ภูริทัตตจริยาที่ ๒

(ยกมาจากจริยาปิฏก เล่ม 33/3) ว่าด้วยจริยาวัตรของภูริทัตตนาคราช [๑๒] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นพระยานาคชื่อภูริทัต มีฤทธิ์มาก เราไปยังเทวโลกพร้อมกับท้าววิรูปักข์มหาราช ในเทวโลกนั้น เรา ได้เห็นทวยเทพผู้สมบูรณ์ด้วยความสุขโดยส่วนเดียว จึงสมาทาน ศีลวัตร เพื่อต้องการจะไปยังสวรรค์นั้น เราชำระร่างกาย บริโภค อาหารพอเป็นเครื่องเลี้ยงอาชีพแล้ว อธิษฐานอุโบสถมีองค์ ๔ ประการว่าผู้ใดพึงทำกิจด้วยผิวหนังก็ดี ด้วยเนื้อก็ดี ด้วยเอ็นก็ดี ด้วยกระดูกก็ดี ขอผู้นั้นจงนำเอาอวัยวะที่เราให้นี้ไปเถิด แล้วนอน อยู่บนยอดจอมปลวก พราหมณ์อาลัมพาน อันบุคคลผู้ไม่รู้อุปการะที่ บุคคลอื่นทำแล้ว บอกแล้ว ได้จับเราใส่ไว้ในตะกร้า ให้เราเล่น ในที่นั้นๆ แม้เมื่อพราหมณ์อาลัมพานใส่เราไว้ในตะกร้า แม้เมื่อ บีบเราด้วยฝ่ามือ เราก็ไม่โกรธเพราะเรากลัวศีลของเราจะขาด การ ที่เราบริจาคชีวิตของตนเป็นของเบาแม้กว่าหญ้า การล่วงศีลของเรา เป็นเหมือนดังว่าแผ่นดิน เราพึงสละชีวิตของเราสิ้นร้อยชาติเนืองๆ เราไม่พึงทำลายศีลแม้เพราะเหตุแห่งทวีปทั้ง ๔ ถึงแม้เราจะถูก พราหมณ์อาลัมพานใส่ไว้ในตะกร้าเราก็มิได้ทำจิตให้โกรธเคือง เพื่อ รักษาศีลเพื่อบำเพ็ญศีลบารมีให้เต็ม ฉะนี้แล. จบภูริทัตตจริยาที่ ๒

อรรถกถาภูริทัตตจริยาที่ ๒

พึงทราบวินิจฉัยในอรรถกถาภูริทัตตจริยาที่ ๒ ดังต่อไปนี้. บทว่า ภูริทตฺโต คือผู้มีปัญญาเสมอด้วยแผ่นดิน จึงชื่อว่า ภูริทัตตะ. ชื่อที่มารดา- บิดาของพระโพธิสัตว์ตั้งให้ในครั้งนั้นว่า ทัตตะ. ก็พระโพธิสัตว์นั้นวินิจฉัย ปัญญาอันเกิดขึ้นในนาคพิภพ ในพิภพของท้าววิรูปักษ์มหาราช และใน ดาวดึงส์พิภพด้วยดี.เมื่อท้าววิรูปักษ์มหาราชไปเมืองไตรทศกับบริษัทนาค แล้วนั่งล้อมท้าวสักกะ ปัญหาตั้งขึ้นในระหว่างทวยเทพ. ใครๆ ก็ไม่สามารถ แก้ปัญหานั้นได้. พระมหาสัตว์นั่งอยู่บนบัลลังก์อันประเสริฐ ซึ่งท้าวสักกะ อนุญาต จึงแก้ปัญหานั้น. ลำดับนั้นท้าวเทวราช จึงบูชาพระมหาสัตว์ด้วย ของหอมและดอกไม้อันเป็นทิพย์ แล้วกล่าวว่า ทัตตะท่านมีปัญญามากเสมอ ด้วยแผ่นดิน ตั้งแต่นี้ไปท่านมีชื่อว่า ภูริทัตตะ. บทว่า ภูริ เป็นชื่อของ แผ่นดิน. เพราะฉะนั้นพระมหาสัตว์ปรากฏชื่อว่า ภูริทัตตะ เพราะยินดี เนื้อความอันเป็นจริง เพราะเสมอด้วยแผ่นดิน และเพราะประกอบด้วย ปัญญาใหญ่ดังแผ่นดิน. และมีฤทธิ์มาก เพราะประกอบด้วยฤทธิ์ของนาค ใหญ่ด้วยประการฉะนี้.

