ยุธัญชยจริยาที่ ๑

ว่าด้วยพระจริยาวัตรของยุธัญชยกุมาร [๒๑] ในกาลเมื่อเราเป็นพระราชโอรส (ของพระเจ้าสัพพทัตตราช) นามว่า ยุธัญชัย มีบริวารยศหาประมาณมิได้ สลดใจเพราะได้เห็นหยาดน้ำ ค้างอันเหือดแห้งเพราะแสงพระอาทิตย์ เราทำความเป็นอนิจจังนั้น แลให้เป็นปุเรจาริก พอกพูนความสังเวช เราถวายบังคมพระมารดา และพระบิดาแล้ว ทูลขอบรรพชา มหาชนพร้อมทั้งชาวนิคมทั้งชาว จังหวัด ประนมอัญชลีอ้อนวอนเรา พระบิดาตรัสว่า วันนี้ เจ้าจง ปกครองแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลเถิด ลูก เมื่อมหาชนพร้อมทั้ง พระราชบิดา นางสนม ชาวนิคม และชาวแว่นแคว้น ร้องไห้ร่ำไร ควรสงสาร เราไม่ห่วงใยสละไปแล้วเราสละราชสมบัติในแผ่นดิน หมู่ญาติ บริวารชน และยศศักดิ์ทั้งสิ้นได้ไม่คิดถึงเลย เพราะเหตุ แห่งโพธิญาณ เราจะเกลียดพระมารดาพระบิดาก็หามิได้ เราจะ เกลียดยศศักดิ์อันยิ่งใหญ่ก็หามิได้ แต่พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รัก ของเรา ฉะนั้น เราจึงสละราชสมบัติ ฉะนี้แล. จบยุธัญชยจริยาที่ ๑

