สุตโสมจริยาที่ ๑๒

ว่าด้วยพระจริยาวัตรของพระเจ้าสุตโสม [๓๒] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นพระเจ้าแผ่นดินพระนามว่าสุตโสม ถูกพระเจ้าโปริสาทจับไปได้ ระลึกถึงคำผัดเพี้ยนไว้กะพราหมณ์ พระยาโปริสาทเอาเชือกร้อยฝ่ามือกษัตริย์ ๑๐๑ ไว้แล้ว ทำกษัตริย์ เหล่านั้นให้ได้รับความลำบาก นำเราไปด้วยเพื่อต้องการทำพลีกรรม พระยาโปริสาทได้ถามเราว่าท่านปรารถนาจะให้ปล่อยหรือ เราจักทำ ตามชอบใจของท่าน ถ้าท่านจะกลับมาสู่สำนักเรา เรารับคำพระยา โปริสาทนั้นว่าจะกล่าวใย ถึงการมาของเรา แล้วเข้าไปยังพระนคร อันรื่นรมย์มอบราชสมบัติแล้วในกาลนั้น เพราะเราระลึกถึงธรรมของ สัตบุรุษ เป็นของเก่า อันพระพุทธเจ้า เป็นต้นเสพแล้วให้ทรัพย์ แก่พราหมณ์แล้ว จึงเข้าไปหาพระยาโปริสาท ในการมาในสำนัก พระยาโปริสาทนั้น เราไม่มีความสงสัยว่าจักฆ่าหรือไม่ เราตามรักษา สัจจวาจายอมสละชีวิตเข้าไปหาพระยาโปริสาท ผู้เสมอด้วยความ สัตย์ของเราไม่มี นี้เป็นสัจจบารมีของเรา ฉะนี้แล. จบสุตโสมจริยาที่ ๑๒

อรรถกถามหาสุตโสมจริยาที่ ๑๒

พึงทราบวินิจฉัยในอรรถกถามหาสุตโสมจริยาที่ ๑๒ ดังต่อไปนี้. บทว่า สุตโสโม มหีปติ คือเป็นกษัตริย์ พระนามว่า สุตโสมะ.

ได้ยินว่า ในกาลนั้นพระมหาสัตว์ทรงอุบัติในพระครรภ์ของ พระอัครมเหสีของพระเจ้าโกรัพยะ ในกรุงอินทปัตถะแคว้นกุรุ. พระมารดา พระบิดาทรงขนานพระนาม พระกุมารว่า สุตโสมะ เพราะปลื้มใจด้วย การฟัง และเพราะมีพระฉวีเปล่งปลั่งเสมอดุจพระจันทร์. ครั้นพระกุมาร สุตโสมทรงเจริญวัยสำเร็จศิลปะทุกแขนง พระมารดาพระบิดาทรงอภิเษก ไว้ในราชสมบัติ. บทว่า คหิโต โปริสาเทน ความว่า ถูกพระราชากรุง พาราณสี พระนามว่า โปริสาท เพราะเคี้ยวกินพวกมนุษย์ จับไปเพื่อ ทำพลีกรรมเทวดา. พระเจ้าพาราณสีเว้นเนื้อแล้วก็ไม่เสวย คนทำอาหารเมื่อไม่ได้ เนื้ออื่น ก็ทำเนื้อมนุษย์ให้เสวย ทรงติดในรส รับสั่งให้ฆ่ามนุษย์ แล้ว เสวยเนื้อมนุษย์ จึงมีพระนามว่า โปริสาท พวกชาวพระนคร ชาวนิคม ชาวชนบท มีอำมาตย์ราชบริษัทเป็นหัวหน้า และกาฬหัตถีเสนาบดีของ พระองค์ พากันไปทูลว่า ข้าแต่เทวะ หากพระองค์ยังทรงต้องการราชสมบัติอยู่ ขอได้ทรงเว้นจากการเสวยเนื้อมนุษย์เสียเถิด ตรัสว่า แม้เราสละราชสมบัติ ก็จะไม่เว้นการกินเนื้อมนุษย์ จึงถูกชนเหล่านั้นขับไล่ออกจากแว่นแคว้น เข้าป่าอาศัยอยู่ ณ โคนต้นไทรต้นหนึ่ง

