สั่งเครื่องให้ทำการพิมพ์
ลานธรรมเสวนา > ชีวิตกับธรรมะ
กระทู้ 13225 สมาธิเฉพาะส่วน เพื่อสัมผัสกับความเป็นทิพย์ ( http://larndham.net/index.php?showtopic=13225 )


     มีผู้เสนอให้ผมคลายข้อสงสัยใน เรื่องที่ผมติดต่อกับเทวดาอย่างไรให้ผมอธิบายให้ละเอียดเพื่อไม่ให้มีความคลุมคลือ ซึ่งก็เป็นสิ่งดีและเป็นเจตนาดีของผู้เสนอ และผมก็เห็นว่าผู้ที่เสนอนั้นก็ไม่ได้มีอคติต่อผม   ความจริงแล้วผมได้สนทนาในลานธรรมนี้ มาเป็นเวลาถึง 5 ปี  สิ่งที่ผมประสงค์จะเขียนและเล่าสู่กันฟังเรื่องต่างๆ เพื่อแรกเปลี่ยนประสบการณ์ผมก็ได้สนทนาและเขียนไปเกือบหมดแล้ว และด้วยอาชีพผมนั้นเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ ดังนั้นอินเตอร์เน็ตก็อยู่ในส่วนหนึ่งของอาชีพผม โดยที่ผมไม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายและเบียดเวลาจากส่วนอื่นมากเลย จึงกลายเป็นว่าในการสนทนาเพื่อแรกเปลี่ยนความคิดเห็นและแสวงหาความรู้ในอินเตอร์เน็ตนั้นกลายเป็นเรื่องปกติของผม
       ถึงแม้บางครั้งผมจะเบื่อหน่าย แต่กรรมนั้น(โอกาสอย่างหนึ่งก็ได้)ก็ยังอำนวยให้ผมได้คลุกคลีอยู่เป็นประจำ เมื่อยังสัมผัสและรับรู้อยู่ ก็ย่อมแสดงความเห็นกันไปตามฐานะและตามโอกาส บางครั้งก็มีความคิดแวบขึ้นมาว่า ถ้าเอาเวลาตรงนี้ไปสร้างงานสร้างระบบโปรแกรมที่สมบูรณ์ดีที่สุดสักชุดเพื่อรายได้พิเศษ ก็คงทำจบไปแล้วหลายโปรแกรม (สร้างโปรแกรมมาแล้วชุดหนึ่งด้วยระบบใหม่แต่ยุติการขายทั้งที่ขายได้จริง  เพราะเห็นแล้วว่าในชีวิตนี้เราเกิดมาก็ไม่หวังร่ำรวยจนมากเกินไป ในเมื่อบริษัทให้พิเศษเราได้ระดับหนึ่งแล้วก็คงพอ  และโปรแกรมชุดนั้นจะปัดฝุ่นปรับปรุงเอามาขายเมื่อใดก็ได้ แต่ใจมันพอไม่เอาเสียแล้ว ที่จะต้องเสียเวลาที่ให้กับครอบครัว และเสียโอกาสในการทำประโยชน์อย่างอื่น)   ที่ชี้แจงเรื่องการใช้อินเตอร์เน็ตให้ทราบนี้ ก็เพื่อคลายไม่ให้บางท่านที่อาจจะก่อเกิดอคติกับผมแล้วฝังแน่นจนยาวนานเกินไป  ได้ทราบว่าผมไม่ได้สร้างสถานการณ์ หรือแสวงหาเพื่อการนี้อย่างมากเลย มันเป็นไปตามภาวะของงานและอาชีพที่อำนวยในเรื่องของเวลาและสถานะให้กระทำได้เป็นปกติ ก็คือบุญอย่างหนึ่งของผมนั้นเอง
        เอาละครับผมจะบรรยายเล่าเรื่องที่ยังมีความคลุมคลือ ให้ฟัง ซึ่งคล้ายกับที่มีคนถามผมว่าเมื่อวานนี้ผมทำอะไรบ้าง ผมก็จะเล่าย่อๆ ไม่ลงในรายละเอียดแต่จะเน้นในเรื่องที่จะคลายความสงสัยและคลายความคลุมคลือ ตามที่มีผู้เสนอ
        ผมจำเป็นต้องยกพระไตรปิฎกมาก่อน ถึงแม้จะอ่านเข้าใจยากแต่ก็เพื่อให้มีหลักฐาน ป้องกันการถามที่จะบานปลาย ออกไปจนนอกขอบเขตแล้วหาที่จบไม่ได้  และเมื่อยกพระสูตรแล้วผมจะอธิบายสรุปตามความเข้าใจของผมในตอนหลังเพื่อให้กระชับ
     ถ้าบางท่านเห็นว่าพระสูตรยาวเกินไป ก็อ่านในข้อ [๒๔๓] และ [๒๔๔] ก็พอแล้วข้ามไปอ่านที่ผมสรุปในตอนท้าย แล้วต่อด้วยเรื่องของผมต่อไป

    จากพระสูตร
          [๒๔๓] ฝ่ายเจ้าโอฏฐัทธลิจฉวีพร้อมด้วยบริษัทลิจฉวีหมู่ใหญ่ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มี
พระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ครั้นแล้ว
จึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันก่อนๆ สุนักขัตตลิจฉวีบุตรเข้าไปหา
ข้าพระองค์แล้วบอกว่า มหาลี ตลอดเวลาที่ข้าพเจ้าอาศัยพระผู้มีพระภาคอยู่ไม่ทันถึง ๓ ปี
ข้าพเจ้าก็ได้เห็นรูปทิพย์อันน่ารักประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด แต่มิได้ยินเสียง
ทิพย์ อันไพเราะประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เสียงทิพย์
อันไพเราะประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ที่สุนักขัตตลิจฉวีบุตรไม่ได้ยินนั้น
มีอยู่หรือไม่. พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า มี มหาลี มิใช่ไม่มี. เจ้าโอฏฐัทธลิจฉวีทูลถามว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรเล่าเป็นเหตุ เป็นปัจจัยที่มิให้สุนักขัตตลิจฉวีบุตรได้ยินเสียงทิพย์
อันไพเราะ ประกอบด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ที่มีอยู่ มิใช่ว่าไม่มีนั้น.
                                   สมาธิที่บำเพ็ญเฉพาะส่วน
          [๒๔๔] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรมหาลี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เจริญสมาธิเฉพาะส่วน
เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันออก
แต่มิได้เจริญเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด
เพราะเธอเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่ง
ความกำหนัด ในทิศตะวันออก แต่มิได้เจริญเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เธอจึงเห็นแต่รูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่ง
ความกำหนัด ในทิศตะวันออก มิได้ฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่ง
ความกำหนัด ข้อนั้นเพราะเหตุไร ดูกรมหาลี ทั้งนี้ เพราะภิกษุนั้นเจริญสมาธิเฉพาะส่วน
เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันออก
แต่มิได้เจริญเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด.
          [๒๔๕] ดูกรมหาลี ข้ออื่นยังมีอีก ภิกษุเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อเห็นรูปทิพย์
อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศใต้ แต่มิได้เจริญเพื่อฟังเสียงทิพย์
อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เพราะเธอเจริญสมาธิเฉพาะส่วน
เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศใต้ แต่มิได้เจริญ
เพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เธอจึงเห็นแต่รูปทิพย์
อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศใต้ มิได้ฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ
ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ข้อนั้นเพราะเหตุไร ดูกรมหาลี ข้อนั้นเป็นเพราะ
เธอเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความ
กำหนัด ในทิศใต้ แต่มิได้เจริญเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่ง
ความกำหนัด.
          ภิกษุเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่ง
ความกำหนัด ในทิศตะวันตก แต่มิได้เจริญเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เพราะเธอเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบ
ด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันตก แต่มิได้เจริญเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ
ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เธอจึงเห็นแต่รูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันตก มิได้ฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร ดูกรมหาลี ข้อนั้นเป็นเพราะเธอเจริญสมาธิ
เฉพาะส่วน เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด
ในทิศตะวันตก แต่มิได้เจริญเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความ
กำหนัด.
          ภิกษุเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้ง
แห่งความกำหนัด ในทิศเหนือ แต่มิได้เจริญเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เพราะเธอเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบ
ด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศเหนือ แต่มิได้เจริญเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ
ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เธอจึงเห็นแต่รูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศเหนือ มิได้ฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร ดูกรมหาลี ข้อนั้นเป็นเพราะเธอเจริญสมาธิ
เฉพาะส่วน เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศเหนือ
แต่มิได้เจริญเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด.
          ภิกษุผู้เจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้ง
แห่งความกำหนัดในทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และทิศเบื้องขวาง แต่มิได้เจริญเพื่อฟังเสียงทิพย์
อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เพราะเธอเจริญสมาธิเฉพาะส่วน
เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศเบื้องบน
ทิศเบื้องต่ำ และทิศเบื้องขวาง แต่มิได้เจริญเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เธอจึงเห็นแต่รูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่ง
ความกำหนัด ในทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และทิศเบื้องขวาง มิได้ฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ
ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ข้อนั้น เป็นเพราะเหตุไร ดูกรมหาลี ข้อนั้น
เป็นเพราะเธอเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้ง
แห่งความกำหนัด ในทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และทิศเบื้องขวาง แต่มิได้เจริญเพื่อฟังเสียงทิพย์
อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด.
          [๒๔๖] ดูกรมหาลี ภิกษุเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ
ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันออก แต่มิได้เจริญเพื่อเห็นรูปทิพย์
อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เพราะเธอเจริญสมาธิเฉพาะส่วน
เพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันออก
แต่มิได้เจริญเพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เธอจึง
ฟังแต่เสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันออก
มิได้เห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร
ดูกรมหาลี ข้อนั้นเป็นเพราะเธอเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบ
ด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันออก มิได้เจริญเพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก
ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด.
          [๒๔๗] ดูกรมหาลี ข้ออื่นยังมีอีก ภิกษุเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อฟังเสียงทิพย์
อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศใต้ แต่มิได้เจริญเพื่อเห็น
รูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เพราะเธอเจริญสมาธิเฉพาะส่วน
เพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศใต้ แต่มิได้
เจริญเพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เธอจึงฟังแต่
เสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศใต้ มิได้เห็นรูปทิพย์
อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร ดูกรมหาลี
ข้อนั้นเป็นเพราะเธอเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศใต้ มิได้เจริญเพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด.
          ภิกษุเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อฟังเสียงอันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้ง
แห่งความกำหนัด ในทิศตะวันตก แต่มิได้เจริญเพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เพราะเธอเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ
ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันตก มิได้เจริญเพื่อเห็นรูปทิพย์
อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เธอจึงฟังแต่เสียงทิพย์อันไพเราะ
ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันตก มิได้เห็นรูปทิพย์อันน่ารัก
ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร ดูกรมหาลี ข้อนั้น
เป็นเพราะเธอเจริญสมาธิเฉพาะส่วนเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้ง
แห่งความกำหนัด ในทิศตะวันตก มิได้เจริญเพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด.
          ภิกษุเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้ง
แห่งความกำหนัด ในทิศเหนือ แต่มิได้เจริญเพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เพราะเธอเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ
ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศเหนือ มิได้เจริญเพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก
ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เธอจึงฟังแต่เสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศเหนือ มิได้เห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้ง
แห่งความกำหนัด ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร ดูกรมหาลี ข้อนั้นเป็นเพราะเธอเจริญสมาธิเฉพาะ
ส่วน เพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศเหนือ
มิได้เจริญเพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด.
          ภิกษุเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้ง
แห่งความกำหนัด ในทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และทิศเบื้องขวาง แต่มิได้เจริญเพื่อเห็นรูปทิพย์
อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เพราะเธอเจริญสมาธิเฉพาะส่วน
เพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศเบื้องบน
ทิศเบื้องต่ำ และทิศเบื้องขวาง แต่มิได้เจริญเพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เธอจึงฟังแต่เสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่ง
ความกำหนัด ในทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และทิศเบื้องขวาง มิได้เห็นรูปทิพย์อันน่ารัก
ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร ดูกรมหาลี ข้อนั้น
เป็นเพราะเธอเจริญสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้ง
แห่งความกำหนัด ในทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และทิศเบื้องขวาง มิได้เจริญเพื่อเห็นรูปทิพย์
อันน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด.
                                การเห็นรูปทิพย์ การฟังเสียงทิพย์
          [๒๔๘] ดูกรมหาลี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เจริญสมาธิโดยส่วนสองเพื่อเห็นรูปทิพย์
อันน่ารัก และเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด
ในทิศตะวันออก เพราะเธอเจริญสมาธิโดยส่วนสอง เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก และเพื่อ
ฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันออก
เธอจึงเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก และฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความ
กำหนัด ในทิศตะวันออก ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร ดูกรมหาลี ข้อนั้นเป็นเพราะเธอเจริญสมาธิ
โดยส่วนสอง เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก และเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันออก.
          [๒๔๙] ดูกรมหาลี ข้ออื่นยังมีอีก ภิกษุเจริญสมาธิโดยส่วนสอง เพื่อเห็นรูปทิพย์
อันน่ารัก และเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด
ในทิศใต้ เพราะเธอเจริญสมาธิโดยส่วนสอง เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก และเพื่อฟังเสียงทิพย์
อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศใต้ เธอจึงเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก
และฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศใต้ ข้อนั้น
เป็นเพราะเหตุไร ดูกรมหาลี ข้อนั้นเป็นเพราะเธอเจริญสมาธิโดยส่วนสอง เพื่อเห็นรูปทิพย์
อันน่ารัก และเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด
ในทิศใต้.
          ภิกษุเจริญสมาธิโดยส่วนสอง เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก และเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ
ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันตก เพราะเธอเจริญสมาธิโดยส่วนสอง
เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก และเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่ง
ความกำหนัด ในทิศตะวันตก เธอจึงเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก และฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ
ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันตก ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร
ดูกรมหาลี ข้อนั้นเป็นเพราะเธอเจริญสมาธิโดยส่วนสอง เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก และเพื่อ
ฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศตะวันตก.
          ภิกษุเจริญสมาธิโดยส่วนสอง เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก และเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ
ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศเหนือ เพราะเธอเจริญสมาธิโดยส่วนสอง
เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก และเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่ง
ความกำหนัด ในทิศเหนือ เธอจึงเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก และฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบ
ด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศเหนือ ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร ดูกรมหาลี ข้อนั้น
เป็นเพราะเธอเจริญสมาธิโดยส่วนสอง เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก และเพื่อฟังเสียงทิพย์
อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศเหนือ.
          ภิกษุเจริญสมาธิโดยส่วนสอง เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก และเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ
ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และทิศเบื้องขวาง
เพราะเธอเจริญสมาธิโดยส่วนสอง เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก และเพื่อฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ
ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดในทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และทิศเบื้องขวาง
เธอจึงเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก และฟังเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความ
กำหนัด ในทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และทิศเบื้องขวาง ข้อนั้นเพราะเหตุไร ดูกรมหาลี
ข้อนั้นเป็นเพราะเธอเจริญสมาธิโดยส่วนสอง เพื่อเห็นรูปทิพย์อันน่ารัก และฟังเสียงทิพย์
อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และ
ทิศเบื้องขวาง ดูกรมหาลี เหตุปัจจัยนี้แหละ เป็นเหตุ เป็นปัจจัย สุนักขัตตลิจฉวีบุตรจึง
มิได้ยินเสียงทิพย์อันไพเราะ ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดที่มีอยู่ มิใช่ไม่มี.

**** สรุปตามความเข้าใจของ ผม ดังนี้
           การฝึกสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อให้ได้ยินเสียงเป็นทิพย์ อย่างเดียวก็มีอยู่ ดังนั้นบางท่านที่ฝึกสมาธิแล้วเกิดได้ยินเสียงทิพย์อย่างเดียวก็ย่อมมี
           การฝึกสมาธิเฉพาะส่วน เพื่อได้เห็นรูปอันเป็นทิพย์ อย่างเดียวก็มีอยู่ ดังนั้นบางท่านที่ฝึกสมาธิแล้วเกิดได้เห็นรูปทีพย์อย่งเดียวก็ย่อมมี
           การฝึกสมาธิเฉพาะสองส่วน เพื่อได้ยินเสียงทิพย์และเห็นรูปอันเป็นทิพย์ ก็มีอยู่ ดังนั้นบางท่านที่ฝึกสมาธิแล้วเกิดได้ยินเสียงทิพย์และเห็นรูปอันเป็นทิพย์ก็ย่อมมี

          แต่การเห็นรูปทิพย์ และได้ยินเสียงทิพย์นั้น แต่ละท่านก็มีคุณภาพต่างๆ ตามฐานะบารมีและความชำนาญ  ผมจะยกข้อความบางส่วนเท่าที่จำได้จากพระไตรปิฎกชี้แจงให้เห็นดังนี้
          ในคราวที่พระพุทธเจ้า และ พระอรหันต์ 500 รูป อยู่ในป่ามหาวัน เหล่าเทวดาทั้ง 10 โลกธาตุมีความประสงค์จะทัศนา ดูพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้ง 500 รูป  พระพุทธเจ้าจึงตรัสบอกกับพระอรหันต์ทั้ง 500 รูป ว่าเทวดา 10 โลกธาตุกำลังจะมาดู  ให้พระอรหันต์ ดำรงจิตเพื่อจะเห็นเทวดาเหล่านั้น พระอรหันต์บางรูป เห็นเทวดาเพียงไม่กี่องค์ บางรูปเห็นเป็นร้อยองค์ บางรูปเห็นเป็นพันเป็นหมื่น บางรูปเห็นโดยตลอด แต่ก็มีพระอรหันต์หลายรูปที่ไม่เห็นเทวดาเลย
 
    เมื่อกล่าวถึงปุถุชน ผู้ได้สมาธิเฉพาะส่วนแล้ว(อุปจารสมาธิ หรือ ฌาน)  บางท่านได้ยินเสียงทิพย์ บางท่านได้เห็นรูปทิพย์ ไม่ใช่ว่าจะเป็นผู้ที่หนักแน่นในธรรม หรือมีคุณธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะ สุนักขัตตลิจฉวีบุตร แม้ได้สมาธิเฉพาะส่วนได้เห็นรูปทิพย์ ก็กลับเป็นผู้มีมิจฉาทิฏฐิได้ ในภายหลัง เพราะมีใจประสงค์ที่จะให้พระพุทธเจ้าแสดงฤทธิ์ให้ตนเองเห็นต่อหน้า ทั้งที่พระพุทธเจ้าแสดงฤทธิ์ให้ปรากฏแล้ว หลายครั้ง ก็ยังไม่จุใจยังคลางแครงใจ ในฤทธิ์ของพระพุทธเจ้า แถมยังคลางแครงใจในการเป็นพระอรหันต์ ที่มีเฉพาะในพุทธศาสนาเท่านั้น จึงโดนพระพุทธเจ้าตรัสตำหนิในภายหลัง  สุนักขัตตลิจฉวีบุตร ก็เกิดอาการไม่พอใจ และเพ่งโทษกับพระพุทธเจ้า ในภายหลังก็สึกออกไป แล้วไปปฏิบัติพรตแบบสุนัขในลัทธินอกพุทธศาสนา
     อย่าว่าเพียงแค่ผู้ที่ได้สมาธิเฉพาะส่วนเลย แม้แต่ผู้ที่ได้อภิญญา 5 อย่างพระเทวทัต ก็ยังหลงผิดได้เลย

       เอาละครับคงเข้าใจในการรู้หรือเห็นความเป็นทิพย์ที่ต่างๆ กัน ตามบารมีที่สร้างสมกันแล้ว
      ต่อไปผมจะเอาข้อมูลที่เทียบเคียงข้างบนนี้มาอธิบายถึงความเป็นทิพย์อย่างหนึ่งคือ การรู้ใจผู้อื่นด้วยใจตนเอง ซึ่งก็เป็นการฝึกสมาธิเฉพาะส่วน อีกอย่างหนึ่ง  ดังนั้น บางท่านที่ฝึกสมาธิแล้วเกิดไปรู้ใจผู้อื่น หรือติดต่อกับผู้ที่เป็นทิพย์ทางใจได้ก็ย่อมมี

      ต่อไปผมจะบรรยาย ขั้นตอนการพัฒนาทั้งหมด แล้วเน้นลงสู่เรื่องการติดต่อกับผู้เป็นทิพย์ทางใจ ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งหรือคุณสมบัติหนึ่งของการรู้ใจผู้อื่น ซึ่งจะมีความแตกต่างจากการได้ยินเสียงหรือเห็นภาพที่เป็นทิพย์
      ภาวะทั้งหมดก็เริ่มมาจากการฝึกสมาธิหรือวิปัสสนา  จนได้ฌาน หรือได้ลักขณูฌาน  ผู้ที่ได้ฌานจะเกิดภาวะอย่างหนึ่ง ที่ผิดแปลกไปจากบุคคลธรรม คือมีญาณเกิดขึ้น เรียกว่า ญาณของผู้มีฌาน ซึ่งก็เป็นอจินไตยอย่างหนึ่ง คือเกิดขึ้นได้หลายลักษณะหลายรูปแบบ บางอย่างก็เป็นของเฉพาะตน หาเหตุหาผลได้ยากเพราะมันเป็นสิ่งที่สืบทอดและพัฒนาของจิตกันมาเป็นเวลายาวนานเฉพาะตัวเฉพาะตน
     ญาณของผู้มีฌาน นั้นไม่จำเป็นว่าต้องเป็นอภิญญา 5 อย่างบริบูรณ์  ผู้ที่ได้ ฌาน 1 ถึง 4 แต่ภาวะญาณต่างๆ ใน 5 อย่างนั้นสามารถปรากฏเป็นบางครั้งบางคราว แต่หาได้เฉียบคมและชัดเจนอย่างอภิญญา 5 เพราะเป็นการได้สมาธิเฉพาะส่วน ตามที่ผมยกพุทธพจน์ด้านบน
    ญาณของผู้มีฌานขั้นต่ำ(ฌาน1 ถึง 4)  จะปรากฏได้เพียง 4 อย่าง คือ ปรากฏอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ หรือปรากฏครบทั้ง 4 อย่าง  และการปรากฏนั้น ก็ตามอำนาจสมาธิและวาสนาบารมีของผู้นั้น คือ ปรากฏอย่างเลื่อนลาง  ปรากฏพอชัดเจน   ปรากฏอย่างชัดเจน และขอบเขตการใช้ และใช้ได้แค่ไหนก็อยู่ที่การฝึกฝนและวาสนาบารมี(การสร้างสมมา)ของผู้ได้ฌานนั้น
    ญาณของผู้ได้ฌานขั้นต่ำนี้อาจปรากฏได้ 4 อย่างได้แก่ 1.ได้ยินเสียงทิพย์  2.ได้เห็นความเป็นทิพย์หรือนิมิต  3. พอที่จะรู้ระลึกชาติตนเองหรือผู้อื่นได้  4.รู้ภาวะจิตผู้อื่น รู้เหตุการณ์ที่จะปรากฏ หรือติดต่อทางจิตกับผู้เป็นโอปาติกะได้   ขาดข้อ ที่ 5 คือไม่สามารถแสดงฤทธิ์ได้อย่างเด็ดขาด
      การที่ไม่สามารถแสดงฤทธิ์ได้ของผู้ได้ฌานแต่ไม่ได้อภิญญา 5 นี้และ จึงเกิดวิชชาอีกแขนงหนึ่งคือวิชาคาถาอาคม มาชดเชย ซึ่งอาศัยแค่ อุปจารสมาธิหรือเพียงฌาน 1 อย่างอ่อนเท่านั้น ก็สามารถแสดงฤทธิ์ ในการบังตา ในการเบี่ยงเบนของการเห็นของคนรอบข้าง ในการย่อขยายวัตถุ และในการบังคับโอปาติกะชั้นต่ำ คือเปรตและอสุรกาย
      แต่เรื่องการเข้าทรงนั้นผมไม่ได้ไปศึกษา ไม่ได้มีจิตใจที่ต้องการเรียนรู้ เพียงแต่ทราบมาว่า คนทรงเจ้าบางท่านถูกบังคับให้เป็นคนทรง บางท่านก็สมัครใจเป็นคนทรงเจ้าทั้งที่ตนเองไม่ได้มีสมาธิเลย
 
    ฌานของผู้ได้ฌานชั้นต่ำ(1 ถึง 4)ที่พัฒนาฝึกฝนตามบารมี(สร้างสมมา)  ก็สามารถปรากฏชัดเจนเกือบเท่ากับผู้มีอภิญญา 5 อีกอย่างหนึ่งคือ วิชชา 3 ได้แก่ 1.มีหูทิพย์ตาทิพย์(อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสอง)  2.ระลึกชาติได้  3.รู้ใจผู้อื่นมีญาณรู้ทางใจติดต่อกับโอปาติกะทางใจได้

    เอาละผมได้อธิบายสิ่งที่มีข้อมูล แล้วสรุปรวมเป็นบทบรรยายให้ทราบตามด้านบน ต่อไปจะกล่าวถึงประสบการณ์มูลเหตุและการพัฒนาอย่างชัดเจนที่ยังไม่ได้เขียนในเวปส่วนตัว ส่วนที่เขียนไว้แล้วจะย่อให้สั้น หรือเอาเนื้อหาที่เชื่อมโยงให้พอเข้าใจเห็นภาพรวมได้ดังนี้

