สัจจสวหยปัณฑิตจริยาที่ ๘

ว่าด้วยจริยาวัตรของสัจจดาบส [๒๘] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นดาบสปรากฏ นามว่าสัจจะ เรารักษา สัตว์โลกไว้ด้วยคำสัจ ได้ทำหมู่ชนให้สามัคคีกัน ฉะนี้แล. จบสัจจสวหยปัณฑิตจริยาที่ ๘

อรรถกถาสัจจสวหยปัณฑิตจริยาที่

พึงทราบวินิจฉัยในอรรถกถาสัจจสวหยปัณฑิตจริยาที่ ๘ ดังต่อไปนี้. บทว่า ตาปโส สจฺจสวฺหย ปณฺฑิตจริยา คือในกาลเมื่อเราเป็นดาบส ชื่อว่า สัจจะ ที่เขาเรียกกันด้วย สจฺจ ศัพท์. บทว่า สจฺเจน โลกํ ปาเลสึ คือ เรารักษาสัตวโลก หมู่สัตว์ในชมพูทวีปนั้นๆ จากบาปและจากความพินาศ หลายๆ อย่าง ด้วยความไม่พูดเท็จของตน. บทว่า สมคฺคํ ชนมกาสหํ ความว่า เราได้ทำให้มหาชนที่ทะเลาะกัน เถียงกัน วิวาทกันในที่นั้นๆ ให้ สามัคคีกัน ไม่วิวาทกัน บันเทิงกันด้วยแสดงถึงโทษในการทะเลาะกัน แล้ว กล่าวถึงอานิสงส์ในความสามัคคี.

ได้ยินว่าในกาลนั้นพระโพธิสัตว์อุบัติในตระกูลพราหมณ์มหาศาล ตระกูลหนึ่งในกรุงพาราณสี ชื่อว่า สัจจะ. พระโพธิสัตว์ครั้นเจริญวัย ได้ไปยังเมืองตักกศิลา เรียนศิลปะในสำนักของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ไม่ช้า ก็สำเร็จศิลปะทุกอย่าง อาจารย์อนุญาต จึงกลับกรุงพาราณสี ไหว้มารดาบิดา มารดาบิดาชื่นชมยินดี เพื่อรักษาน้ำใจของมารดาบิดา จึงอยู่กับมารดาบิดาสิ้นวันเล็กน้อย. ลำดับนั้นมารดาบิดาประสงค์จะหาภริยาที่สมควรให้ จึงมอบสมบัติทั้งหมดให้ แล้วเชื้อเชิญพระโพธิสัตว์นั้นให้อยู่ครองเรือน. พระมหาสัตว์มีอัธยาศัยในการออกบวช ประสงค์จะเพิ่มพูนเนกขัมมบารมีของตน จึงกล่าวถึงโทษในการครองเรือน และอานิสงส์ในการ บรรพชา โดยประการต่างๆ เมื่อมารดาบิดามีหน้าอาบด้วยน้ำตา ร้องไห้อยู่ ได้ละกองสมบัติอันหาประมาณมิได้ ยศอันสูงส่ง และวงศ์ใหญ่หมู่ใหญ่ ตัด ความผูกพันทางเรือน ดุจช้างใหญ่ทำลายเครื่องผูกเหล็กฉะนั้น ออกแล้ว เข้าไปยังหิมวันตประเทศ บวชเป็นฤๅษี เลี้ยงชีวิตด้วยรากไม้และผลาผลใน ป่า ไม่ช้าก็ยังสมาบัติ ๘ และอภิญญา ๕ ให้เกิด เพลิดเพลินกับฌานอยู่ด้วย วิหารสมาบัติ. วันหนึ่ง พระโพธิสัตว์ตรวจดูโลกด้วยทิพยจักษุ ได้เห็นพวกมนุษย์ โดยมากขวนขวายในอกุศลกรรมบถ ๑๐ มีปาณาติบาตเป็นต้น ทะเลาะกัน และกัน มีกามเป็นตัวเหตุ.

ครั้นเห็นแล้วจึงคิดอย่างนี้ว่า การที่เห็นสัตว์ เหล่านี้ขวนขวายในบาป และทะเลาะกันแล้ววางเฉยเสีย ไม่เป็นการสมควร แก่เรา. เพราะเราปฏิบัติสัมมาสัมโพธิญาณ ด้วยหวังว่าจะขนสัตว์ทั้งหลาย ออกจากเปือกตมคือสงสาร แล้วให้ตั้งอยู่บนบกคือนิพพาน. เพราะฉะนั้น เพื่อไม่ให้ผิดปฏิญญานั้น ถ้ากระไรเราพึงไปยังที่อยู่ของมนุษย์ ยังสัตว์ เหล่านั้นให้งดเว้นจากบาป และให้การวิวาทของมนุษย์เหล่านั้นสงบ. พระมหาสัตว์ครั้นดำริอย่างนี้แล้ว อันมหากรุณาเร่งเร้าหนักขึ้นจึงละ สุขอันเกิดแต่สมาบัติที่มีอยู่ไปในที่นั้นๆ ด้วยฤทธิ์ แสดงธรรมอันเหมาะแก่ จิตของคนเหล่านั้น แสดงถึงโทษในการผิดพ้องหมองใจกัน ที่จะได้รับใน ปัจจุบันและในภพหน้า ยังสัตว์ทั้งหลายผู้ทะเลาะกัน เถียงกัน วิวาทกันให้ สามัคคีกัน ประกอบประโยชน์ให้แก่กันและกัน. ชี้แจงถึงความหยาบช้ามี อาการต่างๆ และโทษในบาป ให้สัตว์ทั้งหลายเว้นจากนั้นแล้วยังบางพวก ให้ตั้งอยู่ในกุสลกรรมบถ ๑๐ บางพวกให้บวชแล้วให้ตั้งอยู่ในศีลสังวร ใน การคุ้มครองอินทรีย์ ในสติสัมปชัญญะ ในการอยู่ในที่สงัด และในฌาน และอภิญญา ตามสมควร.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า:- ปุนาปรํ ยทา โหมิ ฯลฯ สมคฺคํ ชนมกาสหํ คำแปลปรากฏแล้ว ในบาลีแปลข้างต้น แม้ในจริยานี้ ก็พึงเจาะจงกล่าวถึงบารมีที่เหลือของพระมหาบุรุษ โดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล. อนึ่ง พึงประกาศคุณานุภาพเหมือน อย่างนั้นด้วยประการฉะนี้.

จบ อรรถกถาสัจจสวหยปัณฑิตจริยาที่ ๘

กลับที่เดิม