โสณนันทปัณฑิตจริยาที่ ๕

ว่าด้วยจริยาวัตรของโสณนันทบัณฑิต [๒๕] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเกิดในตระกูลมหาศาลอันประเสริฐสุด อยู่ในพระนครพรหมวัทธนะ ในกาลนั้น เราเห็นสัตว์โลกเป็นผู้ถูก ความมืดครอบงำ จิตของเราเบื่อหน่ายจากภพ เหมือนช้างถูกสับด้วย ขอสลดใจ ฉะนั้น เราเห็นความลามกต่างๆ อย่างนี้ จึงคิดอย่างนี้ ในกาลนั้นว่าเมื่อไร เราจึงจะออกไปจากเรือนแล้วเข้าป่าได้ แม้ใน กาลนั้น พวกญาติก็เชื้อเชิญเราด้วยกามโภคะทั้งหลาย เราได้บอก ความพอใจแม้แก่เขาเหล่านั้นว่า อย่าเชื้อเชิญเราด้วยสิ่งเหล่านั้นเลย น้องชายของเราเป็นบัณฑิตชื่อว่านันทะ แม้เขาก็ศึกษาตามเราชอบใจ บรรพชา แม้ในกาลนั้น เราคือโสณบัณฑิต นันทบัณฑิต และมารดา บิดาทั้งสองของเราก็ละทิ้งโภคสมบัติทั้งหลายแล้วเข้าป่าใหญ่ ฉะนี้ แล. จบโสณนันทปัณฑิตจริยาที่ ๕

อรรถกถาโสณนันทปัณฑิตจริยาที่ ๕

พึงทราบวินิจฉัยในโสณนันทปัณทิตจริยาที่ ๕ ดังต่อไปนี้. บทว่า นคเร พฺรหฺมวฑฺฒเน คือในนครชื่อว่าพรหมวัทธนะ. บทว่า กุลวเร คือในตระกูล เลิศ. บทว่า เสฏฺเฐ คือน่าสรรเสริญที่สุด. บทว่า มหาสาเล คือมหาศาล. บทว่า อชายหํ คือเราได้เกิดแล้ว ท่านอธิบายไว้ว่าในกาลนั้น เราได้ เกิดในกรุงพาราณสีอันได้ชื่อว่าพรหมวัทธนะ. ได้เกิดในตระกูลพราหมณ์ มหาศาล เพราะมีสมบัติถึง ๘๐ โกฏิ เป็นผู้เลิศโดยความเป็นผู้สูงด้วยเป็น อภิชาตบุตร เป็นผู้ประเสริฐโดยความเป็นผู้มีวิชา. ได้ยินว่า