       เมื่อปี 2526 ผมและเพื่อนสองคนได้ทำกรรมฐานที่คณะ 5 วัดมหาธาตุท่าพระจันทร์  ประสบกับฌาน 1 ในช่วงเวลาประมาณ 1 เดือน เกิดภาวะญาณของผู้มีฌานอย่างพิสดารปรากฏการทั้ง 4 อย่าง แต่ได้บังเกิดขึ้นอย่างสับสน  จนต้องหลงไปกับมันว่า อาจเป็นพระอริยะบ้าง เป็นผู้มีบุญบารมีบ้าง เป็นเวลา ประมาณ 2 เดือน แต่ด้วยความที่ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน รู้จักแยกแยะว่าอย่างไรเป็นกิเลสหยาบ อย่างไรเป็นกิเลสอย่างกลางที่ปรากฏกับใจตนเอง ความหลงที่ตนเองคิดว่า อาจเป็นพระอริยะ เป็นผู้มีบารมีมาก ก็ค่อยๆ คลายไปในชั่วเวลา 2 เดือน ประกอบกับการได้อยู่ใกล้พระอาจารย์ถึงสองท่านคือ พระเทพสิทธิมุนี เป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน กับพระปลัดพนมเป็นรองอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน ที่เป็นฉายาของท่านในขณะนั้น  หลังจากนั้นก็วนเวียนฝึกกรรมฐาน(วิปัสสนากรรมฐาน)ต่อไปเป็นเวลาเกือบ 2 ปี จนชำนาญในวิปัสสนาญาณ และ ฌานโดยไม่มีความหลงแบบเก่าก่อนอีกเลย หลังจากนั้นก็มีเพื่อนเข้ามาร่วมทำกรรมฐาน หลายคน แต่ที่ทำกรรมฐานอย่างติดต่อกันมี 5 คน (ชาย 4 หญิง 1)  และที่ทำกันอย่างจริงจังมี 3 คน คือ ผม  เพื่อนผู้ชาย  เพื่อนผู้หญิง(ที่เป็นภรรยาผมในปัจจุบัน) ก็วนเวียนทำกรรมฐาน ติดต่อกันมาเป็นเวลาอีก 2 ปี
     ดังนั้นเรื่องสมาธิที่มีกำลังระดับฌาน(ลักขณูฌาน)ใน 3 คนนี้ไม่ต้องไปพูดถึงว่าจะไม่ได้ แต่ก็ไม่ไปลุ่มหลง เหมือนดังที่เคยเป็นมาเมื่อตอนต้น หลังจากนั้นผมกับแฟนก็ชอบพอกันและรักกัน ช่วงนี้เละอนุสัยที่ไม่เคยคาดคิดและไม่เคยปรารถนามาก่อนหรือมุ่งหวังมาก่อน เพราะว่าในชีวิตตั้งแต่เกิดมาจำความได้ก็คิดว่าตนเองนี้มีฐานะต่ำต้อยมาก ทั้งโดนล้อทั้งโดนมองจากสังคมรอบข้างว่าเป็นคนไม่มีสิทธิ  อนุสัยนั้นได้ปรากฏขึ้นจากเบื้องลึกของจิตในภาวะที่อยู่ในภวังค์ว่า ข้าอยากเป็นพระพุทธเจ้า แล้วเกิดเป็นนิมิตของฌานที่เคยได้ พร้อมทั้งบอกสัญลักษณ์ ของระยะเวลาที่ได้สร้างสมบารมีมาทั้งหมด เมื่อผมออกจากภวังค์นั้นผมก็ไม่เชื่อสิ่งที่ปรากฏนั้น และไม่ได้พูดหรือสนใจเรื่องนิมิตนี้เป็นเวลาเกือบ 2 เดือน
       วันหนึ่งเพื่อนประมาณ 3 หรือ 4 คนก็คุยกันในเรื่องเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์  ผมก็เลยยกเรื่องนิมิตที่เกิดกับผมมาพูด ขณะที่เล่าอยู่ก็เหมือนกับไฟที่ลุกโชนขึ้นมาอย่างมากมาย  เหมือนกับนกจำนวนมากที่โดนกักขังแล้วปลดปล่อยออกมากรู่กันบินออกไปอย่างทันทีทันไดเพื่ออิสระ  ควบคุมใจไม่ได้ แต่กายนั้นยังควบคุมได้  ก็อาศัยกำลังสติที่ฝึกมาทั้งหมดควบคุมเอาไว้  เสมือนการต่อสู้กันระว่างความปรารถนาเพื่อละกิเลสให้หมดในชีวิตนี้โดยอาศัยกำลังสติสัมปัญญะ  กับการปรารถนาเพื่อสร้างบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไปที่อาศัยกำลังปีติที่กำลังเกิดและหล่อเลี้ยงอยู่  ต่อสู่อยู่เป็นเวลา 2 เดือน การปรารถนาเพื่อสร้างบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไปชนะต้องไปอธิฐานเพื่อสร้างบารมีให้สมบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้นไปเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าต่อพระเจดีย์ที่บรรจุพระธาตุ หลังจากนั้นจิตก็ผ่อนลงมาเป็นปกติ ทั่วไปๆ  หลังจากนั้นผมได้ไปขอร้องให้พระอาจารย์ปลัดพนมช่วยดูให้ว่าผมได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้ามาแล้วหรือยัง แต่พระอาจารย์(ต่อใช้คำว่าพระอาจารย์ แทนคำว่าพระอาจารย์ปลัดพนม) บอกผมว่าให้กลับไปดูเองก็ได้ แต่พระอาจารย์ยังไม่ได้บอกวิธีดูเลยว่าดูอย่างไร
           กลับมาถึงที่พัก ก็คิดว่าเราจะดูอย่างไร ก็คิดว่าอธิฐานแล้วเข้าสมาธิภาวนาหลังจากนั้นก็ภาวนาตามคำอธิฐานไปเรื่อยๆ  จึงเริ่มกำหนดตามที่คิดไว้ ก็บังเกิดนิมิตโดยไม่ได้คาดคิดขึ้นมา เป็นมือกางอยู่เบื้องหน้าแล้วก็กำ พร้อมทั้งญาณที่พอรู้ว่า กรรมได้กำหนดไว้แล้ว
          วันต่อมาก็ไม่เชื่อว่าเป็นจริง อาจเป็นสิ่งอื่นที่ไม่ใช่คนหลอกเอาก็ได้ เพราะเป็นรูปมืออย่างชัดเจนแต่ไม่มีสีสัน จึงลองอธิฐานใหม่อีกครั้ง  คราวนี้ในความมืดที่หลับตาภาวนาอยู่นั้นปรากฏนิมิตเป็นเหมือนประตูเปิดออกแล้วมีแสงสว่างส่องเข้ามาในความมืด  แล้วญาณที่พอรู้ก็ปรากฏว่า ทางนั้นได้เปิดให้กับเราแล้ว คราวนี้จะว่ามีสิ่งอื่นมานิมิตให้ก็คงไม่ได้ เพราะความมืดที่เกิดจากการหลับตาไม่มีแสงนั้นเป็นธรรมชาติอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่เปิดออกเป็นสิ่งที่เป็นเหมือนแสงสว่างส่องเข้ามา คงไม่มีใครมาเนรมิตให้เกิด นอกจากญาณหรือใจเราเองที่ทำให้เกิด
       **** ถึงช่วงนี้คงคลายความสงสัย ในเรื่องนิมิตและญาณรู้ที่เกิดขึ้นกับผมบางแล้วนะครับ***
     หลังจากนั้นผมก็ยังไม่ปักใจเชื่ออยู่ดี ว่าข้อมูลเพียงแค่นี้จะให้ปักใจเชื่อว่าได้รับพุทธพยากรณ์แล้วยังไม่ได้ ตามวิสัยของผู้เรียนมาทางวิทยาศาสตร์ ที่ต้องการพิสูจน์ ประมาณ 2 อาทิตย์ต่อมา นั่งคุยกับแฟนอยู่  เขาก็บอกว่าในสมัยเด็กๆ เขาเล่นสนุกกับน้องๆ และพี่ๆ โดยทำท่านั่งสมาธิ แล้วพูดว่า ใครอยากรู้อะไร จงถามมาข้าจะบอกให้ทราบ ก็เล่นสนุกกันไปตามประสาเด็ก  แล้วแฟนก็พูดทำนองว่า น่าจะลองดูนะ เพราะผ่านการฝึกกรรมฐานมามากพอ  ผมก็บอกว่าก็น่าจะลองดูเพราะ แฟนฝึกกรรมฐานมา 2 ปี กว่าแล้ว สมาธิระดับอัปปะนาสมาธิก็มีแล้ว น่าจะติดต่อกับเหล่าเทพเทวดาได้
       จึงให้แฟนนั่งสมาธิ  เมื่อแฟนนั่งสมาธิ แต่ไม่รู้วิธีที่จะติดต่อกันอย่างไร   ผมก็บอกว่าอย่างนั้นก็อธิฐานเชิญเทพเทวดา แล้วภาวนาเข้าสมาธิให้ลึกที่สุดตามกำลังที่มี แล้ววางใจให้ว่างๆ  แฟนจึงนั่งสมาธิไปพักหนึ่ง แล้วก็ลืมตาขึ้นมา บอกกับผมว่า เขาเข้ามาติดต่อแล้ว ใจรู้แล้วว่าจิตเขามาติดต่อมาสัมผัสกับใจเราแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อ หลังจากนั้นจึงเลิกนั่งสมาธิ ผมก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า อย่างนั้นให้แฟนผมนอนราบ เข้าสมาธิแล้วทำใจให้สงบเมื่อติดต่อได้ ผมเพียงแต่ถามคำถาม ถ้าเป็นจริงก็ให้ผงกศีรษะ ถ้าไม่จริงก็ให้สายหน้า โดยที่แฟนต้องมีจิตที่สงบนิ่งไม่สนใจที่จะส่ายหน้าหรือผงกศีรษะไม่สนใจในสิ่งที่ผมถาม ก็เกิดปฏิกิริยาเกิดคาดหมาย  แต่ในขณะที่ทำอยู่ แฟนก็เห็นนิมิต เป็นทางยาวสองทางคล้ายขา จากบนฟ้าไกลสุดๆ มาสัมผัสตรงหน้าผากของเขา แล้วล็อกป้องกันไม่ให้สิ่งอื่นมาแทรกได้เลย และศีรษะของแฟนก็ส่ายหน้าหรือผงกเองตามคำถามของผม สรุปเทวดาต่างๆ ก็ยืนยันว่าผมได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว (การเห็นรูปทิพย์อย่างเรือนลาง ได้ปรากฏกับเขา และการรู้ใจหรือสัมผัสใจผู้อื่นได้ปรากฏกับเขา)
       หลังจากนั้นผมก็ยังไม่ปักใจเชื่อทั้งหมดอยู่ดี ตามวิสัยของผู้เรียนมาทางวิทยาศาสตร์ จึงลองกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง ที่ไม่ทราบข้อมูลเรื่องที่ผมปรารถนาพุทธภูมิ ทำแบบเดียวกับแฟนผม ก็ได้คำตอบเหมือนกัน ทั้งที่เพื่อนคนนี้ในตอนหลังลองพยายามฝืนคอและศีรษะตัวเองไม่ให้ส่ายหน้าหรือผงกศีรษะ แต่ก็ฝืนไม่ได้  คำตอบที่ได้มานั้นก็คือผมได้รับพุทธพยากรณ์แล้วเช่นเดิม  แต่สำหรับผมเหมือนยังไม่เต็มสมบูรณ์ที่จะได้รู้
       หลายวันต่อมาผมจึงได้ขอร้องให้พระอาจารย์ดูให้ผมอีกครั้ง ว่าผมได้รับพยากรณ์มาแล้วหรือยัง  พระอาจารย์ก็ยังไม่ประสงค์ดูให้ จนแฟน(ศรัทธาพระอาจารย์อย่างมากเมื่อเริ่มเข้ามาทำกรรมฐานครั้งแรกแล้ว) พูดขึ้นว่า
     “อาจารย์ดูให้เขาเถิด ได้หรือไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอกคะ”

พระอาจารย์ก็พูดว่า “เอา อาจารย์จะดูให้ แต่ถ้าพระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์จึงจะแน่นอน ร้อยเปอร์เชนตร์ ดังนั้นเชียมจะได้หรือไม่ได้เธออย่าเสียใจนะ”

   ผมพูด “ครับ ไม่เป็นไรครับ”
ถึงตอนนี้ผมนึกถึงคำอธิฐานเมื่อ 5 ปี ที่ แล้วขึ้นมาได้ทั้งที่ได้ลืมไปแล้ว เพราะมัวแต่สนใจปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเพื่อละกิเลสอย่างเดียว ตลอดเวลา 4 ปีหลัง

   ผมจึงบอกอาจารย์ต่อไปว่า “อ้อ ผมเพิ่งนึกขึ้นมาได้ครับอาจารย์ว่า เมื่อ 5 ปีกว่ามาแล้ว ตอนเรียนในมหาวิทยาลัยปี 3 ผมได้พยายามถือศีลแปดอยู่หนึ่งปี และด้วยความทุกข์ความกดดันที่ปะดังมามากมาย จึงอยากละกิเลส ดับความทุกข์เหล่านั้นเสีย จึงได้อธิฐานว่า ไม่ทราบว่าข้าพเจ้าสร้างบารมีอะไรมา แต่ปัจจุบันนี้ข้าพเจ้ามีความทุกข์มาก ถ้าข้าพเจ้าสร้างบารมีมาน้อยกว่า 2 ใน 3 ข้าพเจ้าขอยกเลิกการสร้างบารมีนั้น แต่ถ้ามากกว่า 2 ใน 3 ข้าพเจ้าจะสร้างบารมีต่อ และขอให้ได้พบพระอนาคามี หรือพระอรหันต์ ที่มีอภิญญา 5 ช่วยบอกให้ข้าพเจ้าทราบด้วย ผมอธิฐานทุกคืนเป็นเวลา 1 ปี หลังจากนั้นก็มาทำกรรมฐานที่นี้จนลืมไปแล้ว”

   พระอาจารย์พูดแบบเปรยๆ ว่า “ต้องมีอภิญญา 5 ด้วยหรือ”

   ผมตอบว่า “ไม่จำเป็นต้องมีถึงอภิญญา 5 ก็ได้ แต่สามารถระลึกชาติของผู้อื่นได้ก็พอ”

   พระอาจารย์ก็กล่าว่า “อย่างนั้น ให้เธอนั่งสมาธิ”

แล้วผมก็นั่งสมาธิหลับตา แต่ใจก็คิดว่า อาจารย์นั่งดูด้วยกำลังสมาธิของอาจารย์เองไม่เกี่ยวกับเรา ผมจึงนึกเรื่องการเตรียมติวให้กับนักศึกษา และนึกเรื่องทั่วไป สักผักหนึ่งผมก็ได้ยินเสียงอาจารย์ว่า  “เซียม เธอทำใจให้สงบหน่อย อาจารย์ต้องดูผ่านเธอ”

ผมลืมตาขึ้น อาจารย์ก็แนะนำว่า “อาจารย์ต้องดูผ่านเธอนะ ถ้าใจเธอไม่สงบ อาจารย์มองไม่เห็นเพราะจะมัว เธอต้องทำใจให้สงบ แต่อย่าภาวนาอย่างใด เพราะถ้ากำหนดภาวนา จะปรากฏแสงสว่างอย่างเดียว จะดูเข้าไปไม่ได้ เอา เริ่มใหม่”

ผมจึงนั่งสมาธิใหม่คราวนี้ก็วางใจให้สงบอย่างเดียวได้สักพักหนึ่ง นิมิตได้ปรากฏกับใจอย่างเรือนลาง เหมือนมีผู้วิเศษที่เป็นอมตะ อยู่เบื้องสูงหรือลอยอยู่เบื้องหน้าห่างออกไป ชี้มือมาที่หน้าผากของผม และเหมือนจะกล่าวกับผมทำนองว่า ผมจะเป็นอมตะเหมือนกับเขา หลังจากนั้นสักพักหนึ่งผมก็ได้ยินเสียงพระอาจารย์พูดว่า
       “น่าปีติ น่าปีติ”
แล้วผมก็ลืมตาขึ้น ก็เห็นพระอาจารย์กำลังลูบแขนและชี้ไปที่ต้นแขนของท่าน พร้อมกับท่านพูดว่า
     “ดูชิ ขนของอาจารย์ลุกเลย    เซียม คนเมื่อสมัยก่อนตัวโตมากเลย”

   ผมจึงถาม  “อาจารย์ไปเห็นอะไร ในสมัยพระพุทธเจ้าปัจจุบันหรือเปล่า?”

   พระอาจารย์พูดว่า “ไม่ใช่ในสมัยพระพุทธเจ้าปัจจุบัน อาจารย์จึงดูย้อนเธอไปจนถึงสมัยพระพุทธเจ้าก่อนหน้านี้ ในสมัยพระกัสสปะพุทธเจ้า”

   ผมถามว่า “แล้วพระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ผมแล้วหรือยังครับ”

   พระอาจารย์ตอบ “พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์เธอแล้ว”

    ผมถาม “พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์อย่างไรครับ ผมทำอะไรอยู่ เป็นพระหรือ ฆราวาส ”

     พระอาจารย์ตอบ “ตอนนั้นเธอเป็น ฆราวาส และกำลังทำบุญกับพระพุทธเจ้าพร้อมกับแฟนของเธอ หลังจากพระพุทธเจ้าเทศนาเสร็จ พระองค์ทรงยืนขึ้นกำลังจะเสด็จกลับ แล้วชี้ไปที่เธอที่นั่งอยู่กับแฟน ตรัสทำนองว่า เธอจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตเบื้องหน้า”

     ผมถาม “ผมไม่ได้รับพุทธพยากรณ์ จากพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันหรือครับ?”

     พระอาจารย์ตอบ  “ในสมัยปัจจุบันเธอไม่ได้ รับพุทธพยากรณ์”

     ผมถาม  “แล้วอาจารย์เห็นชัดเจนไหม เห็นอย่างไร”

     พระอาจารย์ตอบ “อาจารย์เห็นเหมือนตาเห็น ชัดเจนเหมือนดูทีวีสี”

เป็นอันว่าผมได้รับคำยืนยัน จากหลายแหล่งจริงๆ   และได้รับทราบอย่างสมบูรณ์ตามที่อธิฐานไว้
     หลังจากนั้นผมก็แต่งงานกับแฟน และเราก็ได้บอกกับพระอาจารย์เรื่องการสื่อสัมผัสกับเทวดา โดยการผงกหรือส่ายศีรษะให้พระอาจารย์ทราบ ท่านนิ่งไปนิดหนึ่งแล้วกล่าว่า “เป็นของจริง ถ้าฝึกไปเรื่อยก็จะเก่งขึ้น สามารถพูดคุยกันได้ปกติ”
     หนึ่งเดือนต่อมาด้วยความอยากรู้ ผมจึงข้อร้องให้พระอาจารย์ดูให้ผมว่า อีกนามแค่ไหนที่ผมจะสำเร็จ พระอาจารย์ก็บอกว่าตอนนี้อาจารย์ยังไม่พร้อม หลังจากนั้นมีอยู่ครั้งหนึ่งพระอาจารย์ปลีกตัว จากการสอนวิปัสสนากรรมฐานที่คณะ 5  ธุดงค์ ไปเพียงรูปเดียวเป็นเวลา 7 วันไปทางเชียงใหม่ในฤดูหนาว อยู่ในถ้ำ เมื่อกลับมาหน้าของท่านบวมเพราะต้องอยู่ในถ้ำขณะที่อากาศหนาว  หลังจากร่างกายของพระอาจารย์ปกติแล้ว พระอาจารย์ก็บอกกับผมว่า
    “อาจารย์พร้อมที่จะดูให้ เธอแล้ว ขณะนี้สมาธิของอาจารย์ใสกว่าตาตักแตน หรือน้ำที่ใสที่ใส่ในขวดใสเสียอีก”
     ผมจึงถามว่า “ครั้งนี้ จะให้ผมนั่งสมาธิอีกไหมครับ”
     พระอาจารย์บอกว่า “ไม่ต้อง”
     แล้วพระอาจารย์เข้าสมาธิหลับตา นิ่งไปพักใหญ่ๆ  เมื่อลืมตาขึ้นมาอาจารย์ก็พูดขึ้นมาว่า “เซียม เธออีกนานมากนะ”
      ผมจึงถามว่า “แล้วอาจารย์ดู ไปถึงสมัยที่ผมสำเร็จไหม?”
      พระอาจารย์ตอบ “อาจารย์ดูไปไม่ถึง เพราะมันนานมาก”
    แล้วพระอาจารย์ก็กล่าวต่อ “แต่เธอแน่นอนแล้ว ไม่ต้องสงสัย”
      ด้วยใจที่ผมอยากเทียบเคียงจึงถามว่า  “แล้วผู้ที่อยู่ในสมัยนี้ ที่ผมพอรู้จัก ที่ท่านแน่นอนแล้วที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้า อาจารย์พอทราบไหมว่ามีใคร”
      พระอาจารย์พูดทันทีเลยว่า “ ร.6 ท่านแน่นอนแล้ว”
      ผมจึงถามว่าแล้ว   “ท่านสำเร็จก่อนหรือหลังผม”
      พระอาจารย์ตอบว่า “ท่านสำเร็จก่อนเธอ”
         
       เวลาต่อมาอีกไม่นาน พระอาจารย์ได้กล่าวกับ ผม แฟน และเพื่อนอีกคนหนึ่งว่า “อาจารย์เห็นพวกเธอทำวิปัสสนากรรมฐานกับอาจารย์มานานแล้ว( 5 ปี) และวนเวียนจะผ่านหรือไม่ผ่าน(ละกิเลสได้อย่างเด็ดขาด)อย่างนี้มาหลายปี ซึ่งมันแห้งแล้ง และเธอก็คงไม่หลงทางแล้ว อาจารย์จะสอนให้เธอใช้ ทิพย์จักขุงอุปาทายะนัง เพื่อดูนิมิตและญาณรู้ที่ปรากฏ”

***  หมายเหตุ ให้เข้าใจด้วยว่าพระอาจารย์ไม่เคยสอนหรือแสดงให้ใครทราบอย่างนี้เลย ท่านสอนวิปัสสนาล้วนๆ กับบุคคลทั่วไป ตามปกติ ท่านเป็นถึงรองอาจารย์ใหญ่ และภายหลังเป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน  ชื่อเสียงทางด้านนี้ท่านคงไม่ประสงค์หรอก ที่เขียนหมายเหตุนี้ไว้ก็เพื่อกันไม่ให้ใครไปมีอคติกับท่าน และกล่าวโทษท่านโดยผิดๆ  ***

     พวกผมจึงถามว่า “ทิพย์จักขุงอุปาทายะนัง   ต่างกับทิพย์จักษุ อย่างไร”

     พระอาจารย์ตอบ “ทิพย์จักษุ นั้นเป็นกำลังของอภิญญา แต่ทิพย์จักขุงอุปาทายะนังนั้นใช้กับผู้ที่มีสมาธิที่น้อยกว่า ยังไม่ถึงขั้นอภิญญา แต่ต้องฉลาดในนิมิตที่ปรากฏ และฉลาดในญาณรู้ที่ปรากฏกับนิมิตนั้น จึงจะแม่นยำและถูกต้องแน่นอน”

      พวกผมจึงถามว่า “แล้วจะทำอย่างไรครับ”

    พระอาจารย์สอนว่า “พวกเธอมีกำลังสมาธิก็พอสมควรแล้ว ก็ให้เธอกำหนดกรรมฐานเพื่อให้เกิดสมาธิ หลังจากนั้นก็อธิฐานสิ่งที่จะดู แล้วกำหนดสมาธิโดยภาวนา “ทิพย์จักขุงอุปาทายะนัง” ไปเรื่อย นิมิตและญาณรู้ก็จะปรากฏ ให้ทราบและเมื่อชำนาญและฉลาดในนิมิตและญาณ ก็จะแม่นยำขึ้น”

     หลังจากนั้นพวกเราทั้ง 3 ก็ไปฝึกกัน และพระอาจารย์ได้ให้พวกเราทดสอบดู ประมาณ 3 ครั้ง สรุป ที่ได้คือ รูปนิมิตที่ปรากฏขึ้นของทั้งสามคนไม่เหมือนกัน แต่ชี้ในสิ่งเดียวกัน และญาณรู้ก็บ่งบอกในสิ่งเดียวกันคล้ายกัน  สิ่งที่แปลกใจคือบอกสิ่งเดียวกันคล้ายกันเป็นตัววัดในตอนนั้น แต่ไม่รู้ว่าเป็นความจริงหรือเท็จในขณะนั้น
     ในการทดลองครั้งหนึ่ง พระอาจารย์ให้ ทุกคนดูว่าในกายผมมีอะไรอยู่บ้าง ผมก็นั่งสมาธิดูไปในตัวผม ส่วนแฟน และเพื่อน ก็เพ่งเข้ามาดูในตัวผม แต่ผมไม่สามารถเห็นอะไรเลยในตัวผม หลังจากเสร็จการดู
  พระอาจารย์ถามแฟนผมว่า “ เห็นอะไรบ้าง”

 แฟนผมตอบว่า “เห็นเป็นเงาผู้หญิง อยู่ในกายเขา”

  พระอาจารย์จึงถามเพื่อนอีกคนว่า “เธอเห็นอะไรบ้าง”

  เพื่อนก็ตอบว่า “เห็นเป็นผู้หญิงอยู่ในกายเขา”

 แล้วอาจารย์ถามผมว่า “เซียม เธอ เห็นอะไร”

  ผมตอบว่า “ผมไม่เห็นอะไรครับ ก็เหมือนกับกำหนดภาวนาธรรมดา”
   
  แล้วพระอาจารย์ถามแฟนผมว่า “แล้วเธอรู้ว่าอย่างไร”

  แฟนตอบว่า “รู้ว่า เป็นเจตภูตที่เป็นผู้หญิงอยู่ในกายเขา”

   พระอาจารย์ จึงถามเพื่อนผมทำนองเดียวกัน เพื่อนตอบว่า “รู้ว่ามีวิญญาณผู้หญิงอยู่ในกายเขา”

   พวกเราจึงถามพระอาจารย์ว่า “แล้วอาจารย์เห็นอะไรในกายผม”