อรรถกถายุธัญชยจริยาที่ ๑

พึงทราบวินิจฉัยในอรรถกถายุธัญชยจริยาที่ ๑ แห่งวรรคที่ ๓ ดัง ต่อไปนี้. บทว่า อมิตยโส คือมีบริวารและสมบัติหาประมาณมิได้. บทว่า ราชปุตฺโต ยุธญฺชโย คือชื่อยุธัญชยเป็นโอรสของพระราชาพระนามว่า สัพพทัตตะในรัมมนคร. กรุงพาราณสีนี้ ในอุทยชาดก ชื่อว่า สุรุนธนนคร. ในจูฬสุตโสมชาดก ชื่อว่า สุทัศนนคร. ในโสณนันทชาดก ชื่อว่า พรหมวัฑฒน นคร. ในขัณฑหาลชาดก ชื่อว่า บุบผวตีนคร. แต่ในยุธัญชยชาดก ชื่อว่า รัมมนคร. บางครั้งชื่อของนครนี้ก็เปลี่ยนไปอย่างนี้. ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า พระราชบุตรเป็นโอรสของพระราชา พระนามว่า สัพพทัตตะในรัมมนคร. พระราชาพระองค์นั้นได้มีพระโอรส ๑,๐๐๐ องค์. พระโพธิสัตว์เป็นโอรสองค์ ใหญ่. พระราชาพระราชทานตำแหน่งอุปราชให้. พระโอรสนั้นทรงให้ มหาทานทุกๆ วัน ตามนัยดังได้กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล. เมื่อกาลผ่านไป อย่างนี้ วันหนึ่งพระโพธิสัตว์ขึ้นประทับรถอันประเสริฐแต่เช้าตรู่ เสด็จ ประพาสพระราชอุทยานด้วยสมบัติอันเป็นสิริใหญ่ ทอดพระเนตรเห็น หยาดน้ำค้างที่ค้างอยู่บนยอดไม้ ยอดหญ้า ปลายกิ่งและใยแมลงมุมเป็นต้น มีลักษณะเหมือนข่ายแก้วมุกดา ตรัสถามว่า ดูก่อนสารถีนั่นอะไร. ครั้น ทรงสดับว่า นั่นคือหยาดน้ำค้างที่ตกในเวลามีหิมะ. ทรงเพลิดเพลินอยู่ ณ พระราชอุทยาน ตอนกลางวัน ครั้นตกเย็นเสด็จกลับ ไม่ทรงเห็นหยาด น้ำค้างเหล่านั้น จึงตรัสถามว่า ดูก่อนสารถี หยาดน้ำค้างเหล่านั้นหาย ไปไหนหมด. เดี๋ยวนี้เราไม่เห็นหยาดน้ำค้างเหล่านั้น ครั้นทรงสดับว่า เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นหยาดน้ำค้างทั้งหมดก็สลายละลายไป ทรงดำริว่า หยาด น้ำค้างเหล่านี้เกิดขึ้นแล้วสลายไปฉันใด แม้สังขารคือชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย เหล่านี้ก็ฉันนั้น เช่นกับหยาดน้ำค้างที่ยอดหญ้า. เพราะฉะนั้น เราซึ่งยัง ไม่ถูกพยาธิ ชราและมรณะเบียดเบียนควรทูลลาพระมารดาพระบิดาออก บวช จึงทรงทำหยาดน้ำค้างให้เป็นอารมณ์ เห็นภพทั้งสามดุจถูกไฟไหม้ เสด็จมายังพระตำหนักของพระองค์ เสด็จไปเฝ้าพระบิดาซึ่งประทับอยู่ ณ โรงวินิจฉัย ซึ่งประดับตกแต่งเป็นอย่างดี ถวายบังคมพระชนก ประทับยืน อยู่ข้างหนึ่งทูลขอบวช.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า:- เราสลดใจเพราะเห็นหยาดน้ำค้างเหือด แห้งไป เพราะแสงของดวงอาทิตย์. เราทำ ความไม่เที่ยงของหยาดน้ำค้างนั้นให้เป็นปุเร- จาริก พอกพูนความสังเวช เราถวายบังคม พระบิดาทูลขอบรรพชา. ในบทเหล่านั้นบทว่า สูริยาตเป คือเพราะแสงดวงอาทิตย์. การ สัมผัสรัศมีดวงอาทิตย์. ปาฐะว่า สูริยาตเปน บ้าง. บทว่า ปติตํ ทิสฺวาน เพราะทรงเห็นหยาดน้ำค้างเหือดแห้ง คือเพราะทรงแลดูหยาดน้ำค้างที่ค้าง อยู่บนยอดต้นไม้เป็นต้นก่อนยังปรากฏอยู่ ครั้นต้องรัศมีดวงอาทิตย์ก็เหือด แห้งไป ด้วยปัญญาจักษุ. บทว่า สํวิชึ คือทรงถึงความสลดพระทัยด้วย ทรงมนสิการถึงความไม่เที่ยงว่า หยาดน้ำค้างเหล่านี้ฉันใด แม้ชีวิตของสัตว์ ทั้งหลายก็ฉันนั้น มีสภาพแตกสลายไปอย่างรวดเร็ว. บทว่า ตญฺเญวธิปตึ กตฺวา สํเวคมนุพฺรูหยึ คือพระโพธิสัตว์ทรงกระทำความไม่เที่ยงของหยาด น้ำค้างนั้นนั่นเองให้เป็นใหญ่ เป็นประธาน เป็นหัวหน้า เป็นปุเรจาริก แล้วทรงมนสิการถึงความที่สังขารทั้งปวงมีเวลานิดหน่อย ตั้งอยู่ไม่นาน ทรงพอกพูนความสังเวชอันเกิดขึ้นครั้งเดียว ด้วยให้เกิดขึ้นบ่อยๆ. บทว่า ปพฺพชฺชมนุยาจหํ คือ เราดำริว่าเราผู้ที่พยาธิชราและมรณะยังไม่ครอบงำ ในชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย อันไม่ตั้งอยู่นานดุจหยาดน้ำค้างบนยอดหญ้า ควร บวชแสวงหามหานิพพานอันเป็นอมตะ ซึ่งไม่มีพยาธิชราและมรณะเหล่านี้ แล้วเข้าไปเฝ้าพระมารดาพระบิดาถวายบังคมแล้วทูลขอบรรพชาว่า ขอพระ มารดาพระบิดาจงทรงอนุญาตให้หม่อมฉันบวชเถิด.

