดินในชีวิตเรานั้น ความจริงทางนั้นเราอาจมิได้เลือกเองเลย อาจเป็นแต่เพียงอุปทานของเราเองว่าเป็นทางที่เราเลือก ความยินดีในพุทธภูมินั้นเอง ที่อาจเป็นอุปสรรคสำคัญอย่างยิ่งสิ่งหนึ่งสำหรับผู้ปรารถนาพุทธภูมิ ตะปูยังทิ่มติดใต้ฝ่าเท้าอยู่ จะเดินทางไกลได้อย่างไรกัน

ขออนุโมทนากับทุกๆท่านที่ปรารถนาพุทธภูมิครับ สรรพสัตว์ใหญ่น้อยทั้งหลายยังคงวนเวียนรอการชี้นำหนทางอยู่ครับ

ขอให้เจริญในธรรมครับ

ตอบโดย: zen 07 เม.ย. 48 - 21:53




ตอบโดย: ศดานัน 07 เม.ย. 48 - 22:27


เห็นรูปนี้แล้วรู้สึกเย็นใจจังครับ
ขอบพระคุณที่กรุณาหารูปสวยๆแบบนี้มาให้ชาวลานธรรมทั้งหลายได้ชื่นใจนะครับ

ขอให้เจริญในธรรมครับ

ตอบโดย: zen 07 เม.ย. 48 - 22:51


เป็นสัณชาติญาณของมนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลาย ก็ว่าได้ อยากเป็น อยากได้ในสิ่งที่ดี ดีกว่า ดีที่สุด ดีเลิศที่สุด และดีที่สุดของที่สุดจนไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ก็อยากได้สิ่งนั้นๆ มันก็คือตัณหา อยู่ดี ...ดีเท่าไร มันก็ตัณหาพาไปอยากทั้งนั้น

เมื่อความจริงปรากฎจากการที่ต้องทำเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่อยากได้...การลงมือทำ มันยากเย็นเหลือคณา ...ตัณหามันก็สั่นคลอน...ปัญญามันหาทางรอด...มันก็ถอนตัณหานั้นได้...ถอนได้มากขึ้น จนหมดตัณหา ....เรื่องพุทธภูมิก็จบลงเพราะตัณหาดับ ด้วยประการละฉะนี้ สาธุ    

ตอบโดย: ธง 07 เม.ย. 48 - 23:49


ยินดีค่ะ คุณเซ็นZEN  ถือว่ารูปนี้เป็นสิ่งแทนดวงจิตของแก้ว
ที่น้อมเคารพ และอนุโมทนาต่อผู้ประพฤติธรรมทุกท่าน

ไม่ว่าจะเป็นพุทธภูมิ หรือ สาวกภูมิก็ตามค่ะ

ตอบโดย: ศดานัน 08 เม.ย. 48 - 00:55


ใช่รูปองค์หญิงในชาติก่อนที่จะมาเป็นสุเมธดาบสรึเปล่าอ่ะครับ?

ตอบโดย: ผู้ใหม่ในทุกๆความเป็นไป 08 เม.ย. 48 - 03:35


  สาธุครับ คุณ ZEN  ความคิดเห็นที่23

ขอให้เจริญในธรรมครับ

ตอบโดย: อินเดีย 08 เม.ย. 48 - 07:01


เส้นทางแห่งพุทธภูมินี้ลำบากแท้บางครั้งกระแสแห่งมรรค ผล นิพพาน ก็เป็นเอก บางครั้งกระแสของพุทธภูมิก็เป็นเอก บางครั้งกรรม บริวารก็เป็นเหตุให้เลือกกระแสพุทธภูมิ บางครั้งกำลังปัญญาก็เป็นเหตุให้เลือกกระแส มรรค ผลนิพาน  ในแต่ละชาติละชาติเหล่าพุทธภูมิก็ต้องฟันผ่าอุปสรรคกับกำลังปัญญาทางมรรค ผล นิพพานกันไป ถ้าใครกำลังปัญญาทางมรรค ผล นิพพานมากกว่า ก็ลาพุทธภูมิกันไป และถ้าใครจิตยังยึดมั่นเป็นจิตโพธิ ก็ต้องสู้และฟันฝ่ากันไป ในแต่ละชาติที่เกิดมา ว่าจะต้องระลึกได้เสมอว่าเดินทางไหนอยู่ อันนี้ก็ลำบาก
สุดท้ายขออำนาจ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ดลบันดาลให้เหล่าพุทธภูมิมีกำลังต่อสู้กับอุปสรรคและมีความสามารถในทางธรรมในทุกชาติและปลอดจากการตกอบายภูมิ และไปสู่เส้นทางที่ตั้งหวัง  และดลบันดาลให้เหล่าพุทธภูมิที่มีปัญญาเห็นทุกข์ชัดก็ขอให้มีกำลังมากๆเพื่อเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ...(ผิดพลาดประการใดแนะนำผมด้วยครับ)
พุทธพงษ์

ตอบโดย: พุทธพงษ์ 08 เม.ย. 48 - 09:12


    เรื่องบันเทิงธรรม นั้นทำให้ผู้ที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าหวั่นไหวไปเหมือนกัน  ซึ่งเป็นธรรมดาของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ เมื่อยึดมั่นสิ่งใด และสิ่งที่ยึดมั่นโดนกระทบ หรือได้รับรู้กับสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความยึดมั่น ความสั่นคลอนในอารมณ์(จิตเปลือกนอก)ก็ยอมบังเกิดขึ้นเป็นธรรมดา   ไม่ว่าจะเป็นนิยตโพธิสัตว์หรืออนิยตโพธิสัตว์ ซึ่งเหตุเพียงนี้เพียงทำให้เกิดการสั่นคลอน แต่จะทำให้ล้มเลิกความยึดมั่นนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ ตามแนวทางของผู้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า เพราะความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้านั้นจะฝั่งอยู่เป็นอนุสัยมหากุศลจิต เมื่ออธิฐานปรารถนา หรือกล่าววาจาปรารถนาต่อ พระพุทธหรือพระพุทธรูปหรือเจดีย์สัญยะลักษณ์ในพุทธศาสานา และพระสงฆ์ ไม่ใช่อารมณ์ที่เป็นจิตเปลือกนอก

      ดังนั้นจิตเปลือกนอกหรืออารมณ์หรือความคิดนั้นย่อมเป็นไปได้ตามสิ่งที่กระทบ  ให้ยากมีอยากเป็น หรือไม่อยากมีอยากเป็น หรือคิดปรุงแต่งว่าต้องสร้างสมบารมี หรือคิดจะเลิกไม่เอาแล้ว เป็นเรื่องธรรมดาของอารม์หรือจิตเปลือกนอก แต่จิตที่อธิฐานปรารถนาที่เป็นอนุสัยมหากุศลจิตนั้นยังสลักแน่นอยู่
       และเมื่อมีเหตุให้ต้องทุกข์ทรมานอันยาวนานจนทนแทบไม่ได้ และได้รับรู้ว่าตนเองได้ปรารถนาเพื่อพุทธภูมิ จิตเปลือกนอกก็คิดที่จะอธิฐานเลิกไม่เลิกกลับมาอยู่อย่างนั้น เป็นธรรมดา

      ดังนั้นการที่ผู้ปรารถนพุทธภูมิที่ยั่งไม่แน่นอน นั้นต้องมีเหตุอันควร และประสบกับเหตุอ้นควร จึงจะลาพุทธภูมิได้ ไม่ใช่เหตุเพียงเล็กๆ น้อยๆ  ดังนี้ (ขอทำภารกิจก่อน เดียวมาต่อใหม่)

     
      

     

ตอบโดย: Vicha 08 เม.ย. 48 - 09:34


ชอบคุณVicha อธิบายจังเลยครับแฝงด้วยพลังมากทีเดียวครับ  เหตุอันควร และประสบกับเหตุอ้นควร จึงจะลาพุทธภูมิได้ รบกวนช่วยอธิบายหรือยกเหตุการณ์ด้วยครับ มีประโยชน์มากจริงๆครับ
ขอบคุณครับ

ตอบโดย: พุทธพงษ์ 08 เม.ย. 48 - 10:14


   ขอเสนอความคิดเห็นต่อนะครับ (เป็นการวิเคราะห์ส่วนตัวนะครับ คงไม่มีใครหลงคิดไปว่าผมบิดเบียนธรรมมาเสนอนะครับ เพราะเป็นการวิเคราะห์ส่วนตัว ผิดหรือถูกก็ย่อมเป็นไปได้)
 
     ดังนั้นการที่ผู้ปรารถนพุทธภูมิที่ยั่งไม่แน่นอน นั้นต้องมีเหตุอันควร และประสบกับเหตุอ้นควร จึงจะลาพุทธภูมิได้ ไม่ใช่เหตุเพียงเล็กๆ น้อยๆ  ดังนี้
     1.ได้พบกับพระพุทธเจ้า และได้ฟังคำสังสอนเกิดศรัทธา เห็นประโยชน์ของธรรมอันใกล้เป็นที่ตั้ง บริบูรณ์ด้วยความเห็นในธรรมอันใกล้ ไมใส่ใจในธรรมอันเนีนนานไกล ก็สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้ในขณะที่ฟังธรรมนั้นเลยโดยไม่ต้องอธิฐานลา
     2. ได้พบกับพระพุทธเจ้า ได้ฟังคำสังสอนแล้วเกิดศรัทธา  เห็นประโยชน์ของธรรมอันใกล้เป็นที่ตั้ง บริบูรณ์ด้วยความเห็นในธรรมอันใกล้ ไมใส่ใจในธรรมอันเนีนนานไกล ได้เห็นพระพุทธองค์และปฏิบัติธรรมอยู่เนื่องๆ ทวายชีวิตปฏิบัติธรรมแก่พระพุทธองค์ ก็สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้ในช่วงเวลานั้น
    3. ได้พบกับพระพุทธเจ้า ได้ฟังคำสั่งสอนแล้วเกิดศรัทธา แล้วอนุสัยมหากุศลกระทุ้นเตือน ปรารถนาเป็นดังพระพุทธองค์ แต่หาได้ตังจิตอธิฐาน หรือกล่าววาจาอธิฐานต่อพระพุทธองค์ที่เห็นอยู่ที่รู้อยู่ เมื่ออยู่ใกล้เมื่อได้ฟังธรรม หรือปฏิบัติธรรมอยู่เนื่องๆ ก็ย่อมเห็นประโยชน์ของธรรมอันใกล้เป็นที่ตั้ง ก็สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้ในช่วงเวลานั้น โดยไม่ต้องไปอธิฐานลา
   4.ได้พบกับพระพุทธเจ้า ได้ฟังคำสั่งสอนแล้วเกิดศรัทธา แล้วอนุสัยมหากุศลกระทุ้นเตือน ปรารถนาเป็นดังพระพุทธองค์ แต่และได้ตังจิตอธิฐาน หรือกล่าววาจาอธิฐานต่อพระพุทธองค์ที่เห็นอยู่ที่รู้อยู่ ในชีวิตนั้นก็มีโอกาสที่จะบรรลุนิพพานน้อยมาก(ไม่ใช่ไม่มี เพราะเปลี่ยนใจกันได้)
   5.ได้พบกับพระพุทธเจ้า ได้ฟังคำสั่งสอนแล้วเกิดศรัทธา แล้วอนุสัยมหากุศลกระทุ้นเตือน ปรารถนาเป็นดังพระพุทธองค์ แต่และได้ตังจิตอธิฐาน หรือกล่าววาจาอธิฐานพระพักตก์ แล้วพระพุทธองค์ตรงตรัสพุทธพยากรณ์ เป็นครั้งแรกก็จะเป็นนิยตโพธิสัตว์ ที่เทียงแท้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตอย่างแน่นอน
     หมายเหตุ พระนิยตโพธิสัตว์ เมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้าจะได้รับพุทธพยากรณ์ซ้ำโดยตรง เมื่อได้ทำอธิการในกองบูญกุศลต่อพระพุทธองค์โดยตรง   แต่ถ้าเพียงแต่ตรัสถึงโดยอ้อมหรือโดยกลุ่มไม่ตรงตัวต่อตัวในขณะที่ได้ทำอธิการในกองบุญกุศลต่อพระพักตร์ ก็ไม่ถือว่าได้รับพุทธพยากรณ์ซ้ำโดยตรง
    6.ได้พบกับพระอรหันต์ที่มีปฏิสัมภิทา 4 หรืออภิญญา 5 ก็มีโอกาสลาพุทธภูมิได้ง่าย เพราะเห็นคุณในอรหันต์(นิพพาน)และปฏิสัมภิทา และฤทธิ์อันใกล้ ได้ฟังคำสังสอนและปฏิบัติธรรม ก็อธิฐานลาก็สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้โดยง่าย (ดังเช่นเทพ ในเรื่องบันเทิงธรรมที่เล่า เพราะท่านศรัทธาในคูณพระอรหันต์และในฤทธิ์ของพระอรหันต์ ที่เคยปรารถนาพุทธภูมิเหมือนท่าน แต่เทพองค์นั้นยังติดอยู่ที่ความเป็นเลิศแห่งฤทธิ์อยู่ และเห็นว่าความมีโอกาศที่เป็นเลิศแห่งฤทธิ์มีความเป็นไปได้ในอนาคตที่ไม่ไกลมากมายนัก ที่จะไปปรารถนาพุทธภูมิอันไม่แน่นอน เทพองค์นั้นจงขอตั้งมั่นไว้ก่อน แต่อนาคตข้างหน้าอาจเปลียนแปลงอีกก็ได้เพราะความไม่แน่นอน)
    7.ไม่ได้พบพระพุทธเจ้า ไม่มีโอกาสได้ศรัทธาหรือพบกับพระอรหันต์  แต่นำหลักธรรมไปปฏบัติวิปัสสนาญาณเกิดขึ้นแล้วเกิดขึ้นอีก จนเบื่อหน่ายในวัฏฏสังขาร ก็อธิฐานลาพุทธภูมิดังเช่นเทพอรหันต์ในเรื่องบันเทิงธรรมที่เล่า
    8. ไม่ได้พบพระพุทธเจ้า ไม่มีโอกาสได้ศรัทธาหรือพบกับพระอรหันต์  ไม่ได้นำหลักธรรมไปปฏบัติวิปัสสนาญาณก็ยังไม่เกิด   แต่เบื่อหน่ายในชีวิตเบื่อหน่ายในความทุกข์ที่ได้รับ และไม่ฟังเหตุผลว่าถ้าปรารถนาพุทธภูมิ จะต้องทุกข์ยาวนานไม่รู้สำเร็จเมื่อไหร? ก็เกิดการท้อแท้อธิฐานลาไปก็มี ก็รอโอกาสที่ได้พบกับพระพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ หรือพระอริยะ หรือได้ปฏิบัติธรรมอย่างถูกต้อง ก็จะบรรลุมรรคผลนิพพานได้โดยไม่ยากนัก
    9. ผู้ที่สร้างบารมีร่วมกันปรารถนาพุทธภูมิเหมือนกัน มีความผูกพันโดยภพโดยชาติที่ดีกันมาโดยตลอด  เมื่อมีผู้หนึ่งได้รับพุทธพยากรณ์ก่อน และหลักจากนั้นก็ยังได้ผูกพันโดยภพโดยชาติที่ดีต่อกันอันเป็นเวลายาวนาน ผู้ที่เหลื่อก็ยังไม่ได้รับพุทธพยาการณ์ บางส่วนก็ลาพุทธภูมิ บรรลุมรรคผลนิพพานไปก่อนแต่ก็ยังได้มาอนุเคราะห์ต่อกัน ก็มีบางส่วนลาพุทธภูมิแล้วอาจจะน้อมใจเพื่อปัจเจกพุทธเจ้าหรืออัครสาวกเบื้องขาวหรือเบื้องซ้าย หรือพระอเสติ ตามลำดับ หรือผู้ที่จะเป็นหลักสืบทอดพระศาสนาให้ตั้งมั่นอยู่เป็นเวลายาวนาน