   พระอาจารย์ก็ยิ้ม แล้วผะยักหน้า   จึงเป็นการเรียนจบเรื่องทิพย์จักขุงอุปาทายะนัง  แต่ยังวัดไม่ได้ว่าเป็นจริงหรือเท็จอย่างไร เพราะยังไม่ใช้ไปดูเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า แต่ปัจจุบันนี้มีหลายเรื่องที่ดูไว้ตอนนั้น ที่ทยอยปรากฏเป็นจริง  แต่ผมและแฟนไม่คอยใช้นิมิตและญาณรู้ไปดูอะไร อาจเป็นเพราะว่าใจยังไม่ย่อมรับเนื่องจากพิสูจน์อะไรไม่ได้ในตอนนั้น
      ส่วนเพื่อนของผมคนนั้นเขาฝึกทิพย์จักขุง จนเห็นเปรต เทวดา พรหม และสัมผัสกันทางใจได้บ้าง  หลังจากนั้นเราทั้ง 3 ก็ได้ทราบว่า ตอนที่พระอาจารย์ยังเป็นหนุ่ม ว่าท่านเคยเรียนคาถาและฝึกกะสินมาก่อน เราทั้งสามคนก็สนใจที่จะเรียนคาถาจากพระอาจารย์ จึงได้เข้าไปขอพระอาจารย์เรียนคาถา อาจารย์พอทราบก็แปลกใจ และบอกว่า
“ อาจารย์ไม่ใช้คาถามาเป็นเวลา 10 กว่าปี แล้ว อาจารย์ลืมหมดแล้ว”
 พวกเราจึงกล่าวว่า “ อาจารย์น่าจะยังจำได้บ้าง”
  อาจารย์นิ่งไป แล้วกล่าวว่า “เอาอาจารย์จะทวนความจำสอนพวกเธอ เพราะเห็นว่าพวกเธอไม่เอาไปใช้ในสิ่งที่ไม่ดี”
   แล้วอาจารย์ก็พูดต่อ “อาจารย์จะสอนคาถาพุทธคุณให้ คาถาบทแรกคือคาถาบังตาหรือหายตัว ให้พวกเธอไปฝึก”
หลังจากนั้นพระอาจารย์ก็นึกคาถาแล้ว ก็เขียนคาถาให้พวกผมไปท่อง และภาวนาให้ขึ้นใจ อีกเจ็ดวันต่อมา เมื่อเข้าไปหาพระอาจารย์ ท่านก็ถามว่า “พวกเธอท่องจำคาถาได้หรือยัง”
   พวกผมตอบว่า “ท่องได้แล้ว”
   พระอาจารย์ก็พูดว่า “เอาทดลองกันเลย” แล้วพระอาจารย์ให้ผมและเพื่อนหยิบกล่องไม้ขีด ที่อยู่หน้าโต๊ะหมู่ ที่มีอยู่  2 กล่อง ถือคนละกล่อง แล้วบอกว่าให้ผมและเพื่อนท่องคาถาทำให้ไม้ขีดที่อยู่ในกล่องนั้นหายไป ผมและเพื่อนเปิดฝากล่องออกมาทั้งหมดเห็นไม้ขีดอยู่เต็มแต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร แต่ก็ทำเป็นท่องคาถาในใจใส่ ตามแบบที่เคยเห็นเคยดูมาจากทีวี ตั้งหลายรอบก็ไม่เห็นหายไปเลย
  พระอาจารย์ก็พูดว่า “เอากล่องไม้ขีดมา อาจารย์จะทำให้ดู”
  เพื่อนจึงเอาไม้ขีดให้พระอาจารย์ แล้วท่านก็เปิดฝาไม้ขีดออกครึ่งหนึ่ง วางบนมือซ้ายที่หงายมือขึ้น มือขวาก็วนอยู่เหนือกล่องไม้ขีดที่เปิดครึ่งหนึ่ง พร้อมทั้งปากขมุบขมิบไล่คาถา หลังจากนั้นท่านก็นิ่ง แล้วยกมือซ้ายขึ้นมาเพื่อให้กล่องไม้ขีดตั้งตรง เพื่อให้พวกเราเห็นได้ชัดเจน แต่ในช่วงนั้นเห็นหน้าตาท่านนิ่งมากเลย ไม่ยอมพูดจา
    เราทั้งสามเห็น เพียงกล่องไม้ขีดเปล่าๆ ไม่เห็นก้านไม้ขีดแม้แต่ก้านเดียว เมื่อพวกผมเห็นชัดเจนหมดแล้ว พระอาจารย์ก็เอามือลง แล้วเอามือขวาลูบเหนือกล่องไม้ขีดครั้งเดียว แล้วก็ยกให้ดูอีกครั้ง แต่หน้าตาท่านไม่ได้นิ่งเฉยเหมือนดังที่ผ่านมา พวกผมก็เห็นมีไม้ขีดเต็มกล่องเหมือนเดิม แล้วพระอาจารย์ก็แนะเคล็ดในการใช้คาถาว่า
     “ในการไล่คาถานั้นต้องกลั้นลมหายใจ และในขณะที่ไล่คาถานั้นต้องไล่คาถาที่ปาก ไม่ใช่นึกในใจ   ต้องไล่คาถาจนถึงอุปาจาระสมาธิจึงจะสำแดงผล   การบังตานั้นจะบังได้ก็อยู่ในช่วงที่กลั้นลมหายใจได้เท่านั้น”
     พวกผมจึงถามว่า “ถ้าเอากล้องมาถ่าย มันจะบังกล้องหรือเปล่าครับ”
     พระอาจารย์ตอบ “บังตาคนได้ คงบังกล้องถ่ายรูปไม่ได้”
     พวกผมถามว่า “กว่าจะฝึกได้สักอย่างใช้เวลานานไหมครับ”
     พระอาจารย์บอกว่า “โอ้ นาน ตอนอาจารย์เป็นเณรอยู่ ก็ชอบหาที่เรียนคาถา อาจารย์ของอาจารย์ก็ให้ท่องคาถาอย่างนี้ กว่าจะทำได้สำเร็จสักอย่าง ก็ต้องใช้เวลาเป็นพรรษา แต่เมื่อทำได้สักอย่างหนึ่งแล้ว คาถาอื่นๆ ที่เหลือก็ทำได้โดยไม่ยากแล้ว”
    หลังจากนั้นพระอาจารย์ก็ให้คาถาอีกบทหนึ่ง ท่านเรียกว่า คาถาปลุกธาตุในตัวคือ “นะมะพะถะ จะพะกะสะ” จำไม่ค่อยได้เพราะไม่ท่องมานาน 10 ปีกว่า ส่วนคาถาบังตานั้นเรา 3 คนลืมไปหมดแล้ว เพราะโลกปัจจุบันนี้ไม่จำเป็นต้องใช้คาถา ผ่านยุคที่ต้องใช้คาถาในการดำรงชีวิตไปแล้ว เพราะต้องใช้ความรู้และความสามารถในเชิงวิชาการทางโลกในการดำรงชีวิตเสียมากกว่า
    ตอนนั้นผมและเพื่อนก็ถอดใจแล้วว่าไม่มีเวลาทำอย่างนั้นได้แน่ แต่แฟนผมท่าทางเขาจะชอบ และชอบคาถาปลุกธาตุ เป็นอย่างมาก สามารถท่องเข้าสู่อุปจารสมาธิ และจนได้ฌานหนึ่งแบบคาถา ในคาถาปลุกธาตุนี้ละ  สามารถปลุกพระเครื่องได้ และสามารถรู้ว่า พระเครื่ององค์ไหนที่ปลุกเสกมาแล้วหรือยังไม่ปลุกเสก  และรู้ว่าพระเครื่ององค์ไหนที่ปลุกเสกด้วยแรงสมาธิมากหรือน้อย(ขลังมากหรือน้อย) ส่วนเพื่อนอีกคนหนึ่งทำได้เหมือนกัน เมื่อทดสอบกันระหว่างแฟนกับเพื่อนก็ตรงกัน แต่เพื่อนเขาสนใจเรื่องทิพย์จักขุงมากกว่า จึงเน้นไปทางนั้น
     วันต่อมาแฟนผมก็เอาพระเครื่องที่เขาสะสมไว้ทั้งหมด(เรื่องพระเครื่องนั้นผมไม่สนใจและไม่เคยเก็บสะสม) ชวนผมไปหาพระอาจารย์ แล้วเล่าเรื่องอาการต่างๆ ที่เขาท่องคาถาปลุกธาตุ แล้วเอาพระต่างๆ ที่เขาเก็บไว้มาทดสอบให้ดู พระอาจารย์มองแล้วยิ้มๆ แล้วพูดว่า “ของจริงๆ” หลังจากนั้นแฟนก็ขอให้อาจารย์ปลุกพระ  อาจารย์ก็ปลุกให้ อาการของพระอาจารย์ก็เหมือนกับแฟนแต่นิ่มกว่ามากๆ แล้วแฟนก็เอาพระทีละรูป ส่งให้พระอาจารย์ แล้วถามว่า “ว่าองค์นี้แรงไหม?” อาจารย์ก็เอากำไว้ในมือแล้วไล่คาถาเบาๆ กล่าวว่า “องค์นี้แรง” .. “องค์นี้แรงน้อยกว่า” .. “องค์นี้แรงมาก” ซึ่งบอกได้ใกล้เคียงกับแฟนทุกอย่าง
       เป็นอันว่าพวกเรา 3 คนได้เรียนสิ่งที่พิเศษจากวิปัสสนากรรมฐาน ก็ทำให้ไม่แห้งแล้งดี แต่ก็ได้ไปไม่เท่ากันคือ
        1.นิมิตและญาณรู้เบื้องต้น ได้ไปพอๆ กันทั้ง 3 คน
        2.ทิพย์จักขุง ที่ละเอียดลงไป จนเห็นและสัมผัสกับ เปรต เทวดา พรหม เพื่อนผมก็ชำนาญไป
        3.แฟนผม ก็ได้คาถาปลุกธาตุไป ปลุกพระเครื่อง และตรวจความแรงของพระเครื่องได้ กับการสื่อ
สัมผัสกับเทวดาแบบผงกหรือส่ายศีรษะตอนนอนราบ
        4.ผมในตอนนั้นเสกอะไรก็ ขลังไปหมด แต่ปลุกพระแบบตรวจสอบพระไม่เป็น
    การเสกอะไรก็ขลังไปหมดของผมนี้ ก็เกิดจากการอยากทดลองตามประสาคนที่เรียนมาทางวิทยาศาสตร์ เพราะเห็นว่า แฟนและเพื่อนปลุกพระและตรวจสอบพระได้ แต่ผมทำไม่ได้ ซึ่งคาถาผมก็ได้เรียนมาจากพระอาจารย์เหมือนกัน วันหนึ่งผมได้แอบเอาเข็มที่กลัดเสื้อ ไปเสกด้วยคาถาอยู่พักหนึ่งโดยที่แฟนไม่รู้  หลังจากนั้นผมก็เอาเหรียญบาทมาหนึ่งอัน แล้วไปหาแฟนแล้วบอกว่า
    “ไหน ลองปลุก เข็มกลัดนี้กับเหรียญบาทดูชิ ว่าต่างกันอย่างไร?”
แฟนก็งง  แต่ก็รับไปปลุก  เขาก็เอาเข็มกลัดไปปลุกก่อน โอ้สั่นแรงมาก เหมือนกับพระที่ขลังๆ เลย หลังจากนั้น เขาเอาเหรียญบาท มาปลุกดู กลับเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมเลยต้องพิสูจน์ซ้ำ โดยให้แฟนรอก่อนแล้วผมก็ไปอีกห้องหนึ่ง แล้วเอาเหรียญบาท กับเหรียญห้า หรือเหรียญบาทกับเหรียญห้าสิบตัง จำไม่ได้แล้ว เอาสมมุติเป็นเหรียญบาทกับเหรียญ 5 บาทก็แล้วกัน  แล้วผมก็เสกคาถาเข้าไปในเหรียญ 1 บาท  แล้วผมเอาเหรียญทั้ง 2 มาให้แฟนปลุกอีกครั้ง พอแฟนปลุกเหรียญบาทที่ผมเสกคาถาเข้าไป โอ้สั่นแรงมาก แต่เมื่อปลุกเหรียญห้าบาท กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
    การพิสูจน์แค่นี้ยังไม่พอสำหรับผม ผมและแฟนจึงไปหาเพื่อน แล้วเอาเข็มกลัดอันเก่าที่ผมเสกแล้ว กับเหรียญบาทใหม่ ที่อยู่ในกระเป๋าให้เขาปลุกและตรวจสอบดู พอเพื่อนเอาเข็มกลัดปลุกดู โอ้สั่นแรงมากจนเพื่อนแปลกใจ แต่เมื่อเอาเหรียญบาทไปปลุกกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น   ผมจึงบอกให้เพื่อนรอก่อน แล้วเอาเศษไม้กับกับเศษอะไรอีกอย่างจำไม่ได้ แล้วแอบเข้าไปในห้อง แล้วผมก็เสกคาถาใส่เศษไม้อยู่พักหนึ่ง แล้วลองให้เพื่อนกับแฟนปลุกดู ทั้งสองปลุกเศษไม้ขึ้นสั่นเหมือนกันเลย แต่ปลุกเศษอะไรอีกอย่างหนึ่งไม่ขึ้น ก็เป็นเรื่องแปลกที่ทดสอบกันในขณะนั้น (แต่ปัจจุบันนี้ผ่านมาเกือบ 20 ปี แล้ว และไม่ได้ไปสนใจสิ่งเหล่านี้ เราทั้งสามคงอาจจะเสกและปลุกพระกันไม่เป็นแล้วมั่ง)

      ถึงช่วงนี้พระอาจารย์เห็นว่าเราทั้ง 3 คน ได้เรียนรู้มาพอสมควรแล้ว ท่านจึงชวนให้ไปอยู่ป่าช้าสัก คืน ในคืนเดือนมืด  พระอาจารย์ชวนอยู่หลายครั้ง  แต่ตอนนั้นแฟนผมเริ่มท้องจึงไม่ได้ไป จึงถามพระอาจารย์ว่า
  “ไปทำไม่ครับ”
   พระอาจารย์ตอบ “ไปเพื่อจะได้เรียกผีให้มาเห็นด้วยตากันจะๆ จริงๆ”
   ** พระอาจารย์เป็นอาจารย์ที่ดีจริงๆ  เมื่อสอนแล้วก็แสดงให้ดู เพื่อให้ทราบว่ามีจริงๆ ทำได้จริงๆ **
   พวกผมถาม “จะเห็นด้วยตาเนื้อได้อย่างไรในเมื่อผีอยู่คนละภพกับเรา”
    พระอาจารย์ตอบ “เห็นได้ชี เมื่อเรียกด้ายคาถาในคืนเดือนมืด ก็จะเห็นเป็นเงารางๆ ได้อย่างชัดเจนด้วยตาเนื้อนี้ละ”
    แล้วพระอาจารย์พูดต่อ “แถมยังสามารถเรียกผีนั้นมานวดแขนนวดขาได้เลย เวลาที่ผีนวดให้ เนื้อที่แขนหรือขา ก็จะเป็นรอยบุม และจักกะจี่ ตามที่ผีนวดจริงๆ”

     แต่เราทั้งสามกับพระอาจารย์ก็ไม่ได้ไปป่าช้ากัน เพราะแฟนผมท้องและผมเริ่มมีปัญหาเรื่องงาน จนผมต้องตกงาน แฟนผมท้อง 5 เดือน ก่อนที่จะกลับไปอยู่ปักใต้ ผมและแฟนได้ไปดูผลสอบของแฟนซึ่งเป็นเทอมสุดท้ายของเขาที่ขอจบไว้  แต่เมื่อไปดูผลสอบเขาก็สอบผ่านเรียนจบพอดี อย่างเฉียวเฉียด ตรงตามนิมิตที่เคยดูไว้เมื่อเกือบ 2 ปีมาแล้วอย่างน่าอัศจรรย์
    แล้วเราทั้ง 2 ก็ต้องไปอยู่กับพ่อแม่ผมที่ปักใต้ ด้วยความลำบาก แฟนก็ท้องโตไม่สามารถหางานทำได้ ผมก็ทำเห็ดขาย แต่เราทั้งสองก็ไม่เคยห่างจากการกำหนดภาวนาเลย แล้วภรรยาก็บอกกับผมว่า เขาเริ่มแยกได้แล้วในตอนสื่อสัมผัสว่า นี้คือจิตเขา ส่วนนอกนั้นที่ปรุงแต่งกายหรือศีรษะ ไม่ใช่จิตเขาไปปรุงแต่ง เมื่อเป็นอย่างนี้ไม่กี่วัน เมื่อสื่อสัมผัสกับโอปาติกะในขณะนอนราบอยู่ ก็พูดโปรงออกมาเอง โดยที่จิตของเขาแยกออกต่างหาก อย่างชัดเจน แล้วบอกว่าต่อไปไม่ต้องนอนราบอย่างนี้แล้ว นั่งคุยกันตามธรรมดาก็ได้ และในการสื่อสัมผัสนั้นจิตของแฟนที่นิ่งอยู่ สามารถจะยกเลิกการสื่อเมื่อใดก็ได้ในทันที ไม่มีโอปติกะท่านใดครอบครองหรือบังคับได้  เมื่อจิตสามารถแยกอย่างชัดเจนอย่างนี้แล้ว ผู้ที่มาสื่อสัมผัสก็สามารถพูดเป็นภาษาของเทพได้ ผมและภรรยาในปี 2530 ได้เรียนรู้ภาษาเทพและพรหมเกือบทุกชั้น แต่ปัจจุบันนี้ไม่ได้สนใจให้เขาคุยภาษาเทพให้ฟังมาเป็นเวลา 10 กว่าปีแล้ว ลืมสำเนียงหมดแล้ว และเทพก็บอกว่าภาษาของเขานั้นใช้เคลื่อนของจิตเปล่งออกมาเป็นเสียง แถมเขียนภาษาเทพให้ดูเป็นเล่มเลย
    แฟนผม พัฒนาการสื่อสัมผัสกับโอปาติกะได้อย่างดี แบ่งการพัฒนาเป็น 3 ระดับดังนี้
1.          สัมผัสเฉพาะทางจิต คือรู้กันทางจิต ผุดขึ้นทางจิต (ไม่มั่นใจคิดว่าเป็นอุปทานเพราะวัดเปรียบเทียบไม่ได้)
2.          แยกกายกับจิต แล้วให้โอปาติกะนั้นใช้กายในส่วนของศีรษะเพื่อส่ายหน้าหรือผะยักหน้า (มั่นใจขึ้นเพราะ จิตแยกมาต่างหาก และไม่ได้มีเจตนาเพื่อส่ายหน้าหรือผะยักหน้า)
3.          แยกกายกับจิต แล้วให้โอปาติกะใช้ปากในการพูดคุยเปล่งวาจาทางปากได้ โดยจิตของตนเองแยกไปต่างหาก การพูดการกล่าวนั้นไม่ใช่ความคิดของตนเองไม่ใช่เจตนาของตนเอง แต่โอปาติกะนั้นไม่สามารถยึดครองร่างกายได้เลย ก็เคยมีโอปาติกะที่สื่อสัมผัสมาหลายๆ ตนในหลายครั้งพยายามยึดครองหรือบังคับให้อยู่ในอำอาจ ก็ไม่เคยมีตนใดทำได้ (ระดับสมาธิเขาสูงกว่าเทวดา)

      ผมก็เคยทดลองสัมผัสทางจิตครั้งแรก แต่วัตถุประสงค์ต่างกันกับของแฟน  เพราะผมประสงค์สัมผัสกับโอปาติกะหมู่มากเพื่อกล่าวธรรม อาการที่เกิดกับผมเป็นอย่างนี้ เมื่อนั่งสมาธิ แล้วอธิฐานจิตเพื่อกล่าวธรรมกับโอปาติกะหมู่มาก แล้วเข้าสมาธิ สมาธิก็รวมตัวที่กลางลำตัวถึงจุดหนึ่ง แล้วจิตเริ่มขยายออก กายของความรู้สึกก็เริ่มขยาย เป็นไปเองโดยไม่เคยคาดคิดมาก่อน  ใหญ่ขึ้นๆ เรื่อยๆ ใหญ่จริงๆ จนเต็มที่แล้ว ก็รู้สึกที่ใจตนเองว่า มีเทวดาที่ประสงค์มาฟังการกล่าวธรรมมากันเป็นกลุ่มๆ (เหมือนอุปทานไปเอง) แต่ตัวเขาเล็กกว่ามากๆ   แล้วใจก็ไปสัมผัสกับโอปาติกะกลุ่มหนึ่งประมาณ 5– 6  ตน ที่อยู่ด้านหน้าเฉียงทางขวามือริมสุดของผู้ที่มาฟังการกล่าวธรรม  มีใจคึกคะนอง ไม่ย่ำเกรง จึงหันไปพูดกับโอปาติกะกลุ่มนั้น จนความคึกคะนองในใจเขาที่สัมผัสกับใจเราลดลง จึงกล่าวธรรมตามที่รู้มาไปเรื่อยๆ จนจบ แล้วยุติการสัมผัส ผมทำอย่างนี้อีกหลายครั้ง แต่ไม่นาน ผมก็ยุติไปเพราะวัดไม่ได้ ไม่มีที่เปรียบเทียบ และบ่งชัดว่าจริงหรือเท็จอย่างแท้จริงไม่ได้ เหมือนกับรู้อยู่เพียงคนเดียวอุปทานไปเองก็ได้

     ซึ่งจะต่างกันกับการสื่อสัมผัสกับแฟนที่เขาสัมผัสและพัฒนามา  จนสามารถแยกได้ชัดเจนว่า นี้คือจิตของเขา ที่ไม่ได้มีจิตคิดหรือเจตนาที่จะพูด แต่พูดไปเอง และในสิ่งที่พูดมานั้นบางสิ่งเขาไม่เข้าใจและไม่รู้มาก่อนเลย และการพูดนั้นมีรูปแบบการพูดต่างจากเขาอย่างชัดเจน แม้กระทั้งความต่างกันของระดับสติปัญญา ของระดับสมาธิ ของผู้ที่มาสื่อสัมผัสแต่ละตนแต่ละท่านที่สัมผัสกับเขาก็แตกต่างกัน อย่างชัดเจน และผู้ที่มาพูดนั้นบางท่านทรงคุณธรรมและปัญญาสูงมากกล่าวธรรมได้อย่างแตกฉาน จนเป็นที่อัศจรรย์ใจของแฟน  เขาจึงอุทิศร่างเป็นทานเพื่อการสนทนาธรรมเพื่อการฟังธรรมเท่านั้น  โดยที่   ไม่มีใครไปชี้นำหรือชักนำแฟน  แม้แต่ผมเองก็ไม่ไปชี้นำเขา   เมื่อเขาบอกให้ผมทราบตอนแรกผมก็ยังกังวลกลัวว่า เขาจะกลายเป็นร่างทรงแบบคนทั่วไปหรือเปล่านี้  แต่เมื่อพิจารณาสมาธิเขาแล้วไม่มีโอกาสที่เทพจะไปบังคับเขาได้ดังประสงค์ทุกอย่าง เพราะสมาธิเขาสูงระดับฌาน และการสนทนาธรรมด้วยการสื่อสัมผัส ก็อยู่ในวงแคบคือผมกับภรรยาเท่านั้นที่เป็นมนุษย์ ส่วนการสื่อสัมผัสที่มีมนุษย์ผู้อื่นมีเพี่ยงไม่กี่คนที่ร่วมวงด้วยและก็เพียงไม่กี่ครั้งเท่นนั้นแล้วก็หยุดไป  เพราะพิจารณาเห็นแล้วว่าเทพที่มาสื่อสัมผัส ก็หาได้มีความสามารถทายอนาคตเบื้องหน้า ได้ถูกต้องเสมอไปไม่ แถมมีเจ้าที่บางที่เห็นไม่จริงแต่เข้าใจว่าเป็นจริงมายืนยันว่าเป็นจริงก็มีหลายครั้งหลายคลา จนทำให้เกิดการผิดพลาดขึ้นถึงหนึ่งหรือสองครั้งกับเพื่อน ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่แสดงสื่อสัมผัส ให้กับคนข้างนอกอีกเลย และแฟนเองเขาก็ไม่ประสงค์จะสื่อสัมผัสกับเทวดาให้คนนอกดูหรือเห็น หรือกิจกรรมที่เกินจากการสนทนาธรรมและฟังธรรม

     สำหรับผมนั้นผู้มาสนทนาด้วย ผมสามารถวัด เปรียบเทียบ ได้ว่า ผู้ที่มาสนทนานั้นแตกต่างกันอย่างไร เช่นการแสดงความเห็น ความเข้าใจ ความรู้ สติปัญญา การแสดงเหตุและผลในการสนทนา ของผู้สนทนานั้นแตกต่างกันอย่างไร เหมือนกับเราไปสนทนากันกับคนสัก 10 คนเราย่อมสามารถแยกได้ว่า แต่ละคนนั้นมีความเห็น ความเข้าใจ และความรู้ หรือแม้สติปัญญา ที่ปรากฏให้เราทราบในการสนทนานั้นต่างๆ กัน ซึ่งสามารถวัดได้เปรียบเทียบได้
    ดังนั้นในการสื่อสัมผัสที่สามารถสนทนากันได้ ผมกับแฟนจึงนิยมใช้เป็นประจำ เพราะสามารถวัดและเปรียบเทียบได้อย่างชัดเจนในขณะนั้น  ส่วนการรู้ใจด้วยใจนั้นได้เกิดขึ้นมานานแล้ว แต่ไม่สามารถเปรียบเทียบหรือวัดได้ในขณะนั้นว่า จะจริงหรือเท็จหรืออุปทานไปเองก็ยังแยกแยะหรือพิสูจน์ไม่ได้ในขณะที่ปรากฏนั้น จึงกลายเป็นเรื่องที่ไม่ไปสนใจและไม่ไปพัฒนาขึ้น

     ส่วนเรื่องนิมิตและญาณรู้ที่ปรากฏให้ทราบเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งพอเปรียบเทียบได้กับเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงในภายหลังได้ เป็นสิ่งที่เทียบและวัดได้  จึงยังคงใช้นิมิตและญาณรู้อยู่ ในบางครั้งบางคราวในเรื่องที่สุดวิสัยเท่านั้น  โดยปกติแล้วผมไม่ค่อยใช้นิมิตและญาณรู้ แต่จะอาศัยข้อมูลที่มีอยู่และที่รวบรวมได้บวกกับความน่าจะเป็นไปได้เสียมากกว่า จึงเป็นวิทยาศาสตร์เสียมากกว่า จึงไม่ไปถือเอานิมิตหรือญาณรู้ว่าต้องถูกต้องหรือเป็นหลักในการดำเนินชีวิตในโลกของความเป็นมนุษย์ในยุคปัจจุบัน
     และตัวผมเองมีความแตกต่างกับแฟนตรงที่ เมื่อมีสิ่งอื่นใดมีอำนาจเหนือกายหรือใจผมเกินจากสามัญสำนึกของผมนั้น ใจผมจะไม่ย่อมรับโดยอัตโนมัติเพราะจิตจะเพ่งไปเพื่อควบคุมกายหรือใจตนเองทันที จึงกลายเป็นอุปนิสัยของตนเองในชีวิตนี้ แต่ผมไม่ได้มองผู้ที่ต่างจากผมไปว่า เขาผิด ผมถูก หรืออย่างผมดีกว่า อย่างเขาไม่ดี

    หลังจากนั้นประมาณปีกว่า พระอาจารย์ก็มรณภาพ ด้วยโรคหัวใจ แต่เมื่อ 3 หรือ 4 ปีก่อน  พี่ชายของพระอาจารย์ได้ตาย แล้วพระอาจารย์ก็บอกกับพวกเราว่า “พี่น้อง ของอาจารย์ที่เป็นผู้ชายนั้นจะอายุสั้น มันเป็นกรรมของครอบครัว และอาจารย์เองก็จะอายุสั้นเหมือนกัน” พระอาจารย์มรณภาพเมื่ออายุท่าน ประมาณ 50 กว่าปี   เป็นอันว่าคาถาเรียกผี และการเรียกผีขึ้นมาให้ดู เราทั้ง 3 คนไม่ได้เรียนและไม่ได้ดู

        การพัฒนาสติสมาธิและปัญญา และการพิสูจน์ความเป็นนิยตโพธิสัตว์  ไม่ใช่ว่าหยุดอยู่เพียงแค่นี้ เพราะหลังจากนี้ไปก็ได้พัฒนาและพิสูจน์ต่อไปอีก 10 กว่าปี  แล้วจึงได้มีโอกาสมาสนทนาแรกเปลี่ยนประสบการณ์กันทางอินเตอร์เน็ต เมื่อปี 2543 ซึ่งการพิสูจน์นั้นสมบูรณ์แล้วในปี 2541 / 2 จนถึงขณะนี้ ปี 2547 เป็นเวลา 5 ปีแล้ว ที่ได้สนทนากันทางอินเตอร์เน็ต
  
    เป็นอันว่าผมได้อธิบายขั้นตอนในการพัฒนาการสนทนากับผู้ที่อยู่ต่างภพหรือเทพเทวดาพรหม พร้อมทั้งนิมิตและญาณรู้ ที่ยังไม่ถึงขั้นมีอภิญญาให้ทราบแล้ว คงจะคลายความคลุมครือไปได้บ้าง  ต่อไปก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณา และโยนิโสมนสิการของท่านผู้อ่านเอง

    และต่อไปกระทู้และความเห็นในเชิ่งพิศดารเหล่านี้จากผมก็จะลดน้อยลงไป

ตอบโดย: Vicha 03 พ.ย. 47 - 13:36


ได้ติดตามอ่านกระทู้จากคุณ Vicha เสมอ ๆ ได้รับความรู้อันมากมายรวมทั้งได้นำบางเรื่องบางประเด็นมาเป็นข้อธรรมในการพิจารณาของตนเอง

ขอขอบคุณและขออนุโมทนาในบุญกุศลและบารมีทั้งปวงที่คุณ Vicha ได้บำเพ็ญมา และในธรรมทานที่ได้นำความรู้และข้อธรรมทั้งปวงมาเผยแพร่ด้วยกุศลจิตตลอดมาด้วยค่ะ

  

ตอบโดย: คนเดินทาง 03 พ.ย. 47 - 14:30


ขอโมทนาบุญกับคุณ Vicha และคงต้องยอมรับความจริงว่าหนทางแห่งพระโพธิสัตว์นั้นยาวไกลและต้องอดทนกับสิ่งที่ทนได้ยากยิ่ง ขอให้กำลังใจค่ะ