เพื่อรักษาแผลที่เท้าเพราะถูก ตอตำ จึงทำการบวงสรวงเทวดาว่า ข้าพเจ้าจะเอาโลหิตที่ลำคอของกษัตริย์ ๑๐๑ ในชมพูทวีปทั้งสิ้น กระทำพลีกรรม. เมื่อแผลหายเป็นปกติ เพราะ อดอาหารมา ๗ วัน สำคัญว่า เพราะอานุภาพของเทวดา เราจึงได้ความ สวัสดี คิดว่า เราจักนำพระราชามาเพื่อพลีกรรมเทวดา จึงไปสมคบกับยักษ์ ซึ่งเคยเป็นสหายกันในอดีตภพ ด้วยกำลังมนต์ที่ยักษ์นั้นให้ไว้ จึงมีกำลัง เรี่ยวแรงว่องไวยิ่งนัก นำพระราชา ๑๐๐ มาได้ภายใน ๗ วันเท่านั้น แขวนไว้ที่ต้นไทรอันเป็นที่อยู่ของตน เตรียมทำพลีกรรม.

ลำดับนั้น เทวดาที่สิงสถิตอยู่ ณ ต้นไม้นั้น ใช่ปรารถนาพลีกรรม นั้น คิดว่า เราจะหาอุบายห้ามพระยาโปริสาทนั้น จึงมาในรูปของนักบวช แสดงตนให้เห็น พระยาโปริสาทติดตามไป สิ้นทาง ๓ โยชน์ แล้วจึงแสดง รูปทิพย์ของตนให้ปรากฏ กล่าวว่า ท่านพูดเท็จ ท่านบนไว้ว่า จักนำ พระราชาในสกลชมพูทวีปมาทำพลีกรรม. บัดนี้ ท่านนำพระราชากระจอกๆ มา. หากท่านไม่นำพระเจ้าสุตโสมผู้ยิ่งใหญ่ในชมพูทวีปมา. เราไม่ต้องการ พลีกรรมของท่าน. พระยาโปริสาท ดีใจว่า เราได้เห็นเทวดาของตนแล้ว จึงกล่าวว่า ข้าแต่เทพเจ้า อย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจักนำสุตโสมมาในวันนี้แหละ. จึงรีบ ไปยังสวนสัตว์ซึ่งมีเนื้อและเสือเหลือง เมื่อยังไม่จัดการอารักขา จึงหยั่งลง สระโบกขรณียืนเอาใบบัวคลุมศีรษะ. เมื่อพระยาโปริสาทไปภายในพระราชอุทยานนั้นแล ตอนใกล้รุ่งพวกราชบุรุษจัดการอารักขา สิ้น ๓ โยชน์ โดยรอบ.

พระมหาสัตว์เสด็จประทับบนคอคชสารที่ตกแต่งแล้ว เสด็จออก จากพระนครพร้อมด้วยเสนา ๔ เหล่า แต่เช้าตรู่. ในกาลนั้น นันทพราหมณ์ จากเมืองตักกศิลา ถือเอาสตารหคาถา ๔ บท เดินทางไปประมาณ ๑๒๐ โยชน์ ถึงพระนครนั้น เห็นพระราชาเสด็จออกทางประตูด้านตะวันออก จึงยกมือ ทูลว่า ขอพระมหาราชจงทรงพระเจริญ แล้วถวายพระพร. พระราชาทรงไสช้างเข้าไปหาพราหมณ์นั้น ตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ ท่านมาแต่ไหน? ปรารถนาอะไร? ควรให้อะไรแก่ท่าน. พราหมณ์ได้ยินว่า พระองค์เป็นผู้ปลื้มใจในการฟัง จึงทูลว่า ข้าพระองค์รับสตารหคาถา ๔ บท มาเพื่อแสดงถวายแด่พระองค์. พระมหาสัตว์ทรงดีพระทัย ตรัสว่า เราไป อุทยานอาบน้ำ แล้วจะมาฟัง. ท่านอย่าเบื่อเลย แล้วมีรับสั่งว่า พวกท่าน จงไปจัดที่อยู่ ณ เรือนหลังโน้น และอาหารเครื่องนุ่งห่มให้แก่พราหมณ์ แล้วเสด็จไปพระราชอุทยาน จัดอารักขาอย่างใหญ่โต ทรงเปลื้องเครื่อง อาภรณ์อันโอฬาร ทรงแต่งพระมัสสุ ทรงฟอกพระวรกาย ทรงสรงสนาน ณ สระโบกขรณี แล้วเสด็จขึ้น ทรงประทับยืนนุ่งผ้าสาฎกชุ่มด้วยน้ำ. ลำดับนั้น พวกเครื่องต้นนำของหอมดอกไม้และเครื่องประดับ เข้า ไปถวายพระราชา. พระยาโปริสาท คิดว่า ในเวลาแต่งพระองค์ พระราชา จักหนักเกินไป. เราจักจับพระราชาในตอนที่ยังเบา จึงแผดเสียงแกว่ง พระขรรค์ ประกาศชื่อว่า เราโปริสาท แล้วโผล่ขึ้นจากน้ำ. ควาญช้าง เป็นต้น ได้ยินเสียงของพระยาโปริสาทนั้น ก็ตกจากช้างเป็นต้น. หมู่ทหาร ที่ยืนอยู่ไกลก็หนีไปจากนั้น. ที่อยู่ใกล้ก็ทิ้งอาวุธของตนนอนหมอบ. พระยาโปริสาท อุ้มพระราชาประทับนั่งที่คอ กระโดดข้ามกำแพงสูง ๑๘ ศอก ไปต่อหน้า เหยียบกระพองช้างตกมันซึ่งแล่นไปข้างหน้า ให้ล้มลงดุจ ยอดเขาล้ม เหยียบหลังม้าแก้วซึ่งวิ่งเร็วให้ล้ม เหยียบงอนรถให้ล้มลง ดุจ หมุนลูกข่าง ดุจขยี้ใบต้นไทรสีเขียว ไปสิ้นทาง ๓ โยชน์ด้วยความเร็ว แพล็บเดียวเท่านั้น ไม่เห็นใครติดตาม จึงค่อยๆ ไป หยาดน้ำบนพระเกศา ของพระเจ้าสุตโสมหล่นลงบนตน สำคัญว่า หยาดน้ำตา จึงกล่าวว่า นี่อะไรกัน แม้สุตโสมยังทรงกันแสงเศร้าโศกถึงความตายเลย. พระมหาสัตว์ ตรัสว่า เราไม่ได้เศร้าโศกถึงความตายดอก. ร้องไห้ ที่ไหนกัน. แต่ธรรมดาการถือความสัตย์ เพราะทำการผัดเพี้ยนเป็นข้อ ปฏิบัติของบัณฑิตทั้งหลาย. เราเศร้าโศกถึงว่า นั่นยังไม่สำเร็จต่างหาก. เราทำอาคันตุกวัตรแก่พราหมณ์ผู้รับสตารหคาถา ๔ บท ที่พระทศพล พระ นามว่า กัสสปะ ทรงแสดงไว้ แล้วผัดว่า เราอาบน้ำแล้วจักมาฟัง. ท่าน รอจนกว่าเราจะมา แล้วไปพระราชอุทยาน และท่านไม่ให้ฟังคาถาเหล่านั้น จับเรามา.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า:- เราถูกพระยาโปริสาทจับไปได้ ระลึกถึง คำผัดเพี้ยนไว้กะพราหมณ์. พระยาโปริสาท เอาเชือกร้อยฝ่ามือกษัตริย์ ๑๐๑ ไว้แล้ว ทำ กษัตริย์เหล่านั้นให้ได้รับความลำบาก. นำเรา ไปด้วย เพื่อต้องการทำพลีกรรม. ในบทเหล่านั้น บทว่า พฺราหฺมเณ สงฺครํ สรึ คือระลึกถึงคำปฏิญญา ที่ตนทำไว้กะนันทพราหมณ์. บทว่า อาวุณิตฺวา กรตฺตเล ร้อยฝ่ามือ คือพระยาโปริสาท เจาะฝ่ามือของกษัตริย์ ๑๐๑ ที่ไปในพระราชอุทยาน เป็นต้นนั้นๆ แล้วนำมาด้วยกำลังของตน แล้วร้อยเชือกเพื่อแขวนไว้ที่ ต้นไม้. บทว่า เอเตสํ ปมิลาเปตฺวา ความว่า พระยาโปริสาทจับเป็นกษัตริย์ ๑๐๑ เหล่านั้น เอาพระบาทขึ้น พระเศียรลง ประหารพระเศียรด้วยส้นเท้า เอาเชือกร้อยที่ฝ่ามือด้วยการหมุน ให้ได้รับความลำบาก ให้ซูบซีด ให้ เดือดร้อนด้วยประการทั้งปวง ด้วยการแขวนไว้ที่ต้นไม้ และด้วยการตัด อาหารทุกชนิด. บทว่า ยญฺญตฺเถ คือเพื่อต้องการทำพลีกรรม ได้แก่ ให้เกิดผลสำเร็จ. บทว่า อุปนยี มมํ คือนำเราไปด้วย. พระยาโปริสาทนำพระมหาสัตว์ไปอย่างนั้น จึงถามว่า ท่านกลัว ความตายหรือ. พระมหาสัตว์ตรัสว่า เราไม่กลัวตาย. แต่เราเศร้าโศกถึงว่า เราได้ผัดเพี้ยนพราหมณ์นั้นไว้ ยังไม่ได้ปลดเปลื้องเลย.