    หมายเหตุ  การอธิฐานลาพุทธภูมิต่อสิ่งศักษ์สิทธิ์ในพุทธศาสนา ก็จะทำให้อนุสัยมหากุศลที่ฝั่งอยู่ในจิตนั้นถอนออกมา แต่เมื่ออธิฐานกลับไปใหม่อนุสัยมหากุศลก็กลับฝั่งไปใหม่ จนกว่าจะตั้งมั่นอย่างใดอย่างหนึ่ง คือลาเพือบรรลุมรรคผลนิพาพานและได้บรรลุมรรคผลนิพพาน  หรือตั้งมั่นจนได้รับพุทธพยากรณ์
 
    เอาละครับผมได้วิเคราะห์ตามที่ผมเข้าใจได้ 9 ข้อ
  ความจริงจะเอาเรื่องบันเทิงธรมมาเล่าให้ฟังอีกเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับข้อ 9 สนุกไม่แพ้นิทานเลยละครับ แต่อาจจะเอาไว้หลังสงกราณ์ เพราะผมอาจไม่ได้ใช้เน็นยาวเลย ตอนนี้ผมวงแผนขับรถไปเยี่ยมแม่ โดยขับรถไปเรื่อยแล้วก็พัก ซึ่งจะต้องใช้เวลาเดินทางไปและกลับถึง 4 วัน แล้ว จึงไม่มีเวลาใช้เน็ตแน่นอน
 

ตอบโดย: Vicha 08 เม.ย. 48 - 11:39


  สาธุครับ คุณ วิชา
  หลังสงกรานต์จะมารอฟังต่อครับ ถ้าเหตุปัจจัยยังมีอยู่เพื่อที่จะได้รับฟังต่อครับ

ขอให้เจริญในธรรมครับ

ตอบโดย: อินเดีย 08 เม.ย. 48 - 12:08


ผมดีใจจริงๆครับที่มีหลายๆท่านได้เข้ามาตอบกระทู้กัน
   มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยและก็ได้ความรู้เพิ่มเติมอีกมาก แต่ถ้าถามใจตนแล้วก็ไม่มีความลังเลสงสัยในสิ่งที่ตนเลือกเลย และขอเทิดทูนพระพุทธเจ้าใว้เหนือนเศียรเก้ลาแม้ชีวิตก็ยอมสละได้    และก็ได้รู้จักพุทธศาสนาจริงๆไม่ใช่เพียงในนาน และอารมภ์ก็มีแต่พระพุทธเจ้าสถิตอยู่
   ธรรมนี้ดีเป็นเครื่องทำลายกิเลสแท้ แม้ตอนที่ความโลภ โกรธ หลง เข้าครอบงำอย่างหนักแต่เมื่อนึกถึงธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนแล้วน้อมเข้ามาพิจารณาแล้วก็ทำให้รู้ทันกิเลสและรีบห้ามเสียได้
  และทำให้มองเห็นความไม่เที่ยงโดยตรงเลยครับ ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปเมื่อผมนำมาพิจารณาแล้วทำให้คลายความยึดมั่นถือมั่นลง ตามลำดับและก็อยากให้คนอื่นเขาได้รู้และเข้าใจด้วยเพื่อเข้าจะได้มีโอกาสพ้นทุกข์เสียได้และก็น่าสงสารนักถ้าเกิดว่าเขาต้องตายไปพร้อมกับความไม่รู้ทิศรู้ทางอีกไม่รู้อีนนานแค่ไหนครับ เลยผมก็ดีใจครับที่ทุกท่านได้แลกเปรี่ยนสนทนาธรรมกันเลยทำให้ผมได้มีความรู้เพิ่มขึ้นอีกมาก

    

ตอบโดย: pook59 08 เม.ย. 48 - 17:46


written by : หลวงพ่อตอบปัญหา (ตอบโดย พระภาวนาวิริยคุณ)
--------------------------------------------------------------------------------


เส้นทางการสร้างบารมี

ถาม : หลวงพ่อครับ กว่าที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมาบังเกิดขึ้นในโลกนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องสร้างบารมีอย่างมาก อยากให้หลวงพ่อสรุปการสร้างบารมีของพระองค์ เพื่อให้พวกเราได้อาศัยเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไปด้วยครับ ?
ตอบ : หลวงพ่อขอฝากพวกเราไว้ว่า เรามีบรมครูอย่างนี้คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งสร้างบารมีเป็นต้นแบบให้เราดูให้เราทำตาม เป็นบรมครูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก จนกระทั่งบัดนี้ทั้งโลกแม้จะนับถือพุทธศาสนาหรือไม่ก็ตาม เขายอมรับในความยิ่งใหญ่บรมครูของเราแล้ว ขอให้พวกเราได้พยายามตั้งใจสร้างบุญสร้างบารมี ตามที่พระองค์ได้ทำเอาไว้ให้ดูอย่างประเภทเต็มกำลัง

ขอสรุปการสร้างบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลังจากได้ค้นพระไตรปิฎกมาพอสมควร ว่ามีอยู่ ๔ ประการใหญ่

ประการที่ ๑ สิ่งแรกที่นักสร้างบารมีต้องทำคือ ทาน เพราะว่าจะได้เป็นเสบียงติดตัวไปทั้งภพนี้และภพหน้า กองทัพไม่ว่ากองทัพโลกหรือกองทัพธรรมต้องเดินด้วยท้อง เดินด้วยเสบียงทั้งนั้น การที่เราสละทรัพย์สร้างสภาธรรมกายสากลก็ดี สร้างมหาธรรมกายเจดีย์ก็ตาม นั่นเป็นการเก็บเสบียงของพวกเราและแม้ทุกวันนี้พวกเราตั้งใจมาทำทานที่วัด สิ่งนี้ก็เป็นการเก็บเสบียงบุญ เพราะเสบียงบุญ เมื่อเก็บไว้ให้มาก ถึงคราวใช้จะได้มีสมบัติตักไม่พร่อง ถ้าทำนิดๆ หน่อยๆ ตักไปช้อน ๒ ช้อนก็พร่องเสียแล้ว แล้วจะไปรำพึงรำพันกับใคร เพราะเสบียงหมดกลางทาง IMF ถึงได้ขย่มเอา ถ้ามีสมบัติมากๆ IMF จะมาบีบอะไร เพราะฉะนั้นตั้งใจทำทาน เก็บเสบียงให้ดี เกิดไปกี่ภพกี่ชาติไม่ว่าเศรษฐกิจหรือโลกจะเป็นอย่างไร เราจะไม่สะดุ้งสะเทือน สร้างบารมีต่อไปได้โดยไม่เดือดร้อน

ประการที่ ๒ ตั้งใจรักษาศีลให้ดี ทั้งศีล ๕ ทั้งศีล ๘ ศีล ๕ ต้องรักษาให้ได้ในทุกโอกาส ส่วนศีล ๘ มีโอกาสพยายามรักษาให้ได้ ขอให้มองชัดๆ อย่ามองว่าศีลคือข้อบังคับ แต่มองศีลว่าเป็นความสะอาด ยิ่งรักษาได้เคร่งครัดเท่าไร ยิ่งมีความสะอาดทั้งกาย วาจา ใจ ทำไมจึงว่าอย่างนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงชี้ชัดลงไปว่า มนุษย์ถึงแม้จะอาบน้ำวันละร้อยหน เอาสบู่ฟอก เอาแปรงขัดเข้าไป ถ้ายังฆ่าสัตว์ ยังลักทรัพย์ ยังเจ้าชู้อยู่ ก็ชื่อว่ากายไม่สะอาด เพราะฉะนั้นถ้าเรารักษาศีล ๓ ข้อแรกได้ดีเท่าไร นั่นกายสะอาดขึ้นมาเท่านั้นอีกเช่นกัน ถึงแปรงฟันวันละร้อยหน แปรงให้เหงือกขาดด้วย ชื่อว่าปากยังไม่สะอาดอยู่ดี ถ้ายังพูดเท็จ พูดคำหยาบ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อนินทาเขาอยู่ แต่ว่าถ้ารักษาศีลข้อที่ ๔ ไว้ดี นั่นปากสะอาดแล้ว แม้ฟันจะอยู่ครบหรือไม่ครบก็ตาม ยิ่งศีลข้อที่ ๕ ข้อที่ ๖ ข้อที่ ๗ ข้อที่ ๘ ไล่กันเรื่อยไปก็เป็นการเพิ่มความสะอาดทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจขึ้นมาอีก เพราะฉะนั้นรักษาศีลกันชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพันเข้าไป ยิ่งรักษาทั้งกายทั้งวาจายิ่งสะอาด ถ้ามองศีลว่าเพิ่มความสะอาดให้กับตัวเราแล้วจะมีกำลังใจรักษาศีล

ประการที่ ๓ เรื่องการทำสมาธิ จะรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นสมาธิ รู้ได้จากความสว่างที่เกิดขึ้นขณะที่เรานั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ สมาธิเป็นเรื่องของความสว่าง ส่วนความสงบใจนิดๆ หน่อยๆ นั่นเป็นเบื้องต้นของสมาธิ ยังไม่ใช่ตัวสมาธิ ตัวสมาธิจริงๆ ก็คือความสว่างที่เกิดขึ้นภายใน เมื่อก่อนหลับตามืดตื้อเหมือนเข้าถ้ำ ฝึกไปก็ยังมืดอยู่ แต่ว่าไม่มืดอย่างกับถ้ำ ไม่มืดอย่างกับถ่าน มันมืดเทาๆ ฝึกไปจากมืดเทาแก่เปลี่ยนเป็นมืดเทาอ่อนๆ หนักเข้าชัก นวลๆ สว่างๆ ขึ้นมา แล้วสว่างไปตามลำดับๆ ใจเราสว่างได้มาจากพื้นฐานคือการรักษาศีลต้องให้ดี สะอาดแล้วมันค่อยมาสว่าง เมื่อไรดวงปฐมมรรคปรากฏ องค์พระปรากฏ นั่นเป็นความก้าวหน้าของสมาธิที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นใครที่นั่งแล้วยังไม่สว่างกับเขา หรือสว่างแต่ยังไม่ได้อย่างใจ ให้รู้ไว้เถอะว่า สมาธิของเรายังดีไม่พอ ขยันนั่งกันต่อไป เมื่อไรสว่างเหมือนกับกลืนเอาดวงจันทร์ในคืนวันเพ็ญไว้ในท้อง นี้พอเข้าเค้าแล้ว ตอนนี้กลืนหิ่งห้อยไว้ก่อนก็ยังดี ตั้งใจทำไป ขอให้รู้ว่าสมาธิเป็นเรื่องของความสว่างที่ผุดขึ้นมาในใจ

ประการที่ ๔ ความสว่างของปัญญา ปัญญาเป็นเรื่องของความสงบ สมาธิไม่ใช่เป็นเรื่องของความสงบหรือ? มันสงบเหมือนกัน แต่จุดเด่นของสมาธิอยู่ที่ความสว่าง จุดเด่นของปัญญาคือความสงบ ทำไมจึงสงบ? เพราะสว่างด้วยธรรมกายภายในจนกระทั่งรู้เท่าทันหมด มันเลยสงบ หลอกกันไม่ได้ ถ้าเห็นนี่ยังตื่นเต้น เห็นนั่นยังตื่นกลัว แสดงว่าปัญญายังไม่พอ ถ้าคนที่มีปัญญาพอ เห็นอะไรมองทะลุปรุโปร่งไปถึงต้นเหตุหมด ไม่ตื่นเต้นเลยสงบ ให้นั่งสมาธิให้มาก ให้สว่างข้างในมากๆ จนกระทั่งเข้าถึงธรรมกายได้ อาศัยธรรมกายไปดูสารพัดเรื่อง เห็นด้วย ตาธรรมกายเมื่อไร ความตื่นเต้นความตื่นกลัวทั้งโลกจะหมดไม่เหลือ เพราะฉะนั้นปัญญาคือความสงบ เพราะรู้เท่าทันทุกเรื่อง ไม่มีตื่นเต้น เสบียง สะอาด สว่าง และสงบ เป็นงานของพวกเราที่จะต้องทำกันอย่างสุดชีวิตจิตใจ ใครทำได้จะได้เป็นลูกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าใครหย่อนไปมากเท่าไร ก็ห่างบรมครูของตัวเองไปมากเท่านั้น


หลวงพ่อหวังว่า เมื่อเราได้มาย้อนระลึกถึงการสร้างบารมี การโปรดสัตวโลกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของเรา การสร้างบารมีของพระองค์เมื่อสมัยยังเป็น พระโพธิสัตว์ การโปรดสัตว์ของพระองค์หลังจากตรัสรู้แล้ว จนกระทั่งทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน เมื่อมาเปรียบเทียบกับการสร้างบารมีของพวกเราแล้ว พบว่าเรายังมีงานที่จะสร้างบารมีให้ยิ่งยวดขึ้นไปตามพระองค์อีกมาก
................................................................................................................