ตอบโดย: นิรนาม1373 03 พ.ย. 47 - 16:22


ขออนุโมทนาคุณวิชาด้วยครับ และ ขอให้ผลบุญที่ข้าพเจ้าได้เคยกระทำมาทั้งในอดีต ปัจจุบัน และ อนาคตที่จะเกิด ได้มีส่วนช่วยให้คุณวิชาประสพความสำเร็จในสิ่งที่ตังใจและรอดพ้นจากอบายภูมิทั้งปวงครับ

     
กลอง

ตอบโดย: กลอง 04 พ.ย. 47 - 01:15


ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นส่วนตัวสำหรับบุคคลทั่วๆไปดังนี้
คือ คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็นหรือเกิดขึ้นอาจเป็นไปได้ตามสภาวะธรรมชาติ
ภายนอกจริงๆและอาจเกิดจากสภาวะของจิตภายใน(จิตสร้างขึ้นเอง)
ฉะนั้นเรื่องการสัมผัสกับความเป็นทิพย์จากสมาธินั้น
จึงต้องระวังเรื่องสภาวะของจิตเราให้ดี อย่าพึ่งไปยึดมั่นถือมั่นมากนัก
ว่าสิ่งที่รู้ที่เห็นและที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากจิตเราสร้างขึ้น
เพราะเรื่องอย่างนี้ล่อแหลมกับบุคคลทั่วๆไปที่ยังเข้าไม่ถึงพระธรรมของพระพุทธเจ้า
ซึ่งถ้าจะเชื่ออะไรก็ขอให้พิสูจน์ให้ถ่องแท้เสียก่อนและขอให้ยึดพระธรรมของพระพุทธองค์เป็นสำคัญ เพราะแต่ละคนความสามารถ ความเชื่อและสภาวะจิตนั้นแตกต่างกัน
จึงอาจทำให้หลงได้ง่ายๆ
 ดังนั้นจึงขอนำความคิดเห็นที่นักจิตวิทยา(ต่างชาติ)ได้ทดลองและพิสูจน์เรื่อง
จิตของมนุษย์นั้นว่าสำคัญและเป็นใหญ่เพียงใด โดยเขาได้นำคนสองคนมาทดลอง
คนแรกเป็นคนที่เชื่อเรื่องการสาปแช่งเป็นอย่างมากแต่อีกคนไม่เชื่อเลย
เมื่อให้หลายๆคนมาทำพิธีสาปแช่งคนทั้งสองดูผลปรากฎว่าคนที่เชื่อ
สมองเขาเริ่มหยุดสั่งการ อวัยวะต่างๆเริ่มไม่ทำงาน ไม่ช้าคนๆนี้ก็ตาย
ส่วนอีกคนที่ไม่เชื่อก็ไม่มีความผิดปรกติอะไร
ผ่านมา3เดือนก็ยังไม่ตาย ซึ่งจาการทดลองนี้จะเห็นได้ว่าจิตคนเรานั้นยิ่งใหญ่เพียงไร
นอกจากนี้ยังมีการค้นพบอีกว่าถ้าคนเรามองวัตถุอะไรนานๆภาพวัตถุนั้นจะหายไป
ซึ่งคล้ายกับการที่เราดมกลิ่นอะไรนานๆไม่ช้าเราก็จะไม่ได้กลิ่นนั้น เสมือน
จมูกเราเป็นอัมพาตชั่วขณะจึงทำให้ไม่ได้กลิ่น
ส่วนนักจิตวิทยาและแพทย์(ของไทย)ท่านก็ได้บอกว่าผู้ที่ฝึกสมาธิ
ต้องดูสภาพจิตใจของตนด้วยว่ามีความกดดันหรือมีปัญหาชีวิตอะไรหรือไม่
และท่านก็ให้ระวังเรื่องอุปทาน(รวมทั้งอุปทานหมู่ด้วย)
สำหรับตัวเองแล้วคิดว่าจิตใต้สำนึกก็เป็นสิ่งสำคัญ บางครั้งในอดีต
เราอาจจะมีเรื่องบางเรื่องที่เราจดจำไว้โดยไม่รู้ตัวทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดี
เมื่อเราฝึกสมาธิจึงเป็นการง่ายที่จิตใต้สำนึกของเราจะแสดงอาการต่างๆออกมา
ขณะทำสมาธิ
ซึ่งถ้าเรารู้ไม่เท่าทันจิตนั้นเราก็อาจจะหลงทางได้ง่าย
เพื่อความปลอดภัยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นขณะที่เราฝึกสมาธิ
เราก็อย่าไปหลงยึดมั่นถือมั่นจนเกินไป(หรืออย่าไปสนใจเลยก็ได้)ดั่งที่พระพุทธองค์ตรัสไว้
ขอให้ คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษหรือพิสดาร มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
ใช้สติพิจารณาให้ดี และที่สำคัญการเชื่อหรือทำอะไรก็ตาม ก็อย่าให้ตนเองหรือผู้อื่นเดือดร้อนก็แล้วกัน
อย่างไรก็ตามต้องขอออกตัวก่อนว่าว่าการแสดงความคิดเห็นทั้งหมดนี้เป็นไปด้วยเจตนาดี ไม่มีอคติใดๆกับใคร
ถ้าทำให้ผู้ใดขุ่นข้องหมองใจต้องขออภัยด้วย  
(เพียงเพื่อต้องการให้มองด้านอื่นๆประกอบไปด้วยบ้างเท่านั้น)

ตอบโดย: gone with the wind 04 พ.ย. 47 - 02:52


ยาวมากเหลือเกินครับ    
  คือว่า  แผลงฤทธิ์ได้ด้วยไหมครับ      

ตอบโดย: เด็กบ้านยางสีสุราช 04 พ.ย. 47 - 05:55


อ่านเพลินเลยครับ  อนุโมทนาด้วยครับ  เพียรสร้างสมบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ...เพราะนิยตโพธิสัตว์รอเราอยู่ในกาลเบื้องหน้า  ....ส่วนผมขอพยายามให้ได้ในชาตินี้แหละครับ

ตอบโดย: นายนก (ไม่ได้ล็อกอิน) 04 พ.ย. 47 - 09:27


ลังเลในการลงความเห็นนี้อยู่พักหนึ่ง แต่ตัดสินใจลง เพราะมีประโยชน์อยู่บางส่วน ในเรื่องของผู้ที่มีความศรัทธา แล้วย้ำยีความศรัทธานั้นทั้งที่เห็นว่ามีส่วนจริงและส่วนที่ถูกอยู่ จากบวกเป็นลบ จากหน้ามือเป็นหลังมือ แทนที่ควรจากศรัทธากลายเป็นเฉย หรือจาก บวก กลายเป็น 0 ผมไม่ได้ไปตำหนิใครเพี่ยงแต่แสดงความเห็นแล้วยกธรรมมาให้ทราบเท่านั้น ว่าเหตุการณ์อย่างนี้ก็มีอยู่

      เมื่อวานนี้หลังจากเลิกงานขับรถกลับบ้าน รถติดใจก็แวบนึกถึงกระทู้นี้ที่ Post ไปเมื่อตอนบ่ายโมง แต่ความนึกคิดไปข้องอยู่กับท่านสุนักขัตตสิจฉวี ว่าผมได้อ้างถึง สุนักขัตตสิจฉวี มาถึง สองกระทู้แล้ว และคิดว่ามนุษย์เรานี้ผิดพลาดและประมาทกันได้ง่ายเสียเหลือเกิน ขนาดอยู่ใกล้พระพุทธเจ้า มีสมาธิสูงระดับฌานเห็นรูปทิพย์ และศรัทธาต่อพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ มาก จนกล่าวสรรเสริญท่ามกลางที่ประชุมให้ชนทั่วไปทราบ และได้อุปฐากพระพุทธเจ้าเป็นเวลาช่วงหนึ่ง  กลับมาเพ่งโทษกับพระพุทธเจ้าในภายหลัง แล้วสึกออกไป ปฏิบัติพรตแบบสุนัข ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
        “หนี ไปจากธรรมวินัยนี้ เหมือนสัตว์อบาย เหมือนสัตว์นรก”
เมื่อนึกถึงตรงนี้ใจผมก็แวบไปเมื่อตอนก่อนพักเที่ยงผมได้เอาเนื้อหาของกระทู้นี้มาตรวจอีกครั้งเพื่อจะ Post ตอนบ่ายโมง ก็นึกว่าเราอาศัยพระสูตรเกี่ยวกับสุนักขัตตลิจฉวี ถึงสองกระทู้แล้ว ทั้งที่เป็นผู้ที่ไม่มีคุณธรรมโดยตลอด แล้วผมก็ลืมไป เมื่อพักเที่ยงทานอาหารเสร็จ ปกติทุกวันผมจะนั่งบนเก้าอี่ที่โต๊ะทำงาน กำหนดสมาธิแบบสบายๆ ถ้าจะหลับปล่อยให้หลับไป ตัดความสนใจและการนึกคิดทุกเรื่องออกจากใจ ก็จะงีบหลับยาว 10 ถึง 20 นาที ทุกครั้ง
       แต่ครั้งนี้เมื่อหลับตาตัดความสนใจและความนึกคิดออกไปแล้ว เห็นเขี้ยวสัตว์สีขาวด้านบนข้างขวายาวและใหญ่ แล้วเห็นเต็มทั้งปากกำลังแยกเขียว แล้วเห็นปากที่ยื่นยาวออกมาคล้ายหมาแต่ปากยาวกว่าหมามากสีดำมะเลื่อมทั้งใหญ่และยาว แล้วสัตว์ที่คล้ายหมานั้นอ้าปาก ดูเข้าไปในปากเขี้ยวและฟันขาวยาวเป็นแนว ลิ้นและเนื้อในปากนี้แดงเหมือนในปากของสัตว์ เห็นน้ำลายที่ยืดติดกันระหว่างปากและเขี้ยว แต่โพรงปากนั้นยาวไกลว่าปากของหมา หลังจากนั้นภาพก็ถูกตัดออกสักพักหนึ่งก็หลับไป หลังจากนั้นก็ไม่สนใจอะไรในนิมิตนั้นลืมไปแล้ว แต่ก็แวบเข้ามาตอนขับรถกลับบ้านนี้เละ
      ฤาจะเป็นจริงที่ท่านสุนักขัตตลิจฉวี ยังเป็นสัตว์ที่อยู่ในอบาย เป็นเปรตหรืออสุรกายในขณะนี้  เพราะการที่โกรธไปเพ่งโทษกับพระพุทธเจ้า แล้วสึกไปปฏิบัติพรตแบบสุนัข
     แต่ผมก็ได้อาศัยพระสูตรที่อ้างถึงสุนักขัตตลิจฉวี ถึงสองกระทู้แล้ว ถ้าบุญที่กระทำนี้มีอยู่ ก็ขอให้ท่านสุนักขัตตลิจฉวีหลุดพ้นจากอบายโดยเร็วพลัน และเป็นผู้ที่รักษาคุณธรรมไว้ได้ตลอด ไม่ประมาทพลาดพลั่งอีกต่อไป  ด้วยเทอญ

       เอาละผมจะยกพระสูตร ที่พระพุทธเจ้าทรงเล่าเรื่องสุนักขัตตสิจฉวี ให้อ่าน
                                        พระพุทธองค์เสด็จเยี่ยมปริพาชกภัคควโคตร
                                                  ทรงเล่าเรื่องสุนักขัตตลิจฉวี
          [๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
          สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่อนุปิยนิคม ของชาวมัลละ ใน แคว้นมัลละ
          ครั้งนั้นแลเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปบิณฑบาตยัง
อนุปิยนิคม ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า ยังเช้านักที่จะเข้าไปบิณฑบาตยัง
อนุปิยนิคม ถ้ากระไร เราพึงไปหาปริพาชก ชื่อ ภัคควโคตรที่อารามของเขา ลำดับนั้น
          พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปหาปริพาชกชื่อ ภัคควโคตรที่อารามของเขาแล้ว ฯ
          ปริพาชกชื่อภัคควโคตรได้กราบทูลเชิญพระผู้มีพระภาคว่า ขอเชิญพระผู้มีพระภาคเสด็จ
มาเถิด พระเจ้าข้า พระองค์เสด็จมาดีแล้ว นานๆ พระองค์จึง จะมีโอกาสเสด็จมาที่นี้ ขอเชิญ
ประทับนั่ง นี้อาสนะที่จัดไว้ พระผู้มีพระภาคได้ ประทับนั่งบนอาสนะที่จัดไว้แล้ว ฝ่ายปริพาชก
ชื่อภัคควโคตร ถือเอาอาสนะต่ำแห่ง หนึ่งนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว จึงได้กราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันก่อนๆ พระโอรสเจ้าลิจฉวีชื่อสุนักขัตตะ ได้เข้ามาหาข้าพระองค์ถึงที่อยู่
แล้ว บอกว่า ดูกรภัคควะ บัดนี้ ข้าพเจ้าบอกคืนพระผู้มีพระภาคแล้ว ข้าพเจ้าไม่อยู่อุทิศต่อ
พระผู้มีพระภาค ดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คำนั้นเป็นดังที่เขากล่าวหรือ ฯ
          ก็เป็นดังที่โอรสเจ้าลิจฉวีชื่อสุนักขัตตะกล่าวนั้นแล ภัคควะ ในวันก่อนๆ เขาได้
เข้ามาหาเราถึงที่อยู่ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระองค์ขอบอกคืนพระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์จักไม่อยู่ อุทิศต่อพระผู้มีพระภาค เมื่อเขากล่าว
อย่างนี้แล้ว เราจึงได้กล่าวว่า ดูกรสุนักขัตตะ เราได้กล่าวกะเธออย่างนี้ว่า มาเถิด สุนักขัตตะ
เธอจงอยู่อุทิศต่อเรา ดังนี้บ้าง หรือ ฯ
          หามิได้ พระเจ้าข้า ฯ
          หรือว่า เธอได้กล่าวกะเราอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ จักอยู่อุทิศต่อ
พระผู้มีพระภาค ฯ
          หามิได้ พระเจ้าข้า ฯ
          ดูกรสุนักขัตตะ เพราะเหตุที่เราไม่ได้กล่าวกะเธอว่า มาเถิด สุนักขัตตะ เธอจงอยู่
อุทิศต่อเรา ดังนี้ อนึ่ง เธอก็ไม่ได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักอยู่
อุทิศต่อพระผู้มีพระภาค ดังนี้ ดูกรโมฆบุรุษ เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอเมื่อบอกคืน จะชื่อว่าบอก
คืนใคร เธอจงเห็นว่า ข้อนี้เป็นความผิดของเธอ เท่านั้น ฯ
          [๒] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคมิได้ทรงกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ที่เป็นธรรม
ยิ่งยวดของมนุษย์แก่ข้าพระองค์เลย ฯ
          ดูกรสุนักขัตตะ เราได้กล่าวกะเธออย่างนี้ว่า มาเถิดสุนักขัตตะ เธอจงอยู่ อุทิศต่อเรา
เราจะกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ที่เป็นธรรมยิ่งยวดของมนุษย์แก่เธอ ดังนี้ บ้างหรือ ฯ
          หามิได้ พระเจ้าข้า ฯ
          หรือว่า เธอได้กล่าวกะเราอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ จักอยู่อุทิศต่อ
พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคจักทรงกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ที่เป็น ธรรมยิ่งยวดของมนุษย์แก่
ข้าพระองค์ ฯ
          หามิได้ พระเจ้าข้า ฯ
          ดูกรสุนักขัตตะ เพราะเหตุที่เรามิได้กล่าวกะเธอว่า มาเถิด สุนักขัตตะเธอจงอยู่อุทิศ
ต่อเรา เราจักกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ที่เป็นธรรมยิ่งยวดของมนุษย์แก่เธอ ดังนี้ อนึ่ง เธอก็มิได้
กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักอยู่อุทิศ ต่อพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค
จักทรงกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ที่เป็นธรรมยิ่งยวด ของมนุษย์แก่ข้าพระองค์ ดังนี้ ดูกรโมฆบุรุษ เมื่อ
เป็นเช่นนี้ เธอเมื่อบอกคืน จะชื่อว่าบอกคืนใคร ดูกรสุนักขัตตะ เธอจะสำคัญความข้อนั้น
เป็นไฉน คือเมื่อเราได้กระทำอิทธิปาฏิหาริย์ที่เป็นธรรมยิ่งยวดของมนุษย์ หรือมิได้กระทำก็ดี
ธรรม ที่เราได้แสดงไว้ ย่อมนำผู้ประพฤติให้สิ้นทุกข์โดยชอบ [หรือหาไม่] ฯ
          ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพระองค์ได้ทรงกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ที่เป็น ธรรมยิ่งยวดของ
มนุษย์ หรือมิได้ทรงกระทำก็ดี ธรรมที่พระองค์ได้ทรงแสดงไว้ ย่อมนำผู้ประพฤติให้สิ้นทุกข์
โดยชอบ พระเจ้าข้าฯ
          ดูกรสุนักขัตตะ เพราะเหตุที่เมื่อเราได้กระทำอิทธิปาฏิหาริย์ที่เป็นธรรม ยิ่งยวดของมนุษย์
หรือมิได้กระทำก็ดี ธรรมที่เราได้แสดงไว้ย่อมนำผู้ประพฤติให้ สิ้นทุกข์โดยชอบ เช่นนี้ เธอจะ
ปรารถนาการกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ที่เป็นธรรม ยิ่งยวดของมนุษย์ไปทำไม ดูกรโมฆบุรุษ เธอจง
เห็นว่า ข้อนี้เป็นความผิดของเธอ เท่านั้น ฯ
          [๓] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคมิได้ทรงบัญญัติสิ่งที่โลก สมมติว่าเลิศแก่
ข้าพระองค์เลย ฯ
          ดูกรสุนักขัตตะ เราได้กล่าวกะเธออย่างนี้ว่า มาเถิดสุนักขัตตะ เธอจงอยู่ อุทิศต่อเรา
เราจักบัญญัติสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศแก่เธอ ดังนี้ บ้างหรือ ฯ
          หามิได้ พระเจ้าข้า ฯ
          หรือว่า เธอได้กล่าวกะเราอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ จักอยู่อุทิศต่อ
พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคจักทรงบัญญัติสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ แก่ข้าพระองค์ ฯ
          หามิได้ พระเจ้าข้า ฯ
          ดูกรสุนักขัตตะ เพราะเหตุที่เรามิได้กล่าวกะเธอว่า มาเถิด สุนักขัตตะเธอจงอยู่อุทิศ
ต่อเรา เราจักบัญญัติสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศแก่เธอ ดังนี้ อนึ่ง เธอ ก็มิได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักอยู่อุทิศต่อพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคจักทรงบัญญัติสิ่งที่โลก
สมมติว่าเลิศแก่ข้าพระองค์ ดังนี้ ดูกรโมฆบุรุษ เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอเมื่อบอกคืน จะชื่อว่า
บอกคืนใคร ดูกรสุนักขัตตะ เธอจะเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉน คือเมื่อเราได้บัญญัติสิ่ง
ที่โลกสมมติว่าเลิศ หรือ มิได้บัญญัติก็ดี ธรรมที่เราได้แสดงไว้ ย่อมนำผู้ประพฤติให้สิ้นทุกข์
โดยชอบ [หรือหาไม่] ฯ
          ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพระองค์ได้บัญญัติสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ หรือ มิได้บัญญัติก็ดี
ธรรมที่พระองค์ได้แสดงไว้ ย่อมนำผู้ประพฤติให้สิ้นทุกข์โดย ชอบ ฯ
          ดูกรสุนักขัตตะ เพราะเหตุที่เมื่อเราได้บัญญัติสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศหรือ มิได้บัญญัติก็ดี
ธรรมที่เราได้แสดงไว้ ย่อมนำผู้ประพฤติให้สิ้นทุกข์โดยชอบ เช่นนี้ เธอจะปรารถนาการบัญญัติสิ่งที่
โลกสมมติว่าเลิศไปทำไม ดูกรโมฆบุรุษ เธอจง เห็นว่า ข้อนี้ เป็นความผิดของเธอเท่านั้น
สุนักขัตตะ เธอได้สรรเสริญเราที่ วัชชีคาม โดยปริยายมิใช่น้อยว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
          เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดา
และมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม ดังนี้ เธอได้ สรรเสริญ
พระธรรมที่วัชชีคามโดยปริยายมิใช่น้อยว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาค ตรัสดีแล้ว อันผู้บรรลุ
พึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควร น้อมเข้าไปในตน อันวิญญูชนพึงรู้
เฉพาะตน ดังนี้ และเธอได้สรรเสริญพระสงฆ์ ที่วัชชีคาม โดยปริยายมิใช่น้อยว่า พระสงฆ์
สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ ปฏิบัติดีแล้ว ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเป็นธรรม ปฏิบัติชอบ คือคู่
บุรุษ ๔ บุรุษบุคคล๘ นั่นคือพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ควรรับของบูชา เป็นผู้
ควรรับ ของต้อนรับ เป็นผู้ควรรับของทำบุญ เป็นผู้ควรทำอัญชลี เป็นบุญญเขตของ ชาวโลกไม่มี
เขตอื่นยิ่งกว่า ดังนี้ สุนักขัตตะ เราขอบอกเธอ เราขอเตือนเธอว่า จักมีผู้กล่าวติเตียนเธอว่า
โอรสเจ้าลิจฉวีชื่อสุนักขัตตะ ไม่สามารถประพฤติพรหมจรรย์ในพระสมณโคดม บอกคืนสิกขาเวียน
มาเพื่อความเป็นคนเลว ดังนี้ ดูกรภัคควะ โอรสเจ้าลิจฉวีชื่อสุนักขัตตะ ถึงแม้ถูกเรากล่าวอยู่
อย่างนี้ ก็ได้หนี ไปจากธรรมวินัยนี้ เหมือนสัตว์อบาย เหมือนสัตว์นรก
          ฉะนั้น ฯ
 

ตอบโดย: Vicha 04 พ.ย. 47 - 11:33


 สาธุครับ    

ตอบโดย: เด็กบ้านยางสีสุราช 04 พ.ย. 47 - 14:17


ขอขอบคุณและอนุโมทนา กับคุณ Vicha ด้วยนะคะที่กรุณาเล่าประสบการณ์และวิชาความรู้สู่กันอ่านค่ะ  มุกจะขอรบกวนถาม  ที่จริงเป็นปัญหาของเพื่อนรุ่นผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง
มุกอยากให้ท่านมาโพสต์เอง แต่สุขภาพไม่อำนวย  คิดอยู่หลายวันว่าจะตั้งกระทู้  แต่ไม่ทราบจะขึ้นต้น และลงท้ายว่าอย่างไร  เพราะเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ค่ะ
   เพือนมุกมีสัมผัสพิเศษเหมือนภรรยาคุณ  เพียงอยู่ๆก็เห็นเอง  เริ่มตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย  แถวหน้าพระลานค่ะ  แต่ยังไม่ชัดจนเรียนจบ ทำงานและแต่งงาน  สัมผัสเริ่มรู้ว่าผู้ใดเป็นผู้ส่งสัญญาณมา เริ่มสวดมนต์และนั่งสมาธิ  แต่การปฏิบัติธรรมของพี่ท่าน
นี้เป็นไปเพื่อความสุขสงบเท่านั้น  ไม่หวังถึงมรรคผล นิพพานประการใด  มุกเคยถามถึง
เรื่องนิพพานถึงสิ่งที่พี่ท่านนี้สื่อได้ ท่านไม่ตอบ  เข้าใจว่า มาเพื่อสร้างบารมี ไม่ได้เพื่อ
นิพพาน   การที่มีสัมผัสพิเศษนี้คุณพี่ก็ช่วยทุกคน โดยไม่ได้หวังผลตอบแทน เพราะเป็นผู้มีฐานะพอสมควร  พอประชุมที่สำนักงานใหญ่ครั้งใด  พักกลางวันแทบไม่ต้องทานข้าวเพราะทุกคนจะมารุมถามกันจ้าละหวั่น  คุณพี่จะตอบในปัญหาต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวกับไสยศาสตร์  ส่วนใหญ่เป็นปัญหาการทำมาหากิน  เป็นผู้ที่มีเพื่อนฝูงรักใคร่พอสมควร เพราะมีเมตตากับทุกๆคนจริงๆ  มุกเคยอ่านในกระทู้เก่าๆในลานธรรมว่าผู้ที่มีจิตแนบกับเทพ แล้วส่วนใหญ่จะติดสุข  เท่าที่สังเกตุ น่าจะเป็นไปได้นะคะ  เพราะชวนไปปฏิบัติธรรมที่วัด ท่านไม่ไป  (อาจเป็นเพราะสามารถติดต่อกับสัญญานที่สอนผ่านจิตต่อจิตได้ โดยไม่ต้องผ่านครูบาอาจารย์)  ชิวิตพี่ท่านนี้มีความสุขมาตลอดจนช่วง 11เดือนที่ผ่านมา  เริ่มไม่สบาย
จากโรคประจำตัว ภูมิแพ้  มาไซนัส  น้ำในหูไม่เท่ากัน  วัยทอง  เวียนศรีษะตลอดเวลา
จนมาถึงชามือ  ที่จริงแล้วอาจมาจากสาเหตุเดียวคือ วัยทอง  แต่เป็นแล้วก็ต่อๆมาหลายโรค  ปัญหาคือพี่เริ่มท้อแท้  เพราะตลอดเวลาเคยแต่ให้คำปรึกษาผู้อื่น  พอสุขภาพไม่ดีก็ไม่สามารถรับสัญญานได้  มุกไม่เข้าใจนะคะว่าเขาจะรู้สึกเหมือนขาดผู้ดูแลใกล้ชิดหรือเปล่า  เพราะตลอดเวลาค่อนข้างเป็นคนรื่นเริงเฮฮา  แต่ตอนนี้หงอยสนิทเลยค่ะ  ต้องโทรคุยกับน้องๆ เพื่อนๆ แทบทั้ง 3 เวลา บ่นว่าเซ็งตัวเอง  เพื่อนๆน้องๆ ก็พยายามปลอบใจ
ว่าด้วยกฏไตรลักษณ์บ้าง  วิบากกรรมบ้าง  ไปเป็นนายหน้าค้ำประกันหนี้ให้ผู้อื่นบ้าง
จนอ่านข้อความที่มีประโยชน์จากลานธรรมก็ยังไม่ช่วยได้เลยค่ะ  แล้วตัวท่านก็เป็นผู้ใหญ่
กว่ามุกมาก  ความรู้มุกก็แค่หางอึ่ง ปลอบไปปลอบมาเหมือนเราจะไปสอนผู้ใหญ่อย่างไรไม่ทราบ
      อยากรบกวนคุณ Vicha ช่วยแนะนำด้วยค่ะว่าเราจะเอาธรรมะ อะไรไปช่วยพี่ท่านนี้ดี
และช่วยให้ท่านพิจารณาธรรมตามที่ควรเป็นไป  (แต่คงลำบากนะคะที่จะไปชักจูงให้มาปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นเพียงอย่างเดียว)
      ขอขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ
            

 