หากท่านปล่อยเรา. เราฟังธรรมนั้น และทำสักการะสัมมานะแก่พราหมณ์นั้น แล้วจักกลับมา อีก. พระยาโปริสาทกล่าวว่า เราไม่เชื่อว่าเราปล่อยท่านไป แล้วท่านจักมา สู่เงื้อมมือเราอีก. พระมหาสัตว์ตรัสว่า ดูก่อนสหาย โปริสาท ท่านกับเรา เป็นสหายศึกษาในสำนักอาจารย์เดียวกัน ไม่เชื่อหรือว่า เราไม่พูดปด แม้เพราะเหตุของชีวิต. เมื่อพระมหาสัตว์ตรัสคาถานี้ว่า:- เราลูบคลำดาบและหอก โดยเพียงคำพูด นี้ ของเราโดยแท้. ดูก่อนสหาย เราขอสาบาน กับท่านว่า เมื่อเราพ้นไปจากท่าน หมดหนี้ แล้ว รักษาความสัตย์ จักกลับมาอีก. โปริสาทคิดว่า สุตโสมนี้กล่าวว่า เราขอสาบาน ซึ่งกษัตริย์ไม่ ควรทำ. แม้สุตโสมไปแล้วไม่กลับ ก็จักไม่พ้นจากมือเราไปได้ จึงปล่อยไป ด้วยกล่าวว่า:- ความผัดเพี้ยนใด อันท่านผู้ตั้งอยู่ใน ความเป็นอิสระในแคว้นของตน ได้ทำไว้กับ พราหมณ์ ดูก่อนพราหมณ์ ท่านปฏิบัติความ ผัดเพี้ยนนั้นแล้ว เป็นผู้รักษาความสัตย์ จง กลับมาอีก. พระมหาสัตว์มีกำลังดุจช้างสาร สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรง เสด็จถึง พระนครนั้นเร็วพลันดุจพระจันทร์พ้นจากปากราหู ฉะนั้น. แม้เสนาของ พระองค์ก็คิดว่า พระเจ้าสุตโสมเป็นบัณฑิตจักทรมานพระยาโปริสาท แล้ว รีบกลับมาดุจช้างตกมัน จึงพักอยู่นอกพระนคร เพราะเกรงครหาว่า ให้ พระราชาแก่โปริสาท แล้วพากันกลับ ครั้นเห็นพระมหาสัตว์เสด็จมาแต่ ไกล จึงลุกขึ้นต้อนรับถวายบังคม กระทำปฏิสันถารว่า ข้าแต่มหาราช โปริสาททำพระองค์ให้ลำบากบ้างหรือ ตรัสว่า กรรมที่แม้พระมารดาพระบิดาของเราทำได้ยาก โปริสาทก็ได้ทำแล้ว. พระจันทร์ว่องไวถึงปานนั้น ยังเชื่อเรา แล้วปล่อยเรา จึงตกแต่งพระราชาให้ประทับบนคอคชสาร แวดล้อมเข้าพระนคร. ชาวพระนครทั้งหมดเห็นพระมหาสัตว์ แล้วต่าง พากันยินดี. แม้พระมหาสัตว์ เพราะพระองค์สนพระทัยในธรรม จึงไม่เข้าเฝ้า พระมารดาพระบิดา เสด็จไปยังพระตำหนัก ตรัสเรียกหาพราหมณ์ ทรง กระทำสักการะสัมมานะใหญ่โตแก่พราหมณ์นั้น เพราะพระองค์ทรงหนัก ในธรรม พระองค์เองประทับนั่งบนอาสนะที่ต่ำ แล้วตรัสว่า ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าจะฟังสตารหคาถา ที่ท่านนำมาเพื่อเรา. พราหมณ์ในเวลาที่พระมหาสัตว์ทรงขอร้อง จึงเอาน้ำหอมพอกมือ แล้วนำคัมภีร์เป็นที่พอใจออก จากถุง จับด้วยมือทั้งสอง ทูลว่า ข้าแต่มหาราช ขอได้โปรดฟังเถิด พระเจ้าข้า เมื่อจะอ่านคัมภีร์