เมื่อพระมหาสัตว์ทูลขอ อนุญาตบวชอย่างนี้แล้วได้เกิดโกลาหลใหญ่ทั่วพระนครว่า ได้ยินว่า พระอุปราชยุธัญชัยมีพระประสงค์จะทรงผนวช. ก็สมัยนั้น ชาวแคว้นกาสีมาเพื่อจะเฝ้าพระราชาพากันเข้าไปใน รัมมนคร. ทั้งหมดนั้นประชุมกัน. พระราชาพร้อมด้วยบริวาร ชาวนิคม ชาวชนบท พระมารดา พระเทวี ของพระโพธิสัตว์และพวกสนมทั้งปวง พากันทูลห้ามพระโพธิสัตว์ว่า ข้าแต่พระกุมารอย่าทรงบวชเลย. บรรดา ชนเหล่านั้น พระราชาตรัสว่า หากกามทั้งหลายของลูกยังพร่องอยู่. พ่อ จะเพิ่มให้ลูก. วันนี้ขอให้ลูกครองราชสมบัติเถิด. พระมหาสัตว์ทูลถึงความ พอพระทัยในการบวชของพระองค์อย่างเดียวแต่พระบิดาตรัสว่า:- ข้าแต่พระบิดาผู้เป็นใหญ่ในแว่นแคว้น ขอพระบิดาอย่าทรงห้ามลูกเลย ลูกสมบูรณ์ ด้วยกามทุกอย่าง อย่าตกไปในอำนาจของชรา เลย. เมื่อพระมารดาพร้อมด้วยพวกสนมคร่ำครวญอยู่อย่างน่าสงสาร จึง ทูลถึงเหตุแห่งการบวชของพระองค์ว่า:- อายุของมนุษย์ทั้งหลาย ก็เหมือนน้ำค้าง บนยอดหญ้า พอดวงอาทิตย์ขึ้นก็เหือดแห้ง ไป ข้าแต่พระมารดา ขอพระมารดาอย่าห้าม ลูกเลย. แม้เมื่อพระมารดาพระบิดาทรงห้ามอยู่ ก็มิได้มีพระทัยท้อถอยเพราะ ความสังเวชพอกพูนเป็นอย่างยิ่ง มิได้มีพระทัยห่วงใยในพระประยูรญาติ หมู่ใหญ่อันเป็นที่รักและในราชอิสสริยยศอันโอฬาร ทรงบรรพชาแล้ว.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า:- มหาชนพร้อมทั้งชาวนิคม ทั้งชาวแว่นแคว้น ประนมอัญชลีอ้อนวอนเรา. พระบิดา ตรัสว่า วันนี้ลูกจงปกครองแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลเถิด. เมื่อมหาชนพร้อมทั้งพระบิดา นางสนม ชาวนิคม และชาวแว่นแคว้น ร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าสงสาร. เราไม่ห่วงใย สละไปแล้ว. ในบทเหล่านั้นบทว่า ปญฺชลิกา คือประคองอัญชลี. บทว่า สเนคมา สรฏฺฐกา คือราชบุรุษทั้งปวงพร้อมด้วยชาวนิคมและชาวแว่นแคว้นพากันอ้อนวอนเราว่า ข้าแต่เทวะขอพระองค์อย่าทรงผนวชเลย. พระมารดาพระบิดาตรัสว่า ลูกจงครองราชสมบัติในวันนี้เถิด. คือจงปกครอง แผ่นดินอันใหญ่นี้ อันกว้างใหญ่ด้วยความเจริญยิ่งของบ้านนิคมและราชธานี และด้วยถึงความไพบูลย์อันไพศาล ด้วยความสมบูรณ์ไปด้วยทรัพย์สาร และด้วยความงอกงามของพืชพรรณมีข้าวกล้าเป็นต้น. พระมารดาพระบิดา รับสั่งให้ยกเศวตฉัตรแล้วทรงขอร้องว่า ลูกจงครองราชสมบัติเถิด. ก็เมื่อ มหาชนพร้อมด้วยพระราชา นางสนม ชาวนิคม ชาวแว่นแคว้นร้องไห้ คร่ำครวญอย่างน่าสงสาร โดยอาการที่ความกรุณาอันใหญ่ย่อมมีแม้แก่ผู้ฟัง ไม่ต้องพูดถึงผู้เห็นเราไม่ห่วงใย ไม่เกาะเกี่ยวในบุคคลนั้นๆ บวชแล้วใน กาลนั้นเอง ท่านแสดงไว้ด้วยประการฉะนี้. บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงแสดงว่า เราละสิริราชสมบัติเช่นกับ สมบัติจักรพรรดิ พระประยูรญาติอันเป็นที่รักไม่ห่วงใยสละปริวารชน คน สนิทและยศอันใหญ่ที่ชาวโลกเขาเพ่งเล็งกันได้ ตรัสพระคาถาสองคาถา ว่า:- เราสละราชสมบัติในแผ่นดิน หมู่ญาติ บริวารชน และยศศักดิ์ทั้งสิ้นมิได้คิดถึงเลย เพราะเหตุแห่งโพธิญาณ เราจะเกลียดพระ- มารดาพระบิดาก็หามิได้ เราจะเกลียดยศศักดิ์ อันยิ่งใหญ่ก็หามิได้ แต่พระสัพพัญญุตญาณ เป็นที่รักของเรา เพราะฉะนั้น เราจึงสละ ราชสมบัติ ดังนี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า เกวลํ แปลว่า สิ้นเชิง อธิบายว่า เราสละ ตำหนักนางสนมจนหมดสิ้น และแผ่นดินมีมหาสมุทรเป็นที่สุด ด้วยประสงค์ จะบวช ไม่คิดถึงอะไรๆ เพราะเหตุแห่งโพธิญาณอย่างเดียวว่า เราสามารถ บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณได้ด้วยอาการอย่างนี้. อธิบายว่า เราไม่เกิดความ เกี่ยวเกาะในสิ่งนั้นแม้แต่น้อย. บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะเราจะเกลียด พระมารดาพระบิดา ยศศักดิ์อันยิ่งใหญ่และราชสมบัติก็หามิได้ เรารัก ทั้งนั้น. แต่พระสัพพัญญุตญาณเท่านั้น เป็นที่รักของเรายิ่งกว่าสิ่งเหล่านั้น ร้อยเท่า พันเท่า แสนเท่า. ฉะนั้นเราจึงสละราชสมบัติกับพระมารดา เป็นต้น ในกาลนั้นได้ด้วยประการฉะนี้.