ตอบโดย: มุก 04 พ.ย. 47 - 16:57


ขออนุญาตเจ้าของกระทู้นะคะ
เย็นวานนี้ ได้ไปเผาศพเด็กชายคนหนึ่ง
และก็มีผู้ชายคนหนึ่ง บอกแม่ของเด็กว่าไม่ต้องกังวลนะ
ลูกเธอไปดีแล้ว ไปเกิดเป็นเทวดา  น้าสัมผัสได้จากการสื่อผ่านตัวเธอ
บังเอิญมีศพญาติผู้ใหญ่อีกท่านหนึ่งยังไม่ได้ทำการฌาปณกิจ เลยถามว่า
แล้วคนนี้ล่ะ  เขาตอบว่าดูไม่เห็นเพราะไม่คุ้นและไม่มีความสนิทสนมกันกับผู้ตาย
อยากเรียนถามว่า เขาสัมผัสได้จริงหรือไม่คะ เขาทราบไจริงหรือเปล่าที่ว่าเด็ก
ไปเป็นเทวดา  แล้วมีจริงด้วยหรือคะกรณ๊นี้ค่ะ ขอบคุณค่ะ

ตอบโดย: ศิริพร 05 พ.ย. 47 - 00:57


สาธุ กับ คุณ Vicha ด้วยครับ
คุณ Vicha มีทางไปที่แน่นอนแล้ว
ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจกับการบำเพ็ญบารมีต่อไปนะครับ

ตอบโดย: eayx 05 พ.ย. 47 - 10:02


  ขอบคุณท่านวิชาครับที่นำประสบการณ์ส่วนตัวมาเล่าสู่กันฟัง แม้จะเป็นประสบการณ์ที่ผมและคนอื่นๆอีกหลายคน ไม่เคยประสบมาก่อน และแม้ผมจะมองพุทธในแบบวิทย์ แต่ก็ยินดีที่ได้รับฟัง ขออณุโมทนาด้วยครับ

 ก่อนที่ท่านจะเขียนถึงเรื่องนี้ ผมกำลังจะถามอยู่พอดีกำลังชั่งใจ เห็นมีคำถามข้ามไปข้ามมาตลอด กลัวว่าท่าน จะมึนซะก่อน  เรื่องที่จะถามมีว่า

   อภิญญา ๖ ได้แก่
๑.อิทธิฤทธิ์
๒.ทิพยโสต
๓.จตูปปาตญาณ
๔.เจโตปริยญาณ
๕.ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
๖.โลกุตรฌาน นั่นคือเข้าสู่ความเป็นพระอริย

 คือไม่ทราบว่ามีข้อใหน ที่หมายถึงการล่วงรู้อนาคตหรือเปล่า
 ผมคิดว่าเรื่องการรู้อนาคตมันไม่น่าเป็นไปได้เลยในทางวิทยาศาสตร์และแม้ในทางวิทย์เอง ผมก็ไม่เชื่อว่าเป็นไปได้  ต่อให้ไอสไตล์ กลับมาคิดใหม่ก็ทำไม่ได้แน่ๆ  หมายถึงการรู้อนาคตในแบบที่ คิดไม่ได้นะ เช่นเรื่อง หวยจะออกอะไรเป็นต้น ส่วนเรื่องที่ใช้เหตุมาใช้อธิบายถึงผล อันนี้มันเป็นไปได้ อย่างเรื่องกรรม เป็นต้น ขอถามหน่อยครับ

ตอบโดย: seen 05 พ.ย. 47 - 10:06


ในโลกนี้ย่อมมีอะไรประหลาด เกินกว่าปุถุชนจะคิดเสมอ
สมัยก่อนผมก็มีอะไรประหลาดอยู่บ้างเหมือนกันแบบที่คนอื่นไม่รู้  พอมีก็อยากจะบอกคนอื่น ในใจคิดอยากให้คนอื่นรู้ถึงความประหลาดอันนี้  ก็สรุปว่าความอยากให้ผู้อื่นรู้นี่เป็นกิเลสตัวหนึ่ง ทั้งๆที่ในใจไม่ได้อยากจะอวดว่าเป็นผู้วิเศษก็ตาม
โดยที่เราก็ไม่ได้นึกถึงผลเสียผลได้อะไรเลย  จะมีอยู่บ้างก็คิดในใจว่าหากมีคนรับรู้ เค้าอาจจะหันหน้ามาทางศาสนาอย่างจริงจังก็จะเกิดผลดี  แต่ความจริงก็เกิดทั้งผลดีผลเสีย

แต่ไม่ว่าอะไรก็ตาม อยากให้เจ้าของกระทู้ไม่ต้องไปคิดเรื่องที่ว่าจะดีหรือไม่ดี ทำไปแล้วจะเป็นผลเสียหรือผลดี  ประมาทไปหรือเปล่า  ก็ถ้าสิ่งนั้นเราสัมผัสมันได้ จะจริงหรือไม่จะเป็น นิมิตจริงหรือ เท็จ เราถือว่า ทำไปแล้ว  ไม่มีผลใดๆต่อปัจจุบัน ทั้งสิ้นหากไม่หยิบมันขึ้นมาคิด

อยากจะขอเสนอแนะคุณวิชาว่า  ลองมีสติรู้และละนิมิตตนเองดู เพราะใจคือเครื่องก่อเกิดและรับสัญญาณ สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงแค่สัญญาณ ถ้าเครื่องไม่แปลสัญญาณ ภาพก็จะไม่เกิด
ดังนั้น สำคัญมากที่สุดคือ สติรู้ ละ  แม้กระทั่งนิมิต
จะอธิบายให้ฟังว่า  พอนิมิตเกิด เราคิด จิตเกิด ขันธ์เกิดขึ้นแล้ว แต่สติตามไม่ทัน ก็ทำให้ปรุงต่อไป เรียกว่า ยังไม่จริงในระดับปรมัตหรือ จริงแท้   ยังไม่ทันต่อจิตที่กระทบนิมิต

ทางที่ถูกคือ   นิมิตเกิด รู้ทัน ละ   ความคิดเกิด  รู้ทัน ละ  ปรุงแต่งเกิด  รู้ทัน  ละ
ถามว่า ทำไมต้องละ  ก็ตอบว่า ถ้าอยากดับขันธ์ ไม่ว่าขันธ์อะไรเกิดก็ต้องละ จนกว่าจะไปถึงที่สุด ปัญญาแตกฉานแล้ว มันก็ไม่มีอะไรจะเกิด ถึงแม้เกิดก็ไม่ปรุงแต่งต่อ  แล้วทุกอย่างมันจะดับไปเองตามไตรลักษณ์  แต่ถ้าปรุงต่อก็จะเป็นลูกโซ่ ไม่มีวันดับ

   

ตอบโดย: ขันธ์ 05 พ.ย. 47 - 11:08


ขออนุโมทนาในบุญที่พี่ VICHA ได้ ทำไป แล้วทั้งหมด ครับ


ปล. พี่ทำมาเยอะ ขอแบ่งแบบหุ้นลมนะครับ

 

ตอบโดย: listener 05 พ.ย. 47 - 12:40


จากคำถามของคุณมุก

      อยากรบกวนคุณ Vicha ช่วยแนะนำด้วยค่ะว่าเราจะเอาธรรมะ อะไรไปช่วยพี่ท่านนี้ดี
และช่วยให้ท่านพิจารณาธรรมตามที่ควรเป็นไป  (แต่คงลำบากนะคะที่จะไปชักจูงให้มาปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นเพียงอย่างเดียว)

     ผมจะตอบคุณมุก แบบกลางๆ นะครับ โดยไม่ให้กระทู้เอนเอียงไปในสิ่งที่เหนือวิสัยมากเกินไป

     ให้ไปบอกพี่คนนั้นอย่างนี้  ทุกคนเป็นไปตามกรรมที่สะสมมา กับกรรมที่กำลังกระทำเพิ่มในขณะปัจจุบัน กล่าวง่ายๆ คือ
 1. จะเป็นไปตามในสิ่งที่ชอบ เมื่อทำกรรมสนับสนุนในสิ่งที่ชอบ
 2. จะเป็นไปตามในสิ่งที่ไม่ชอบ เมื่อทำกรรมสนับสนุนในสิ่งที่ไม่ชอบ
 
สรุป อีกแง่มุมหนึ่ง
      ถึงแม้จะไม่ชอบ แต่ก็เป็นไปตามสิ่งที่ไม่ชอบ เพราะได้กระทำกรรมที่สนับนุนในสิ่งที่ไม่ชอบ

     เรื่องกรรมนั้นไม่มีใครรับกรรมของคนอื่นมาเพื่อเป็นของตนเองได้ แต่ก็มีโอกาสเบียงเบนกรรมในขณะปัจจุบันของผู้อื่นพอได้

      หมอที่รักษาคนไข้ที่เป็นโรคไม่ติดต่อ ย่อมไม่ติดโรคจากผู้ป่วย
      หมอที่รักษคนไข้ที่เป้นโรคติดต่อ หมอต้องระวังต้องมีสติ ต้องดำเนินการรักษาอย่างถูกต้องตามวิชาการ ย่อมไม่ติดโรคจากผู้ป่วย
      แต่ถ้าหมอเกิดติดโรคขึ้นมา ก็เพราะการไม่ระวังการขาดสติของหมอ นั้นเป็นกรรมของหมอ ไม่ใช่หมอไปรับเอากรรมของผู้ป่วย ผุ้ป่วยจะหายป่วยหรือไม่หาย ก็อยู่กับขั้นตอนการรักษาและกรรมของผู้ป่วยเอง  ไม่ใช่ว่าหมอต้องไปรับกรรมแทนผู้ป่วย

     การเจ็บไข้ได้ป่วย การไม่ได้ดังใจ(ของรัก) ก็เป็นกรรมของเราเอง เป็นเรื่องธรรมดาของการเกิดเป็นมนุษย์ แต่เมื่อไหร่ ท้อแท้ สิ้นหวัง ตีโพนตีพาย ว่าสาเหตุโน้นสาเหตุนี้ โดยไม่หาสาเหตุรักษาให้ถูกต้องตามวิธี ก็มีแต่ทุกข์เพิ่มขึ้นโดยเปล่าประโยชน์

     ตอบคุณศิริพร
       เรื่องเหล่านั้น ไม่มีใครไปพิสูจน์ให้เห็นที่เป็นรูปธรรมได้
       ก็เพียงแต่เก็บไว้เป็นข้อมูลหนึ่งก็พอ

       เขาผู้นั้นจะรู้จริงหรือไม่นั้นไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นได้
       แต่สิ่งที่เราเห็นจากเขาได้ คือความเป็นคนมีศีล มีธรรมหรือไม่

       บอกผู้อื่นให้ทราบ ในสิ่งที่เกินวิสัยที่ไม่สามารถแก้ไขคืนกลับแล้วนั้น เพื่อให้ผู้อื่นคลายจากความทุกข์ มีความสูขขึ้น ก็เป็นธรรมที่ดีอย่างหนึ่ง
       บอกผู้อื่นให้ทราบ ในสิ่งที่เกินวิสัยที่ไม่สามารถแก้ไขคืนกลับแล้วนั้น เพื่อให้ผู้อื่นต้องจมอยู่ในทุกข์เพิ่มขึ้น นั้นไม่ใช่คุณธรรมของคนดี
          
      คุณศิริพร มองเพียงแค่เก็นข้อมูลก็น่าจะพอครับ ถ้าให้ลึกหน่อยก็มองลงไปที่เจตนาของเขา จึงจะรู้ว่าดีหรือไม่ดี โดยไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่จริงในสิ่งที่เกินวิสัย เพราะจะทำให้ฟุ้งซ้านโดยเปล่าประโยชน์

ตอบโดย: Vicha 05 พ.ย. 47 - 14:24


ตอบคุณ seen
   การพยากรณ์ อาณาคต หรือความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้นนั้น หลักการทางวิทยาศาสตร์ ก็พอที่จะคาดการณ์หรือพยากรณ์ได้
    1. จากข้อมูลที่ศึกษามา และเทียบเคียงวิวัฒนาการของข้อมูลนั้น
    2. หรือจำลองการเกิดขึ้น และการเป็นไปของเหตุการณ์
    3. เปรียบเทียบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบไปแล้ว
  เมื่อได้ข้อมูลทั้ง 3 ข้อแล้ว ก็สามารถพยากรณ์อานาคตของเหตุการณ์นั้นได้อย่างแม่นย่ำ

   ความจริงการที่จะไปรู้ในอนาคตนั้น เขาเรียกว่า อนาคตังคญาณ แต่ไม่จัดอยู่ในอภิญญา 5 แต่จะแทรกอยู่ใน อภิญญา 5  คือ จตูปปาตญาณ(รู้การเกิดตายของสัตว์)  ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ(ระลึกชาติได้)
    ที่นี้การรู้อนาคต นั้นต้องแยกออกได้ว่า รู้อนาคตอะไร ยาวไกลแค่ไหน ยกมาสามตัวอย่าง
                 1.รู้อนาคตตนเอง
                 2.รู้อนาคตผู้อื่น
                 3.รู้อนาคตของสังคมของโลก
    1.รู้อนาคตตนเอง ถ้าไม่ไกลมากนักในชีวิตนี้ในระยะ 1ว้นถึง 1 เดือน  1 ปี ก็เพียงแต่อาศัยหลักวิทยาศาสตร์ก็น่าจะพอตัดสิ้นตัวเองได้แล้ว ยกเว้นเกิดเหตุสุดวิสัยเท่านั้น
    เหตุสุดวิสัยนี้ละที่ไม่สามารถรู้ได้ จึงเกิดสิ่งที่เรียกว่า ลางสังหรณ์ สำหรับคนธรรมดาทั่วไปเขาเรียกว่า มี เช่นต์  ในแต่ละครั้ง
    แต่ผู้ที่ได้ฌาน เขาเรียกว่า มีญาณ รู้กรรมของตนเองอย่างคล่าวๆ ที่พึงจะส่งผลในอนาคตอันใกล้ หรือไกล ตามวาสนาบารมี
    สำหรับผู้ได้วิชชา 3 หรือ อภิญญา 5 ก็ย่อมรู้กรรมของตนเองอย่างละเอียด ที่จะส่งผลในอนาคตอันใกล้หรือไกล ตามวาสนาบารมี

    2. รู้อนาคตของผู้อื่น และ 3.รู้อนาคตของสังคมโลก ก็ต้องอาศัยของผู้มีวิชา 3 หรืออภิญญา 5 เท่านั้น ที่สามารถย้อนไปดูกรรมของผู้อื่นและกรรมของโลกได้ ที่พึงจะส่งผลในอนาคต

    ข้อพิเศษ สำหรับผู้ได้ฌานขึ้นไป เข้าเรืยกว่า ญาณของผู้มีฌาน ถ้าเปรียบเทียบก็คือ ลางสังหรณ์นั้นเอง แต่แม่นย่ำและถูกต้องมาก ซ้ำทำให้เกิดขึ้นได้ง่าย ด้วยกำลังสมาธิ

(ขอเสนอแค่นี้ก่อนมีงานให้ต้องไปทำ)

ตอบโดย: Vicha 05 พ.ย. 47 - 15:07


  ขออนุโมทนา คุณ Vicha  ในที่นี้ด้วยค่ะ  คำตอบคุณทำให้คุณพี่ท่านนี้เบาใจขึ้น
และฝากขอบพระคุณ คุณ Vicha ด้วยค่ะ

ตอบโดย: มุก 05 พ.ย. 47 - 15:49


สวัสดีครับ คุณวิชา
ผมได้อ่านประวัติคุณ แล้ว รู้สึก ดีมากๆ ครับ
และก็ ทึ่งเหมือนกัน ครับ ว่า  น่าจะคล้าย กับ ดร.สนอง วรอุไร
ไม่ทราบว่า คุณ vicha รู้จัก ท่านอาจารย์นี้หรือเปล่าครับ
ผมอยากให้รู้จักกันจังเลย เนื่องจาก ท่านอาจารย์นี้ สามารถ ระลึกชาติ ได้ และ รู้ใจผู้อื่นด้วยนะครับ....และ เป็นวิทยากรรับเชิญ บรรยาย ให้กับ องค์กร สถาบัน  รัฐลาล เอกชน อยู่หลายที่นะครับ.....

ตอบโดย: Toey by Mindfulness 05 พ.ย. 47 - 21:13


  ขอร่วมโมทนาในผลบุญที่คุณวิชาสร้างสมมาและที่จะมีต่อไปในอนาคตด้วยครับ

ตอบโดย: อินเดีย 05 พ.ย. 47 - 22:37


เรียนปรึกษาคุณวิชาครับ
ผมซาบซึ้งมากในประสบการณ์ที่ผ่านมาของคุณวิชา  
ก่อนอื่นผมขอเกริ่นรายละเอียดดังนี้ คือ ผมมีเพื่อนสนิทท่านหนึ่งไม่ได้พบกันมานานมากแล้ว เพื่อนท่านนี้ฝึกสมาธิตั้งแต่เด็กมีความสามารถคล้ายๆกับที่คุณวิชา แสดงความเห็นในกระทู้นี้  ในช่วงที่ทำงานอยู่ที่เดียวกันเวลาว่างผมก็มักจะถามถึงเรื่องภพภูมิอื่นเป็นประจำโดยทำใจเป็นกลางเพราะเป็นสิ่งที่เราสัมผัสเองไม่ได้ โดยในบางคำถามเพื่อนท่านนี้ก็ขอไม่ตอบเพราะจะทำให้ผมฟุ้งซ่านไปกับความคิดและจินตนาการ (ต่อมาเกิดเหตุการณ์หลายอย่างทำให้ผมเห็นว่าสิ่งที่เพื่อนพูดบางเรื่องเป็นจริง) ซึ่งเพื่อนท่านนี้แนะนำว่าอยากรู้ต้องฝึกให้ได้แล้วไปดูเอง ผมจึงถามว่าผมฝึกได้เหรอ  เพื่อนนิ่งไปสัก3วินาที แล้วบอกว่าฝึกกำหนดลมหายใจเข้าออกวันละ20นาทีไม่เกิน3เดือน มีเทวดาประสงค์จะสนทนาด้วยหลายท่าน  แล้วเสริมว่าจริตแต่ละคนไม่เหมือนกัน จริงๆแล้วฝึกแนวไหนก็ได้ที่ชอบในกรรมฐานทั้ง40 ผลที่สุดก็ได้ความสงบเป็นสมาธิเหมือนกัน
ไม่ทราบด้วยเหตุใดผมปล่อยเวลามานานไม่ได้ฝึกตามที่เพื่อนแนะนำ  จนประมาณสัก 5หรือ6ปีที่แล้ว  ผมจึงได้ลองนั่งดูลมหายใจเข้าออกลองคิดตามเข้าออกก็ไม่เห็นมีอะไร ทำได้สัก 2 - 3 คืนก็เปลี่ยนใหม่ไม่คิดอะไรดูลมเค้าไปเรื่อยๆจิตก็รวมลงสงบแล้วถอนออกก็รู้ขึ้นเองว่าขณิกะสมาธิเป็นอย่างนี้เอง  คืนต่อมาก็ลองใหม่จิตก็รวมลงสงบกว่าและนานกว่าเดิมแล้วก็ถอนออกมารู้ขึ้นอีกว่าอุปจาระสมาธิเป็นอย่างนี้เอง  คืนต่อมาก็ทำใหม่จิตรวมลงสู่อุปจาระสมาธิแล้วถอยขึ้มมานิดหนึ่งพบว่ามีพระภิกษุรูปหนึ่งซึ่งมรณะภาพไปแล้ว  ทั้งร่างกายและจีวรเป็นสีทองสว่างไสวทั้งองค์นั่งอยู่ตรงหน้าชัดเจนยิ่งกว่าการมองด้วยตาอีก  ผมรีบถอนออกจากสมาธิอย่างเร็วจนมึนตึงที่หน้าผากไปหลายวัน
มาพิจารณาดูก็ไม่ได้กำหนดหมายอะไรทำไมเป็นอย่างนี้ จึงมาพิจารณาความสุขที่เกิดจากสมาธิก็มีความสุขมากแต่เทียบไม่ได้กับความสุขที่เคยเกิดจากการรู้ตัวต่อเนื่องในชีวิตปกติวางใจเป็นกลางจากความรักความเกลียดจนความรู้สึกต่อสิ่งแวดล้อมดับวูบลงใจแยกออกจากความคิด  เห็นความคิดฟุ้งปรุงแต่งเปลี่ยนแปลง รู้ขึ้นเองมีความหมายว่าเพราะอยากที่ไปอุปาทานในการปรุงแต่งนี้เราจึงมีขึ้นสิ่งนั้นก็มีอยู่ต่างหากไม่ใช่เรา ใจก็สลัดพรวดเบาโล่งเป็นสุขอย่างยิ่ง(ทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วมากแล้วเค้าเป็นของเค้าเองเราบังคับอะไรไม่ได้เลย)เป็นสุขอยู่3วัน3คืน ความคิดเค้าก็คิดไปของเค้าไม่ได้มากวนอะไรกับเรา พอผ่านไป3วันเรากับเค้า(ความคิดนึกปรุงแต่ง)ก็มารวมกันอีกตอนนั้นก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อเพราะเป็นชีวิตฆาราวาส และก็ไม่เคยวางใจได้แบบนั้นอีกเลยมีแต่หลงในสัญญาว่าจิตว่างมานมนาน  ตอนนี้มาฝึกการรู้ตัวการไม่ลืมตัวก็เริ่มดีขึ้นโดยลำดับแต่ยังไม่สามารถพึ่งตัวเองได้ ยังขึ้นๆลงๆอยู่ แบบว่ากิเลสเยอะมากเรายังเลวอยู่

ที่เรียนปรึกษาคือ สมาธิที่ผมปฏิบัติแบบทำไปเองแบบนี้จนปรากฏนิมิตเหมือนจริงมีส่วนเกื้อหนุนการเจริญสติหรือไม่     /   หรือเป็นคนละอย่างกันครับ  / หรือมีความเห็นอย่างอื่นแนะนำครับ
ตอนหลังมาถ้านั่งสมาธิจะรู้ตัวตลอดพิจารณาร่างกายโดยให้นิมิตอยู่ในระดับความคิดไม่ยอมให้รวมลงแม้ขณิกะสมาธิ ไม่ทราบว่ามีคำแนะนำอย่างไรในข้อนี้ครับ

  ขอกราบขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคำตอบ

ตอบโดย: อินเดีย 06 พ.ย. 47 - 01:50


การเจริญฌาณ ต้องศึกษาให้ดี ไม่งั้นเกิดโลภจิตขึ้นมาทำงานแทนฌานจิต ทีนี้ละยุ่งเลยนะครับ

ตอบโดย: cilindion 06 พ.ย. 47 - 07:20


ตอบคุณ Toey by Mindfulness
   ผมไม่รู้จักกับ ดร. สนอง ครับ แต่ก็ได้ยินชื่อของท่านบาง

ตอบคุณ อินเดีย จากข้อความนี้
  "ผมจึงได้ลองนั่งดูลมหายใจเข้าออกลองคิดตามเข้าออกก็ไม่เห็นมีอะไร ทำได้สัก 2 - 3 คืนก็เปลี่ยนใหม่ไม่คิดอะไรดูลมเค้าไปเรื่อยๆจิตก็รวมลงสงบแล้วถอนออกก็รู้ขึ้นเองว่าขณิกะสมาธิเป็นอย่างนี้เอง  คืนต่อมาก็ลองใหม่จิตก็รวมลงสงบกว่าและนานกว่าเดิมแล้วก็ถอนออกมารู้ขึ้นอีกว่าอุปจาระสมาธิเป็นอย่างนี้เอง  คืนต่อมาก็ทำใหม่จิตรวมลงสู่อุปจาระสมาธิแล้วถอยขึ้มมานิดหนึ่งพบว่ามีพระภิกษุรูปหนึ่งซึ่งมรณะภาพไปแล้ว  ทั้งร่างกายและจีวรเป็นสีทองสว่างไสวทั้งองค์นั่งอยู่ตรงหน้าชัดเจนยิ่งกว่าการมองด้วยตาอีก  ผมรีบถอนออกจากสมาธิอย่างเร็วจนมึนตึงที่หน้าผากไปหลายวัน"

***    คุณอินเดีย ก็ได้รู้ทั้งขณิขะสมาธิ อุปจารสมาธิ และนิมิตอย่างชัดเจนแล้วครับ ขณะที่จิตถอนขึ้นรับรู้นิมิต ขณะนั้นความรู้สึกที่ร่างกายแทบจะไม่รู้สึก การที่รีบถอนออกจากสมาธิอย่างเร็วทำให้ระบบประสาทของรางกายเคลียดมึนตึงได้ ซึงเป็นปกติของผู้ที่ได้สมาธิโดยรวดเร็ว พอถึงจุดที่เป็นนิมิตในอุปจารสมาธิ จะเกิดอาการแปลกประหลาดใจ บางท่านตกใจ รีบออกจากสมาธิอย่างรวดเร็ว จากจิตที่อยู๋ในภวังค์รีบถอนมาให้รู้สึกตัวทันที่ ระบบเลือดลมย่อมผิดปกติไปพักหนึ่งเป็นธรรมดา ***

และจากข้อความของคุณอินเดีย
   "มาพิจารณาดูก็ไม่ได้กำหนดหมายอะไรทำไมเป็นอย่างนี้ จึงมาพิจารณาความสุขที่เกิดจากสมาธิก็มีความสุขมากแต่เทียบไม่ได้กับความสุขที่เคยเกิดจากการรู้ตัวต่อเนื่องในชีวิตปกติวางใจเป็นกลางจากความรักความเกลียดจนความรู้สึกต่อสิ่งแวดล้อมดับวูบลงใจแยกออกจากความคิด  เห็นความคิดฟุ้งปรุงแต่งเปลี่ยนแปลง รู้ขึ้นเองมีความหมายว่าเพราะอยากที่ไปอุปาทานในการปรุงแต่งนี้เราจึงมีขึ้นสิ่งนั้นก็มีอยู่ต่างหากไม่ใช่เรา ใจก็สลัดพรวดเบาโล่งเป็นสุขอย่างยิ่ง(ทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วมากแล้วเค้าเป็นของเค้าเองเราบังคับอะไรไม่ได้เลย)เป็นสุขอยู่3วัน3คืน ความคิดเค้าก็คิดไปของเค้าไม่ได้มากวนอะไรกับเรา พอผ่านไป3วันเรากับเค้า(ความคิดนึกปรุงแต่ง)ก็มารวมกันอีกตอนนั้นก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อเพราะเป็นชีวิตฆาราวาส และก็ไม่เคยวางใจได้แบบนั้นอีกเลยมีแต่หลงในสัญญาว่าจิตว่างมานมนาน"