จึงได้กล่าวคาถาทั้งหลายว่า:- ข้าแต่พระเจ้าสุตโสม การสมาคมกับ สัตบุรุษ แม้คราวเดียวเท่านั้น การสมาคมนั้น ย่อมรักษาผู้นั้น การสมาคมมากกับอสัตบุรุษ ย่อมรักษาไม่ได้ ควรสมาคมกับสัตบุรุษเท่า นั้น ไม่ควรทำความคุ้นเคยกับอสัตบุรุษ รู้ สัทธรรมของสัตบุรุษประเสริฐกว่า ไม่ลามก เลย. ราชรถวิจิตรงดงามยังคร่ำคร่าได้ อนึ่ง แม้ร่างกายก็เข้าถึงความคร่ำคร่า แต่ธรรมของ สัตบุรุษ ไม่ถึงความคร่ำคร่า สัตบุรุษแล ย่อม ประกาศด้วยสัตบุรุษ ข้าแต่ราชา ฟ้าและ แผ่นดินไกลกัน ฝั่งข้างโน้นของมหาสมุทร เขาก็ว่าไกลกัน ธรรมของสัตบุรุษและธรรม ของอสัตบุรุษบัณฑิตทั้งหลาย กล่าวว่า ไกล กว่านั้น.

พระมหาสัตว์ทรงสดับดังนั้นแล้ว มีพระทัยยินดีว่า การมาของเรา มีผล ทรงดำริว่า คาถาเหล่านี้ ไม่ใช่สาวกกล่าว ไม่ใช่ฤๅษีกล่าว ไม่ใช่ กวีกล่าว ไม่ใช่เทวดากล่าว แต่พระสัพพัญญูนั่นแลกล่าวไว้. จะมีค่า อย่างไรหนอ? ทรงดำริต่อไปว่า แม้เราจะทำจักรวาลทั้งสิ้นนี้ จนถึง พรหมโลก ให้เต็มด้วยรตนะ ๗ ประการ แล้วให้ยังเป็นการทำอันไม่ สมควร. แต่เราพอที่จะให้ราชสมบัติ ในแคว้นกุรุประมาณ ๓๐๐ โยชน์ ในอินทปัตถนครประมาณ ๗ โยชน์ แก่พราหมณ์นั้นได้. แต่พราหมณ์นั้น ไม่มีส่วนที่จะครองราชสมบัติได้. เป็นความจริง ความเป็นผู้มีอานุภาพน้อย ปรากฏแก่พราหมณ์นั้น โดยมองดูลักษณะของอวัยวะ. เพราะฉะนั้น แม้ ให้ราชสมบัติไป ก็ไม่ดำรงอยู่ได้ในพราหมณ์นี้ จึงตรัสถามว่า ท่านอาจารย์ ท่านแสดงคาถาเหล่านี้แก่กษัตริย์ทั้งหลายเหล่าอื่น แล้วได้อะไร? ทูลว่า ข้าแต่มหาราชได้คาถาละร้อยๆ. ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า สตารหคาถา.

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ตรัสแก่พราหมณ์นั้นว่า ท่านอาจารย์ ท่านรับด้วย ตนเองยังไม่รู้ค่าของสินค้าที่เที่ยวไป. ท่านพราหมณ์ คาถาเหล่านี้มีค่า ๑,๐๐๐ มิใช่มีค่า ๑๐๐. ท่านจงรีบรับทรัพย์ ๔,๐๐๐ ไปเถิด. พระมหาสัตว์ทรงให้ทรัพย์ ๔,๐๐๐ และยานน้อยเป็นสุข ๑ คัน ส่งพราหมณ์นั้นไปด้วยสักการะและสัมมานะอันยิ่งใหญ่ ถวายบังคมพระมารดาพระบิดา แล้วทูลว่า หม่อมฉันได้ให้ปฏิญญาไว้แก่โปริสาทว่า เรา บูชาพระสัทธรรมรัตนะที่พราหมณ์นำมาแล้ว และทำสักการะและสัมมานะ แก่พราหมณ์นั้นแล้ว จะกลับมา จึงมาได้. สิ่งที่ควรทำควรปฏิบัติแก่ พราหมณ์ในข้อนั้น ได้ทำเสร็จแล้ว บัดนี้ หม่อมฉันจักไปหาโปริสาท.