เมื่อพระมหาสัตว์ทรงสละทุกสิ่งทุกอย่าง เสด็จออกบวชยุธิฏฐิลกุมาร พระกนิษฐาของพระโพธิสัตว์นั้นถวายบังคมพระชนก ทรงขออนุญาตบวช ติดตามพระโพธิสัตว์. ทั้งสองกษัตริย์ก็ออกจากพระนคร รับสั่งให้มหาชน กลับ เสด็จเข้าป่าหิมวันตะ สร้างอาศรมบทในที่น่าพอใจ ทรงบวชเป็นฤๅษี ยังฌานและอภิญญาให้เกิด ทรงเลี้ยงชีวิตด้วยรากไม้และผลไม้ในป่าเป็นต้น จนตลอดพระชนม์ แล้วก็เสด็จไปสู่พรหมโลก.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ว่า:- พระกุมารทั้งสอง คือ ยุธัญชยะ และ ยุธิฏฐิละ ละพระมารดาพระบิดา ตัดความข้อง ของมัจจุออกบวชแล้ว. ในบทเหล่านั้นบทว่า สงฺคํ เฉตฺวาน มจฺจุโน คือพระกุมารตัด ความข้อง คือ ราคะ โทสะ โมหะ อันเป็นของมีอยู่ เพราะเป็นเหตุ ทำร่วมกันกับมัจจุมารด้วยการข่มใจไว้ แล้วบวช.

พระมารดาพระบิดาในครั้งนั้น ได้เป็นมหาราชตระกูลในครั้งนี้. ยุธิฏฐิลกุมาร คือพระอานนทเถระ. ยุธัญชย คือพระโลกนาถ.

การบริจาคมหาทานเมื่อก่อนบวช และการสละราชสมบัติเป็นต้น ของพระมหาสัตว์นั้นเป็นทานบารมี. การสำรวมกายวาจาเป็นศีลบารมี. การบรรพชาและการบรรลุฌานเป็นเนกขัมมบารมี. ปัญญาเริ่มต้นด้วยทำ มนสิการโดยความเป็นของไม่เที่ยง จนบรรลุอภิญญาเป็นที่สุดและปัญญา. กำหนดธรรมเป็นอุปการะและไม่เป็นอุปการะแห่งทานเป็นต้น เป็นปัญญา บารมี. ความเพียรยังประโยชน์นั้นให้สำเร็จในที่ทั้งปวง เป็นวีริยบารมี. ญาณขันติและอธิวาสนขันติ เป็นขันติบารมี. การไม่พูดผิดจากคำปฏิญญา ชื่อว่า สัจจบารมี. การตั้งใจสมาทานอันไม่หวั่นไหวในที่ทั้งปวง ชื่อว่า อธิษฐานบารมี. เพราะจิตคิดแต่ประโยชน์ในสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วยอำนาจ แห่งเมตตาพรหมวิหาร ชื่อว่า เมตตาบารมี. ด้วยการวางเฉยในความ ผิดปกติที่ทำแล้วในสัตตสังขาร และด้วยอุเบกขาพรหมวิหาร ชื่อว่า อุเบกขา- บารมีเป็นอันได้บารมี ๑๐ ด้วยประการดังนี้. แต่พึงทราบโดยความพิเศษว่า เป็นเนกขัมมบารมี. อนึ่ง แม้ในจริยานี้พึงเจาะจงกล่าวถึงอัจฉริยคุณของ พระมหาบุรุษ ตามสมควรดุจในอกิตติจริยา. สมดังพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส ไว้ว่า เอวํ อจฺฉริยา เหเต, อพฺภูตา จ มเหสิโน ฯลฯ ธมฺมสฺส อนุธมฺมโต มีใจความดังได้กล่าวไว้แล้วในตอนต้นๆ.

จบ อรรถกถายุธัญชยจริยาที่ ๑

กลับที่เดิม