copy from : หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม 7 (ตอบโดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
--------------------------------------------------------------------------------


ผู้ชายปรารถนาพุทธภูมิ

ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ ผมดูหนังทางโทรทัศน์เรื่อง พระเวสสันดร ดูแล้วเกิดความเลื่อมใส นั่งดูด้วยความเคารพ โดยคิดว่าเป็นพระเวสสันดรองค์จริง เมื่อท่านให้ทานต่าง ๆ เพื่อปรารถนาพระโพธิญาณ ผมก็ยกมืออนุโมทนาด้วยความยินดี และตั้งจิตอธิษฐานว่า...
"ด้วยกุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าได้อนุโมทนา ในการสร้างบารมีของพระเวสสันดรในครั้งนี้ แม้พระเวสสันดร ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเพียงไร ขอให้ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญบารมีจนครบถ้วน ๓๐ ทัศ และได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลองค์หนึ่งเหมือนกับพระเวสสันดรด้วยเถิด"
กระผมอยากจะทราบว่าการตั้งใจปราถนาของกระผมจะสำเร็จสมความตั้งใจไหมครับ?
หลวงพ่อ : จะเริ่มเป็นพุทธภูมิทันทีเมื่อตัดสินใจ คือว่าเรื่องปรารถนาพุทธภูมินี่นะ คนที่ถามนี่ใครนะ เข้มแข็งมากนี่ คือว่าเรื่องความปรารถนาพุทธภูมินี่ไม่ใช่เรื่องเล็กนะ ถ้าตั้งใจที่จะปรารถนาพุทธภูมิเป็นพระโพธิสัตว์เดี๋ยวนั้นนะ แล้วก็ถ้าตั้งใจแบบนี้นะ ถ้าคิดว่าจะไปนิพพานชาตินี้ต้องลาพุทธภูมิ ความจริงปรารถนาพุทธภูมิดี...ดีมาก จะเล่านิทานให้ฟังเรื่องหนึ่งเอาไหม แต่เคยเล่าทีไรมันได้แสนบาทนี่...(หัวเราะ)

คือว่ามีพระอรหันต์องค์หนึ่ง เป็นปฏิสัมภิทาญาณในสมัยพระพุทธเจ้า ฉันก็จำชื่อไม่ได้เสียแล้ว ท่านมีสามเณรองค์เล็ก ๆ อายุ ๗ ขวบอยู่องค์หนึ่ง เวลาไปเฝ้าพระพุทธเจ้าท่านก็เอาสามเณรไปด้วย เวลาไปหาพระพุทธเจ้าท่านก็กราบพระพุทธเจ้าหลายครั้ง

ต่อมาเวลาขากลับเณรน้อยก็เดินตามหลัง เณรน้อยก็คิดว่าอาจารย์ของเราเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ เป็นอรหันต์อันดับสูงสุด ในด้านของความสามารถอรหันต์อีก ๓ เหล่าสู้ไม่ได้ แต่ทว่าอาจารย์ของเรายังต่ำกว่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านั่งสูงกว่า...สู้ไม่ได้ ต่อไปนี้เราปรารถนาพุทธภูมิดีกว่า เราคิดว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าต่อไป พอแกคิดเสร็จอาจารย์ก็หยุด บอก..."เณร! เดินข้างหน้า"

เณรก็เดินไปเดินมาแล้วก็นึก เอ...เป็นพระพุทธเจ้าต้องบำเพ็ญบารมีมาก เป็นอรหันต์ปกติสาวกบำเพ็ญบารมีแค่ ๑ อสงไขยกับแสนกัปถึงจะเป็นอรหันต์ได้ พระพุทธเจ้าขั้น ปัญญาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขย กับแสนกัป ศรัทธาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมี ๘ อสงไขยกับแสนกัป วิริยาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมี ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป จึงเข้านิพพาน เราเป็นอรหันต์ธรรมดาดีกว่า อาจารย์บอก..."เณร! เดินหลัง" อาจารย์ทำแบบนี้ ๓ เที่ยว

เณรก็ถามว่า "อาจารย์ครับ ประเดี๋ยวให้ผมเดินหน้า ประเดี๋ยวให้ผมเดินหลัง มันเรื่องอะไรกันครับ?"

อาจารย์ก็ถามว่า "ขณะที่ฉันให้เธอเดินหน้า เธอคิดอะไร?"

เณรบอก "ผมคิดอยากเป็นพระพุทธเจ้าครับ"

อาจารย์บอก "นั่นแหละ...มันเป็นกันตั้งแต่ตอนนี้ เริ่มเป็นเมื่อคิด"

ไป ๆ มา ๆ ไม่เอาดีกว่า เป็นสาวกดีกว่า ก็รวมความว่า...ถ้ามีความตั้งใจปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า เริ่มเป็นพระโพธิสัตว์ตั้งแต่เริ่มตัดสินใจ อย่าไปคิดว่ายังไม่เป็นนะ
................................................................................................................






copy from : หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษเล่ม ๒ (ตอบโดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
--------------------------------------------------------------------------------


พุทธภูมิ

ผู้ถาม "หลวงพ่อครับ ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมินี่จะทราบได้อย่างไรเขาบำเพ็ญบารมีแบบไหนครับ....?"
หลวงพ่อ "ตัวของเขาทราบเอง เหมือนคุณกินเกลือ คุณรู้ว่าเค็มหรือเปล่า....?"

ผู้ถาม (หัวเราะ) "แล้วเหตุใดพระโพธิสัตว์บางองค์จึงลาจากพุทธภูมิครับ....?"

หลวงพ่อ "เพราะอยากลา นี่ตอบไม่ยาก คือภาระของพุทธภูมินี่เวลาเขาทำๆ ไป ถ้าตั้งระยะไว้ไม่ยาว พวกนี้เขาช่วยพระพุทธศาสนา เขาก็ทำกิจของพุทธภูมิเช่นกัน แต่ว่าถ้าหากจะช่วยพระพุทธศาสนา ถ้าความเข้มแข็งไม่มีมันช่วยไม่ได้ เพราะพวกนี้อารมณ์ของเขามีอย่างเดียว คือไม่ห่วงตัวเอง ถ้าตัวเองไม่มีกิน ถ้าคนอื่นกินได้ ไอ้นี่เขาพอใจ แต่พวกที่ลาจริง ๆ ส่วนใหญ่ก็ใกล้พระนิพพานแล้ว ถ้าไม่ใกล้เขาไม่ลา ลาแล้วไม่กี่วันก็ได้พระอรหันต์ เพราะกำลังเขาเกิน อย่างคุณเรียนเตรียมอุดม ถ้ากลับไปทำงานประเภทหลักสูตรแค่ ม.๓ คุณไม่ต้องใช้กำลังมาก ใช่ไหม....?"

ผู้ถาม "ใช่ครับ"

หลวงพ่อ "เหมือนกัน คนที่ปรารถนาพระโพธิญาณเรียกว่า พระโพธิสัตว์ ทีนี้พวกที่ใกล้ที่สุดอย่างเช่น ถ้าเป็นปัญญาธิกะอย่างน้อยที่สุดก็ต้องสงไขยที่ ๔ ในกัปนั้นแหละ ท่านจะบรรลุมรรคผลหรือกัปนั้นแหละที่บารมีจะเต็ม สำหรับพวกที่ปรารถนาเป็นสาวกภูมินี่ใช้เวลาอย่างน้อย ๑ อสงไขยกับแสนกัป ส่วนอัครสาวกหรือพระปัจเจกพุทธเจ้า ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างน้อย ๒ อสงไขยกับแสนกัป เข้าใจไหม...?"

ผู้ถาม "เข้าใจครับ...หลวงพ่อครับ หลวงปู่ปานท่านก็บำเพ็ญบารมีเพื่อปรารถนาพระโพธิสัตว์เหมือนกันใช่ไหมครับ....?"

หลวงพ่อ "หลวงปู่ปานรู้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ตอนแรกๆ ไม่รู้ว่าเต็มหรือไม่เต็ม เต็ม หมายความว่า ปรมัตถบารมีเต็ม มารู้ทีหลัง คือว่าเวลาทำบุญ ท่านเปล่งวาจาปรารถนาพระโพธิญาณกลางที่ชุมนุมชน คือท่ามกลางสมาคม ท่านเปล่งชัดออกมาเลยว่า "ผลงานนี้ขอให้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ" ไม่ใช่งุบงิบๆ ถ้างุบงิบละก็ยังอีกนาน กลัวเขาจับได้"

ผู้ถาม "หลวงพ่อคะ ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ จะต้องฝึกอภิญญาไหมคะ....?"

หลวงพ่อ "ก็ต้องฝึก ถ้าอุปบารมีนี่ จะทำงานในเรื่องของอภิญญาเป็นปกติ ถ้าอุปบารมีไม่ต้องห่วงหรอก เหาะเกือบทุกชาติเกิดชาติไหนก็เหาะชาตินั้น ต้องได้อภิญญาทุกชาติ พระโพธิสัตว์นี่ถ้าถึงขั้นปรมัตถบารมีแล้วก็ไม่ลงนรก ตอนนี้เข้าขั้นตัดนรก แต่ถ้าอุปบารมีนี่ยังเป็นลูกผีลูกคน ยังแยกไปได้ ๒ ทาง ถ้าปรมัตถบารมีต้องทำ ๑๐ ชาติ พอถึงชาติสุดท้ายตีรวมบารมีเลย พอเข้มข้นหมด เต็มอัตราปั๊บ ท่านก็ยิ้มไปอยู่ชั้นดุสิต รอจนกว่าจะถึงวาระ พอถึงวาระแล้วก็ต้องลงมาเกิดเป็นคนก็ต้องบำเพ็ญบารมีอีก รวบรวมกำลังบารมีแล้วก็ตรัสรู้ บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ก็คือ บรรลุอรหันต์ด้วยตัวเอง"
 

ตอบโดย: _ธรรม_ 08 เม.ย. 48 - 21:15


  เป็นการวิเคราะห์ที่มีเหตุมีผลอและได้อรรถรสมากๆเลยครับ ...

ตอบโดย: พิทา 09 เม.ย. 48 - 01:07


ขอบพระคุณมากค่ะ คุณวิชา สำหรับเรื่องเล่ากึ่งวิเคราะห์ ที่นำมาโพสต์ให้อ่าน
จะรออ่านต่อ หลังสงกรานต์ค่ะ..

เดินทางโดยสวัสดิภาพนะคะ

ตอบโดย: ศดานัน 09 เม.ย. 48 - 04:04


อ้างอิง (ผู้ใหม่ในทุกๆความเป็นไป @ 08 เม.ย. 48 - 03:35)
ใช่รูปองค์หญิงในชาติก่อนที่จะมาเป็นสุเมธดาบสรึเปล่าอ่ะครับ?



รูปนี้...แก้วเองก็ยังไม่ทราบที่มาเลยค่ะ ว่าจะใช่ "เจ้าหญิงสุมิตตาเทวี"
อย่างที่คุณ "ผู้ใหม่ในทุกๆความเป็นไป"(ชื่อย้าวยาว) สงสัยรึเปล่า  

ตอบโดย: ศดานัน 09 เม.ย. 48 - 06:05


  ^^"

ตอบโดย: ผู้ใหม่ในทุกๆความเป็นไป 09 เม.ย. 48 - 16:21


ขอนำเรื่องเล่ากึ่งวิเคราะห์ของพี่ที่เคารพท่านนึง มาให้อ่านเพื่อความบันเทิงธรรมนิดนึงค่ะ

ลักษณะเด่นของพุทธภูมิที่บำเพ็ญมาแล้วพอสมควร

- เป็นคนเก่งเหนือปุถุชนทั่วไป รู้รอบ ชอบศึกษาทุกๆอย่าง มีระบบการคิดการแก้ปัญหาอย่างยอดเยี่ยม ศึกษาเรียนรู้สิ่งใหม่ๆได้รวดเร็วและลึกซึ้ง

- เป็นผู้นำโดยธรรมชาติ กล้าหาญ มีผู้คนชื่นชอบ เป็นนักพูดต่อหน้าสาธารณชนได้อย่างน่าอัศจรรย์ แม้เพิ่งได้พูดเป็นครั้งแรกและไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน

- บ่อยครั้งมีเหตุบังเอิญให้ได้รับสิ่งพิเศษกว่าคนอื่น

- มีบุญคล้ายพระอนุรุทธ ถึงยากดีมีจนอย่างไร ก็มักไม่ขาดสิ่งที่อยากได้ต้องการ บางอย่างอาจนึกอยากได้ไว้นานจนลืมแต่ในที่สุดก็จะได้มา

- ในบางสถานการณ์ก็แลกได้อย่างไม่กลัวหน้าอินทร์ หน้าพรหม ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตาย

- เป็นจอมอึด จอมลุย ทนความลำบากทรมานได้เหนือมนุษย์ ไม่บ่น ไม่ระบายด้วย แต่ถึงอยากจะระบายก็ไม่ค่อยมีคนฟังอย่างเข้าใจเห็นใจจริงๆ หรือนึกว่าโม้ หรือสถานการณ์ที่ต้องลำบาก ทุกข์ทรมานนั้นซับซ้อนเกินกว่าคนทั่วไปจะเข้าใจได้ คนที่จะเข้าใจได้ต้องเป็นพุทธภูมิคณะเดียวกัน ต้องเหนื่อยและเหงาลึกๆสุดๆตลอดชีวิต

- วิบากหนักผิดคนทั่วไป เพราะกำลังใจที่จะช่วยบริวารของตน แม้อเวจีก็ไม่กลัว เวลาประสพบาปเคราะห์ มักมีอาการพระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก แถมด้วยดาวหางถล่ม ชนิดถ้าคนทั่วไปเจอก็ไม่ลุกแล้ว แต่พวกบารมีพุทธภูมิที่ทำพอสมควร ก็อาจจะเก็บอาการ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

- ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ใจใหญ่ ใจนักเลง ใครเป็นบริวารอย่างซื่อสัตย์ถวายหัวก็ตอบแทนให้ถึงใจ แม้ชีวิตก็สละให้ ไม่เสียดาย

- ไม่ค่อยเก็บสะสมเงินทอง ทำบุญบ้าง แจกพรรคพวกบริวารบ้าง บางทีก็สงเคราะห์ชาวบ้านหมดตัวได้ง่ายๆ

- ทรงฌาน ทรงฤทธิ์ ทรงอุตตริมนุสสธรรม เช่น แม้ยังไม่ได้ฝึกฝนก็พอจะสังเกตได้ว่า เป็นคนหลับง่ายทุกสถานที่ ทุกสถานการณ์ หัวถึงหมอนก็กรนเลยเหมือนปิดสวิทช์ มีลางสังหรณ์ หรือสัญชาตญาณแม่นยำเป็นปกติเกินกว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ มีพรสวรรค์อ่านใจดูลักษณะนิสัยคนได้เก่ง เดาใจคนอื่นเก่ง

- ถ้าอยู่ในเขตพระพุทธศาสนา จะเห็นว่ามีอุปัชฌาย์อาจารย์กี่องค์ก็มักจะชัดเจนว่า ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ที่มากล้นด้วยบารมีแล้ว หรือเป็นพระอริยเจ้าที่เคยบำเพ็ญพุทธภูมิมานานมากแล้วลา

- "โค ตะ ระ" ดื้อ มีความมั่นใจในตัวเองสูงอิ๊บอ๋าย
     
 

ตอบโดย: ศดานัน 10 เม.ย. 48 - 02:34



อู้หู.... เลิศเลอ อาไรจะปานนั้น..