พระมารดาพระบิดาทรงขอร้องว่า พ่อสุตโสม ลูกพูดอะไรอย่างนั้น. เรา จะจับโจรด้วยทหาร ๔ เหล่า. อย่าไปหาโจรเลยลูก. หญิงฟ้อน ๑๖,๐๐๐ แม้บริวารชนที่เหลือต่างก็พากันร่ำไห้ว่า ข้าแต่เทวะ พระองค์ทำให้พวก หม่อมฉันไร้ที่พึ่ง แล้วจะเสด็จไปไหน. ได้เกิดโกลาหลขึ้นอีกครั้งว่า ได้ ยินว่า พระราชาจะเสด็จไปหาโจรอีก. พระมหาสัตว์ตรัสว่า ธรรมดาการทำตามคำสัตย์ปฏิญญาเป็นหลัก ปฏิบัติของสาธุสัตบุรุษทั้งหลาย. แม้โปริสาทนั้นก็ยังเชื่อเรา แล้วปล่อย ออกมา. เพราะฉะนั้น เราจักไปละ ถวายบังคมพระมารดาพระบิดา แล้ว ทรงสั่งสอนชนที่เหลือ นางสนมกำนัลในเป็นต้น มีน้ำตานองหน้า ร่ำไห้ มีประการต่างๆ ตามส่งเสด็จออกจากพระนคร ทรงเอาไม้ขีดขวางทาง เพื่อ ให้ชนพากันกลับ ตรัสว่า ชนทั้งหลายอย่าล่วงเลยเส้นขีดของเรานี้ แล้ว ได้เสด็จไป. มหาชนไม่อาจละเมิดพระดำรัสของพระมหาสัตว์ผู้ทรงเดชได้ จึงคร่ำครวญกันแสงไห้ด้วยเสียงดัง แล้วพากันกลับ.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า:- อปุจฺฉิ มํ โปริสาโท ฯลฯ เอสา เม สจฺจปารมี คำแปลปรากฏแล้วในบาลี แปลข้างต้น. ในบทเหล่านั้น บทว่า กึ ตฺวํ อิจฺฉสิ นิสชฺชํ คือ ท่านปรารถนา จะให้ปล่อยจากเงื้อมมือของเราไปนครของตนหรือ? ท่านกล่าวว่า การพูด คำสัตย์ อันเราสะสมมานานแล้วในเมืองตักกศิลาเป็นต้น เพราะฉะนั้น เราจักทำตามใจชอบของท่าน คือ ทำตามชอบใจของท่าน. บทว่า ยทิ เม ตฺวํ ปุเนหิสิ คือ หากท่านจักกลับมาหาเราอีกโดยแน่นอน. บทว่า ปญฺเห อาคมนํ มม คือ เรารับการมาของเราแก่โปริสาทนั้น แล้วทำสัญญาว่า จักมาแต่เช้าตรู่ทีเดียว. บทว่า รชฺชํ นิยฺยาทยึ ตทา ความว่า ในกาลนั้น เราประสงค์จะไปหาโปริสาท จึงมอบราชสมบัติ ประมาณ ๓๐๐ โยชน์ แก่พระมารดาพระบิดาว่า ขอพระองค์ทรงปกครองราชสมบัติของพระองค์ เถิด. เพราะเหตุไร เราจึงมอบราชสมบัติ? เพราะระลึกถึงธรรมสัตบุรุษ. เพราะธรรมดาการทำตามคำสัตย์ปฏิญญา เป็นประเพณี เป็นวงศ์ตระกูล ของพระมหาโพธิสัตว์ผู้เป็นสัตบุรุษ คือเป็นคนดี. ฉะนั้น เราจึงระลึกถึง ธรรม คือสัจจบารมีนั้น อันเป็นของเก่ามีมาก่อน อันพระชินะทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ทรงเสพแล้ว เมื่อจะตามรักษาความสัตย์ จึงให้ ทรัพย์แก่พราหมณ์นั้น สละชีวิตของตนเข้าไปหาโปริสาท. บทว่า นตฺถิ เม สํสโย ตตฺถ ความว่า ในกาลไปหาโปริสาทนั้น เราไม่มีความสงสัย ว่า โปริสาทนี้จักฆ่าเรา หรือไม่หนอ? เรารู้อยู่ว่า โปริสาทนั้นดุร้ายป่าเถื่อน เตรียมฆ่ากษัตริย์ ๑๐๐ กับเรา ทำพลีกรรมแก่เทวดา จักฆ่าท่าเดียว จึง ตามรักษาสัจวาจาอย่างเดียว สละชีวิตของตนเข้าไปหาโปริสาทนั้น เพราะ เรื่องเป็นอย่างนี้เเหละ ฉะนั้น ผู้เสมอด้วยสัจจะของเราจึงไม่มี. นี้เป็น สัจบารมี ถึงความเป็นปรมัตถบารมีของเรา ด้วยประการฉะนี้.