*** คุณอินเดียได้ทั้ง ฌาน ได้ทั้ง ญาณ แล้วนี้  ความจริงแล้วคุณได้ฌานได้ตั้งแต่ ที่คุณกล่าวว่าจิตคุณรวม แล้วถอนออกมาสู่อุปจารสมาธิ แล้วเกิดนิมิตพระขึ้น
       เมื่อคุณได้ฌาน ความสุขที่เกิดจากองค์ฌาน เกิดขึ้นกับคุณได้ง่าย คุณจึงยกเอาความสุขนั้นขึ้นมาพิจารณาเทียบเคียงอย่างมีสติ แล้ววางใจเป็นกลางจากโลกธรรม วิปัสสนาญาณเบื้องต่ำก็บังเกิดขึ้น อุปกิเลส ไม่ใช่สิ่งชัวร้าย เป็นสิ่งดีที่บอกให้ทราบว่าได้ดำเนินจิตเข้าสู่วิปัสสนาญาณแล้ว แต่เมื่อสมาธิมาก อุปกิเลส ก็ปรากฏมากชัดเจนและนานเป็นธรรมดา บางคนก็เข้าใจว่า เป็นจิตว่าง เน่อะ !
       ฌานก็ได้ แต่เสื่อมไปแล้ว วิปัสสนาญาณก็ได้แต่เสื่อมไปแล้ว  ฝึกความรู้สึกตัวไว้มากๆ ก็ดี จะได้มีสติมากขึ้น แต่ตอนนี้ยังคลำทาง เพื่อทรงฌาน และขึ้นวิปัสสนาญาณไม่เจอ
       แนะนำฝึกสติเยอะๆ (อาจจะต้องเข้าอบรมกรรมฐานที่ใหนสักช่วงหนึ่ง 7 วัน ในแนวอานาปานสติ) แล้วทำอานาปานะสติ ก็จะทรงฌานได้ แล้วพิจารณา องค์ฌาน(สุข หรือ ปิต หรือ ความสงบ) ลงสู่ความเป็นไตรล้กษณ์ แล้ววิปัสสนาญาณ ก็จะพัฒนาขึ้นมาใหม่ นะครับ ส่วนจะละความเลวที่จะเกิดขึ้นไหม่ได้หรือไม่อยู่ที่วาสนาบารมีของคุณ
       ความจริงความเลวที่มากๆ (เบียดเบียนผู้อื่นและตัวเองอย่างมาก) ไม่จำเป็นต้องใช้ฌาน หรือวิปัสสนาญาณ ก็ได้ เพียงแค่ตั้งมั่นในศีล 5 ด้วยกำลังใจที่ดี ไม่ประพฤติผิดทางกายก็ไม่ก่อให้เกิดแล้ว แต่ก็ต่อสู่กันทางใจน่าดูชมเลย สำหรับผู้ที่มีโอกาสผิดศีล 5 อย่างง่ายๆ และทางสะดวก

    
 

ตอบโดย: Vicha 06 พ.ย. 47 - 18:38


สาธุค่ะ      อ่านไปก็อนุโมทนาไป
ทางถึงจะอีกไกล  แต่ก็ไม่เกินเอื้อมแน่นอนค่ะ
ขออนุโมทนากับการเปิดเผยเรื่องราวไม่ธรรมดา  เป็นประสบการณ์และก็ความรู้ใหม่ที่หาอ่านที่ไหนไม่ได้จริง ๆ  ค่ะ

ขอถามนิดนึงได้ไหมคะ
เราจะแยกความรู้สึก ว่าอันนี้คือ เสียงกระซิบจากเทพที่คุ้มครองเรา  หรือว่าเป็นความรู้สึกของเราเอง    เป็นความเอะใจของเราเองออกจากกันได้ยังไงคะ

ตอบโดย: พุดน้ำบุศย์ 06 พ.ย. 47 - 19:37


  สาธุครับคุณวิชา
ขอบคุณในคำตอบครับ  ผมนึกไม่ถึงว่าสิ่งนั้นคือ ฌาน   สิ่งนั้นคือ ญาณ   ผมเข้าใจเอาเองว่าที่เราปฎิบัติเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครใส่ใจทำก็ได้ผลดังนี้ทุกคน  (ผมไม่ได้มีเจตนาในทางลบหลู่นะครับ)
คำตอบนี้ช่วยเป็นกำลังใจให้ผมใส่ใจพิจารณาปฏิบัติต่อไปตามกำลังสติปัญญาครับ / สิ่งที่ผมกลัวคืออย่าให้ผลการปฏิบัติใดๆเป็นเหตุให้ผมคิดว่าเราวิเศษเหนือคนอื่นครับ
 

ตอบโดย: อินเดีย 06 พ.ย. 47 - 21:31


ตอบ คุณพุดน้ำบุศย์
   เสียงกระซิบ หรือที่ผุดขึ้นจากใจ เป็นได้ทั้งจิตสร้างขึ้นมาเอง(อุปทาน หรือ ญาณ) หรือผู้อื่นทำให้ปรากฏ คือต้องฉลาดในเสียงกระชิบ หรือที่ผุดขึ้นจากใจ ต้องอาศัยสติ และปัญญา ในการแยกแยะ ยิ่งมีสติปัญญาแยกแยะได้มากเท่าไร ความถูกต้องก็มากขึ้นเท่านั้น ไม่ใช้อุปทานไปเอง
   ย่อมรับว่าตรงนี้วัดได้ยาก ผมจึงไม่ไปสนใจกับสิ่งเหล่านี้มากนัก จะเกิดก็เกิดไปไม่ไปใส่ใจมาก แต่เมื่อเหตการณ์ใดตรงกัน ก็เก็บเป็นข้อมูลไว้เท่านั้น

ตอบคุณอินเดีย
    ฌาน และ ญาณ เป็นเรื่องธรรมดา ที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติ เป็นไปตามเหตุและตามผล ไม่ได้เป็นสิ่งวิเศษวิโสเลย สำหรับผู้ที่ได้สัมผัส แต่จะกลายเป็นอัตตาวิเศษวิโสก็เมื่อใจเราไปยึดมั่นและถือมั่วว่าเราวิเศษวิโล กลายเป็นความหลงตัวหลงตนไปเสีย
    ถ้ายั่งความเห็นเรื่อง ฌาน และ ญาณ อยู่ตรงที่ได้รับความอุนใจเท่านั้น ก็จะไม่ไปหลงกับ ฌาน และ ญาณ
    ไม่มีใคร วิเศษวิโส กว่ากัน เพราะสัตว์ทั้งหลายต่างร่วม เกิด แก่ เจ็บ ตาย กันทั้งหมดทั้งสิ้น
  

ตอบโดย: Vicha 07 พ.ย. 47 - 13:17


ขอบคุณคุณวิชามากๆ  เลยค่ะ  

ติดใจคำของคุณครูจังเลย  ที่ว่า  ผู้ที่มีเทพคุ้มครองจะติดสุข
แต่เห็นด้วยอย่างยิ่งนะคะ   เหมือนตกอยู่ในโลกที่เหมือนมีวุ้นอุ่นๆ  หุ้มห้อมล้อมอยู่ตลอด บ่อยๆ ใช้ชีวิตอย่างประมาท  หรือว่าเลินเล่อได้ เพราะรู้แก่ใจว่า ไม่มีอะไรที่อันตราย ไม่มีอะไรต้องระวังเองในชีวิต   เวลากังวลก็จรดใจนิ่งๆ  แล้วถามหาคำตอบได้

แต่เสียงที่ได้ยิน บ่อยๆ ก็แยกไม่ออกเหมือนกันว่าเกิดจากไหน  ยิ่งสติพิจารณาก็ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้วด้วย

เคยมีท่านที่นับถือว่าเป็นคุณครูท่านนึง ติงมาว่า  ติดสุขมากเกินไป จนทำให้ไม่สนใจปฎิบัติ    เอาแค่ทำบุญแค่นั้น

มีวิธีแก้ไหมคะ

ติดสุขมากเกินไปจริงๆ ค่ะ  แล้วก็ไม่อยากติดสุขมาก ๆ อย่างนี้อีกต่อไปแล้ว
อยากก้าวหน้ามากกว่านี้มากกว่าค่ะ

ขอบคุณมากนะคะ
 

ตอบโดย: พุดน้ำบุศย์ 07 พ.ย. 47 - 16:08


   ผมเคยลองนั่งสมาธิอยู่เหมือนกัน  คือมีครั้งเดียวที่ทำได้ดีที่สุด  ผลคือนั่งไปได้พักหนึ่งแล้วง่วงซะก่อน  พอนอนแล้ว ตื่นมาอิ่มเอมมาก ปรอดโปร่ง จำได้จนถึงทุกวันวันนี้ ก็เรียกได้ว่าขาดความพยายาม แต่ก็เหมาะแล้วคือผมแค่อยากนอนให้เต็มอิ่มแค่นั้น
  
  ขอถามท่าน Vicha ว่า

   1.เมื่อตายลง และจิตหล่นถึงนรกหรือขึ้นสวรรค์แล้ว การหลุดพ้นจากนรก หรือ สวรรค์มีได้อย่างไร  นอกจากเรื่องกรรมแล้วมีอะไรอีกบ้างหรือเปล่า
  2.ผู้ต่างภพ  สามารถมีอารมณ์อื่นๆได้หรือไม่ มีได้หลากหลายอารมณ์หรือเปล่า
  3.มโนสัมผัส สามารถถึงนิพพานได้หรือไม่  (เคยถามแล้วแต่ท่านไม่ได้ตอบ)
  4.มีพระสูตรใดบ้างกล่าวถึงสัตว์เข้าถึงนิพพานได้
  5.มีพระสูตรใดบ้างกล่าวถึงนรก สวรรค์ ของสัตว์

ตอบโดย: seen 07 พ.ย. 47 - 19:41


อนุโมทนาครับ

ตอบโดย: แจ้ง 08 พ.ย. 47 - 08:30


ตอบคุณ พุดน้ำบุศย์ ก่อนนะครับ
    ท่าทางคุณทรงอารมณ์สมาธิไว้ตลอดเลย (มันเป็นไปเอง) ปีติ และสุข จึงหล่อเลี้ยงใจอยู่ตลอดเวลา เมื่อเกิดปีติหรือสุข อยู่เรื่อยๆ การสัมผัสทางใจกับสิ่งที่ไม่ใช่คนหรือโอปาติกะ ก็ย่อมบังเกิดบ่อย เป็นธรรมดา แต่ก็ยังแยกได้ลำบากว่าอย่างไหนอุปทานหรือญาณของใจเราเอง อย่างไหนโอปาติกะมาสัมผัส บางครั้งใจก็สงสัยไปเองว่าใช่หรือไม่ใช่  ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาเพราะเกิดขึ้นในกายและใจ เกือบจะอยู่หรืออยู่ที่เดียวกันในกายและใจเรา
    ส่วนเรื่องการติดสุขที่เกิดจากสมาธิ  ต้องพิจารณาอย่างนี้  เมื่อได้สมาธิสุขนั้นย่อมมีอยู่เป็นธรรมดา จะไปปฎิเสท หรือผลักไสว่าไม่ไห้มีสุขก็ไม่ได้ เพราะเป็นอารมณ์หนึ่งของผู้ได้สมาธิ ซึ่งก็มีอยู่มากของผู้ที่ไม่เข้าใจหรือยังไม่ได้สมาธิ กล่าวในเชิงปฏิเสท สุข ที่เกิดจากสมาธินั้น แถมยังรังเกียดเสียอีกว่า ทำให้เสียเวลาบ้าง หลงอยู่ในสมาธิบ้าง เพราะความไม่เข้าใจนี้เละที่เกิดจิตปฎิเสท
     การพิจารณาเพื่อให้เกิดสติไม่ให้ติดสุขในสมาธิ ก็คือเห็นว่าเป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง มันเป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง  สุขนั้นก็ไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา เป็นไปตามโลกธรรม 8 คือ เมื่อมีสุข ก็ย่อมมีทุกข์ หรือ เฉย  เมื่อพิจารณาได้ดังนี้จิตก็จะเจริญ เห็นความสงบสุข หรือ ปกติสุข

    ถ้าต้องการเจริญก้าวหน้า ก็ต้องมั่นฝึกสติ นั้นก็คือ สติปัฏฐาน 4

ตอบโดย: Vicha 08 พ.ย. 47 - 09:05


ถามพี่วิชานิดนึงครับ

ปกติถ้าเป็นนิตยโพธิสัตว์แล้ว จะไม่สามารถลาพุทธภูมิได้ ใช่ไหมครับ คือทำอย่างไรก็ไม่สามารถนิพพานได้ชาตินี้แน่นอน เพราะต้องรอเป็นพระพุทธเจ้าในกาลต่อไป

 

 

ตอบโดย: แช่อิ่ม 08 พ.ย. 47 - 09:30


ตอบคุณแช่อิ่ม
    ตามที่ได้ศึกษามาและเรียนรู้มา เป็นอย่างนั้นครับ ไม่สามารถลาพุทธภูมิได้เพราะเมื่อถึงที่สุดบารมีจะกระตุ้นเตือนจากอนุสัยที่ฝังอยู่ลึกในกมลสันดาน แล้วก็จะมุ้งมั่นที่จะสร้างบารมีต่อไปอย่างเต็มใจและไม่ทุกข์และไม่สับสน(ขณะที่รังเลอยู่ย่อมทุกข์และสับสน เป็นธรรมดาของปุถุขนไม่ยกเว้นแม้แต่นิยตโพธิสัตว์)  จนกว่าบารมีสมบูรณ์ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

ตอบโดย: Vicha 08 พ.ย. 47 - 13:01


ตอบคุณ seen เป็นข้อๆ ที่ถามนะครับ

   ถาม 1.เมื่อตายลง และจิตหล่นถึงนรกหรือขึ้นสวรรค์แล้ว การหลุดพ้นจากนรก หรือ สวรรค์มีได้อย่างไร  นอกจากเรื่องกรรมแล้วมีอะไรอีกบ้างหรือเปล่า
   ตอบ
         เมื่อตกนรกแล้วจะหลุดพ้นจากนรกได้อย่างไร  ที่ประมวลจาการอ่านและทำความเข้าใจ ดังนี้ กรรมนั้นต้องส่งผลจนหมดในนรกนั้น เมื่อกรรมที่รุนแรงนั้นหมดก็จะเกิดในภพอื่นตามกรรมที่เหลือต่อไป
        แต่มีกรณียืดหยุ่นอยู่อย่างหนึ่ง คือในกรณีที่สัตว์นรกนั้นสำนึกผิดและระลึกถึงความดีที่ตนได้กระทำ ความทุกข์ทรมานและความไม่รู้สาอะไร(คือไม่รับรู้อะไร มีแต่ทุกข์ และใจมืดทึบอยู่เท่านั้น)ก็จะเบาบาง เป็นสิ่งบงบอกว่ากรรมหนักของเขาบรรเทาลงแล้ว แต่ก็ยังอยู่ในนรกนั้นเละ
      เอาละในเมื่อยกกรณีที่ยืดหยุ่น ก็ยกเรื่องนี้ให้ไปโยนิโสนิมนสิการเอาเองก็คือ เรื่องของท่านสุนักขัตตะ(ความจริงเรื่องนี้ไม่ประสงค์จะเล่าต่อจากความเห็นเก่าเลย แต่เมื่อมีเหตุโดนถามและยังนึกเรื่องอื่นในตำรายังไม่ได้)  จากความเห็นเก่าท่านสุขักขัตตะนั้นเป็นสัตว์นรกหรือสัตว์อบายอย่างเต็มๆ และได้ปรากฏให้ผมเห็นในวันนั้น และผมได้อุทิศส่วนบุญ และเขียนลงในกระทู้แล้วก็มีบางท่านอุโมทนาสาธุ แล้วผมก็ไม่สนใจแล้วในเรื่องของท่านสุนักขัตตะ สนใจแต่ในเรื่องปัญหาที่ถามใหม่ๆ เสียมากกว่าและวันต่อมางานผมก็ยุ่งด้วย เครื่องสแกนบาร์โค้ดอ่านข้อมูลผิดพลาดบางรหัสสินค้า ก็ต้องหาสาเหตุว่าเป็นเพราะอะไร ต้องไปส่องดูชอร์ดโคดของโปรแกรมที่เขียนว่ามีตรงไหนที่ผิดพลาดเมื่อตรวจสอบแล้วไม่มีข้อผิดพลาด ต้องแก้อีกสาเหตุหนึ่งคือ ต้อง reindex ไฟล์ข้อมูลใหม่ซึ่งต้องรอพักเที่ยงเมื่อทุกคนเลิกใช้งานคอมพิวเตอร์ เที่ยงนั้นผมจึงอยู่ทำงานต่อ reindex เมื่อทำงานเสร็จก็ไปทานข้าวจนเสร็จ ก็ปาไปถึง 12.40 ณ. ตอนแรกก็กะจะงีบสัก 15 นาที ไม่ได้ไปสนใจเรื่องอื่นใดเลยเพราะตั้งใจจะงีบอย่างเดียว แต่จิตที่ยังตื่นอยู่กับความเครียด ก็ต้องวางใจโดยภาวนาตัดความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดเพื่อลงภวังค์ เมื่อความรู้สึกนึกคิดโดยตัด ความรู้สึกทางกายก็หมดไป ก็เห็นภาพคนหนึ่ง(ตอนนั้นจิตเข้าใจว่าเป็นคน) คลาน เข้ามาหา แล้วในใจก็ผุดขึ้น(แบบรู้ใจเขา)มาว่า “เราไม่น่าโง่เลย ๆ”  เขายืนแบบคลานอยู่ แล้วยกขาขวาเหมือนหมายกขาขึ้น เมื่อยกขา ขานั้นจะมีขนขึ้นเหมือนขาหมา แถมยังเห็นหางที่โดนบังอยู่ด้วย ตอนคลานมาครั้งแรกนึกว่าคนแต่เมื่อจิตเห็นดังนั้นก็รู้ว่าเป็นคนเหมือนหมา หรือหมาเหมือนคน หลังจากนั้นจิตก็ตัดกระแสดับไปแวบดัดภาพไป กลายเป็นรู้แบบกำลังจะหลับ ก็หลับไปรู้สึกตัวตื่นก็บ่ายโมงตรง
     ก็นึกรู้เลยว่า สุนักขัตตะที่เป็นสัตว์นรกที่เป็นแบบหมาจริงๆ กลายเป็นแบบกึ่งหมากึ่งคนที่พอรับรู้อะไรได้บ้างแล้ว

     เมื่อขึ้นสวรรค์แล้วจะหลุดพ้นจากสวรรค์ได้อย่างไร จัดตามที่พอจำได้อย่างนี้
1.หมดบุญ(กรรม) หมดอายุ
2.ไม่ได้บริโภคอาหารทิพย์ ติดต่อกันหลายวัน
3.ด้วยความโกรธเครียดแค้นที่มากมาย
4.อธิฐานลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เฉพาะเทพหรือพรหม(ไม่ใช่เทพกึ่งสัตว์)ที่มีบารมีมาก

ถาม  2.ผู้ต่างภพ  สามารถมีอารมณ์อื่นๆได้หรือไม่ มีได้หลากหลายอารมณ์หรือเปล่า
ตอบ
       มีได้หลายอารมณ์ ทั้งรัก โลภ โกรธ  หลง

ถาม   3.มโนสัมผัส สามารถถึงนิพพานได้หรือไม่
ตอบ  เป็นคำถามที่ไม่ชัดเจน เพราะไม่ทราบว่าหมายถึง มโนสัมผัส ในสถานะที่เป็นมนุษย์ หรือเทพ หรือ พรหม หรือ อรูปพรหม  ถ้าหมายถึง สถานะมนุษย์ หรือ เทพเทวดา หรือ พรหม หรือ อรูปพรหม นั้นสามารถบรรลุนิพพานได้

ถาม   4.มีพระสูตรใดบ้างกล่าวถึงสัตว์เข้าถึงนิพพานได้
ตอบ ถ้าหมายถึง สัตว์เดรัชฉาน เทพกึ่งสัตว์ เปรต อสุรกาย สัตว์นรก ไม่สามารถบรรลุนิพพานได้ และไม่เคยเจอในพระสูตรไหนที่กล่าวไว้ว่า สามารถบรรลุนิพพานได้

ถาม  5.มีพระสูตรใดบ้างกล่าวถึงนรก สวรรค์ ของสัตว์
ตอบ จากคำถามถ้าคำว่า สัตว์ นั้นหมายถึงสัพสัตว์ หรือสัตว์ตั้งหลาย ตั้งแต่สัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัชฉาน มนุษย์ เทดวดา พรหม นั้น ในพระสูตรนั้นมีเยอะที่กล่าวถึง
   เอาละผมจะยก เรื่องกำเนิด 4 และคติ 5 ก็แล้วกันซึ่งเป็นเพียงส่วนนิดเดียวเท่านั้นเอง
                      กำเนิด ๔
          [๑๖๙] ดูกรสารีบุตร กำเนิด ๔ ประการเหล่านี้แล ๔ ประการเป็นไฉน? คือ อัณฑชะ
กำเนิด ชลาพุชะกำเนิด สังเสทชะกำเนิด โอปปาติกะกำเนิด ดูกรสารีบุตร ก็อัณฑชะกำเนิด
เป็นไฉน? สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ชำแรกเปลือกแห่งฟองเกิด นี้เราเรียกว่า อัณฑชะกำเนิด
ดูกรสารีบุตร ชลาพุชะกำเนิดเป็นไฉน? สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นใด ชำแรกไส้ [มดลูก] เกิด
นี้เราเรียกว่า ชลาพุชะกำเนิด ดูกรสารีบุตร สังเสทชะกำเนิดเป็นไฉน? สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นใด
ย่อมเกิดในปลาเน่า ในซากศพเน่า ในขนมบูด หรือในน้ำครำ ในเถ้าไคล [ของสกปรก]
นี้เราเรียกว่า สังเสทชะกำเนิด ดูกรสารีบุตร โอปปาติกะกำเนิดเป็นไฉน? เทวดา สัตว์นรก
มนุษย์บางจำพวก และเปรตบางจำพวก นี้เราเรียกว่า โอปปาติกะกำเนิด ดูกรสารีบุตร
กำเนิด ๔ ประการเหล่านี้แล ดูกรสารีบุตร ผู้ใดแล พึงว่าซึ่งเราผู้รู้อยู่อย่างนี้ ผู้เห็นอยู่อย่างนี้ว่า
ธรรมอันยิ่งของมนุษย์ ที่เป็นญาณทัสสนะอันวิเศษพอแก่ความเป็นอริยะ ของพระสมณโคดมไม่มี
พระสมณโคดมทรงแสดงธรรมที่ประมวลมาด้วยความตรึก ที่ไตร่ตรองด้วยการค้นคิด แจ่มแจ้ง
ได้เอง ดูกรสารีบุตร ผู้นั้นไม่ละวาจานั้นเสีย ไม่ละความคิดนั้นเสีย ไม่สละคืนทิฏฐินั้นเสีย
ก็เที่ยงแท้ ที่จะตกนรกดังถูกนำมาฝังไว้ ดูกรสารีบุตร เปรียบเหมือนภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยศีล
ถึงพร้อมด้วยสมาธิ ถึงพร้อมด้วยปัญญา พึงกระหยิ่มอรหัตผล ในปัจจุบันทีเดียว ฉันใด
ดูกรสารีบุตร เรากล่าวข้ออุปไมยนี้ ก็ฉันนั้น ผู้นั้นไม่ละวาจานั้นเสีย ไม่ละความคิดนั้นเสีย
ไม่สละคืนทิฏฐินั้นเสีย ก็เที่ยงแท้ที่จะตกนรกดังถูกนำมาฝังไว้.
                        คติ ๕
          [๑๗๐] ดูกรสารีบุตร คติ ๕ ประการเหล่านี้แล ๕ ประการเป็นไฉน? คือ นรก กำเนิด
ดิรัจฉาน เปรตวิสัย มนุษย์ เทวดา ดูกรสารีบุตร เราย่อมรู้ชัดซึ่งนรก ทางยังสัตว์ให้ถึงนรก
และปฏิปทาอันจะยังสัตว์ให้ถึงนรก อนึ่ง สัตว์ผู้ดำเนินประการใด เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เราย่อมรู้ชัดซึ่งประการนั้นด้วย ดูกรสารีบุตร เราย่อม
รู้ชัดซึ่งกำเนิดดิรัจฉาน ทางยังสัตว์ให้ถึงกำเนิดดิรัจฉาน ปฏิปทาอันจะยังสัตว์ให้ถึงกำเนิดดิรัจฉาน
อนึ่ง สัตว์ผู้ดำเนินประการใด เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงกำเนิดดิรัจฉาน เราย่อม
รู้ชัดซึ่งประการนั้นด้วย ดูกรสารีบุตร เราย่อมรู้ชัดซึ่งเปรตวิสัย ทางไปสู่เปรตวิสัย และปฏิปทา
อันจะยังสัตว์ให้ถึงเปรตวิสัย อนึ่ง สัตว์ผู้ดำเนินประการใด เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
ย่อมเข้าถึงเปรตวิสัย เราย่อมรู้ชัดซึ่งประการนั้นด้วย ดูกรสารีบุตร เราย่อมรู้ชัดซึ่งเหล่ามนุษย์
ทางอันยังสัตว์ให้ถึงมนุษยโลก และปฏิปทาอันจะยังสัตว์ให้ถึงมนุษยโลก อนึ่ง สัตว์ผู้ปฏิบัติ
ประการใด เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมบังเกิดในหมู่มนุษย์ เราย่อมรู้ชัดซึ่งประการนั้น
ด้วย ดูกรสารีบุตร เราย่อมรู้ชัดซึ่งเทวดาทั้งหลาย ทางอันยังสัตว์ให้ถึงเทวโลก และปฏิปทา
อันจะยังสัตว์ให้ถึงเทวโลก อนึ่ง สัตว์ผู้ปฏิบัติประการใด เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เราย่อมรู้ชัดซึ่งประการนั้นด้วย ดูกรสารีบุตร เราย่อมรู้ชัดซึ่งพระ
นิพพาน ทางอันยังสัตว์ให้ถึงพระนิพพาน และปฏิปทาอันจะยังสัตว์ให้ถึงพระนิพพาน อนึ่ง
สัตว์ผู้ปฏิบัติประการใด ย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะ
อาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ เราย่อมรู้ชัดซึ่งประการนั้นด้วย.