สาธุ ค่ะ สาธุ ...
อนุโมทนากับคุณ  ศดานัน อย่างสูงค่ะ ... สาธุ..

     

ตอบโดย: อาไรบ้าง 10 เม.ย. 48 - 03:00


เรื่องเล่าเชิงวิเคราะห์น่ะค่ะ อ่านเล่นๆหรืออ่านจริงๆก็ได้ค่ะ
ลายเซ็นคุณอาไรบ้าง น่ารักนะเนี่ย...ถูกใจ  

ตอบโดย: ศดานัน 10 เม.ย. 48 - 03:06


 

ตอบโดย: wit 10 เม.ย. 48 - 08:29




  

   

ตอบโดย: อาไรบ้าง 10 เม.ย. 48 - 12:29


http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X3405325/X3405325.html


แง่คิดจากพระ เล่าสู่กันฟัง (ไม่ลับ ไม่ลึก)
ตอนบวชผมเคยไปอยู่วัดป่าที่สระบุรี   ท่านเจ้าอาวาสได้กล่าวธรรมซึ่งตรงกับใจผม

เรื่องก็มีอยู่ว่า ผมเป็นพระ  แต่มีทิฐิมานะ คิดว่าพระองค์นั้นดี องค์นั้นไม่ดี ปฏิบัติไม่เหมาะสมบ้าง  จริยาไม่งามบ้าง  ต่างๆนานา  ตามประสาคนช่างคิด    นึกว่าอยู่วัดป่าจะดี

พอว่างๆก็มักส่งจิตไปวุ่นวายกับเรื่องของพระองค์นั้นองค์  สวดมนตร์ไม่เพราะบ้าง อะไรบ้าง  (แต่ก็คอยด่า คอยปรามใจตัวเอง ทุกที  ทำไงได้ใจผมมันไว้กว่าสติ เลยตามไม่ทัน)

อยู่มาวันหนึ่ง  เจ้าอาวาสท่านก็เทศให้พระให้โยมฟังว่า

   การที่เราได้บวชอยู่นี่ก็ดี   บางองค์ก็บวชอยู่ไม่นาน  หลังจากสึกไปแล้ว ก็มีหลายคนที่ไปพูดถึงวัด ถึงพระในทางที่ไม่ดี ไม่เหมาะสม หรือแม้จะเป็นคนในวัดก็ตามที
ที่ไม่ควรเพราะว่า ทุกคนที่มาอยู่ในที่นี้
ต่างมีความตั้งใจที่ดี แต่ก็มีบ้างที่มีนิสัย มีจริยาที่ไม่เหมาะไม่ควร  แต่เราก็ไม่ควรเอามาใส่ใจ

พระพุทธเจ้าให้เราใช้ปัญญาในการมองสิ่งต่างๆ   ถ้างั้นทำไมเราไม่ลองใช้ปัญญาของเราดูซิว่า ทุกคนรอบๆตัวเรา จะเป็นใครก็ตาม  เรามองไปให้ถึงที่สุด ในอนาคตข้างหน้า จะช้าหรือเร็ว ทุกคนก็จะรวมกันเป็นหนึ่งเดียว  เป็นศากยบุตร พุทธชินโนรส  เป็นหน่อเนื้อของพระพุทธเจ้า

ถ้าคิดได้อย่างนี้ เราสึกเป็นฆราวาสก็กราบพระได้สนิทใจ  เราเป็นพระเราก็ไหว้กันได้สนิทใจ  เพราะอะไร เพราะว่าเราเห็นด้วยปัญญาสมมุติของเราแล้วว่า  จริงแล้วทุกคนก็ต้องนิพพานด้วยกันทั้งหมด มีแต่ความบริสุทธิ์  คิดได้อย่างนี้ก็สบายใจ เราก็มีความรักซึ่งกันและกัน  มีความเคารพกัน  เพราะเราจะไปสู่ที่จะเดียวกันในที่สุด

หลังจากที่ผมได้ฟังธรรมจากท่าน  ก็เกิดปัญญาคิดตาม ใจก็ปรอดโปร่งเหมือนก็ภูเขาไฟที่ปะทุอยู่ออกไปเลย

 
จากคุณ : Great P  - [ 9 เม.ย. 48 22:06:17 ]
 

ตอบโดย: ศีลวตี 10 เม.ย. 48 - 13:52


รู้สึกสุขใจจังเลย ขอบพระคุณครับ

ตอบโดย: พุทธพงษ์ 11 เม.ย. 48 - 09:14


โห อ่านแล้วโดนใจในหลายๆความเห็นเลยครับ
ทั้งคุณเบญจ์ (ชื่อคล้ายๆผมเลยคับ  )  กับมุมมองใหม่ที่ผมไม่เคยคิดถึงมาก่อน
คุณ Vicha วิเคราะห์เรื่องราวต่างๆได้อย่างลึกซึ้ง
เรื่องราวเรื่องเล่าต่างๆที่คุณ ศดานันนำมาให้อ่าน อ่านแล้วรู้สึกดีครับ แอบโดนในหลายๆข้อ
เรื่องของหลวงปู่ฝากไว้ของ คุณ _ธรรม_ ก็ชอบครับอ่านแล้วได้ความรู้ดีมาก

และของอีกหลายๆท่านในที่นี้ครับ
ขอบคุณสำหรับเจ้าของกระทู้ ซึ่งเข้ามาตั้งความเห็นครับ
ได้รับสิ่งที่เป็นประโยชน์มากมายครับ
สาธุ สาธุ สาธุ      

ตอบโดย: เบญจ 11 เม.ย. 48 - 12:16


ขอเสนอความคิดตนเองอีกนิดหนึ่งครับ
อ่านไปอ่านมาทำให้สรุปได้อย่างหนึ่ง
คือ ความคิดเห็นของคนเรามีได้มากมาย หลากหลายมากๆครับ
ทุกๆครั้งที่ผมอ่านความเห็นใครต่อใคร จะได้มุมมองใหม่อยู่เรื่อยๆ แต่ละมุมมองล้วนมีเหตุผลอยู่ในตนเอง ซึ่งผมอ่านแล้วก็ไม่เห็นว่าจะผิดซักกะมุม
 
มีหลายๆเรื่องที่เรายังไม่รู้จริง ตราบใดที่เรายังไม่รู้จริง สิ่งที่เราทำได้คือตั้งความปรารถนาดีไว้ก่อน
ทำในสิ่งที่มีผู้รู้สอนแล้วว่าถูกต้อง ตั้งมั่นในความดีไปเรื่อย และหาความรู้ ความสามารถในด้านต่างๆเพิ่มเติมให้กับตนเอง วันใดทำได้เต็ม ทำได้พอ สิ่งที่เรามุ่งหวังย่อมมาถึงเองตามเหตุปัจจัยที่เราทำไว้ครับ

กมฺมุนา วตฺตตีโลโก

สัตว์โลกทั้งหลายย่อมดำเนินไปตามเส้นทางกรรมที่ตนเองเคยทำไว้ครับ

อ่านกรรมพยากรณ์อาทิตย์นี้ของคุณดังตฤณ มีข้อความโดนใจอีกแล้วครับ

"ถ้าหานิยามของชีวิตตัวเองเจอ เอาแค่คำจำกัดความสั้นๆ ที่เด่นชัดที่สุด
นั่นแหละรูปแบบวิบากกรรมหลักที่ต้องก้มหน้ารับ แต่ระหว่างเสวยวิบากนั้นเอง
ศักยภาพของมนุษย์จะเปิดโอกาสให้ตัดสินใจเลือกเดินบนเส้นทางที่ดีขึ้นหรือเลวลง"

กรรมพยากรณ์

อนุโมทนาสำหรับความคิดเห็นดีๆของทุกๆท่านครับ        

ตอบโดย: เบญจ 11 เม.ย. 48 - 12:30


   ผมได้เดินทางกลับถึงกรุงเทพฯ เมื่อวาน 6 โมงเย็น (14/04/48)โดยปลอดภัยทุกประการ แต่เหนื่อยสักนิด
   ที่กลับมาไวเพราะวางแผนการเดินทางผิด ตอนแรกกะว่าจะใช้เวลาเดินทาง 4 วัน แต่เมื่อเดินทางจริงใช้เวลาเดินทางไปกลับแค่ 22 ชั่วโมงเอง
   ตอนแรกประมาณว่าเมื่อตั้งเข็มไมล์เป็น 0 จากกรุงเทพฯ ระยะทางทั้งหมดที่ใช้รถ ประมาณ 2500 กิโลเมตร์ แต่เมื่อใช้จริงแค่ ประมาณ 2000 กิโลเมตร์ (รวมทั้งพาครอบครัวและแม่ไปตามสถานที่ต่างๆ ในตัวจังหวัด ออกเทียวและทำบุญทุกวันเลย ได้เทียวและไหว้พระถึง 9 วัด เก็บภาพทะเลและภาพวัดได้มากเลย)
  การวางแผนผิดพลาดเกิดจากการที่ผมมีช้อมูลเก่า เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วดังนี้
    1.ข้อมูลเก่า ระยะทาง กรุงเทพฯ - พัทลุง  ประมมาณ  1140 กม.
       ข้อมูลใหม่  ระยะทาง กรุงเทพฯ - พัทลุง ประมาณ   950 กม.
    2.ข้อมูลการเดินท่างเก่าจากเพื่อนๆ ถนนนั้นละบากมาก ขับรถความเร็ว 120 กม/ชม ถือว่าดีที่สุดแล้ว (ผมจึงจะเอาน้ำมันใส่ในกระป้องสำรองไปด้วย แต่ภรรยาห้ามไว้)
       ข้อมูลใหม่ เมื่อขับไปจริง สามารถทำความเร็วได้ถืง 130 กม/ชม ถนนดีมากแยกเลนออกเป็นสองฝั่ง (การประสานงาชนกันจึงมีโอกาศเกิดได้น้อย) รถก็ไม่มีวิ่งกันเลย โล่ง เพราะเดินทางก่อนวันหยุด และกลับก่อนที่จะหมดวันหยุด ใช้เวลาเดินทางจาก กท. ไป พท. เพียงแค่ 10.5 ชั่วโมง รวมทั้งพักและแวะเต็มน้ำมั้น เสียค่านำมันไปกลับและเทียวในเขตจังหวัดพัทลุง ประมาณ 5500 บาท รวมระยะทางประมาณ 2053 กม (เป็นรถที่กินน้ำมันมาก 2.7 บาทต่อ กิโลเมตร ถ้าเป็นรถประหยัดนำมันจะใช้น้อยกว่านี้)
   เอาละครับส่วนที่จะเล่าเรื่องบันเทิงธรรมเอาไว้ก่อนนะครับ  ตอนนี้ขอมารายงานตัวก่อนนะครับ เพราะยังเหนื่อยอยู่(ขับรถคนเดียว)

ตอบโดย: Vicha ไม่ได้ล็อกอิน 15 เม.ย. 48 - 11:31


ไม่คิดถึง จะดีว่าไหม ?
รับผลที่เคยทำมาให้ดีที่สุด แล้วก็สร้างเหตุใหม่ตามปัจจัยที่ได้รับมา

เช่น ถ้าเจอ ขอทาน ระหว่างทาง คุณจะเลือกให้ หรือไม่ให้ ก็ยังไม่รู้ว่าจะใช่ที่ใจคุณคิด
และสิ่งที่รู้จะถูก หรือเปล่า ?