อนึ่ง เมื่อพระมหาสัตว์เข้าไปหา โปริสาท แล้วเห็นพระพักตร์ของ พระมหาสัตว์นั้น มีสง่าดุจกลีบบัวแย้ม จึงคิดว่า พระเจ้าสุตโสมนี้ ไม่ กลัวตาย จึงมา. นี้เป็นอานุภาพของอะไรหนอ? จึงสันนิษฐานว่า พระเจ้าสุตโสมนี้ เป็นผู้มีเดชและไม่กลัวตายอย่างนี้ เห็นจะเป็นเพราะฟังธรรม นั้นกระมัง. แม้เราฟังธรรมนั้นแล้ว ก็จักเป็นผู้มีเดชและไม่กลัวตายเหมือน กัน จึงกล่าวกะพระมหาสัตว์ว่า ข้าพเจ้าขอฟังสตารหคาถาที่ท่านไปพระนคร ของตนเพื่อจะฟัง. พระโพธิสัตว์ทรงสดับดังนั้น ทรงดำริว่า โปริสาทนี้ มีธรรมลามก. เราจักข่มให้ละอายเสียหน่อยหนึ่ง แล้วจึงจักกล่าว จึงตรัสว่า:- สัจจะย่อมไม่มี แก่ผู้ไม่มีธรรม ผู้ หยาบคาย ผู้มีฝ่ามือเต็มไปด้วยเลือดเป็นนิจ ธรรมจะมีได้แต่ไหน. ท่านจักฟังไปทำไม.

เมื่อโปริสาทเกิดความตั้งใจจะฟังด้วยดี จึงตรัสว่า:- ชนทั้งหลายฟังธรรมแล้ว ย่อมรู้ดีและ ชั่ว อนึ่ง ใจของเรายินดีในธรรม ก็เพราะ ฟังคาถาทั้งหลาย ดังนี้. พระมหาสัตว์ทรงดำริว่า โปริสาทนี้ เกิดความสนใจใคร่จะฟังอย่างยิ่ง เอาเถิดเราจักกล่าวคาถาแก่เขา. จึงตรัสว่า สหาย ถ้าเช่นนั้นท่านจงฟังให้ดี จงใส่ไว้ในใจ แล้วทรงสดุดีคาถาทั้งหลาย ทำนองเดียวกับที่นันทพราหมณ์ กล่าวโดยเคารพ เกิดโกลาหลเป็นอันเดียวกันในสวรรค์ชั้นกามาวจร ๖ ชั้น เมื่อทวยเทพซ้องสาธุการ

พระมหาสัตว์ จึงทรงแสดงธรรมแก่โปริสาทว่า:- มหาราช การสมาคมกับสัตบุรุษคราว เดียวเท่านั้น การสมาคมนั้นย่อมรักษาผู้นั้น การสมาคมกับอสัตบุรุษมาก ย่อมไม่รักษา ฯลฯ ธรรมของสัตบุรุษและธรรมของอสัตบุรุษ บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า ไกลกว่านั้น.