ในกาลนั้น พระมหาสัตว์ จุติจากพรหมโลกบังเกิด เป็นบุตรของพราหมณ์มหาศาลคนหนึ่งมีสมบัติ ๘๐ โกฏิ ในพรหมวัทธนนคร. ในวันตั้งชื่อกุมารนั้นมารดาบิดาตั้งชื่อว่า โสณกุมาร. ครั้นโสณกุมาร นั้นเดินได้ สัตว์อื่นจุติจากพรหมโลกได้ถือปฏิสนธิในครรภ์ของมารดาพระโพธิสัตว์ชื่อว่า นันทกุมาร. มารดาบิดาเห็นรูปสมบัติของบุตรทั้งสอง ผู้ เจริญวัยเรียนพระเวท สำเร็จศิลปะทุกอย่าง ยินดีร่าเริงคิดว่า จักผูกพันให้ อยู่ครองเรือน ได้กล่าวกะโสณกุมารก่อนว่า ลูกรักพ่อแม่จักนำทาริกาจาก ตระกูลที่สมควรมาให้ลูก. ลูกจงปกครองสมบัติเถิด. พระมหาสัตว์กล่าวว่า ลูกไม่ต้องการอยู่ครองเรือน. ลูกจะปฏิบัติ พ่อแม่ตลอดชีวิต เมื่อพ่อแม่ล่วงลับแล้วลูกจักบวช. เพราะในกาลนั้น ภพแม้ ทั้งสามได้ปรากฏแก่พระมหาสัตว์ดุจเรือนถูกไฟไหม้ และดุจอยู่ในหลุมถ่าน เพลิง. อนึ่งโดยความพิเศษอย่างยิ่ง พระมหาสัตว์มีอัธยาศัยในเนกขัมมะ ได้น้อมใจไปในการบวช. มารดาบิดาไม่ทราบความประสงค์ของพระมหาสัตว์ แม้กล่าวอยู่บ่อยๆ ก็มิได้ทำใจของพระโพธิสัตว์นั้นให้เห็นดีงามได้ จึงเรียก นันทกุมารมากล่าวว่า ลูกรักถ้าเช่นนั้นลูกจงปกครองทรัพย์สมบัติเถิด แม้ นันทกุมารก็กล่าวว่า ลูกไม่เอาศีรษะรับน้ำลายที่พี่ชายของลูกถ่มทิ้งไว้. แม้ ลูกก็จะบวชกับพี่ชาย เมื่อพ่อแม่ล่วงลับไป. มารดาบิดาจึงคิดว่า คนหนุ่มๆ เหล่านี้ยังจะละกามทั้งหลายอย่างนี้ได้. ก็เราทำไมจะละไม่ได้เล่า ด้วยเหตุนั้น เราทั้งหมดจักบวช. จึงกล่าวว่า ลูกรักประโยชน์อะไรของพวกลูกที่จะบวช ต่อเมื่อพ่อแม่ล่วงลับไป. พ่อแม่จักบวชพร้อมกับลูกด้วย แล้วให้สิ่งที่ควรให้ แก่พวกญาติ ทำทาสให้เป็นไททูลแด่พระราชา สละทรัพย์ทั้งหมดบริจาค มหาทาน ชนทั้ง ๔ ออกจากพรหมวัทธนนครอาศัยสระใหญ่ดารดาษด้วย บัวหลวงบัวขาวในหิมวันตประเทศสร้างอาศรมในราวป่าน่ารื่นรมย์ พากัน บวชอยู่ ณ ที่นั้น.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า:- ตทาปิ โลกํ ทิสฺวาน ฯลฯ ปาวิสิมฺหา มหาวนํ. คำแปลปรากฏแล้วในบาลีแปลข้างต้น. ในบทเหล่านั้น บทว่า ตทาปิ คือในครั้งเราได้เป็นพราหมณกุมารชื่อว่า โสณะ ในพรหมวัทธนนคร. บทว่า โลกํ ทิสฺวาน คือเห็นสัตวโลกแม้ทั้งสิ้น ด้วยปัญญาจักษุ. บทว่า อนฺธีภูตํ คือถึงความมืดด้วยปราศจากปัญญาจักษุ. บทว่า ตโมตฺถฏํ คือถูกความมืดครอบงำ. บทว่า จิตฺตํ ภวโต ปติกุฏติ คือ จิตของเราเบื่อหน่ายหดหู่ ท้อแท้จากภพมีกามภพเป็นต้น ด้วยพิจารณาวัตถุให้ เกิดสังเวชมีชาติเป็นต้น. บทว่า ตุตฺตเวคหตํ วิย เหมือนช้างถูกสับด้วยขอ ด้วยกำลัง หัวมีหนามเหล็กเรียกว่า ตุตฺตะ ไม้ยาวเรียกว่า ปโตทะ. ช้าง อาชาไนยถูกสับด้วยขอนั้นด้วยกำลัง เป็นผู้ถึงความสลดใจ ฉันใด จิตของเรา ถึงความสลดด้วยการพิจารณาโทษของกาม ฉันนั้น. ท่านแสดงไว้ดังนี้. บทว่า ทิสฺวาน วิวิธํ ปาปํ เราเห็นความลามกหลายๆ อย่าง คือ เราเห็นความลามกของสัตว์เหล่านั้น ผู้มีกรรมลามกมีปาณาติบาตเป็นต้น และนิมิตของกรรมลามกนั้นหลายๆ อย่าง ที่ผู้ครองเรือนทั้งหลายกระทำด้วย อำนาจอคติมีฉันทาคติ และโทสาคติเป็นต้น อันเป็นนิมิติของผู้ครองเรือน. บทว่า เอวํ จินฺเตสหํ ตทา คือเราจึงคิดในขณะที่เป็นโสณกุมารอย่างนี้ว่า เมื่อไรหนอเราจึงจะตัดความผูกพันในเรือน ดุจช้างใหญ่ตัดเครื่องผูกทำด้วย เหล็กได้ฉะนั้น แล้วเข้าป่าด้วยการออกจากเรือน. บทว่า ตทาปิมํ นิมนฺตึสุ แม้ในกาลนั้นพวกญาติเชื้อเชิญเรา คือ มิใช่ในขณะที่เราเป็นอโยฆรบัณฑิต อย่างเดียวเท่านั้น. ที่จริงแล้ว แม้ในขณะที่เราเป็นโสณกุมารนั้น ญาติทั้ง หลายมีมารดาบิดาเป็นต้น ผู้บริโภคกาม ผู้มีอัธยาศัยในกาม เชื้อเชิญเรา ด้วยโภคะอันมากมายว่า ลูกเอ๋ย ลูกจงมาปกครองทรัพย์สมบัติ ๘๐ โกฏินี้ เถิด. จงดำรงวงศ์ตระกูลเถิด. บทว่า เตสมฺปิ ฉนฺทมาจิกฺขึ คือเราได้บอก ความพอใจของตนแก่ญาติของเราแม้เหล่านั้นว่า ท่านทั้งหลายอย่าเชื้อเชิญ เราด้วยกามโภคะเหล่านั้นเลย. เราได้บอกถึงอัธยาศัยที่น้อมไปในบรรพชา. อธิบายว่า พวกท่านจงปกครองตามอัธยาศัยเถิด. บทว่า โสปิ มํ อนุสิกฺขนฺโต แม้นันทกุมารนั้นก็ศึกษาตามเรา ความว่า เราพิจารณาถึงโทษในกามทั้ง หลายมีหลายประการ โดยนัยมีอาทิว่า ชื่อว่ากามทั้งหลายเหล่านี้มีความยินดี น้อย มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก แล้วศึกษาศีลเป็นต้น ชอบใจการบวช. แม้นันทบัณฑิตนั้นก็ศึกษาตามเรา ด้วยการออกบวชของเขาอย่างนั้น ย่อม ชอบใจการบวช. บทว่า อหํ โสโณ จ นนฺโท จ คือในกาลนั้นเราคือ โสณะ และนันทะน้องชายของเรา. บทว่า อุโภ มาตาปีตา มม คือมารดา และบิดาของเราเกิดความสลดใจว่า บุตรเหล่านี้ยังละกามทั้งหลายได้แม้ใน เวลาเป็นหนุ่มอย่างนี้ ก็เราทำไมจะละไม่ได้เล่า. บทว่า โภเค ฉฑฺเฑตฺวา ความว่า เราทั้ง ๒ คนไม่คำนึงถึงมหาโภคะสมบัติ ๘๐ โกฏิ สละได้ดุจ ก้อนน้ำลาย เข้าป่าใหญ่ในหิมวันตประเทศ ด้วยอัธยาศัยมุ่งต่อบรรพชา.