ค่อยๆเป็น ค่อยๆไป จะดีกว่าครับ ไม่เครียด สบายๆ ง่ายๆ เบาๆ

ตอบโดย: eayx 16 เม.ย. 48 - 14:39


   หายไปหลายวัน วันนี้ได้เข้าเน็ตอย่างเป็นปกติ จึงจะเล่าเรื่องบันเทิงธรรมให้ฟัง แต่ก่อนเล่าผมขอแยกความเห็นให้พิจารณาก่อน ในการวางใจ เพื่อความเข้าใจ ในธรรมชาติของการศึกษาที่จะไม่เป็นโทษในภายหลัง จึงควรทำความเข้าใจ ภาวะการรับรู้ดังนี้
     1.การมีสติรู้สภาวความเป็นจริงของรูปและนาม (ปฏิบัติธรรมอยู่)
     2.ภาวะความเป็นจริงทางวิชาการตามหลักฐานะ ทางสังคม ทางฐานะ การเป็นอยู่และความเป็นมนุษย์ ทำให้ไม่หลงภาวะทางสังคม ฐานะ และไม่หลงภพภูมิ
     3.ภาวะความคิด ต้องรู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ สนใจคิดเรื่องอะไรอยู่ กำลังจมอยู่ในความคิดเรื่องอะไรอยู่  ก็จะไม่ทำให้หลงไปในความคิด จนลืมภาวะทางฐานะของความเป็นมนุษย์
     4.ภาวะจินตนาการ คือบางครั้งก็ต้องปล่อยให้ไหลไปตามจินตนาการณ์ เหมื่อนดังปล่อยสายว่าว ในขณะที่เล่นว่าวอยู่ แต่ไม่หลงลืมขาดสติ จากภาวะความเป็นจริงทางสังคมทางฐานะและความเป็นมนุษย์

    เมื่อเราเข้าใจและแยกแยะได้ทั้ง 4 ข้อ ได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะมีเรื่องอัศจรรย์  พิลึกลั่น กับตัวเอง หรือได้ยินได้ฟังเรื่องจากผู้อื่น ก็จะไม่ทำให้เรามีอารมณ์ความคิดความเห็นผิดเพียนไปจากความเป็นจริง ตามข้อ 2.ได้    สามารถย่อให้สันลงเพียง 3 ข้อสำหรับคนทั่วไปดังนี้
    1.ความจริงทางโลก
    2.ความคิด
    3.จินตนาการ
  ถ้ามีสติปัญญาแยกแยะได้ และดำรงณ์ความเป็นจริงทางโลกได้ ไม่ว่าจะมีเรื่องพิศดาร หรือพิลึกพิลั่นเกิดขึ้นกับตนเอง หรือได้ยินได้ฟังมา โอกาศวิปลาสไปหรือผิดเพี้ยนไหลตามหรือจมอยู่ จนกู่ไม่กลับนั้นมีนัอยมากๆ
     สำหรับผมความจริงทางโลก คือ ผมเป็นมนุษย์ ชื่อนี้ นามสกุลนี้ มีอาชิพนี้ มีตำแหน่งนี้ จบการศึกษาแค่นี้ มีฐานะทางสังคมอย่างนี้ มีครอบครัวอย่างนี้ เรียนจบมาทางวิทยาศาสตร์มาอย่างนี้ ซึ่งไม่ควรหลงฐานะนี้อย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะคิด จะจินตนาการ หรือประสบเหตุการณ์ที่อัศจรรย์หรือพิลึกพิลั่นอย่างไรก็ตามแต่  ดังนั้นสามารถรับรู้สิ่งที่แปลกและพิศดารได้มากมายเกินโลกของความเป็นจริงของคนทั้วไป โดยที่ไม่ผิดเพียนไปจากคนทั่วๆ ทั้งอารมณ์และพฤติกรรม ดำรงณ์ตนอยู่ได้อย่างเป็นปกติ

     เอาเหละครับกริ่นนำเสียมากมาย เรื่องบันเทิงธรรมเป็นเรื่องที่ประสบมาจริง แต่จะเป็นจริงหรือไม่นั้นไม่สามารถพิสูตรได้

    จากความเห็นเก่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาเมื่อเกือบ 20 ปีมาแล้ว  และเข้าใจว่า เทพผู้ปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายมีพร้อมแล้วจากที่ขาดอยู่ แต่หลังจากนั้นผมได้รับความทุกข์ยากบีบเค้นทั้งทางสังคมทางชีวิต ทางฐานะ อย่างมาก และเนื่องจากวิปัสสนาญาณยังล่อเลี่ยงอยู่ ยังกำหนดสติอยู่เป็นส่วนมาก จึงอยากหนี่ อยากหลุดอยากพ้นเต็มกำลัง และพระอาจารย์ก็ได้มรณภาพไปแล้ว จึงตั้งใจอย่างหนักแน่นว่า จะพิสูตรตนเองอีกครั้ง โดยเอาการปฏิบัติธรรมนี้เป็นสิ่งวัด จะพยายามคลายความคิดการจินตนการเรื่องพุทธภูมิลงเรื่อยๆ โดยการปล่อยวางไม่ยึดมั่นถือมั่นเป็นหลัก ปฏิบัติอยู่เรื่อยๆ ตามแบบของคนมีครอบครัว เกิดสมาธิเห็นความว่าง แล้วเกิดปัญญาเห็นว่า
    ถ้าครอบครัวไม่ตั่งมั่น แล้วเราจะหนีไปสร้างบารมีอะไรได้  จะมีแต่ความห่วงและความทุกข์ติดตามเราเหมือนกับเงาตามตัว เพราะความตัดช่องน้อยไม่รับผิดชอบ จึงให้ใจและเวลากับครอบครัวมากขึ้น

    เมื่อเวลาผ่านไปเป็นเวลา 5 ปี เกิดวิปัสสนาญาณ ตัดขาดความนึกคิดและจินตนการเรื่องพุทธภูมิจากจิตสำนึกอย่างสิ้นเชิ่ง ปัญญาเห็นความไม่ยึดมันถื่อมั่นในทั้งหมดทั้งสิ้น(ก็พูดยากเหมือนกันสำหรับผู้ไม่เห็น) สรุปเป็นอันว่า เรื่องพุทธภูมิหมดจากความคิดและจินตนการที่เป็นจิตสำนึกที่รู้สึกได้ คือไม่มีผลต่อจิตใจอีกเลย
    ส่วนเรื่องการสื่อสนทนากับโอปาติกะนั้นยังสนทนากันอยู่แต่เป็นเรื่องทั่วๆ ไป ไม่บ่อยนัก นานครัง  แต่เมื่อผมออกปากกล่าวเรื่อง ความปรารถนาพุทธภูมิหมดไปจากใจและความคิดของผมเสียแล้ว โอ่โอ้มีเรื่องเลย โอปาติกะผู้ที่มาสือสัมผัสได้แบ่งออกเป็น 3 ส่วนตามปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นคือ

   โอปาติกะส่วนที่ 1.
       เข้ามาเตือน บอกว่า "ท่านไม่สามารถที่จะล้มเลิกการสร้างบารมีได้อย่างแน่นอนแล้ว"
       ผมกล่าวว่า "ความคิดความรู้สึกปรารถนาพุทธภูมิไม่มีในใจผมแล้วนิ้ครับ และผมก็ไม่ไปยึดมั่นถือมั่นด้วยเสียแล้ว"
       โอปาติกะกล่วาว่า "ถึงอย่างไร ท่านก็ไม่สามารถล้มเลิกได้อย่างแน่นอน เป็นสัจจะเทียงแท้แน่นอนแล้ว"  แล้วจากไป

    โอปาติกะส่วนที่ 2.
        ในวันต่อๆ มา โอปาติกะส่วนที่ 2. เข้ามาตัดท้อต่อว่า "ท่านล้มเลิกปรารถนาได้อย่างไร? เราได้ติดตามท่านมานาน อย่างน้อยสุดก็จะได้บรรลุสมัยท่าน  ท่านทำอย่างนี้ทำให้เราต้องทุกข์และเศร้าหมองไปด้วย"
         ผมกล่าวว่า "ในเมื่อใจผมไม่มีความยึดมั่นถือมั่นเรื่องพุทธภูมิแล้วนี้ครับ และท่านก็สามารถปฏิบัติธรรมจนบรรลุมรรคผลนิพพานได้นี้"
         โอปาติกะกล่าว "เราก็ได้ปฏิบัติธรรมแล้ว แต่ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ในปัจจุบันนี้ เราจึงปรารถนาติดตามท่าน ท่านไม่น่าทำอย่างนี้เลย"  แล้วจากไป
      
      โอปาติกะส่วนที่ 3.
          เข้ามาด้วยความโกรธ และขุ่นเคื่องผมอย่างมาก เมื่อมาสื่อสัมผัสว่าผมทันที "ท่านทำไม่ถูก ท่านทำอย่างนี้ได้อย่างไร เราอุตสายึดท่านเป็นที่พึ่ง สุดท้าย แต่เมื่อท่านทำอย่างนี้เราหมดศรัทธาและโกรธเขืองท่านอย่างมาก"
          ผมก็ตอบว่า "เอ้า ในเมื่อใจผมไม่ความยึดมั่นถือมั่นเรื่องพุทธภูมิแล้ว จะทำอย่างไรได้?"
          โอปาติกะตอบกลับมาด้วยความขุ่นเคือง ว่า "อย่างนั้นเราท้าให้ท่านไป อธิฐานยกเลิกการปรารถนาพุทธภูมิต่อเจดีย์พระธาตุ หรือพระพุทธรูปศักษสิทธิ์ ท่านกล้าไหมละ?"
          ผมเฉยไม่เห็นจะสาระสำคัญอะไร จึงตอบไปว่า "ในเมื่อใจไม่ความยึดมั่นถือมั่นแล้ว จะอธิฐานหรือไม่อธิฐาน ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่สาระสำคัญอะไรเลย"
         โอปาติกะโกรธมาเลยกล่าวว่า "อย่างนั้นเราจะไม่คุยกับท่านแล้ว ไม่มาสัมผัสสนทนากับท่านอีกต่อไปแล้ว  ไม่ใส่ใจและติดตามท่านแล้ว" แล้วจากไปอย่างโกรธเคื่อง

     หลังจากนั้นผมก็ยังสนทนากับเทพที่กลางๆ ที่มาสือสัมผัสอยู่ แต่น้อยลงเรื่อยๆ และจิตใจผมก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นในพุทธภูมิจริงๆ เสียด้วยชิ พัฒนาญาณและสมาธิได้ดีขึ้นมาก เบาละเอียดกว่าเดิมมากนัก
      จนเวลาล่วงเลยผ่านมาถึง 5 ปี (จาก 2537 ถึง 2541)  เมื่อพ่อเสีย   ก็ได้กระทำให้พ่อที่เสียไประลึกถึงบุญกุศลในวันที่ท่านมีปิติในการบวชผม(พ่อปิติออกหน้าออกตาจริงๆ ในวันบวชผม ที่ผมเรียนจบเร็วได้มาบวชพระให้พ่อแม่ ปกติพ่อไม่เคยสนใจเรื่องบุญกุศลเลยแถมขัดขวางและด่าว่าบุคคลในครอบครัวเสียอีกที่ไปทำบุญ)  และพ่อก็ไปเกิดในภพที่ดีเมื่อระลึกถึงบุญนั้นได้ ก็เห็นว่าไม่น่าจะห่วงอะไรแล้ว
      เมื่อเวลาผ่านไปเป็นเวลาเกิอบสองเดือน พ่อในภพใหม่นั้นได้มาสื่อสัมผัสโดยไม่ได้รับเชิญ มาอย่างเศร้าๆ และง่อๆ แล้วบอกว่า  "พ่อมาลาเพื่อจะไปเกิดในภพใหม่"
       ผมถามว่า "แล้วพ่อไปเกิดในภพที่ดีขึ้นหรือไม่?"
       พ่อภพใหม่บอกว่า  "ไม่รู้ แต่รู้สึกทุกข์เศร้า แห้งแล้ง และหวาดกลัวเสียเหลือเกิน"
       ผมก็บอกพ่อว่า "ให้ระลึกถึงบุญ ที่พ่อเคยทำมา"
       พ่อภพใหม่ สายหน้า แล้วพูดว่า "ระลึกไม่ได้เลย"
        ผมก็บอกว่าผมจะอุทิศส่วนบุญ ที่ผมได้ตักบาตร์และปฏิบัติกรรมฐานให้ พ่อก็พยักหน้า แล้วผมก็กล่าวคำอุทิศส่วนบุญให้ จนเสร็จ พ่อก็เฉย ผมจึงถามว่า "พ่อได้รับส่วนบุญหรือเปล่า"
        พ่อภพใหม่ก็สายหน้า
        ผมก็อุทิศอีก ก็ไม่มีผลที่ดีขึ้น ผมทำถึง 3 ครั้งก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ก็คิดว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องสาระสำคัญ จริงหรือไม่จริงเราก็ไม่รู้ ยึดมั่นถือมั่นทำไม่? ผมก็วางเฉยเสีย
        แต่ดันมีเทพเข้าสื่อสัมผัสแทรกระหว่างกลางกล่าวว่า "เราเป็นเทพ มาบอกให้ท่านทราบว่า พ่อของท่าน กำลังจะจุติ แล้วเกิดเป็นอสูรกาย อยู่แล้ว"
        ผมก็พูดว่า "แล้วจะให้ผมทำอย่างไรละ?"
        เทพก็บอกว่า "ท่านก็ลองอ้างสัจจะบารมี ที่ท่านเคยปรารถนาพุทธภูมิชิ เผื่อช่วยพ่อท่านได้บ้าง"
       ผมก็ตอบว่า "ใจผมไม่ได้มีความยึดมั่นถือมั่นในพุทธภูมิแล้วนี้ครับ"
       เทพก็บอกส่วนขึ้นมาว่า "เวลาของพ่อของท่านมีน้อยแล้ว ถ้าไม่รีบช่วยตอนนี้ก็ไม่ทันการเสียแล้ว"
      ผมก็หยุดคิดแล้วกล่าวว่า "เอาก็เอา ลองดูไม่ได้เสียหายอะไร?"
      ผมจึงยกมือขึ้นพนม แล้วกล่าวว่า "ด้วยสัจจะบารมี ที่ข้าพเจ้าปรารถนาพุทธภูมิ(ถึงตอนนี้ใจลึกที่อยู่ข้างในสะกิดให้คิดไปว่า ถ้าช่วยให้พ่อพ้นทุกข์ไปได้ แม้เราต้องทุกข์เพราะปรารถนาพุทธภูมิเราก็ต้องยอม)" คิดจบแต่กล่าวยังไม่ทันจบเลย ทุกๆ สิ่ง ไม่ว่าความรู้สึก สติ สมาธิ ก็จะมาจุกรวมกันที่กลางลำตัว เป็นจุดความรู้สึกและสามาธิอยู่ แล้วความปรารถนาพุทธภูมิจากจิตใต้สำนึก ก็กระจายเต็มไปทั้วทั้งจิตสำนึก มีปิติมากมายจนนำตาไหล จึงอุทิศส่วนบุญให้กับพ่อที่เสิยไปแล้วได้
      จนพ่อที่มาสือสัมผัสสั่นสะท้านไปด้วยปิติ เช่นกัน  แล้วคงไปเกิดในภูมิที่ดี หลังจากนั้นก็ไม่ได้สือสัมผัสกับพ่ออีกเลย จนถึงปัจจุบันนี้

       ขอจบภาคที่ 2 เพียงแค่นี้ก่อน เอาไว้วันหลังจะต่อภาคที่ 3

ขอให้ถือว่าอ่านเป็นเรื่องบรรเทิงธรรมนะครับ

          

ตอบโดย: Vicha 18 เม.ย. 48 - 16:35


วันนี้ผมมาต่อ ภาคที่ 3

       จากเหตุการณ์เรื่องของพ่อวันนั้น ทำให้ผมสับสนว่านี้คืออะไรกัน หลังจากนั้นผมต้องมานั่งพิจารณาตนเอง ว่าเราควรปฏิบัติตนอย่างไร ก็ได้คิดขึ้นว่า ก็ผลสรุปที่ผมเคยตั้งจิตอย่างแน่วแน่ปฏิบัติกรรมฐานเมื่อ 10 มาแล้วเป็นตัววัดเรื่องความปรารถนาว่าจริงหรือไม่จริง และผลก็ได้ปรากฏขึ้นมาแล้ว จะปฏิเสธด้วยจิตสำนึกอย่างไรก็คงไม่ได้ เพราะไม่ฝังอยู่แค่เพียงจิตสำนึกเท่านั้น มาอยู่ลึกไปกว่านั้นเสียอีก