เมื่อโปริสาทนั้น ฟังคาถาทั้งหลาย เพราะพระมหาสัตว์ตรัสดีแล้ว และเพราะบุญญานุภาพของตน สกลกายจึงเต็มไปด้วยปีติมีองค์ . โปริสาท มีจิตอ่อนโยนในพระโพธิสัตว์กล่าวว่า สุตโสม ผู้สหายเราไม่เห็นเงิน เป็นต้น ที่เป็นของควรให้. เราจักให้พรอย่างหนึ่งๆ ในคาถาหนึ่งๆ มีสี่คาถา พรสี่ข้อ. ลำดับนั้น พระมหาสัตว์รุกรานโปริสาทว่า ท่านไม่รู้ประโยชน์ แม้ของตน จักให้พรแก่ผู้อื่นได้อย่างไร? ครั้นโปริสาทขอร้องอีกว่า ท่านจง รับพรเถิด. พระมหาสัตว์ จึงขอพรข้อแรกว่า เราพึงเห็นโปริสาทไม่มีโรค ตลอดกาลนาน. โปริสาทดีใจว่า พระเจ้าสุตโสมนี้ เมื่อเราประสงค์จะฆ่า กินเนื้อในบัดนี้ ยังปรารถนาชีวิตของเราผู้ทำความมหาพินาศอีก ไม่รู้ว่า ถูกลวงรับพร จึงได้ให้ไป. จริงอยู่พระมหาสัตว์ เพราะพระองค์เป็นผู้ฉลาด ในอุบาย ทรงขอชีวิตของพระองค์ โดยอ้างใคร่ขอให้โปริสาทมีชีวิตอยู่ ตลอดกาลนาน. ต่อไป จึงตรัสขอพรข้อที่ ๒ ว่า ขอท่านจงให้ชีวิตแก่ กษัตริย์ทั้งหลายมากกว่า ๑๐๐. ขอให้ปล่อยกษัตริย์เหล่านั้นกลับแว่นแคว้น ของตน เป็นพรข้อที่ ๓. ขอให้โปริสาทเว้นจากการกินเนื้อมนุษย์ เป็นพร ข้อที่ ๔. โปริสาทให้พร ๓ ข้อ ประสงค์จะไม่ให้พรข้อที่ ๔ แม้กล่าวว่า ท่านจงขอพรข้ออื่นเถิด ก็ถูกพระมหาสัตว์ทรงแค่นได้ จึงได้ให้พรข้อที่ ๔ นั้นจนได้.

ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ทรงทำให้โปริสาทหมดพยศ จึงให้โปริสาท ปล่อยพระราชาทั้งหลาย แล้วให้โปริสาทนอนลงบนพื้นดินค่อยๆ ดึงเชือก ออก ดุจดึงเส้นด้ายออกจากหูของพวกเด็กๆ ให้โปริสาทนำหนังมาแผ่นหนึ่ง ถูกับหิน แล้วทรงทำสัจกิริยาทาที่ฝ่าพระหัตถ์ของกษัตริย์เหล่านั้น. ความ ผาสุกก็ได้มีในขณะนั้นเอง.

พระโพธิสัตว์ประทับอยู่ ณ ที่นั้น ๒-๓ วัน ทรงให้โปริสาทเยียวยากษัตริย์เหล่านั้นให้หายโรค แล้วให้ทำความสนิทสนม ฉันมิตร มีความไม่ทำลายกันกับกษัตริย์เหล่านั้น แล้วทรงนำโปริสาทนั้น ไปกรุงพาราณสี พร้อมด้วยกษัตริย์เหล่านั้น ให้ดำรงอยู่ในราชสมบัติ ทรง ประทานโอวาทว่า ขอท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด แล้วทรงส่ง พระราชาเหล่านั้นไปยังนครของตนๆ ทรงแวดล้อมด้วยหมู่จาตุรงคเสนา ของพระองค์ ซึ่งมาจากอินทปัตถนคร เสด็จกลับพระนครของพระองค์ ชนชาวพระนคร ต่างยินดีเบิกบานห้อมล้อม เสด็จเข้าภายในพระนคร ถวายบังคมพระมารดาพระบิดา แล้วเสด็จขึ้นสู่พื้นใหญ่.

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ทรงให้สร้างศาลาทาน ๖ แห่ง ทรงบริจาค มหาทานทุกวัน ทรงบำเพ็ญศีลรักษาอุโบสถ เพิ่มพูนบารมีทั้งหลาย. แม้ พระราชาเหล่านั้น ก็ทรงตั้งอยู่ในโอวาทของพระมหาสัตว์ ทรงทำบุญมีทาน เป็นต้น เมื่อสวรรคตก็เสด็จสู่สวรรค์.

พระยาโปริสาทในครั้งนั้น ได้เป็นพระองคุลิมาลเถระในครั้งนี้. กาฬหัตถิอำมาตย์ คือ พระสารีบุตรเถระ. นันทพราหมณ์ คือ พระอานนทเถระ. รุกขเทวดา คือ พระมหากัสสปเถระ. พระราชาทั้งหลาย คือ พุทธบริษัท. พระมารดาพระบิดา คือ ตระกูลมหาราช. พระเจ้าสุตโสมมหาราช คือ พระโลกนาถ.

พึงเจาะจงกล่าว แม้บารมีที่เหลือของพระมหาสัตว์นั้น โดยนัยดัง ได้กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล. อนึ่ง พึงประกาศคุณานุภาพของพระมหาสัตว์ ดุจในอรรถกถาอลีนสัตตุจริยา ด้วยประการฉะนี้.

จบ อรรถกถาสุตโสมจริยาที่ ๑๒

กลับที่เดิม