ก็ครั้นเข้าไปแล้ว ได้สร้างอาศรมอยู่ ณ ภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์นั้นบวช เป็นดาบสอยู่ ณ ที่นั้น. พี่น้องสองคนบำรุงมารดาบิดา. นันทบัณฑิตคิดว่า เราจักให้มารดาบิดาบริโภคผลาผลที่เรานำมาเท่านั้น จึงนำผลาผลที่เหลือเมื่อ วานนี้และในที่ที่ตนหาอาหารในวันก่อนๆ มาแต่เช้าตรู่ให้มารดาบิดาบริโภค. มารดาบิดาบริโภคผลาผลเหล่านั้นแล้วบ้วนปากรักษาอุโบสถ. ส่วนโสณบัณฑิต ไปไกลหน่อยนำผลไม้ที่สุกดีแล้ว มีรสเอร็ดอร่อยน้อมเข้าไปให้มารดาบิดา. ลำดับนั้น มารดาบิดากล่าวกะโสณบัณฑิตว่า ลูกเอ๋ย เราบริโภคผลาผล ที่น้องนำมาแล้วจึงรักษาอุโบสถ. บัดนี้เราไม่ต้องการแล้ว. ผลาผลของนันทบัณฑิตนั้น ไม่ได้บริโภคจึงเสีย แม้ในวันรุ่งขึ้น ก็อย่างนั้นเหมือนกัน ด้วย ประการอย่างนี้ นันทบัณฑิตจึงไปไกลนำมาเพราะได้อภิญญา . แต่มารดา บิดาก็ยังไม่บริโภค. ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ดำริว่า มารดาบิดาเป็นคนแบบบาง. ก็นันทะ นำผลาผลดิบบ้าง สุกไม่ดีบ้าง มาให้มารดาบิดาบริโภค. เมื่อเป็นเช่นนั้น มารดาบิดาจักอยู่ได้ไม่นาน. เราจักห้ามนันทะนั้น.