****ส่วนที่เหลือถ้ามีเวลาอ่านก็อ่านต่อได้เลยครับ หรือยุติเพียงแค่นี้ก็คงได้ใจความแล้ว****

                        อุปมาการเห็นคติของบุคคล
          [๑๗๑] ดูกรสารีบุตร เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคน ในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า
บุคคลนี้ปฏิบัติอย่างนั้น ดำเนินอย่างนั้น และขึ้นสู่หนทางนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
จักเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก โดยสมัยต่อมา เราย่อมเห็นบุคคลนั้น เบื้องหน้าแต่ตาย
เพราะกายแตก เข้าถึงแล้วซึ่งอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เสวยทุกขเวทนาอันแรงกล้า เผ็ดร้อน
โดยส่วนเดียว ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ดูกรสารีบุตร เปรียบเหมือน
หลุมถ่านเพลิง ลึกยิ่งกว่าชั่วบุรุษ เต็มไปด้วยถ่านเพลิง ปราศจากเปลว ปราศจากควัน ลำดับนั้น
บุรุษผู้มีตัวอันความร้อนแผดเผา ครอบงำ เหน็ดเหนื่อย สะทกสะท้าน หิวกระหาย มุ่งมาสู่
หลุมถ่านเพลิงนั้นแหละ โดยมรรคาสายเดียว บุรุษผู้มีจักษุเห็นเขาแล้ว  พึงกล่าวอย่างนี้ว่า
บุรุษผู้เจริญนี้ ปฏิบัติอย่างนั้น ดำเนินอย่างนั้น ขึ้นสู่หนทางนั้น จักมาถึงหลุมถ่านเพลิงนี้
ทีเดียว โดยสมัยต่อมา บุรุษผู้มีจักษุนั้น พึงเห็นเขาตกลงในหลุมถ่านเพลิงนั้น เสวยทุกขเวทนา
อันแรงกล้า เผ็ดร้อนโดยส่วนเดียว แม้ฉันใด  ดูกรสารีบุตร เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคน
ในโลกนี้ ด้วยใจ ฉันนั้น เหมือนกันแลว่า บุคคลนี้ปฏิบัติอย่างนั้น ดำเนินอย่างนั้น และขึ้น
สู่หนทางนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก โดยสมัย
ต่อมา เราได้เห็นบุคคลนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เข้าถึงแล้วซึ่ง อบายทุคติ วินิบาต
นรก เสวยทุกขเวทนาอันแรงกล้า เผ็ดร้อนโดยส่วนเดียว ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุ
ของมนุษย์.
          [๑๗๒] ดูกรสารีบุตร เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ ด้วยใจว่า บุคคลนี้
ปฏิบัติอย่างนั้น ดำเนินอย่างนั้น และขึ้นสู่หนทางนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึง
กำเนิดดิรัจฉาน โดยสมัยต่อมา เราเห็นบุคคลนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เข้าถึงแล้ว
ซึ่งกำเนิดดิรัจฉาน เสวยทุกขเวทนาอันแรงกล้า เผ็ดร้อน ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุ
ของมนุษย์ ดูกรสารีบุตร เปรียบเหมือนหลุมคูถ ลึกยิ่งกว่าชั่วบุรุษ เต็มไปด้วยคูถ ลำดับนั้น
บุรุษผู้มีตัวอันความร้อนแผดเผา ครอบงำ เหน็จเหนื่อย สะทกสะท้าน หิวระหาย มุ่งมาสู่
หลุมคูถนั้นแหละ โดยมรรคาสายเดียว บุรุษผู้มีจักษุเห็นเขาแล้ว พึงกล่าวอย่างนี้ว่า บุรุษผู้เจริญนี้
ปฏิบัติอย่างนั้น ดำเนินอย่างนั้น และขึ้นสู่หนทางนั้น จักมาถึงหลุมคูถนี้ทีเดียว โดยสมัยต่อมา
บุรุษผู้มีจักษุนั้น พึงเห็นเขาตกลงในหลุมคูถนั้น เสวยทุกขเวทนาอันแรงกล้า เผ็ดร้อน แม้ฉันใด
ดูกรสารีบุตร เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจ ฉันนั้น เหมือนกันแลว่า บุคคลนี้
ปฏิบัติอย่างนั้น ดำเนินอย่างนั้น และขึ้นสู่หนทางนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้า
ถึงกำเนิดดิรัจฉาน โดยสมัยต่อมา เราย่อมเห็นบุคคลนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
เข้าถึงแล้วซึ่งกำเนิดดิรัจฉาน เสวยทุกขเวทนาอันแรงกล้า เผ็ดร้อน ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์
ล่วงจักษุของมนุษย์.
          [๑๗๓] ดูกรสารีบุตร เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า บุคคลนี้
ปฏิบัติอย่างนี้ ดำเนินอย่างนั้น และขึ้นสู่หนทางนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึง
เปรตวิสัย โดยสมัยต่อมา เราย่อมเห็นบุคคลนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เข้าถึงแล้ว
ซึ่งเปรตวิสัย เสวยทุกขเวทนาเป็นอันมาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์
ดูกรสารีบุตร เปรียบเหมือนต้นไม้เกิดในพื้นที่อันไม่เสมอ มีใบอ่อนและใบแก่อันเบาบาง มีเงา
อันโปร่ง ลำดับนั้น บุรุษผู้มีตัวอันความร้อนแผดเผา ครอบงำ เหน็ดเหนื่อย สะทกสะท้าน
หิวระหาย มุ่งมาสู่ต้นไม้นั้นแหละ โดยมรรคาสายเดียว บุรุษผู้มีจักษุเห็นเขาแล้ว พึงกล่าว
อย่างนี้ว่า บุรุษผู้เจริญนี้ปฏิบัติอย่างนั้น ดำเนินอย่างนั้น และขึ้นสู่หนทางนั้น จักมาถึงต้นไม้นี้
ทีเดียว โดยสมัยต่อมา บุรุษผู้มีจักษุนั้น พึงเห็นเขานั่งหรือนอนในเงาต้นไม้นั้น เสวยทุกขเวทนา
เป็นอันมาก แม้ฉันใด ดูกรสารีบุตร เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจ ฉันนั้น
เหมือนกันแลว่า บุคคลนี้ปฏิบัติอย่างนั้น ดำเนินอย่างนั้น และขึ้นสู่หนทางนั้น เบื้องหน้า
แต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงเปรตวิสัย โดยสมัยต่อมา เราย่อมเห็นบุคคลนั้น เบื้องหน้า
แต่ตายเพราะกายแตก เข้าถึงแล้วซึ่งเปรตวิสัย เสวยทุกขเวทนาเป็นอันมาก ด้วยทิพยจักษุ
อันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์.
          [๑๗๔] ดูกรสารีบุตร เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ ด้วยใจอย่างนี้ว่า บุคคลนี้
ปฏิบัติอย่างนั้น ดำเนินอย่างนั้น และขึ้นสู่หนทางนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักบังเกิด
ในหมู่มนุษย์ โดยสมัยต่อมา เราย่อมเห็นบุคคลนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก บังเกิดแล้ว
ในหมู่มนุษย์ เสวยสุขเวทนาเป็นอันมาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์
ดูกรสารีบุตร เปรียบเหมือนต้นไม้เกิดในพื้นที่อันเสมอ มีใบอ่อนและใบแก่อันหนา มีเงา
หนาทึบ ลำดับนั้น บุรุษผู้มีตัวอันความร้อนแผดเผา ครอบงำ เหน็ดเหนื่อย สะทกสะท้าน
หิวระหาย มุ่งมาสู่ต้นไม้นั้นแหละ โดยมรรคาสายเดียว บุรุษผู้มีจักษุเห็นเขาแล้ว พึงกล่าว
อย่างนี้ว่า บุรุษนี้ปฏิบัติอย่างนั้น ดำเนินอย่างนั้น และขึ้นสู่หนทางนี้ จักมาถึงต้นไม้นี้ทีเดียว
โดยสมัยต่อมา บุรุษผู้มีจักษุนั้น พึงเห็นเขานั่ง หรือนอนในเงาต้นไม้นั้น เสวยสุขเวทนาเป็น
อันมาก แม้ฉันใด ดูกรสารีบุตร เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจ ฉันนั้น
เหมือนกันแล อย่างนี้ว่า บุคคลนี้ปฏิบัติอย่างนั้น ดำเนินอย่างนั้น และขึ้นสู่หนทางนั้น เบื้องหน้า
แต่ตายเพราะกายแตก จักบังเกิดในหมู่มนุษย์ โดยสมัยต่อมา เราย่อมเห็นบุคคลนั้น เบื้องหน้า
แต่ตายเพราะกายแตก บังเกิดแล้วในหมู่มนุษย์ เสวยสุขเวทนาเป็นอันมาก ด้วยทิพยจักษุ
อันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์.
          [๑๗๕] ดูกรสารีบุตร เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจ อย่างนี้ว่า
บุคคลนี้ปฏิบัติอย่างนั้น ดำเนินอย่างนั้น และขึ้นสู่หนทางนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ โดยสมัยต่อมา เราย่อมเห็นบุคคลนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
เข้าถึงแล้วซึ่งสุคติโลกสวรรค์ เสวยสุขเวทนาโดยส่วนเดียว ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุ
ของมนุษย์ ดูกรสารีบุตร เปรียบเหมือนปราสาท ในปราสาทนั้นมีเรือนยอด ซึ่งฉาบทาแล้ว
ทั้งภายในและภายนอก หาช่องลมมิได้ มีวงกรอบอันสนิท มีบานประตูและหน้าต่างอันปิดสนิทดี
ในเรือนยอดนั้น มีบัลลังก์อันลาดด้วยผ้าโกเชาว์ขนยาว ลาดด้วยเครื่องลาดทำด้วยขนแกะสีขาว
ลาดด้วยขนเจียมเป็นแผ่นทึบ มีเครื่องลาดอย่างดีทำด้วยหนังชะมด มีเพดานกั้นในเบื้องบน
มีหมอนแดงวาง ณ ข้างทั้งสอง ลำดับนั้น บุรุษผู้มีตัวอันความร้อนแผดเผา ครอบงำ เหน็ดเหนื่อย
สะทกสะท้าน หิวระหาย มุ่งมาสู่ปราสาทนั้นแหละ โดยมรรคาสายเดียว บุรุษผู้มีจักษุเห็นเข้า
แล้ว พึงกล่าวอย่างนี้ว่า บุรุษผู้เจริญนี้ปฏิบัติอย่างนั้น ดำเนินอย่างนั้น และขึ้นสู่หนทางนั้น
จักมาถึงปราสาทนี้ทีเดียว โดยสมัยต่อมา บุรุษผู้มีจักษุนั้น พึงเห็นเขานั่ง หรือนอนบนบัลลังก์
ในเรือนยอด ณ ปราสาทนั้น เสวยสุขเวทนาโดยส่วนเดียว แม้ฉันใด ดูกรสารีบุตร เราย่อม
กำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจ ฉันนั้นเหมือนกันแล อย่างนี้ว่า บุคคลนี้ปฏิบัติอย่างนั้น
ดำเนินอย่างนั้น และขึ้นสู่หนทางนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
โดยสมัยต่อมา เราย่อมเห็นบุคคลนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เข้าถึงแล้วซึ่งสุคติ
โลกสวรรค์ เสวยสุขเวทนาโดยส่วนเดียว ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์.
          [๑๗๖] ดูกรสารีบุตร เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า บุคคลนี้
ปฏิบัติอย่างนั้น ดำเนินอย่างนั้น และขึ้นสู่หนทางนั้น จะกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ
อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน เข้าถึง
อยู่ โดยสมัยต่อมา เราย่อมเห็นบุคคลนั้นกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหา
อาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ เสวยสุข
เวทนาโดยส่วนเดียว ดูกรสารีบุตร เปรียบเหมือนสระโบกขรณี มีน้ำอันใส สะอาดเย็น
ใสตลอด มีท่าอันดี น่ารื่นรมย์ และในที่ไม่ไกลสระโบกขรณีนั้น มีแนวป่าอันทึบ ลำดับนั้น
บุรุษผู้มีตัวอันความร้อนแผดเผา ครอบงำ เหน็ดเหนื่อย สะทกสะท้าน หิวระหาย มุ่งมาสู่
สระโบกขรณีนั้นแหละ โดยมรรคาสายเดียว บุรุษผู้มีจักษุเห็นเขาแล้ว พึงกล่าวอย่างนี้ว่า
บุรุษผู้เจริญนี้ปฏิบัติอย่างนั้น ดำเนินอย่างนั้น และขึ้นสู่หนทางนั้น จักมาถึงสระโบกขรณีนี้
ทีเดียว โดยสมัยต่อมา บุรุษผู้มีจักษุนั้น พึงเห็นเขาลงสู่สระโบกขรณีนั้น อาบและดื่ม ระงับ
ความกระวนกระวายความเหน็ดเหนื่อยและความร้อนหมดแล้ว ขึ้นไปนั่งหรือนอนในแนวป่านั้น
เสวยสุขเวทนาโดยส่วนเดียว แม้ฉันใด ดูกรสารีบุตร เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้
ด้วยใจ ฉันนั้นเหมือนกันแล อย่างนี้ว่า บุคคลนี้ปฏิบัติอย่างนั้น ดำเนินอย่างนั้น และขึ้นสู่
หนทางนั้น จักกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลาย
สิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ โดยสมัยต่อมา เราย่อมเห็นบุรุษนั้น กระทำ
ให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญา
อันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ เสวยสุขเวทนาโดยส่วนเดียว ดูกรสารีบุตร คติ ๕ ประการ
เหล่านี้แล ดูกรสารีบุตร ผู้ใดแลพึงว่าซึ่งเราผู้รู้อย่างนี้ ผู้เห็นอยู่อย่างนี้ว่า ธรรมอันยิ่งของมนุษย์
ที่เป็นญาณทัสสนะอันวิเศษพอแก่ความเป็นอริยะของพระสมณโคดมไม่มี พระสมณโคดมทรง
แสดงธรรมที่ประมวลมาด้วยความตรึก ที่ไตร่ตรองด้วยการค้นคิด แจ่มแจ้งได้เอง ดูกรสารีบุตร
ผู้นั้นไม่ละวาจานั้นเสีย ไม่ละความคิดนั้นเสีย ไม่สละคืนทิฏฐินั้นเสีย ก็เที่ยงที่จะตกนรก
ดังนำมาฝังไว้ ดูกรสารีบุตร เปรียบเหมือนภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ถึงพร้อมด้วยสมาธิ
ถึงพร้อมด้วยปัญญา พึงกระหยิ่มอรหัตผลในปัจจุบันทีเดียว แม้ฉันใด เรากล่าวข้ออุปไมยนี้
ก็ฉันนั้น ผู้นั้นไม่ละวาจานั้นเสีย ไม่ละความคิดนั้นเสีย ไม่สละคืนทิฏฐินั้นเสีย ก็เที่ยงที่จะ
ตกนรกดังถูกนำมาฝังไว้.
                      พรหมจรรย์ประกอบด้วยองค์ ๔
          [๑๗๗] ดูกรสารีบุตร อนึ่ง เราย่อมเข้าใจประพฤติพรหมจรรย์ประกอบด้วยองค์ ๔ คือ
เราเป็นผู้บำเพ็ญตบะและเป็นเยี่ยมกว่าผู้บำเพ็ญตบะทั้งหลาย เราประพฤติเศร้าหมองและเป็น
เยี่ยมกว่าผู้ประพฤติเศร้าหมองทั้งหลาย เราเป็นผู้เกลียดบาปและเป็นเยี่ยมกว่าผู้เกลียดบาปทั้งหลาย
เราเป็นผู้สงัดและเป็นเยี่ยมกว่าผู้สงัดทั้งหลาย.
          [๑๗๘] ดูกรสารีบุตร บรรดาพรหมจรรย์มีองค์ ๔ นั้น วัตรต่อไปนี้ เป็นพรหมจรรย์
ของเรา โดยความที่เราเป็นผู้บำเพ็ญตบะ คือ เราเคยเป็นอเจลกคนเปลือย ไร้มรรยาท เลียมือ
เขาเชิญให้มารับภิกษาก็ไม่มา เขาเชิญให้หยุดก็ไม่หยุด ไม่ยินดีภิกษาที่เขานำมาให้ ไม่ยินดีภิกษา
ที่เขาทำเฉพาะ ไม่ยินดีภิกษาที่เขานิมนต์ เรานั้นไม่รับภิกษาปากหม้อ ไม่รับภิกษาจากหม้อข้าว
ไม่รับภิกษาที่บุคคลยืนคร่อมธรณีประตูให้ ไม่รับภิกษาที่บุคคลยืนคร่อมท่อนไม้ให้ ไม่รับภิกษา
ที่บุคคลยืนคร่อมสากให้ ไม่รับภิกษาของคนสองคนผู้กำลังบริโภคอยู่ ไม่รับภิกษาของหญิง
มีครรภ์ ไม่รับภิกษาของหญิงผู้กำลังให้ลูกดูดนม ไม่รับภิกษาของหญิงผู้คลอเคลียบุรุษ ไม่รับภิกษา
ที่นัดแนะกันทำไว้ ไม่รับภิกษาในที่ซึ่งสุนัขได้รับเลี้ยงดู ไม่รับภิกษาในที่มีแมลงวันไต่ตอม
เป็นกลุ่มๆ ไม่กินปลา ไม่กินเนื้อ ไม่ดื่มสุรา ไม่ดื่มเมรัย ไม่ดื่มยาดอง เรานั้นรับภิกษาที่
เรือนหลังเดียว เยียวยาอัตภาพด้วยข้าวคำเดียวบ้าง รับภิกษาที่เรือนสองหลัง เยียวยาอัตภาพ
ด้วยข้าว ๒ คำบ้าง ฯลฯ รับภิกษาที่เรือน ๗ หลัง เยียวยาอัตภาพด้วยข้าว ๗ คำบ้าง เรานั้น
เยียวยาอัตภาพด้วยภิกษาในถาดน้อยใบเดียวบ้าง ๒ ใบบ้าง ฯลฯ ๗ ใบบ้าง กินอาหารที่เก็บค้างไว้
วันหนึ่งบ้าง ๒ วันบ้าง ฯลฯ ๗ วันบ้าง เป็นผู้ประกอบด้วยความขวนขวายในการบริโภคภัตตาหาร
ที่เวียนมาตั้งกึ่งเดือนเช่นนี้บ้าง เรานั้นเป็นผู้มีผักดองเป็นภักษาบ้าง มีข้าวฟ่างเป็นภักษาบ้าง
มีลูกเดือยเป็นภักษาบ้าง มีกากข้าวเป็นภักษาบ้าง มียางเป็นภักษาบ้าง มีสาหร่ายเป็นภักษาบ้าง
มีรำเป็นภักษาบ้าง มีข้าวตังเป็นภักษาบ้าง มีกำยานเป็นภักษาบ้าง มีหญ้าเป็นภักษาบ้าง มีโคมัย
เป็นภักษาบ้าง มีเหง้าและผลไม้ในป่าเป็นอาหาร บริโภคผลไม้หล่นเยียวยาอัตภาพ เรานั้นทรงผ้า
ป่านบ้าง ผ้าแกมกันบ้าง ผ้าห่อศพบ้าง ผ้าบังสุกุลบ้าง ผ้าเปลือกไม้บ้าง หนังเสือบ้าง หนังเสือ
ทั้งเล็บบ้าง ผ้าคากรองบ้าง ผ้าเปลือกไม้กรองบ้าง ผ้าผลไม้กรองบ้าง ผ้ากัมพลทำด้วยผมมนุษย์บ้าง
ผ้ากัมพลทำด้วยขนสัตว์บ้าง ผ้าทำด้วยขนปีกนกเค้าบ้าง เป็นผู้ถอนผมและหนวด คือ ประกอบ
ความขวนขวายในการถอนผมและหนวดบ้าง เป็นผู้ถือยืน คือ ห้ามอาสนะบ้าง เป็นผู้กระโหย่ง
คือ ประกอบความเพียรในการกระโหย่ง [เดินกระโหย่งเหยียบพื้นไม่เต็มเท้า] บ้าง เป็นผู้นอน
บนหนาม คือ สำเร็จการนอนบนหนามบ้าง เป็นผู้ประกอบความขวนขวายในการลงน้ำวันละ
สามครั้งบ้าง เป็นผู้ประกอบการขวนขวายในการย่างและบ่มกาย มีประการมิใช่น้อยเห็นปานนี้
ด้วยประการฉะนี้อยู่ ดูกรสารีบุตร นี้แหละเป็นพรหมจรรย์ของเรา โดยความที่เราเป็นผู้บำเพ็ญตบะ.
          [๑๗๙] ดูกรสารีบุตร บรรดาพรหมจรรย์มีองค์ ๔ นั้น พรหมจรรย์นี้เป็นวัตรในความ
ประพฤติเศร้าหมองของเรา มลทิน คือละอองธุลีสั่งสมในกายของเรานับด้วยปีมิใช่น้อย จนเป็น
สะเก็ด เปรียบเหมือนตอตะโก มีละอองธุลี สั่งสมนับด้วยปีมิใช่น้อย จนเกิดเป็นสะเก็ด
ฉันใด มลทิน คือละอองธุลีสั่งสมในกายของเรานับด้วยปีมิใช่น้อย จนเกิดเป็นสะเก็ด ฉันนั้น
เหมือนกัน ดูกรสารีบุตรเรา ไม่ได้คิดที่จะลูบคลำปัดละอองธุลีนี้ด้วยฝ่ามือ หรือไม่ได้คิดว่า คน
เหล่าอื่นจะพึงลูบคลำปัดละอองธุลีนี้ด้วยฝ่ามือ ดูกรสารีบุตร ความคิดแม้อย่างนี้ ไม่ได้มีแก่เรา
เลย ดูกรสารีบุตร นี้แหละ เป็นวัตรในความประพฤติเศร้าหมองของเรา.
          [๑๘๐] ดูกรสารีบุตร บรรดาพรหมจรรย์มีองค์ ๔ เหล่านั้น พรหมจรรย์นี้ เป็นวัตรใน
ความประพฤติเกลียดบาปของเขา เรานั้นมีสติก้าวไปข้างหน้า มีสติถอยกลับ ความเอ็นดูของเรา
ปรากฏเฉพาะ จนกระทั่งในหยดน้ำว่า เราอย่าได้ล้างผลาญสัตว์เล็กๆ ที่อยู่ในที่อันไม่สม่ำเสมอ
เลย ดูกรสารีบุตร นี้แหละเป็นวัตรในความประพฤติเกลียดบาปของเรา.
          [๑๘๑] ดูกรสารีบุตร บรรดาพรหมจรรย์มีองค์ ๔ เหล่านั้น พรหมจรรย์นี้ เป็นวัตรใน
ความสงัดของเรา เรานั้นเข้าอาศัยชายป่าแห่งใดแห่งหนึ่งอยู่ ในกาลใดเราได้พบคนเลี้ยงโค หรือ
คนเลี้ยงปศุสัตว์ หรือคนหาบหญ้า หรือคนหาฟืน หรือคนเที่ยวหาผลไม้เป็นต้นในป่า ในกาล
นั้น เราก็เดินหนีจากป่าไปสู่ป่า จากชัฏไปสู่ชัฏ จากที่ลุ่มไปสู่ที่ลุ่ม จากที่ดอนไปสู่ที่ดอน ข้อ
นั้นเพราะเหตุอะไร? เพราะเราคิดว่า คนเหล่านั้น อย่าได้เห็นเราเลย และเราก็อย่าได้เห็นคน
เหล่านั้นเลย ดูกรสารีบุตร เปรียบเหมือน เนื้อที่เกิดในป่า เห็นมนุษย์ทั้งหลายแล้วก็วิ่งหนีจาก
ป่าไปสู่ป่า จากชัฏไปสู่ชัฏ จากที่ลุ่มไปสู่ที่ลุ่ม จากที่ดอนไปสู่ที่ดอน แม้ฉันใด ดูกรสารีบุตร
เราก็ฉันนั้นเหมือนกัน ในกาลใด เราได้พบคนเลี้ยงโค หรือคนเลี้ยงปศุสัตว์ หรือคนหาบหญ้า
หรือคนหาฟืน หรือคนเที่ยวหาผลไม้เป็นต้นในป่าในกาลนั้น เราก็เดินหนีจากป่าไปสู่ป่า จากชัฏ
ไปสู่ชัฏ จากที่ลุ่มไปสู่ที่ลุ่ม จากที่ดอนไปสู่ที่ดอน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร? เพราะเราคิดว่า
คนเหล่านั้นอย่าได้เห็นเราเลย และเราก็อย่าได้เห็นคนเหล่านั้นเลย ดูกรสารีบุตร นี้แหละเป็นวัตร
ในความประพฤติสงัดของเรา.
                          ปฏิปทามิใช่ทางตรัสรู้
          [๑๘๒] ดูกรสารีบุตร เรานั้นแลเคยคลานเข้าไปในคอกที่เหล่าโคออกไปแล้ว และ
ปราศจากคนเลี้ยงโค กินโคมัยของลูกโคอ่อนที่ยังไม่ทิ้งแม่ มูตรและกรีสของเรายังไม่หมดสิ้นไป
เพียงไร เราก็กินบุตรและกรีสของตนเองเป็นอาหาร ดูกรสารีบุตร นี้แหละเป็นวัตรในโภชนะ
มหาวิกัฏของเรา.
          [๑๘๓] ดูกรสารีบุตร เรานั้นแล เข้าอาศัยแนวป่าอันน่ากลัวแห่งใดแห่งหนึ่งอยู่ นี้
เป็นความน่ากลัวแห่งแนวป่านั้น บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งยังไม่ปราศจากราคะ เข้าไปสู่ป่านั้น โดยมาก
ขนพอง ดูกรสารีบุตร เรานั้นแล ในราตรีที่หนาว ฤดูเหมันต์ ตั้งอยู่ระหว่างเดือน ๓ ต่อเดือน
๔ เป็นสมัยมีหิมะตก ในราตรีเห็นปานนั้น [เรา] อยู่ในที่แจ้งตลอดคืน กลางวันเราอยู่ในแนว
ป่า ในเดือนท้ายฤดูร้อน กลางวันเราอยู่ในที่แจ้ง กลางคืนเราอยู่ในแนวป่า ดูกรสารีบุตร
เป็นความจริง คาถาอันน่าอัศจรรย์ยิ่งนักนี้ ที่เราไม่ได้ยินมาก่อน ปรากฏแก่เราว่า
                    นักปราชญ์ผู้เสาะแสวงหาความหมดจด
            อาบแดด อาบน้ำค้าง เป็นคนเปลือย ทั้งมิได้
                    ผิงไฟ อยู่คนเดียวในป่าอันน่ากลัว ดังนี้
          [๑๘๔] ดูกรสารีบุตร เราย่อมสำเร็จการนอนแอบอิงกระดูกศพในป่าช้า พวกเด็กเลี้ยง
โคเข้ามาใกล้เราแล้ว ถ่มน้ำลายรดบ้าง ถ่ายปัสสาวะรดแล้ว โปรยฝุ่นรดบ้าง เอาไม้ยอนที่ช่อง
หูบ้าง เราไม่รู้สึกว่า ยังจิตอันลามกให้เกิดขึ้นในพวกเด็กเหล่านั้นเลย ดูกรสารีบุตร นี้แหละเป็น
วัตรในการอยู่ด้วยอุเบกขาของเรา.
          [๑๘๕] ดูกรสารีบุตร มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า ความ
หมดจดย่อมมีด้วยอาหาร พวกเขากล่าวอย่างนี้ว่า พวกเราย่อมเยียวยาอัตภาพด้วยอาหารขนาดเท่า
ผลพุทรา พวกเขาย่อมเคี้ยวกิน [อาหารเท่า] ผลพุทราบ้าง ผลพุทราป่นบ้าง ดื่มบ้าง [เท่าผล]
พุทราบ้าง บริโภค [อาหารเท่า] ผลพุทราที่ทำเป็นชนิดต่างๆ บ้าง ดูกรสารีบุตร เรารู้สึกว่า
กิน [อาหารเท่า] ผลพุทราผลเดียวเท่านั้น ดูกรสารีบุตร เธอจะพึงมีความสำคัญว่า พุทราใน
สมัยนั้น ชะรอยจะผลใหญ่เป็นแน่ ข้อนี้ เธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น แม้ในกาลนั้นผลพุทราที่เป็น
ขนาดใหญ่นั่นเทียวก็เหมือนในบัดนี้ ดูกรสารีบุตร เมื่อเรากิน [อาหารเท่า] ผลพุทราผลเดียว
เท่านั้น ร่างกายก็ถึงความซูบผอมยิ่งนัก อวัยวะน้อยใหญ่ของเราเปรียบเหมือนเถาวัลย์ที่มีข้อมาก
และข้อดำ เพราะความที่เรามีอาหารน้อยนั่นเอง ตะโพกของเราเปรียบเหมือนรอยเท้าอูฐ เพราะ
ความที่เรามีอาหารนั่นเอง กระดูกสันหลังของเรานูนขึ้นเป็นปุ่มๆ เหมือนเถาสะบ้า เพราะความ
ที่เรามีอาหารน้อยนั่นเอง กระดูกซี่โครงของเราเหลื่อมขึ้น เหลื่อมลงเห็นปรากฏ เหมือนกลอน
แห่งศาลาเก่าเหลื่อมกันฉะนั้น เพราะความที่เรามีอาหารน้อยนั่นเอง ดวงตาของเราลึกเข้าไปใน
เบ้าตา เหมือนเงาดวงดาวปรากฏในบ่อน้ำอันลึกฉะนั้น เพราะความที่เรามีอาหารน้อยนั่นเอง
หนังศีรษะของเรา อันลมถูกต้องแล้วก็เหี่ยวแห้งเปรียบเหมือนน้ำเต้าขมที่ถูกตัดขั้ว แต่ยังอ่อน
อันลมแดดสัมผัสแล้ว ย่อมเป็นของเหี่ยวแห้งไป ฉะนั้น เพราะความที่เรามีอาหารน้อยนั่นเอง
ดูกรสารีบุตร เรานั้นแลคิดว่า จะลูบคลำผิวหนังท้อง ก็คลำถูกกระดูกสันหลังทีเดียว คิดว่า
จะลูบคลำกระดูกสันหลัง ก็คลำถูกผิวหนังท้องทีเดียว ดูกรสารีบุตร ผิวหนังท้องของเราติดกระดูก
สันหลัง เพราะความที่เรามีอาหารน้อยนั่นเอง เรานั้นคิดว่า จะถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ ก็ซวน
ล้ม ณ ที่นั้นเอง เพราะความที่เรามีอาหารน้อยนั่นเอง เรานั้นเมื่อจะยังร่างกายให้คล่องแคล่ว
ก็ลูบตัวด้วยฝ่ามือ เมื่อเราลูบตัวด้วยฝ่ามือขนทั้งหลายมีรากอันเน่าก็หลุดจากกาย เพราะความที่เรา
มีอาหารน้อยนั่นเอง.
                     วาทะและทิฏฐิ
          [๑๘๖] ดูกรสารีบุตร มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า ความ
หมดจดย่อมมีได้ด้วยอาหาร พวกเขากล่าวอย่างนี้ว่า เราย่อมเยียวยาอัตภาพด้วย [อาหารเท่าเมล็ด]
ถั่วเขียว ฯลฯ พวกเราย่อมเยียวยาอัตภาพด้วย [อาหารเท่าเมล็ด] งา ฯลฯ พวกเราย่อมเยียวยา
อัตภาพด้วย [อาหารเท่าเมล็ด] ข้าวสาร ดังนี้ พวกเขาเคี้ยวกิน [อาหารเท่าเมล็ด] ข้าวสารบ้าง
ข้าวสารป่นบ้าง ดื่มน้ำ [ประมาณเท่าเมล็ด] ข้าวสาร ย่อมบริโภค [อาหารเท่าเมล็ด] ข้าวสาร
ที่จัดทำให้แปลกมีประการมิใช่น้อยบ้าง ดูกรสารีบุตร เราย่อมรู้สึกว่า กิน [อาหารเท่าเมล็ด]
ข้าวสารเมล็ดเดียวเท่านั้น ดูกรสารีบุตร เธอจะพึงมีความสำคัญว่า ข้าวสารในสมัยนั้น ชะรอยจะ
เมล็ดใหญ่เป็นแน่ ข้อนี้ เธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น แม้ในกาลนั้น ข้าวสารที่เป็นขนาดใหญ่นั้นเทียว
ก็มีเมล็ดเท่าข้าวสารในบัดนี้ ดูกรสารีบุตร เมื่อเรากิน [อาหารเท่าเมล็ด] ข้าวสารเมล็ดเดียว
เท่านั้น ร่างกายก็ถึงความซูบผอมยิ่งนัก อวัยวะน้อยใหญ่ของเรา เปรียบเหมือนเถาวัลย์ที่ข้อมาก
และข้อดำ เพราะความที่เรามีอาหารน้อยนั่นเอง ตะโพกของเราเปรียบเหมือนรอยเท้าอูฐ เพราะ
ความที่เรามีอาหารน้อยนั่นเอง กระดูกสันหลังของเรานูนขึ้นเป็นปุ่มๆ เหมือนเถาสะบ้า เพราะ
ความที่เรามีอาหารน้อยนั่นเอง กระดูกซี่โครงของเราเหลื่อมขึ้นเหลื่อมลงเห็นปรากฏ เหมือนกลอน
แห่งศาลาเก่าเหลื่อมกันฉะนั้น เพราะความที่เรามีอาหารน้อยนั่นเอง ดวงตาของเราลึกเข้าไปใน
เบ้าตา เหมือนเงาดวงดาวปรากฏในบ่อน้ำอันลึกฉะนั้น เพราะความที่เรามีอาหารน้อยนั่นเอง
หนังศีรษะของเราอันลมถูกต้องแล้ว ก็เหี่ยวแห้ง เปรียบเหมือนน้ำเต้าขมที่ถูกตัดขั้วแต่ยังอ่อน
อันลมแดดสัมผัสแล้ว ย่อมเป็นของเหี่ยวแห้งไป ฉะนั้น เพราะความที่เรามีอาหารน้อยนั่นเอง
ดูกรสารีบุตร เรานั้นแล คิดว่า จะลูบคลำผิวหนังท้องก็คลำถูกกระดูกสันหลังทีเดียว คิดว่า จะ
ลูบคลำกระดูกสันหลัง ก็คลำถูกผิวหนังท้องทีเดียว ดูกรสารีบุตร ผิวหนังท้องของเราติดกระดูก
สันหลัง เพราะความที่เรามีอาหารน้อยนั่นเอง เรานั้นคิดว่า จะถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะก็ซวนล้ม
ณ ที่นั้นเอง เพราะความที่เรามีอาหารน้อยนั่นเอง เรานั้นเมื่อจะยังร่างกายให้คล่องแคล่วก็ลูบตัว
ด้วยฝ่ามือ เมื่อเราลูบตัวด้วยฝ่ามือ ขนตั้งหลายมีรากอันเน่าก็หลุดร่วงจากกาย เพราะความที่เรามี
อาหารน้อยนั่นเอง.
           ดูกรสารีบุตร ด้วยการปฏิบัติอย่างไม่มีใครสู้แม้นั้น ด้วยปฏิปทาแม้นั้น ด้วยความเพียรที่
กระทำได้แสนยากนั้น เราก็ไม่ได้บรรลุธรรมอันยิ่งของมนุษย์ ที่เป็นญาณทัสสนะอันวิเศษพอ
แก่ความเป็นอริยะ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร? เพราะมิใช่ปฏิปทาที่เป็นเหตุบรรลุปัญญาอันประเสริฐ
ปัญญานี้แล ที่ซึ่งเราได้บรรลุแล้ว เป็นของประเสริฐ นำสัตว์ออกจากทุกข์ได้ เป็นทางสิ้นทุกข์
โดยชอบแห่งบุคคลผู้กระทำอยู่ตามนั้น.
          [๑๘๗] ดูกรสารีบุตร มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า
ความหมดจดย่อมมีได้ด้วยสังสารวัฏ ดูกรสารีบุตร ก็สังสารวัฏที่เราไม่เคยท่องเที่ยวไป โดยกาล
ยืดยาวช้านานนี้ เว้นแต่เทวโลกชั้นสุทธาวาส เป็นสิ่งที่หาไม่ได้ง่ายนัก ดูกรสารีบุตร ถ้าเรา
พึงท่องเที่ยวไปในเทวโลกชั้นสุทธาวาส เราก็จะไม่พึงมาสู่โลกนี้อีก.
          [๑๘๘] ดูกรสารีบุตร มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า ความ
บริสุทธิ์ย่อมมีได้ด้วยอุบัติ ดูกรสารีบุตร ความอุบัติที่เราไม่เคยเข้าถึงแล้ว โดยกาลยืดยาวช้านาน
นี้ เว้นจากเทวโลกชั้นสุทธาวาส เป็นของหาไม่ได้ง่ายนัก ดูกรสารีบุตร ถ้าเราพึงอุบัติในเทวโลก
ชั้นสุทธาวาส เราก็ไม่พึงมาสู่โลกนี้อีก.
          [๑๘๙] ดูกรสารีบุตร มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า
ความหมดจดย่อมมีได้ด้วยอาวาส ดูกรสารีบุตร ก็อาวาสที่เราไม่เคยอยู่อาศัยแล้ว โดยกาลยืด
ยาวช้านานนี้ เว้นจากเทวโลกชั้นสุทธาวาส เป็นของหาไม่ได้ง่ายนัก ดูกรสารีบุตร ถ้าเราพึงอยู่
อาศัยในเทวโลกชั้นสุทธาวาส เราก็ไม่พึงมาสู่โลกนี้อีก.
          [๑๙๐] ดูกรสารีบุตร มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า ความ
หมดจดย่อมมีได้ด้วยการบูชายัญ ดูกรสารีบุตร ก็ยัญที่เราไม่เคยบูชาแล้ว โดยกาลยืดยาวช้านาน
นี้ เป็นของหาไม่ได้ง่ายนัก แต่ยัญนั้นอันเราเป็นพระราชาผู้เป็นกษัตริย์ได้มูรธาภิเษก หรือเป็น
พราหมณ์ผู้มหาศาลจึงบูชา.
          [๑๙๑] ดูกรสารีบุตร มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า
ความบริสุทธิ์ย่อมมีได้ด้วยการบำเรอไฟ ดูกรสารีบุตร ก็ไฟที่เราไม่เคยบำเรอแล้ว โดยกาลยืดยาว
ช้านานนี้ เป็นของหาไม่ได้ง่ายนัก แต่ไฟนั้น อันเราเป็นพระราชาผู้เป็นกษัตริย์ได้มูรธาภิเษก
หรือเป็นพราหมณ์ผู้มหาศาลจึงบำเรอ.
          [๑๙๒] ดูกรสารีบุตร มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า บุรุษ
รุ่นหนุ่มผู้เจริญนี้ มีเกศาดำสนิท ประกอบด้วยวัยหนุ่มอันเจริญประกอบด้วยปัญญาเฉลียวฉลาด
อย่างยิ่งสมกับวัยต้น ต่อมา บุรุษผู้เจริญนี้ เป็นคนแก่ เป็นคนเฒ่า ถือเอาซึ่งความเป็นผู้ใหญ่
ล่วงกาลผ่านวัยโดยลำดับ คือ มีอายุถึง ๘๐ ปีบ้าง ๙๐ ปีบ้าง ๑๐๐ ปีบ้าง โดยชาติ ย่อมเสื่อม
จากปัญญาความเฉลียวฉลาดนั้น ในภายหลัง ดูกรสารีบุตร ข้อนี้ เธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น ก็บัดนี้
เราเป็นคนแก่ เป็นคนเฒ่า ถือเอาซึ่งความเป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยโดยลำดับ อายุของเราแปดสิบ
ปีเข้านี่แล้ว สาวกบริษัททั้ง ๔ ของเราในธรรมวินัยนี้ มีอายุถึงร้อยปี เป็นอยู่ได้ตั้งร้อยปี ประกอบ
ด้วย สติ คติ ธิติ อันยอดเยี่ยม และปัญญาเฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง ดูกรสารีบุตร เปรียบเหมือน
นักธนูมั่นคง ได้รับการฝึกหัดแล้ว ช่ำชอง ชำนิชำนาญ เคยแสดงฝีมือมาแล้ว พึงยิงงวงตาล
โดยขวางให้ตกลง ด้วยลูกศรขนาดเบาโดยง่ายดาย แม้ฉันใด สาวกบริษัท ๔ ของเราเป็นผู้มีสติ
อันยิ่ง มีคติอันยิ่ง มีปัญญาทรงจำอันยิ่ง ประกอบด้วยปัญญาเฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง ฉันนั้น พวกเธอ
พึงถามปัญหาอิงสติปัฏฐาน ๔ กะเรา เราถูกถามปัญหาแล้วๆ พึงพยากรณ์แก่พวกเธอ พวกเธอ
พึงทรงจำคำที่เราพยากรณ์แล้ว โดยเป็นคำพยากรณ์ มิได้สอบถามเราให้ยิ่งกว่า ๒ ครั้ง เว้นจาก
การกิน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม เว้นจากการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ เว้นจากการหลับและบรรเทา
ความเมื่อยล้า ดูกรสารีบุตร ธรรมเทศนาของตถาคตนั้นไม่รู้จักจบสิ้น บทและพยัญชนะแห่งธรรม
ของตถาคตนั้นไม่รู้จักจบสิ้น ความแจ่มแจ้งแห่งปัญหาของตถาคตนั้น ไม่รู้จักจบสิ้น เมื่อเป็น
ดังนั้น สาวกบริษัท ๔ ของเราเหล่านั้น จึงมีอายุตั้ง ๑๐๐ ปี เป็นอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี พึงกระทำกาละ
โดยล่วงไปแห่ง ๑๐๐ ปี ดูกรสารีบุตร ถ้าแม้พวกเธอจะพึงหามเราไปด้วยเตียงน้อย ความเป็น
อย่างอื่นแห่งปัญญาเฉลียวฉลาดของตถาคต ย่อมไม่มีเลย ดูกรสารีบุตร บุคคลเมื่อจะกล่าวโดยชอบ
พึงกล่าวคำใดว่า สัตว์ผู้มีความไม่ลุ่มหลงเป็นธรรมดา บังเกิดขึ้นในโลก เพื่อประโยชน์เกื้อ
กูลแก่ชนเป็นมาก เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย บุคคลเมื่อจะกล่าวโดยชอบ พึงกล่าวคำนั้นกะเราเท่านั้น
ว่าสัตว์ผู้มีความไม่ลุ่มหลงเป็นธรรมดาบังเกิดขึ้นในโลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก
เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดา
และมนุษย์ทั้งหลาย ดังนี้.
                       คำนิคม
          [๑๙๓] ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระนาคสมาละ ถวายงานพัดอยู่ ณ เบื้องปฤษฎางค์
ลำดับนั้น ท่านพระนาคสมาละ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค ดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยมี อนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้ามีโลมาอันพองเพราะฟังธรรมปริยายนี้ ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ธรรมปริยายนี้ชื่ออะไร พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรนาคสมาละ เพราะเหตุนี้
แหละ เธอจงทรงจำธรรมปริยายนี้ไว้ว่าชื่อว่า โลมหังสนปริยาย.
           พระผู้มีภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ท่านพระนาคสมาละ มีใจชื่นชม ยินดีพระภาษิต
ของพระผู้มีพระภาคแล้วแล.
                         จบ มหาสีหนาทสูตร ที่ ๒
 