      ในเมื่อเห็นแล้วว่ามีอยู่ก็ต้องรับภาระนั้นต่อไป ต้องแบกความทุกข์ไปอีกนานแสนนาน และพิจารณาว่าเมื่อสร้างสมก็ต้องสร้างสมเพื่อสัตว์ทั้งหลายให้มากที่สุดให้ดีที่สุด แต่ไม่ควรยึดมั่นและถือมั่น เพราะได้เห็นได้เข้าใจแล้วถึงความไม่ยึดและถือมั่น

       เมื่อความปรารถนาพุทธภูมิได้มาปรากฏในจิตสำนึกแล้ว ก็ย่อมผลักดันให้เกิดการไฝ่หา การเรียนรู้ การให้ทาน ทั้งวัตถุทาน และธรรมทาน ตามฐานะ ด้วยความไม่ยึดติดในความปรารถนาจนทำให้จิตใจผันผวนหรือผิดไปจากปกติชน เพราะใจนั้นไม่ได้เปรียบเทียบว่าเป็นเราหรือเป็นใคร เพราะเห็นสภาพแห่งความเป็นจริงว่า เป็นไปตามเหตุและปัจจัย (เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี)
     [  จึงไม่ใช่เรานี้เหละในปัจจุบันจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ เพียงแต่เหตุปัจจัยในปัจจุบันก่อให้บังเกิดพุทธเจ้าในอนาคต  ซึ่งพระพุทธเจ้าในอนาคตนั้นก็ไม่ใช่รูปและนามนี้ในปัจจุบันนี้ที่เป็นเรา
      ดังนั้นในปัจจุบันนี้จึงควรดำรงณ์ตนอยู่ในศิลในธรรม ทำประโยชน์ปัจจุบันให้ดีอย่างปกติสุข ประโยชน์ในอนาคตก็ย่อมเจริญขึ้นตามเหตุตามปัจจัย  ]

        ผมจึงไม่ไปหลงว่า เป็นชุปเปอรแมน หรือวิเศษวิโส อะไรเลย กลับไปเห็นว่าต้องแบกต้องฝ่าฟันกับความทุกข์อีกมากมายและยาวนาน เพื่อสิ่งที่ดีที่สุดกับสัตว์ทั้งหลายและตนเองเพื่อไม่สร้างทุกข์หรือสร้างเหตุให้เกิดทุกข์ที่เป็นปัจจุบันและอนาคตให้มากขึ้น โดยดำรงณ์ตนอยู่อย่างสงบและเป็นปกติชนอย่างชนทั่วๆ ไป
 
       บรรยายมาพอแล้วเริ่มเรื่องบันเทิงธรรมต่อ เมื่อความปรารถนาได้ปรากฏชัดเจนในจิตสำนึกแล้ว การไฝ่หาการเรียนรู้ ก็ย่อมดำเนินไปตามวัฐจักรเอง แล้วข้อมูลต่างๆ ก็ไหลเข้ามาให้รับรู้อีกมากมาย ทั้งจากโอปาติกะ จากความคิด และจินตนการ แต่ก็พยายามดำรงณ์สติอยู่

      มีหลายเรื่องหลายราวที่ปรากฏมาให้ทราบ ข้อมูลบางข้อมูลก็ปรากฏขัดแย้งกับความเห็นของผมก็มี บางข้อมูลขัดแย้งกับญาณที่ปรากฏกับตัวผมก็มี  ทั้งเรื่องอดีตชาติเมื่อค้นลึกเข้าไปกลายเป็นเรื่องที่เข้าสู่เทพนิยายมากขึ้น แต่ข้อเป็นเพียงข้อมูลไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริงใน ณ.ชีวิตปัจจุบัน (ตรง อดีตชาติ ชีวิตปัจจุบัน และอนคตชาติ ถ้าไม่ดำรงณ์สติสัมปัญยะและปัญญาแยกแยะให้ดี ย่อมหลงไปได้ทุกเวลา  ดังนั้นความคิดหรือจินตนการ เรื่องภพเรืองชาติ ที่ข้ามภพหรือข้ามชาติ หรือเรื่องภพอื่น เช่น เปรต เทพเทวดาหรือพรหม จึงต้องควรตระหนักให้ดี เพราะจิตเข้าไปติดอย่างยึดมั่นถือมั่นจนหลงฐานะความเป็นจริงได้ง่าย)

       เอาละครับเรื่องต่างๆ ผมจะตัดทิ้งไป จะเหลือเรื่องที่ผมนำเสนอ ดังต่อไปนี้
   เมื่อปลายปี 2547 ปกติธรรมดาการสือสัมผัสนั้นนานทีจะสือสัมผัส และการสือสัมผัสนั้นเกิดขึ้นหลักๆ เพียง 3 กรณี
       1. ต้องการฟังธรรม หรือสนทนาธรรมกับเทพอริยะ
       2. ถามเรื่องปัญหาสำคัญในครอบครัว
       3. มีผู้ประสงค์มาสือสัมผัส ขอส่วนบุญโดยเฉพาะ หรือสนทนาธรรม
     ในช่วงนั้นได้สือสัมผัส ฟังธรรมและสนทนาธรรมกับเทพอริยะติดต่อ  ผมก็ไม่รู้ว่ามีโอปาติกะใดสนใจบ้าง เพราะผมไม่มีตาทิพย์และหูทิพย์(ไม่มีอภิญญานั้นเอง)

     ในคืนหนึ่งหลังจากนั้น มีเทพที่เคยอยู่ร่วมกันในชาติที่แล้วมาสัมผัสตามที่เขาบอก แล้วผมก็ถามว่า  "แล้วชาติที่แล้วนั้นผมอยู่บนสวรรค์ชั้นอะไร"

      เทพนั้นก็บอกว่า "ท่านอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต เราเป็นเทพบริวารของท่าน"

      ผมก็ชวนคุยเรื่องต่างๆ ที่ผมสงสัย เรื่องชาติก่อนผมเป็นอย่างไร? อยู่อย่างไร? แล้วค่อยสือสัมผัสกับเทพบริวารอื่นตามลำดับอีกหลายท่าน แล้วอยู่ๆ เกิดมีเทพนารีเข้ามาสือสัมผัส แบบไม่ได้รับเชิญ พูดจาดีและอ่อนหวานในเชิ่งตัดพ้อว่า "เราเป็นเทพนารีซึ่งเคยเป็นภรรยาท่านผู้หนึ่งซึ่งมีทั้งรูปร่างหน้าตาสวยงามมีชาติกุลเป็นถึงราชธิดา  แต่ท่านกลับไม่รักเรากลับไปรักหญิงชาวป่า ซึ่งเทียบกับเราไม่ได้เลย ทั้งความสวยงามและชาติตระกุล"

     ผมเป็นงงไปเลยและคิดว่า ภรรยาที่เป็นมนุษย์ที่เขาสือให้อยู่นี้เขาคิดอย่างไร ความคิดผมก็วิ่งปลูดทันทีว่าจะตอบโต้อย่างไร? จึงพูดไปว่า "ในชาติก่อนนั้นหญิงชาวป่าคนนั้นอาจเป็นคนที่อยู่ในศีลในธรรม และรักเรามากก็ได้ เราจึงไปอยู่ไปรักกับเขา"

     เทพนารี ก็สวนขึ้นมาว่า "เรานี้รักท่านมากเป็นที่สุด ย่อมสละให้ท่านได้ทุกอย่าง ให้ท่านมากกว่าหญิงชาวป่าผู้นั้นให้ท่านเสียอีก เป็นไหนๆ แต่ท่านสละทิ้งทุกอย่างไปรักไปอยู่กับหญิงชาวป่าผู้นั้น"

      ผมก็แอะใจว่ามาแปลกจึงกล่าวไปว่า "หญีงชาวป่าผู้นั้นอาจดี มีคุณธรรมและอาจย่อมสละชีวิตเพื่อผมในชาตินั้นก็ได้"

     เทพนารีก็สวนกลับมาอีกว่า "เรานี้ก็รักท่านยอมสละชีวิตเพือท่านได้เช่นกัน ท่านก็ยังสละเราไปได้ไปรักกับหญิงชาวป่าไม่มีสกุล เรานี้แค้นท่านมากแต่ก็ยังรักท่านอยู่"

     โอ้ยผมตั้งรับไม่ทันจึงตอบไปว่า "หญิงชาวป่าผู้นั้นอาจมีคุณธรรมที่พิเศษที่ตรึงใจต่อผมในชาตินั้นก็ได้"

      เทพนารีก็สวนกลับมาอีกว่า "แล้วผู้หญิงที่เป็นมนุษย์คนนี้ละ ไม่ได้สะสวยไม่ได้มีฐานะดีกว่าเราเลย ท่านรักเขาด้วยเหตุใด"

      อุ่ยเล่นถามข้ามชอดเลยจะตอบอย่างไรดี จึงพูดออกไปว่า "ก็เขาไม่ได้รังเกียจฐานะผมเมื่อพบกันและรักผม เขาย่อมสละหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อผมได้ ผมจึงรักเขา"

       เทพนารีก็สวนกลับถามแบบเอาจริงเอาจังมาว่า "ระหว่างเราที่เป็นเทพนารี กับมนุษย์ผู้หญิงนี้ท่านรักใครมากกว่ากัน?

       ถามอะไรไม่รู้แปลกๆ ผมจึงตอบไปว่า "ผมก็รักภรรยาที่เป็นมนุษย์นี้มากกว่าชิ"

       เทพนารีถามว่า "ท่านรักอะไรในตัวผู้หญิงนี้"

       ผมตอบ  "ผมรักเพราะเขาติดตามผม ยอมสละประโยชน์ตนเพื่อประโยชน์ให้ผมสร้างคุณความดีได้"

        เทพนารีกล่าวอย่างตัดพ้อและขุ่นเขื่องว่า "แม้แต่หญิงมนุษย์นี้ท่านก็ยังรักมากกว่าเรา"

        แล้วเทพนารีกล่าวต่อว่า "เราขอถามท่านว่า ระหว่างหญิงผู้นี้กับพุทธภูมิท่านรักอะไรมากกว่ากัน"
       อุ่ยถามปัญหาอะไรก็ไม่รู้ ผมจึงตอบว่า "ผมต้องรักพุทธภูมิหรือสัพพันญูตาญาณมากกว่าอยู่แล้ว"
        เทพนารีสวนกลับมาแบบผมงงเลยว่า "ระหว่างภรรยาท่านต้องตาย กับพุทธภูมิ ให้เลือกว่าท่านจะเลือกช่วยชีวิตภรรยาท่าน หรือพุทธภูมิ"

       โอ้ยถามอะไรอย่างนั้น ผมจึงตอบว่า "เป็นเรื่องสมมุติ ไม่ใช่เรื่องจริงแล้วผมจะเลือกทำไม่?"

        เทพนารีถามย้ำ และกล่าวอย่างหนักแน่นและดุ "ท่านต้องเลือก"

       ผมจึงตอบแบบเชิงวิชาการว่า "ถ้ากล่าวตามสัจจะ ตามเป็นจริงแล้ว ผมก็ต้องเลือกพุทธภูมิ"

       เมื่อเทพนารีได้ฟังดังนั้น ก็กล่าวเยอะทันที่ว่า "เราไม่เสียใจแล้ว ท่าน(ภรรยาผม)ดูชิ  เขารักพุทธภูมิมากกว่าท่านเสียอีก ท่านไม่น้อยใจเสียหรือ?"

        ภรรยาที่กำหนดจิตอย่างสงบนิ่งเพื่อสือสัมผัส ก็ถอนออกมาพูดว่า "แม้ร่างที่เราอุทิศเพื่อการสือสัมผัสนี้ เราก็อุทิศเพื่อประโยชน์เขา แล้วเราจะไปเสียใจน้อยใจที่เขารักพุทธภูมิมากกว่าเราได้อย่างไร?"

       เมือภรรยกล่าวจบก็กำหนดจิตสงบนิ่งอีก แล้วภรรยาจากที่นั่งขัดสมาธิก็ลุกขึ้นนั่งคุกเข่าต่อหน้าผม พนมมือขึ้นแล้วกล่าวว่า "เราเป็นองค์อมรินทร์ แปลงมาเพื่อลองใจท่าน เราเห็นความมั่นคงของท่านแล้วเราศรัทธายิ่ง  และเราขอขมาต่อท่านที่เราได้มาลองใจท่าน" แล้วก้มลงไหว้ผมเพื่อขอขมา แล้วก็จากไป

        ภรรยาก็แปลกใจ ผมก็แปลกใจ ว่ามีอย่างนี้ด้วยหรือ?

 (อ้อ กว่าจะพิมพ์ถึงตรงนี้ได้ ก็ต้องลุกไปทำงานอย่างอื่นทั้งหลายครัง)

  ขอจบภาคที่ 3 เพียงแค่นี้ เอาไว้ภาคที่ 4 ค่อยต่อในวันต่อไป

 อย่าลืมว่าเป็นเพียงแค่เรื่องบันเทิงธรรมนะครับ ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจริงหรือเท็จอย่างแน่นอน แต่ก็เพื่อความบันเทิงทางธรรมเท่านั้น

   

ตอบโดย: Vicha 19 เม.ย. 48 - 17:02


ครับไม่ว่าจะ เป็นเรื่องจริงหรือ เรื่องแต่ง อ่านแล้วก็ได้ทั้งความบันเทิงและข้อเตือนใจคับ      
เจริญในธรรมคับผม  

ตอบโดย: เบญจ 20 เม.ย. 48 - 09:26


เราจะทราบได้อย่างไรว่าไม่ใช่อุปทานครับ?