จึงเรียกนันทะมากล่าว ว่า ดูก่อนนันทะ ตั้งแต่นี้ไปน้องจะนำผลาผลมา จงรอให้พี่กลับก่อน เราจัก ให้มารดาบิดาบริโภคร่วมกัน. แม้เมื่อโสณบัณฑิตกล่าวอย่างนี้แล้ว นันทบัณฑิตหวังได้บุญจึงไม่ทำตาม. พระมหาสัตว์ปรบมือไล่นันทบัณฑิตผู้มาบำรุง มารดาบิดากล่าวว่า น้องไม่ทำตามคำของบัณฑิต พี่เป็นพี่. มารดาบิดาเป็น ภาระของพี่เอง พี่จักบำรุงมารดาบิดาเอง น้องจงไปจากที่นี้ไปอยู่เสียที่อื่น.

นันทบัณฑิตถูกพี่ชายไล่ไม่อาจอยู่ในที่นั้นได้ จึงไหว้พระโพธิสัตว์ แล้วบอกเรื่องราวแก่มารดาบิดาเข้าไปยังบรรณศาลาของตน เพ่งกสิณในวัน นั้นเอง ยังสมาบัติ ๘ และอภิญญา ๕ ให้เกิด แล้วคิดว่า เราจักนำทรายรัตนะ มาจากเชิงเขาสิเนรุ เกลี่ยบริเวณบรรณศาลาของพี่ชายของเราแล้วขอขมา หรือว่านำน้ำมาจากสระอโนดาตแล้วจึงขอขมา. หรืออีกอย่างหนึ่งพี่ชายของ เราพึงยกโทษให้ด้วยอำนาจแห่งเทวดา เราจักนำมหาราช ๔ และท้าวสักกเทวราชมาแล้วจึงขอขมา อย่างนี้ก็ไม่งาม. พระราชาเมืองพรหมวัทธนะ พระนามว่า มโนชะ นี้เป็นพระอัครราชาทั่วชมพูทวีป เราจักนำพระราชา ทั้งหมด ตั้งต้นแต่พระเจ้ามโนชะนั้นมาแล้วขอขมา เมื่อเป็นอย่างนี้คุณของพี่ ชายของเราจักครอบงำไปทั่วชมพูทวีป และจักปรากฏดุจดวงจันทร์และดวงอาทิตย์.