ตอบโดย: Vicha 08 พ.ย. 47 - 13:07


หมายเหตุ
     สำหรับท่านที่ประสงค์แต่งเรื่องที่สมมุติถามผม เนื่องจากเหตุการณ์การสมมุติเรื่องได้เกิดในกระทู้เก่ามาแล้วในลานธรรมนี้ ผมขอแจ้งให้ทราบว่า ผมก็จะตอบไปตามเนื้อหาที่ถาม เพราะผมไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จได้ แต่เรื่องที่ผูกขึ้นมาแม้ว่าจะสมมุติ ย่อมมีส่วนจริง เพราะผู้ที่ผูกเรื่องต้องเอาเรื่องที่ได้ยินได้ฟังมาจากเค้าโครงของความเป็นจริงอยู่บ้าง
    ดังนั้นไม่ว่าเรื่องจริงหรือสมุติ ก็นำไปสู่ธรรมได้  เพราะดำเนินไปตามหลักเหตุและผล เพื่อความสงบ ความเป็นปกติ และการปล่อยวางเป็นหลัก

 

ตอบโดย: Vicha 08 พ.ย. 47 - 13:25


อนุโมทนาครับ

ตอบโดย: อิน 08 พ.ย. 47 - 15:37


  ขอบคุณ   คุณวิชา   ครับ
ที่ตอบคำถามผม

ตอบโดย: อินเดีย 08 พ.ย. 47 - 17:10


    ขอบคุณท่านVicha มากครับสำหรับคำอธิบาย และพระสูตรต่างๆที่ยกมาให้ผมได้อ่าน
เวลาเราสงสัย หรืออยากได้พระสูตร อ่านได้ที่ใหนหรือเรามีวิธีค้นหาพระสูตร ได้ยังไง

  ผมขอถามอีกนิดครับ แล้ว มโนสัมผัส สามารถอ่านหนังสือภาษาที่ไม่เคยได้ศึกษา ได้หรือเปล่า คือผมสงสัยจริงๆ คือผมคิดว่า มโนสัมผัสมันน่ามีฐานมาจากกายสัมผัส  คือผมสงสัยว่าเมื่อกายสัมผัสไม่เคยได้ศึกษาแล้ว มโนสัมผัสจะรู้ได้หรือเปล่าอย่างเช่นเรื่องภาษา  ไม่ใช่การใช่จากการอ่านจากใจตนนะครับ หมายถึงอ่านหนังสือจริงๆ

  ผมถามท่าน Vicha หลายๆเรื่องเพื่อนำมาใช้วิเคราะห์แบบวิทยาศาสตร์ คือผมแทบไม่ตัดทิ้งเลยประเด็นใหนเลย ต้องคิดให้ครบถ้วนทุกมุมมองก่อน   แม้แต่นรก สวรรค์ผมก็คิดว่า มันมีทางอธิบายได้ และไม่ใช่แบบนรกสวรรค์ในใจด้วย

  ขอบคุณอีกครั้งครับ

 
 

ตอบโดย: seen 10 พ.ย. 47 - 20:16


ตอบคุณ seen
     พระสูตรต่างๆ นั้นเอามาจากพระไตรปิฎกฉบับธรรมทานที่อยู่ในเครื่องผม  ที่ได้รับการแจกกันเป็นธรรมทานในลานธรรม นี้เละครับ  บางครั้งผมก็ไปค้นจากในเว็บลานธรรม เกี่ยวกับพระสูตร ซึ่งได้กำหนดวิธีค้นหาไว้แล้ว

และจากคำถาม มโนสัมผัส สามารถอ่านหนังสือภาษาที่ไม่เคยได้ศึกษา ได้หรือเปล่า คือผมสงสัยจริงๆ คือผมคิดว่า มโนสัมผัสมันน่ามีฐานมาจากกายสัมผัส  คือผมสงสัยว่าเมื่อกายสัมผัสไม่เคยได้ศึกษาแล้ว มโนสัมผัสจะรู้ได้หรือเปล่าอย่างเช่นเรื่องภาษา  ไม่ใช่การใช่จากการอ่านจากใจตนนะครับ หมายถึงอ่านหนังสือจริงๆ

ตอบ ความจริงเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก
            ถ้าเป็นในเชิงเปรียบเทียบที่คิดไปตามหลักของวัตถุที่สามารถเห็นและจับต้องได้ ตัวหนังสือนั้นไม่สามารถบงบอกอารมณ์ หรือความรู้สึกได้ ดังนั้นเมื่อไม่เคยได้ศึกษาและเทียบเคียงมาก่อน และไม่ได้เก็บข้อมูลไว้ในความจำชั่วคราว(สมอง) ย่อมอ่านหนังสือนั้นไม่ได้แน่นอน ในกรณีเช่นเดียวกันอ่านออกเสียงถูกต้อง แต่ไม่สามารถเข้าใจในเนื้อเรื่องได้ ในกรณีนี้ก็มี เช่นเด็กอนุบาลท่องจำ หมายความว่าข้อมูลได้ป้อนเข้าไปในความจำชั่วคราว(สมอง)แล้ว แต่ยังไม่สามารถเข้าใจได้อย่างชัดเจน และเด็กบางคนเข้าใจเรียนรู้ได้ช้า บางคนเข้าใจเรียนรู้ได้เร็ว
    ดังนั้นการอ่านหนังสือ ต้องมีข้อมูลของตัวหนังสือที่เก็บไว้ในส่วนความจำชั่วคราว(สมอง)มาก่อน กับต้องทำความเข้าใจความหมายของ ตัวอักษรที่เป็นคำ และเป็นประโยค เทียบเคียงกับสิ่งแวดล้อมที่ได้รับรู้ ตามสามัญสำนึกที่ได้มาจากการได้ยินได้ฟังมาก่อน จึงสามารถอ่านหนังสือได้
   
    ดังนั้นการเรียนรู้ได้เร็วหรือได้ช้า หรือได้มากหรือน้อย นี้เละเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของจิต
    ในเมื่อผมได้กล่าวถึงมหัศจรรย์ของจิตแล้ว ก็ต้องมากล่าวถึงภาษาพูด ไม่เกี่ยวกับตัวหนังสือแล้วนะครับ  ในเรื่องเกี่ยวกับความมหัศจรรย์ของจิตในเชิงภาษาพูด ที่เป็นปฏิสัมภิทาญาณอย่างหนึ่งเรียกว่าแตกฉานในภาษาทั้งหลาย    คือสามารถพูดและเข้าใจภาษาพูดต่างๆ ได้เกือบทุกภาษา (เรื่องนี้ผมเพียงแต่ได้อ่านจากตำราและได้ยินได้ฟังมาเหมือนกัน)
 

ตอบโดย: Vicha 11 พ.ย. 47 - 13:09


     สาธุ สาธุ สาธุ
     อนุโมทนา.    

     อ่านแล้วให้เกิดกำลังใจเหลือเกินครับ. สาธุกับคุณ "Vicha" เป็นอย่างยิ่ง ผมอ่านแล้วก็น่าสรรเสริญเหลือเกินครับ.

     อนุโมทนาสาธุกับคุณ "Vicha" และก็ขอให้สุนักขัตตลิจฉวี ได้พ้นจากอบายโดยเร็วพลัน เช่นกันครับ.  

ตอบโดย: พุทธ บาท 11 พ.ย. 47 - 21:12


อนุโมทนาสาธุครับ คุณ Vich   _/{}\_
สิ่งต่างๆมีมา ผ่านมา แล้วผ่านไป ทำให้เราสนุกไปชั่วคราว ถ้าไม่มีความสนุกแล้ว
จะให้วิเศษเลิศเลอขนาดไหน ก็ไม่สำคัญแล้ว แล้วชาตินี้คุณ Vic ได้ต่อยอด
บารมี ขนาดไหนแล้วครับ

ตอบโดย: Event HoriZon 12 พ.ย. 47 - 12:41


   ต่อจากฌาน ญาณ ไปแล้ว ก็จะเป็นขั้นของ "บุญญฤทธิ์"  แต่ก็ต้องมีฐานของ ฌาน ของญาณ เป็นแรงขับเคลื่อนพาจิตไปเรียนรู้ศีลธรรมต่างๆในโลกทิพย์

   การปฏิบัติเพื่อให้มีฌาน มีฌานนั้น ถือว่าเป็นขั้นของการเรียนวิชา (ช ตัวเดียว) ซึ่งประกอบด้วยอิทธิฤทธิ์  ส่วนการเรียนรู้ในขั้นของบุญญฤทธิ์ เป็นขั้นของการเรียน "วิชชา" ( ช  สองตัว) เพื่อการรู้แจ้งโลก รู้แจ้งธรรม
   
   หากจะเรียนให้แจ้งขึ้นเรื่อยๆ ก็ต้องว่ากันด้วย "การทำบารมี"  ซึ่งทุกอย่างจะต้องปฏิบัติให้ปราณีตขึ้นเรื่อยๆ  เช่น จิตของผู้ทำบารมี   ของที่ทำทาน  ศีลที่ทรงอยู่  บารมี(ศีลธรรม)ของผู้รับทานหรือเนื้อนาบุญ   เขตบุญ(ภูมิสถานที่ทำ)   ผู้ร่วมทำบารมีทั้งที่เห็นตัวและไม่เห็นตัว  เป็นต้น และมีเบี้ยใบ้รายทางอีกมากมายที่จะต้องผ่านในโลกของจิตวิญญาณ เป็นการปฏิบัติปรมัตถ์จากนอกสู่ใน ปฏิบัติปรมัตถ์จากภายในสู่ภายนอก และผู้รู้ที่สำคัญๆจำนวนมาก ท่านก็อยู่ในโลกไม่เห็นตัวนั่นแหละ   ที่สำคัญก็คือ "เฮ็ดไห่ถึง"

   หากมีอิทธิบาทสี่พอ เมื่อปฏิบัติถึงขั้นใดขั้นหนึ่ง "พระธรรม"  ท่านจะมารับรองเองแหละ  ลองนำไปพิจารณาดูครับ

ตอบโดย: คนไกล 13 พ.ย. 47 - 03:37


จากคำถาม คุณ : Event HoriZon
     แล้วชาตินี้คุณ Vic ได้ต่อยอดบารมี ขนาดไหนแล้วครับ

ผมขอตอบก็แล้วกันนะครับ
    ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
    ขณะปัจจุบันทุกขณะ ประคองสติให้ดำรงอยู่เท่าทันต่อรูปและนาม เห็นความเป็นไตรลักษณ์ ของรูปและนามนั้น  สติก็เจริญ ปัญญาก็เจริญ สมาธิก็เจริญ ความเพียรก็เจริญ ศรัทธาก็เจริญ
    ญาณ ฌาน มรรคมีองค์แปด และโพธิยธรรม 37 ประการ ก็จะสมบูรณ์ แล้วรวมกันเป็นหนึ่งขณะจิตเดียว จิตก็บริสุทธิ์ ทุกขณะจิต จนกว่าหมดกำลัง เป็นช่วงๆ ไป เพียงแต่จิตไม่ไดเสวยอารมณ์ของนิพพานได้เท่านั้น

(เข้าใจก็ดี ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร)

ตอบโดย: Vicha 13 พ.ย. 47 - 10:21


ท่านvicha อะไรเป็นตัวชี้วัดว่า ท่านได้รับพุทธพยากรณื
เห็นโน่น เห็นนี่
เห็นทุกข์ที่เกิดขึ้น กับจิตหรือยัง  ผมไม่ได้อคติครับ ผมคงเป็นได้แค่กระจก
อาจารย์ วิปัสสนา ที่แท้จริงในโลก ชื่อ ta hu jamook lin jai สัมผัส
พระพุทธเจ้า ก็มีอาจารย์เช่นเดียวกับเรา

ตอบโดย: aaa 14 พ.ย. 47 - 21:18


คุณ aaa อ่านตั้งแต่เริ่มต้นกระทู้นะครับ แล้วอ่านในเว็บส่วนตัว ในหัวข้อประสบการกรรมฐาน

http://www.geocities.com/ss12345_th

และสุดท้ายนี้ การที่กล่าวว่าได้รับพุทธพยากรณ์ หรือไม่ได้รับพุทธพยากรณ์ นั้น ไม่ได้ทำให้ผมหวั่นไหว และเป็นทุกข์เป็นร้อน จนต้องดิ้นรนอีกแล้วในชีวิตนี้

ส่วนข้อความที่ว่า
"อาจารย์ วิปัสสนา ที่แท้จริงในโลก ชื่อ ta hu jamook lin jai สัมผัส
พระพุทธเจ้า ก็มีอาจารย์เช่นเดียวกับเรา"

สัมผัสพุทธเจ้า คืออะไรผมไม่เข้าใจ
รู้เพียงแต่ธรรมบัญญัติว่า   "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นคถาคต"

เห็นธรรมได้ตรงใหน? และอย่างไร?
   ตรงใหน? ก็ตรง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้แหละ
   อย่างไร? คือมีสติ ดำรงสมาธิ ก็เห็นไตรลักษณ์ ที่ปรากฏอยู่ทุกขณะเป็นธรรมชาติ ใน ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ ปัญญาก็บังเกิดเห็นแจ้งเท่าทันไตรลักษณ์ที่ปรากฏในปัจจุบันขณะ เมื่อมีความพร้อมบริบูรณ์ ของมรรคมีองค์แปด หรือโพธิยธรรม 37 ประการสมบูรณ์ การบรรลุถึงพระนิพพาน ในขณะจิตนั้นย่อมบังเกิด ถ้าไม่มีกรรมอื่นใดมาขัดขวาง
     ผมคงไม่เป็นกระจกนะครับ แต่กล่าวตามความจริงที่ผมเห็นที่ผมเข้าใจครับ
 

ตอบโดย: Vicha 15 พ.ย. 47 - 08:47

ลานธรรมเสวนา http://larndham.net