ตอบโดย: หมูหยอง 20 เม.ย. 48 - 12:08


สาธุ ขอให้ท่านได้สมความปราถนา

ตอบโดย: นิรนาม2497 20 เม.ย. 48 - 12:37


คุณ หมูหยองถามได้ดีครับ อย่างนั้นผมขออธิบายนะครับ
    
    ต้องทำความเข้าใจธรรมตรงนี้ก่อนก็จะดำรงณ์จิตได้อย่างเป็นปกติคือ
         สิ่งที่เกิดย่อมเกิดจากเหตุ สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดทั้งมวลย่อมดับไปเป็นธรรมดา
     
     ข้อมูลทั้งหลายที่เกิดขึ้นก็เกิดจากสังขาร(ความคิดแล้วแสดงออก) ข้อมูลนั้นอาจจะตรงตามความเป็นจริง หรืออาจจะไม่ตรงความเป็นจริงก็ได้ ซึ่งจะไปปฏิเสธไม่ได้เพราะได้เกิดขึ้นแล้วให้รับรู้(ไม่ว่าจะเป็นอุปทานหรือความจริง) ถึงอย่างไรก็เลือนหายไปเป็นธรรมดา
     แต่ปัญหาอยู่ที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วและการดำรงณ์อยู่ของข้อมูลที่ให้รับรู้ ที่จะเป็นทุกข์ร้อนก็อยู่ตรงที่ การปฏิเสธอย่างรุนแรง หรือการยึดถืออย่างรุนแรงนี้เอง
     ตรงนี้เหละเป็นนาทีทองของการมีสติสัมปัญญะและมีปัญญาคลายความเห็นความยึดมั่นถือมั่นเหล่านั้น โดยที่ข้อมูลนั้นยังให้รับรู้อยู่ตามเรื่องตามราวของมัน จึงสามารถดำรงจิตอย่างปกติอยู่ได้ท่ามกลางสิ่งแปลกแตกต่างทั้งหลาย
    ดังเช่นจิตพระอรหันต์ เปรียบดังดวงบัว ที่เกิดจากโคลนตม อยู่ท่ามกลางโคลนตม แต่พ้นจากโคลนตมทั้งหลาย

    เอาละครับในเมื่ออธิบายให้คุณหมูหยองไปแล้ว ต่อไปขอกล่าวนัยยะหนึ่ง ที่ผมเล่าเรื่องบันเทิงธรรมนี้แล้วแยกแยะความเห็นให้ทราบเพราะเห็นว่า มีผู้ปรารถนาพุทธภิมิ และมีจำนวนไม่น้อยเหมือนกัน  ให้ได้ทำความเข้าใจในสิ่งที่ปรารถนา ได้แยกแยะด้วยสติและปัญญา สามารถดำรงณ์ตนหรือจิตเป็นปกติได้ในทามกลางสิ่งที่ปรารถนานั้น ไม่เร้าร้อนและทุกข์ เพราะจิตไปยึดมั่นถือมั่นหรือผลักใส่อย่างรุนแรง
     ความจริงแล้วความปรารถนาพุทธภูมินั้นเป็นสิ่งดี แต่เมื่อไม่มีสติปัญญาแยกแยะหรือจัดสรรได้ ก็จะหลงไปสู่ความยึดมั่นและถือมั่นหรือผลักไส่ อย่างรุนแรง ก็จะเกิดความเร้าร้อนและทุกข์ขึ้นกับผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมินั้น
      1.ถ้ายึดมั่นถือมั่นมากในความปรารถนา ก็จะผิดเพียนจนจิตไม่เป็นปกติได้มากเป็นทุกข์เป็นร้อนไปเสีย แสดงความหลงเพี้ยนๆ
      2.เมื่อจิตปรารถนา แต่ความรู้สึกปฏิเสธอย่างรุนแรง ก็ก่อให้เกิดเป็นทุกข์เป็นร้อนได้เหมือนกัน
     แต่ตามความเป็นจริงแล้ว การมีสติสัมปัญญะในปัจจุบันปัญญาเห็นสภาพความเป็นจริงของรูปและนาม เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ที่จะไม่ให้เกิดความยึดมั่นถือมั่นจนเพี้ยนๆ แม้ว่าข้อมูลต่างๆ จะไหลเข้ามาให้รับรู้ได้มากมายจากปกติธรรมดา

 ถึงช่วงนี้จะเล่าเรื่องบันเทิงธรรม ภาคที่ 4 ต่อดีไมหนอ? (กักเรื่อง ขอชั่งใจอีกสักนิดหนึ่ง)
 

ตอบโดย: Vicha 20 เม.ย. 48 - 15:05


อนุโมทนาครับ คุณ Vivha  
เล่าต่อเถิดครับ น่าสนใจครับ รออ่านอยู่ครับ

เรื่องอุปทานที่ถามเพราะว่ามีอุปทานหลายอย่างเกิดมากับตัวเองผมช่วงนี้ ผมก็ถามไปหลายๆท่านเหมือนกันไม่ใช่แต่กับคุณ Vicha ครับ คือผมไปยึดอุปทานบางอย่างว่ามันจริง ดีที่มีสหายธรรมมาเตือนและเฉลียวใจได้ก่อนที่จะเตลิดไปกับทิฐิมานะของตนเองครับ ก็เลยเข็ดกลัว ว่าเราจะรุ้ได้อย่างไรว่าอันไหนเป็นอุปทาน

อย่างเช่นที่บอกว่าเจอเทวดา เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเทวดาจริง หรือว่าอุปทานสร้างภาพไปเอง? แล้วมาบอกว่าเราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ สมมุติมาบอกว่าเราเหาะได้ เราไปหลงเชื่อ ไม่ไปตกตึกตายหรือครับ?

ตอบโดย: หมูหยอง 20 เม.ย. 48 - 16:22


ขอสนทนาต่อกับคุณหมู่หยองต่อนะครับ
    สังขาร(ความคิดและจินตนาการ)ที่ปรากฏขึ้นเป็นข้อมูลกับจิต เป็นไปได้สองอย่าง คือ 1.ตรงกับความเป็นจริง 2.อุปทานปรุงแต่ไปเอง
    ถ้าไปยึดมั่นถือมั่นในสังขาร(ความคิดหรือจินตนาการ) ไม่ว่าตรงกับความจริงหรือไม่จริง ก็ย่อมทำให้ผิดเพี้ยนและสุดโต้งไปได้ ก็จะเกิดผลผิดเพี้ยนไป 2 ประการคือ
    1.ถ้าเป็นข้อมูลที่ตรงความจริงก็หลงเพี้ยนเพื่อทำดีจนสุดโต้ง บ้าดีไปเลย
    2.ถ้าข้อมูลไม่ตรงตามความจริง ก็หลงไปอย่างลมแล้งๆ จนกู่กลับได้ยาก

     ดังนั้นความไม่ยึดมั่นถือมั่นในสังขาร(ความดิดและจินตนาการ)ที่ปรากฏขึ้น(ไม่ใช่ปฏิเสธ) ก็ย่อมดำรงณ์ตนและดำรงณ์จิตอยู่ได้เป็นปกติ ณ. ปัจจุบันขณะ ขณะไป โดยไม่ผิดเพี้ยนไปหลงยึดมั่นหรือปฏิเสธอย่างรุนแรง
     ก็จะไม่หลง แม้คิดจินตนาการไปว่าเราเหาะได้ ก็รู้ว่าเป็นเพียงความคิดและจินตนาการ โดยที่ไม่ขาดสติสัมปัญญะจากโลกของความจริงในปัจจุบันนั้นๆ แล้วไปเหาะแบบตัวเปล่าๆ ให้ตกตึกตายหรอกครับ

  ภาคที่ 4 คงเล่าไม่ทันแล้วเอาไว้วันต่อไป นะครับ
    

ตอบโดย: Vicha 20 เม.ย. 48 - 17:06


  ขอบคุณมากครับคุณ Vicha...ผมเคยเข้าไปดูเว็บแนะนำตัวของคุณVicha เมื่อประมาณสองปีกว่ามาแล้ว ได้เห็นว่าคุณVichaและภรรยาร่วมทุกข์ร่วมสุขมามาก ลุยมามากเลยครับ  ในกรณีบิดาของคุณVicha นั้นที่ท่านไปจุติในภพภูมิที่ดีในตอนแรกก็เป็นเพราะอาสันนกรรมอันเป็นกุศลที่ท่านได้ระลึกกรรมนั้นจนเป็นอารมณ์ก่อนสิ้นลม...

ภรรยาของคุณVichaสมกับเป็นคู่บารมีครับ อธิษฐานเช่นนั้นเขาก็มีจาคะเสมอที่คุณVichaได้เลือกเส้นทางพุทธภูมิ

รออ่านต่อนะครับ (เพื่ออรรถรสทางธรรม)  

ตอบโดย: พิทา 20 เม.ย. 48 - 18:08


   ผมได้พิมพ์ภาคที่ 4 ถึงครึ่งเรื่องแล้ว(ใช้เวลาอยู่นานเหมือนกัน) แต่ก็ไม่ได้เชพเก็บไว้ค้างอยู่หน้าจออย่างนั้น พนังงานมาแจงเรื่องปัญหาพรินเตอร์กินกระดาษพิมพ์ต่อไม่ได้ แก้อย่างไรก็ไม่หาย พนังงานก็บอกว่าเขาไปขยับตำแหน่งการตั้งกระดาษเพราะกรรมการบอกว่ารายงานที่ได้มันชิดซ้ายมากไป แต่กรรมการไม่รู้หรอกว่า เป็นการพิมพ์ 4 ก็อปปี ถ้ารวมกระดาษก็อปปีไปด้ายรวมเป็นกระดาษถึง 7 แผ่น
    ปรับอยู่หลายครั้งก็ไม่ได้ ไฟฟ้าก็ตกพอดีเครื่องคอมผมไม่ได้ติด UPS ไว้ ข้อมูลทั้งหมดหาย ผมก็ปรับกระดาษพรินเตอร์ของพนักงานจนใช้พิมพ์ได้   ก็มีพนักงานประสาสัมพันธ์โทรเข้ามาว่า ทางบริษัทคอมพิวเตอร์เขามารับจอคอมพิวเตอร์เพื่อเอาไปซ้อมตามนัด จึงปลีกตัวไปโทรหาพักงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ที่จอเสีย เพื่อจะทราบอาการอีกครั้ง  พนักงานนั้นติดสายอยู่รอจนพักใหญ่ จึงตัดสินใจให้บริษัทคอมพิวเตอร์ตามผมไปเอาจอคอมไปซ้อม
    เมื่อผมกลับขึ้นมาอีก พนักงานคนเดิมก็แจ้งผมว่า พรินเตอร์ติดกระดาษอีกแล้วพิมพ์ไม่ได้ ผมจึงไปจัดกระดาษเพื่อทดลองพิมพ์ใหม่ จิตก็เกิดแว็บขึ้นมาว่า "เอ่ะ เรากำลังละเมิดการแสดงข่าวสารของผู้อื่น ที่ประสงค์เก็บไว้ส่วนตัวหรือในกลุ่มส่วนตัว ที่มีปฏิสัมพันธ์กับผมเท่านั้น แต่ไม่ประสงค์ให้แปร่หลายในหมู่มนุษย์ แม้ว่าท่านจะไม่ใช่มนุษย์ก็ตามแต่ เพราะอาจมีผลสะท้อนกลับมาในทางไม่ดีก็ได้" พอคิดจบปับไฟฟ้าก็ตกอีกที่ ผมจึงหยุดกึกเลย

        เป็นอันว่าภาคที่ 4 ก็คงเล่าต่ออย่างสมบูรณ์คงไม่ได้
     แต่จะเล่าเรื่องยกเหตุที่ว่า แม่แต่ เทพโอปาติกะเองก็ยังไม่ละเมิดในการแสดงข่าวของผู้อื่น ทั้งที่ตนรู้ให้กับผู้อื่น ซึ่งอาจมีผลสะท้อนไม่ดีก็ได้ ในสิ่งที่ไม่เป็นภาระกิจเกี่ยวข้องกับตนเอง ดังนี้

   ต่อจากภาคที่แล้ว เมื่อพระอินทร์ไปแล้ว ผมและภรรยาต่างก็แปลกใจ แล้วผมถามภรรยาว่า "ตอนสือสัมผัส เขากล่าวถึงหญิงอื่น และพาดเพิ่งมาถึงเธอ เธอไม่มีปฏิกิริยาจะตอบโต้บ้างหรือ?"

    ภรรยาตอบว่า "ก็กำหนดใจให้สงบนิ่งแยกออกไปต่างหาก เพราะอยากจะรู้อยู่เหมือนกันว่าจะเป็นอย่างไรต่อ"

    ผมจึงกล่าวว่าอย่างนั้นลองสัมผัสกับเทพที่ใกล้ชิดถามดูสิว่าเกิดอะไรขึ้น ภรรยาก็เข้าสมาธิแล้วสือสัมผัส หลังจากมาสือสัมผัสแล้วทักทายกันเป็นที่รู้กันว่าเป็นใครแล้ว ผมก็ถามว่า "ท่านที่แปลงมาเป็นพระอินทร์จริงหรือ?"

     โอปาติกะตอบ "เป็นพระอินทร์จริงๆ "

      ผมจึงถามต่อไปว่า "เอ่ะ ตามที่อ่านในพระไตรปิกฏ พระอินทร์เป็นถึงโสดาบัน แล้วท่านจะทำอย่างนี้หรือ?  ทำเพื่ออะไร?"

      โอปาติกะตอบ "ท่านเป็นพระอินทร์จริง แต่เรื่องอื่นที่เหลือเราไม่อาจบอกท่านได้ อย่าให้เรากล่าวเลย ไม่ใช้กิจของเราที่จะกล่าว"
       ผมจึงหยุดถาม แล้วยุติการสือเพียงแค่นั้น และไม่ได้สือสัมผัสอีกนาน
   
    ซึ่งต่อมาอีกประมาณเดือนกว่า ภรรยาผมประสงค์ฟังธรรมจากเทพอริยะ แต่ผมกำลังนอนจะหลับ ผมจึงต้องลุกขึ้นมาเป็นคู่สนทนา ซึ่งผมก็เคยถามภรรยานานมาแล้วว่า "เธอสื่อสัมผัสเอง ฟังเอง ถามเอง ได้หรือไม่?"