ทันใดนั้นเองนันทบัณฑิตได้ไปด้วยฤทธิ์ ลงที่ประตูพระราชนิเวศน์ ของพระราชานั้นในพรหมวัทธนนคร ให้คนไปทูลแด่พระราชาว่า มีดาบส องค์หนึ่งประสงค์จะเฝ้าพระองค์ ครั้นพระราชทานโอกาสให้เข้าเฝ้าได้ จึง เข้าไปเฝ้าทูลว่า อาตมภาพจะยึดราชสมบัติทั่วชมพูทวีป ด้วยกำลังของตนนำ มาถวายพระองค์. พระราชาตรัสถามว่า พระคุณท่านจะยึดราชสมบัติทั่ว ชมพูทวีปมาให้ได้อย่างไร. ทูลว่า มหาราชอาตมาภาพจะไม่ฆ่าใครๆ จะยึด ด้วยฤทธิ์ของตนเท่านั้นแล้วนำมาถวาย แล้วพาพระราชาพร้อมด้วยเสนา หมู่ใหญ่ไปถึงแคว้นโกศล พักค่ายไว้ไม่ไกลพระนคร ส่งทูตไปทูลแด่พระเจ้าโกศลว่า จะรบหรือจะยอมอยู่ในอำนาจ. เมื่อการรบกับพระเจ้าโกศลซึ่ง ทรงพิโรธเตรียมการรบเสด็จออกมาเริ่มขึ้นแล้ว ด้วยฤทธานุภาพของตน นันทบัณฑิตได้นำโดยที่นักรบทั้งสองฝ่ายมิได้ทำร้ายกัน. แล้วตระเตรียมด้วย การนำคำโต้ตอบกันโดยที่พระเจ้าโกศล ทรงยอมอยู่ในอำนาจของพระราชา นั้น. โดยอุบายนี้ นันทบัณฑิตยังพระราชาทั่วชมพูทวีปให้ตกอยู่ในอำนาจ ของพระราชานั้นหมดสิ้น. พระราชานั้นทรงยินดีกับนันทบัณฑิต ตรัสกะนันทบัณฑิตว่า ข้าแต่ ท่านผู้เจริญ พระคุณท่านได้ทำเหมือนอย่างที่ปฏิญญาไว้แล้ว. พระคุณท่าน เป็นผู้มีอุปการะมากแก่ข้าพเจ้า. ข้าพเจ้าจักทำอะไรตอบแทนพระคุณท่าน ได้เล่า. ข้าพเจ้าปรารถนาจะให้ราชสมบัติกึ่งหนึ่งในชมพูทวีปทั้งสิ้นแก่พระคุณท่าน. การกำหนดช้าง ม้า รถ แก้วมณี แก้วมุกดา แก้วประพาฬ เงิน ทอง ทาสหญิง ทาสชาย และบริวารชนจะทำอย่างไร. นันทบัณฑิตได้ฟังดัง นั้นทูลว่า มหาราชอาตมาภาพไม่ต้องการราชสมบัติ. แม้พาหนะช้างเป็นต้นก็ ไม่ต้องการ. ก็แต่ว่ามารดาบิดาของอาตมาบวชอยู่ในอาศรมโน้นในแคว้น ของพระองค์. อาตมาภาพบำรุงมารดาบิดาเหล่านั้น ถูกโสณบัณฑิตพี่ชาย ของอาตมา ผู้แสวงหาคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ไล่ในเพราะความผิดอย่างหนึ่ง. อาตมาภาพจักพาพระองค์ไปหาพี่ชายขอขมา. ขอพระองค์จงทรงเป็นเพื่อน ในการให้พี่ชายของอาตมายกโทษให้เถิด. พระราชาทรงรับแวดล้อมด้วย นักรบมีประมาณ ๒๔ อักโขภินีกับพระราชาร้อยเอ็ด นันทบัณฑิตนำหน้า ครั้นถึงอาศรมบทนั้น จึงปล่อยระยะไว้สี่อังคุละ นำน้ำมาจากสระอโนดาด ด้วยเครื่องหาบซึ่งตั้งอยู่บนอากาศ เตรียมน้ำดื่ม กวาดบริเวณ แล้วเข้าไปหา พระมหาสัตว์ ผู้อิ่มด้วยความยินดีในฌานนั่งอยู่ใกล้มารดาบิดา แล้วขอขมา. พระมหาสัตว์ให้นันทบัณฑิตดูแลมารดา ตนเองบำรุงบิดาจนตลอด ชีวิต.