    ภรรยาตอบว่า "ทำได้แต่ไม่มีความมั่นใจ เพราะไม่สามารถแยกได้ชัดเจน ระหว่างพูดเองและถามเองในใจ นั้นแยกได้ยาก เหมือนกับอุปทานไปเอง ต่างกับการสื่อเพื่อสนทนากับเธอ ใจเราสงบนิ่งแยกต่างหากโดยสิ้นเชิง ปากพูดก็พูดไปเองไม่ได้คิด เวลาถูกถามปากก็ตอบไปเอง โดยไม่คาดคิดมาก่อน สามารถแยกได้ชัดเจนกว่า"

    เมื่อสื่อกับเทพอริยะท่านก็สอนธรรม สรุปรวมลงอยู่ที่ การมีสติ ความไม่ยึดมั่นถือมั่น การปล่อยวาง การเกิดดับ ของสังขาร หรือรูปและนาม หลังจากนั้นผมถามเรื่องสัพเพเหระ ในสิ่งที่ผมอยากรู้ต่างๆ ร่วมเวลาก็เป็นชั่วโมงๆ ก็รับพรแล้วยุติการสือสัมผัส

     แล้วผมก็จะล้มตัวลงนอน แต่ภรรยาก็บอกว่าเดี๋ยวมีผู้ที่สะกิดใจเพื่อประสงค์สนทนาต่อ ผมต้องฝื่นและสบัดความง่วงออกไป แล้วเหตุการณ์ที่เคยเกิดมาแล้วเมื่อ 10 กว่าปีมาแล้วได้ปรากฏซ้ำ เมื่อผมได้ทักทายกับผู้มาสื่อใหม่ เป็นใครอย่างไรแล้ว

   โอปาติกะก็บอกว่า "เราก็ได้ฟังธรรม และเรายังละกิเลสไม่ได้ แต่เราศรัทธาในตัวท่านมาก เราจึงจะขอกล่าววาจา ปรารถนาตั้งมั่นร่วมบุญบารมีกับท่าน ขอเป็นพระอริยะมหาสาวกในสมัยท่าน"

    ผมก็อนุโมทนาสาธุไป แต่ก็ไม่จบเพียงแค่นั้น เพราะมีหลายๆ ท่านทางทะยอยกันมากล่าววาจา ผมก็สาธุให้ท่านสมปรารถนาไป
    และในช่วงหลังจากนี้ ผมก็ได้ทราบข้อมาจากพระอินทร์เอง ว่าความเป็นจริงอย่างไร?
ซึ่งควรเป็นเรื่องหลักของภาคที่ 4 นี้ แต่ในเมื่อเป็นเรื่องละเมิดข่าวสารส่วนตัว ถึงแม้จะมีปฏิสัมพันธ์กับผม แต่ก็กลายเป็นเรื่องที่ควรสงวนไว้เฉพาะเจ้าตัวและเฉพาะกลุ่มเท่านั้น จึงไม่ควรละเมิด ตามใจของผมเอง

    เป็นอันว่าผมขอจบภาคที่ 4 เพียงแค่นี้ครับ
    

ตอบโดย: Vicha 21 เม.ย. 48 - 17:20


 

ตอบโดย: เบญจ 21 เม.ย. 48 - 21:57


ขออนุโมทนากับพี่ pook 59 ด้วยนะคะ  ถ้าพี่สนใจลองเข้ามาที่เวปนี้คะ  http://www.palungjit.com/board/  แล้วเข้าไปที่บอร์ด พุทธภูมินะคะ พี่ จะเจอกับเพื่อนร่วมเส้นทางมากมายเลยคะ

ตอบโดย: เฟม 22 เม.ย. 48 - 01:10


เป็นบุญ กุศล อย่างยิ่งครับ ที่ปรารถนา พุทธภูมิ สาธุ อนุโมทนา ครับ...เป็นสัมมาทิฏฐิ แน่นอนแล้ว...แต่มันเป็นกุศลที่ยิ่งใหญ่ ยาวนานในวัฏสงสารนี้ เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นของตนเองและช่วยเหลือผู้อื่นไปพร้อมกันด้วย ...เป็นผู้ที่มีกรรมในทางกุศลมาก มีบารมีมาก มีผู้เกี่ยวข้องมาก เพราะได้อธิษฐานไว้เช่นนั้น...มีผู้ที่ต้องเสียสละให้เราก็มาก ตายให้เราก็มาก ดูแลรับใช้เราก็มาก ดังนี้นเราจึงเป็นหนี้เขาก็มาก ต้องทดแทนเขาก็มาก ...จึงต้องใช้เวลายาวนานมาก...แต่ก็เป็นเรื่องดีครับ...ถ้าไม่อยากจบเร็วๆ ก็ปรารถนาพุทธภูมิก็ดีครับ...ใจสูงมากๆ เพียงนั้น เป็นใครๆ ก็ต้องนับถือเป็นธรรมดา แม้พระิอินทร์ก็ต้องมากราบชื่นชม...สาธุครับท่านวิชา     สาธุครับท่าน pook59    

ตอบโดย: ธง 22 เม.ย. 48 - 15:14


มีให้อ่านต่อไหมครับ หรือว่าจบแล้ว

ตอบโดย: เบญจ 24 เม.ย. 48 - 22:47


 ตอบคุณเบญจ เรื่องบันเทิงธรรมที่ผมจะเล่าก็คงจบเพียงแค่นี้ นะครับ

      แต่ขอกล่าว อีกนิดหนึ่งคือ  ผมจะกล่าวถึงความไฝฝันของผมหลังจากที่ทำกรรมฐาน 3 – 4  ปีผ่านไป (ไม่ใช้ญาณอยากแสดงอยากขยายธรรมให้กว้างไกล ในญาณที่ 3 ในช่วงที่หลงกรรมฐานครั้งแรกต้นปีแรก)  คือสร้างสำนักปฏิบัติธรรม ชักนำให้ผู้มาปฏิบัติธรรมให้มาก เท่าที่ทำได้ในชีวิตนี้ ซ้ำในช่วงที่ผ่านมาเป็นเวลาหลายปีหลังจากที่ได้ไหว้พระสวดมนตร์แทบทุกคืน จะมีคำอธิษฐานส่วนหนึ่งว่า

     “ขอให้สัตว์ทั้งหลายที่มีความทุกข์จงพ้นจากความทุกข์ ผู้มีความสุขก็ให้มีความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกันอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ช่วยเหลือเผือแผ่ซึ่งกันและกัน เข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน ตั้งมั่นอยู่ในคุณงามความดี ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้าทั้งหลาย จนได้บรรลุมรรคผลนิพพานทั่วทุกตัวตน”

      ดังนั้นเมื่อผมทราบว่าผมเป็นโพธิสัตว์ ผมก็ไม่ปรารถนาให้ใครติดตามผม เพราะผมกลัวว่าเขาเหล่านั้นจะลำบากอีกยาวนาน และที่ผ่านมาก่อนที่ผมจะทราบว่าตนเองเป็นโพธิสัตว์ผมก็ปฏิบัติธรรมอย่างยิ่งยวดปรารถนานิพพานเป็นอย่างยิ่งเพื่อดับทุกข์โดยเร็วพลัน จึงประสงค์ให้คนทั้งหลายปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุนิพพานโดยเร็วพลัน
       และก็ได้มีเหตุการณ์ที่กระทบกับใจผมอย่างแรงเมื่อเพื่อนคนหนึ่งที่ร่วมทำกรรมฐานมา ได้เผลอพูดออกมาเมื่อได้ทราบว่าผมเป็นโพธิสัตว์ที่แน่นอนแล้ว ในกลุ่มเพื่อน 3 – 4 คนว่า “เพราะเซียมนี้เอง ทำให้พวกเราต้องลำบากอยู่อย่างนี้”
       คำพูดนี้กระทบใจผมอย่างมาก แต่จิตก็ผลักดันเพื่อต่อสู้คิดขึ้นมาว่า “เราได้ไปทำให้เขาลำบากตรงไหน? เราไปชักชวนเขาหรือ?”

       ด้วยเหตุผลด้านบนผมจึงไม่หากลุ่มปฏิบัติธรรมเพิ่ม ในฐานะที่ตนเป็นโพธิสัตว์ แต่ก็ยังชักชวนให้ทำบุญและปฏิบัติธรรมอยู่ตามฐานะ  แต่จะไม่ได้ไฝฝันเพื่อทำให้ได้ดังแต่ก่อน ก่อนที่จะทราบว่าตนเองเป็นโพธิสัตว์   และเห็นว่าในปัจจุบันนี้ธรรมก็ยังบริบูรณ์อยู่ พระอริยะที่มีกำลังในการสั่งสอนให้ปฏิบัติธรรมยังมีอยู่
      แต่เมื่อไม่แสวงหาศรัทธาในหมู่คนกลับกลายเป็นว่า โอปาติกะเข้ามาปรารถนาเอ่ยวาจาให้ทราบมากมาย แล้วหลังจากนั้นหันมาพิสูจน์ตัวเองเป็นเวลา 10 กว่าปีเสีย โดยพยายามลบล้างความปรารถนาที่มีอยู่ในจิตสำนึกให้หมด จนสิ้นสุดการพิสูจน์

       ผมจึงอยู่อย่างสงบและสันโดด ไม่สร้างกิจหรือภาระอันใดเป็นกลุ่มเป็นกองขึ้นมา เพื่อผูกความศรัทธาสนองความอยากในฐานะโพธิสัตว์ของผมแก่คนทั้งหลาย เพราะคนทั้งหลายเหล่านั้นสามารถที่จะเลือกบรรลุถึงมรรคผลนิพพานโดยเร็วพลันในชีวิตนี้ หรือในเวลาอันใกล้
         แต่โอปาติกะนั้นเขาได้มาเอ่ยวาจาปรารถนาเอง เกินจากความคาดคิดของผม ในช่วงแรกๆ ผมก็พยายามถาม เพื่อให้โอปาติกะกลับไปพิจารณา  แต่เมื่อโอปาติกะอ้าง ว่าเขามีญาณเขารู้อะไรได้มากกว่า และเห็นมายาวนานกว่า  การที่เขาเอ่ยวาจาเขาได้พิจารณามาก่อนแล้วตามจิตที่ประสงค์ของเขาจริงๆ ผมจึงต้องปล่อยให้เป็นไปตามที่เขาปรารถนา เพราะโอปาติกะบางท่านเหล่านั้นรู้เห็นอะไรที่ยาวนานมากกว่าผมเสียอีกในปัจจุบันชีวิตนี้

       สุดท้ายก็จบลงในเรื่องที่หาเหตุผลและพิสูจน์ในฐานะมนุษย์โลกไม่ได้อยู่ดี  จริงหรือเท็จก็ไม่รู้ แต่สำคัญอยู่ที่ ไม่ไปยึดมั่นถือมั่นในสังขาร(ความคิด จินตนาการ) ทั้งที่มีอยู่ แล้วดำรงตนอย่างเป็นปกติสุข นี้เละที่เป็นธรรมกลางๆ ที่ดำรงจิตให้เป็นปกติอยู่ได้ตามฐานะของมนุษย์ของแต่ละบุคคล
 

ตอบโดย: Vicha 25 เม.ย. 48 - 11:42


ขออนุโมทนา สาธุ กับ คุณ Vicha...ิอย่างยิ่ง

โดยส่วนตัวแล้ว......ผมมีกระแสของความรู้สึกว่า คุณVicha ได้กล่าวเรื่องจริง

และผมขอ อนุโมทนากับ คุณ vicha อย่างยิ่งครับ

ผมศรัทธาในคำสอนของคุณ vicha และพร้อมที่จะปฏิบัติตามครับ

ตอบโดย: สาธุ กับ คุณ vicha 25 เม.ย. 48 - 11:44


เมตตาค้ำจุนโลกครับ

ขอให้เจริญในธรรมครับ

ตอบโดย: zen 25 เม.ย. 48 - 11:49


 

ตอบโดย: เบญจ 25 เม.ย. 48 - 15:39


โพธิสัตว์นั้นมีอยู่ประมาณมิได้ ทั้งที่บารมีเต็มแล้วทั้งที่พึ่งบำเพ็ญเพียรและกำลังบำเพ็ญเพียรอยู่   ซึ่งในชาติต้นๆจะคิดถึงการเป็นพระพุทธเจ้าอยู่หลายอสงไขยแสน  จึงกระทำความตั้งใจอยู่ในใจ  จนถึงการประกาศตั้งจิตปราถนาพุทธภูมิ  ซึ่งแต่ละขั้นนั้นเล่นกันเป็นอสงไขยแสนเลย ทั้งนี้เมื่อปราถนาพุทธภูมิแล้ว หากชาติใดชาติหนึ่งเกิดเบื่อหน่ายการเวียนว่ายตายเกิดขึ้นมาแล้วต้องการไปนิพพาน โดยไม่ลังเลที่จะไปพุทธภูมิอีกก็สามารถบรรลุธรรมขั้นสูงได้โดยง่าย  เพราะผลบุญบารมีบำเพ็ญเพียรนั้นมากอยู่แล้ว ลองศึกษาประวัติหลวงปู่มั่นดู  เพราะท่านก็เป็นผู้ที่ปราถนาพุทธภูมิเช่นกันแต่ท้ายสุดท่านก็คือพระผู้ไปแล้วด้วยดี  ขอสาธุการแด่pook59ด้วยจิตคารวะ สาธุ สาธุ สาธุ

ตอบโดย: todsapol 25 เม.ย. 48 - 16:46


สาธุ

ตอบโดย: zen 26 เม.ย. 48 - 02:46


  สาธุครับ คุณ วิชา

ขอให้เจริญในธรรมครับ

ตอบโดย: อินเดีย 26 เม.ย. 48 - 11:48


  ขอโมทนาด้วยนะครับ   เป็นสิ่งที่ดีมากมาก   สู้ต่อไปนะครับ  เป็นกําลังใจให้  โมทนาด้วยครับ....

ตอบโดย: ka 26 เม.ย. 48 - 17:35


คุณสมบัติของพระโพธิสัตว์มีอยู่ 3 ข้อใหญ่คือ

1.มหาปรัชญาหรือปัญญาอันยิ่งใหญ่ หมายความว่าจะต้องเป็นผู้มีปัญญาเห็นแจ้งในสัจธรรม ไม่ตกเป็นทาสของกิเลส
2.มหากรุณา หมายความว่าจะต้องเป็นผู้มีจิตกรุณาต่อสัตว์ทั้งหลายอย่างปราศจากขอบเขต พร้อมที่จะสละตนเองเพื่อช่วยสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์
3.มหาอุปาย หมายความว่า พระโพธิสัตว์จะต้องมีวิธีการ ชาญฉลาดในการแนะนำอบรมสั่งสอนผู้อื่นให้เข้าถึงสัจธรรม


 

ตอบโดย: wit 26 เม.ย. 48 - 21:42

ลานธรรมเสวนา http://larndham.net