พระมหาสัตว์แสดงธรรมแด่พระราชาเหล่านั้นด้วยพุทธลีลาว่า:- ความยินดีความบันเทิง อันผู้รู้พึงได้ เพราะบำรุงบำเรอมารดาให้ท่านหัวเราะแจ่มใส อยู่ทุกเมื่อ. ความยินดีความบันเทิง อันผู้รู้พึงได้ เพราะบำรุงบำเรอบิดาให้ท่านหัวเราะแจ่มใสอยู่ ทุกเมื่อ. การสงเคราะห์เหล่านี้แลในโลก ตามสมควรในธรรมนั้นๆ คือ การให้ การเจรจาถ้อย คำอ่อนหวาน การประพฤติเป็นประโยชน์ การ วางตนเสมอต้นเสมอปลาย ดุจลิ่มรถที่แล่น ไปฉะนั้น. การสงเคราะห์เหล่านี้ไม่พึงมี มารดาย่อม ไม่ได้การนับถือหรือการบูชา เพราะเหตุแห่ง บุตร. หรือบิดาย่อมไม่ได้การนับถือหรือการบูชา เพราะเหตุแห่งบุตร. เพราะบัณฑิตทั้งหลาย เพ่งเล็งโดยชอบ ถึงการสงเคราะห์เหล่านี้ ฉะนั้นจึงถึงความเป็น ผู้ยิ่งใหญ่และได้ความสรรเสริญ. มารดาบิดาท่านกล่าวว่าเป็นพรหม เป็น บุรพาจารย์และเป็นผู้ควรบูชาของบุตรทั้งหลาย เป็นผู้อนุเคราะห์สัตว์. เพราะฉะนั้นแล บัณฑิตพึงนอบน้อม พึง สักการะมารดาบิดาเหล่านั้น ด้วยข้าว ด้วยน้ำ ด้วยผ้า ด้วยที่นอน ด้วยเครื่องนุ่งห่ม ด้วย น้ำอาบ และด้วยการล้างเท้า. บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมสรรเสริญบุคคลนั้น ในโลกนี้ ด้วยการบำรุงบำเรอในมารดาบิดาทั้ง หลาย. บุคคลนั้นละจากโลกนี้ไปแล้วย่อม บันเทิงในสวรรค์ พระราชาทั้งหมดเหล่านั้นครั้นได้ฟังดังนั้นแล้ว ก็ทรงเลื่อมใสพร้อม กับกองพล.

ลำดับนั้นพระโพธิสัตว์ยังพระราชาเหล่านั้นให้ตั้งอยู่ในศีล ๕ แล้วให้โอวาทว่า ขอท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาทในทานเป็นต้นเถิด. แล้วก็ปล่อยไป. พระราชาเหล่านั้นทั้งหมดทรงครองราชสมบัติโดยธรรม ครั้นสวรรคตก็ไปบังเกิดในสวรรค์. พระโพธิสัตว์ให้นันทบัณฑิตดูแลมารดา ด้วยกล่าวว่า ตั้งแต่นี้น้องจงบำรุงมารดาตนเองบำรุงบิดาจนตลอดชีวิต. ทั้ง สองพี่น้องเมื่อถึงแก่กรรมก็ไปเกิดบนพรหมโลก.

มารดาบิดาในครั้งนั้นได้เป็นตระกูลมหาราชในครั้งนี้. นันทบัณฑิต คือพระอานนทเถระ. พระราชาคือพระสารีบุตรเถระ. พระราชาร้อยเอ็ดคือ พระอสีติมหาเถระ และพระเถระรูปอื่นๆ บริษัท ๒๔ อักโขภินีคือพุทธบริษัท. โสณบัณฑิต คือพระโลกนาถ.

เนกขัมมบารมียอดเยี่ยมอย่างยิ่งของโสณบัณฑิตนั้นก็จริง แม้ถึงอย่าง นั้นก็พึงเจาะจงกล่าวถึงบารมีที่เหลือโดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล. อนึ่ง พึงประกาศคุณานุภาพของพระมหาสัตว์มีอาทิอย่างนี้คือ ความเป็นผู้ ไม่คำนึงในกามทั้งหลายโดยสิ้นเชิง. ความเป็นผู้มีความเคารพยำเกรง อย่าง แรงกล้าในมารดาบิดาทั้งหลาย ความไม่อิ่มด้วยการบำรุงมารดาบิดา. แม้เมื่อ มีการบำรุงมารดาบิดาเหล่านั้นอยู่ ก็ยังกาลเวลาทั้งหมดให้น้อมไปด้วยสมาบัติ วิหารธรรม ด้วยประการฉะนี้.

จบ อรรถกถาโสณนันทปัณฑิตจริยาที่ ๕

กลับที่เดิม