ได้ยินว่า ในอดีตกาล ในกัปนี้แหละโอรสของพระเจ้ากรุงพาราณสี ถูกพระบิดาขับไล่ออกจากแว่นแคว้นไปอยู่ในป่า ได้อยู่กินกับนางนาคมาณวิกาตนหนึ่ง. เมื่ออยู่ร่วมกันก็เกิดทารกสองคนเป็นชาย ๑ หญิง ๑. บุตรชื่อ สาครพรหมทัต. ธิดาชื่อสมุททชา. ต่อมาเมื่อพระบิดาสวรรคต พระโอรส จึงเสด็จไปกรุงพาราณสี แล้วครองราชสมบัติ ครั้งนั้นนาคราชชื่อว่าธตรัฐ ครองราชสมบัติอยู่ในนาคพิภพประมาณ ๕๐๐ โยชน์ ท้าวธตรัฐฟังถ้อยคำที่ เต่าชื่อจิตตจูฬะ ผู้พูดเหลวใหลว่าพระเจ้ากรุงพาราณสีมีพระประสงค์จะยก พระธิดาให้แก่ตน. พระธิดานั้นชื่อว่าสมุททชา มีรูปงาม น่าดู น่า เลื่อมใส จึงส่งนาคมาณพ ๔ ตน ไปแล้วขู่พระเจ้ากรุงพาราณสี ผู้ไม่ทรง ปรารถนายกพระธิดาให้ด้วยพิษนาค เมื่อพระเจ้ากรุงพาราณสีตรัสว่า เรา จะยกให้ จึงส่งบรรณาการเป็นอันมากด้วยสำแดงฤทธิ์ของนาคยิ่งใหญ่. ด้วย บริวารมากนำพระธิดาของพระเจ้ากรุงพาราณสีไปสู่นาคพิภพ ตั้งไว้ในตำแหน่งอัครมเหสี. ครั้นต่อมา พระนางอาศัยท้าวธตรัฐได้โอรส ๔ องค์ คือสุทัศนะ ๑ ทัตตะ ๑ สุโภคะ ๑ อริฏฐะ ๑. ในโอรสเหล่านั้น พระโอรสทัตตะ เป็น พระโพธิสัตว์. พระโพธิสัตว์ อันท้าวสักกะมีจิตยินดีโดยนัยดังกล่าวแล้วใน ก่อน จึงปรากฏชื่อว่า ภูริทัตตะ เพราะเป็นชื่อที่ท้าวสักกะประทานให้ว่า ภูริทัตตะ. ครั้งนั้นพระบิดาของโอรสเหล่านั้น ได้ทรงแบ่งราชสมบัติให้ ครององค์ละ ๑๐๐ โยชน์. ได้ปรากฏยศยิ่งใหญ่. มีนางนาคกัญญาองค์ละ ๑๖,๐๐๐ แวดล้อม. แม้พระบิดาก็ได้มีราชสมบัติ ๑๐๐ โยชน์เหมือนกัน. พระโอรสทั้ง ๓ เสด็จมาเพื่อเยี่ยมพระมารดาบิดา ทุกๆ เดือน. ส่วนพระโพธิสัตว์ เสด็จมาเยี่ยมทุกกึ่งเดือน. วันหนึ่ง พระโพธิสัตว์เสด็จไปอุปฐากท้าวสักกะกับท้าววิรูปักษ์มหาราช ทรงเห็นสมบัติของท้าวสักกะเป็นที่จับใจยิ่งนัก มีเวชยันตปราสาท สุธรรมเทพสภา ต้นไม้สวรรค์ ปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ มีเทพอัปสรแวดล้อม จึงคิดว่า แม้สมบัติประมาณเท่านี้ก็ยังหาได้ยากในอัตภาพของนาค. จะ ได้สัมมาสัมโพธิญาณได้แต่ไหน. ทรงรังเกียจอัตภาพนาค ทรงดำริว่า เรา จักไปนาคพิภพอยู่รักษาอุโบสถ ประคับประคองศีลเท่านั้น. ศีลนั้นจะเป็น เครื่องบ่มโพธิญาณ. ในเทวโลกนี้จักมีเหตุการณ์เกิดขึ้น จึงไปนาคพิภพทูล พระมารดาบิดาว่า ข้าแต่พระมารดาบิดา หม่อมฉันจักรักษาอุโบสถ. เมื่อ พระมารดาบิดาตรัสว่า ลูกจงอยู่จำอุโบสถในนาคพิภพนี่แหละ ภัยใหญ่หลวง จักมีแก่นาคผู้ออกไปภายนอก พระโพธิสัตว์ทำอย่างนั้นได้ครั้งเดียว ถูกนางนาคกัญญารบกวน ในครั้งต่อไปไม่บอกพระมารดาบิดา ตรัสเรียกภรรยา ของตนมาตรัสว่า นี่แน่ะน้อง เราจะไปยังมนุษยโลก ที่ฝั่งแม่น้ำยมุนา มี ต้นไทรใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง. ไม่ไกลจากต้นไทรนั้น เราจะขดขนดบนยอดจอม ปลวก นอนอธิษฐานอุโบสถ แล้วจักทำอุโสถกรรม จึงออกจากนาคพิภพ แล้วทำอย่างนั้น.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า:- เราไปยังเทวโลก พร้อมกับท้าววิรูปักษ์ มหาราชในเทวโลกนั้น เราได้เห็นทวยเทพผู้ สมบูรณ์ด้วยความสุขโดยส่วนเดียว จึงสมาทานศีลวัตร เพื่อต้องการจะไปสวรรค์นั้น เรา ชำระร่างกาย บริโภคอาหารพอยังชีวิตให้อยู่ได้ อธิษฐานอุโบสถมีองค์ ๔ ว่า ผู้ใดต้องการด้วย ผิวหนังก็ดี ด้วยเนื้อก็ดี ด้วยเอ็นก็ดี ด้วย กระดูกก็ดี ขอผู้นั้นจงเอาอวัยวะที่เราให้นี้ไป เถิด แล้วนอนอยู่บนยอดจอมปลวก. ในบทเหล่านั้น บทว่า วิรูปกฺเขน มหารญฺญา คือท้าวมหาราชผู้ เป็นใหญ่ในหมู่นาคชื่อว่าวิรูปักษ์. บทว่า เทวโลกํ คือเทวโลกชั้นดาวดึงส์. บทว่า อคจฺฉหํ คือเราได้ไปแล้ว เข้าไปใกล้แล้ว. บทว่า ตตฺถ คือใน เทวโลกนั้น. บทว่า ปสฺสึ ตฺวาหํ คือเราได้เห็น. ตุ ศัพท์เป็นนิบาต. บทว่า เอกนฺตํ สุขสมปฺปิเต ทวยเทพผู้สมบูรณ์ด้วยความสุขโดยส่วนเดียว คือพรั่งพร้อมด้วยความสุขโดยส่วนเดียวเท่านั้น. สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สวรรค์ชื่อว่ามีผัสสายตนะมีอยู่. ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย สวรรค์อันเป็นความสุขเพียงเพื่อถึงด้วยการพูดนั้น ทำไม่ง่าย นัก. บทว่า ตํ สคฺคํ คมนตฺถาย คือเพื่อต้องการจะไป ด้วยการเกิดใน สวรรค์นั้น. บทว่า สีลพฺพตํ ได้แก่วัตรคือศีล. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สีลพฺพตํ ได้แก่อุโบสถศีล และวัตรอันได้แก่การถือมั่นในการบริจาคอวัยวะ โดยบทมีอาทิว่า ผู้ต้องการหนังของเราจงเอาไปเถิด. บทว่า สรีรกิจฺจํ คือ การรักษาร่างกายมีล้างหน้าเป็นต้น. บทว่า ภุตฺวา ยาปนมตฺตกํ บริโภคเพียง ให้ชีวิตเป็นไป คือนำอาหารเพียงให้ร่างกายดำรงอยู่ได้ เพื่อทำอินทรีย ทั้งหลายให้หมดพยศ. บทว่า จตุโร องฺเค คือมีองค์ ๔. บทว่า อธิฏฺฐาย คืออธิษฐาน. บทว่า เสมิ คือนอน. บทว่า ฉวิยา แสดงถึงองค์ ๔ เหล่านั้น. ในองค์ ๔ เหล่านั้นการ สละผิวหนัง เป็นองค์หนึ่ง. ที่เหลือเป็นองค์หนึ่งๆ. แต่ในที่นี้พึงเห็นว่า ท่านสงเคราะห์ แม้เลือดด้วย มํส ศัพท์นั่นแหละ. บทว่า เอเตน คือด้วย อวัยวะทั้งหลายเหล่านี้. บทว่า หราตุ โส ขอผู้นั้นจงนำอวัยวะนี้ไปเถิด. คือ ผู้ใดมีกิจที่จะพึงทำด้วยผิวหนังเป็นต้นเหล่านี้ ขอผู้นั้นจงถือเอาอวัยวะที่เรา ให้นี้ไปทั้งหมด เพราะเหตุนั้นท่านยินยอมให้โดยไม่คำนึงถึงอวัยวะของตน.

เมื่อพระมหาสัตว์ทรงรักษาอุโบสถทุกกึ่งเดือนโดยทำนองนี้ ล่วงไป ตลอดกาลยาวนาน. เมื่อกาลผ่านไปอย่างนี้ วันหนึ่งพราหมณ์เนสาทคนหนึ่ง พร้อมกับบุตรของตนชื่อว่าโสมทัตได้ไปถึงที่นั้น ในเวลาอรุณขึ้นเห็นพระมหาสัตว์แวดล้อมด้วยนาคกัญญา จึงได้ไปหาพระมหาสัตว์. ทันใดนั้นเอง นาคกัญญาทั้งหลายดำแผ่นดินหนีไปยังนาคพิภพ. พราหมณ์ถามพระมหาสัตว์ว่า ท่านผู้พ้นทุกข์ท่านเป็นใคร เป็นเทวดา ยักษ์ หรือนาค. พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า หากพราหมณ์นี้รู้จักตนตามความเป็นจริงก็จะพึงไปเสีย จากที่นี้. พึงทำการอยู่ของเราในที่นี้ให้ปรากฏแก่มหาชน. ด้วยเหตุนั้น จะ พึงเป็นอันตรายแก่การอยู่รักษาอุโบสถของเรา. ถ้ากระไรเราจะพาพราหมณ์ ออกจากที่นี้ไปสู่นาคพิภพ แล้วมอบสมบัติอันยิ่งใหญ่ให้. พราหมณ์จักยินดี ในนาคพิภพนั้นเป็นแน่. ด้วยเหตุนั้น การรักษาอุโบสถของเราก็จะพึงอยู่ ได้นาน. ลำดับนั้นพระมหาสัตว์ตรัสกะพราหมณ์ว่า ดูก่อนพราหมณ์ เราจะ ให้ยศอันใหญ่ยิ่งแก่ท่าน. พิภพนาคน่ารื่นรมย์. มาไปนาคพิภพกันเถิด. พราหมณ์กล่าวว่า นาย, ข้าพเจ้ามีบุตร เมื่อเขามาข้าพเจ้าจักมา. พระมหาสัตว์ ตรัสว่า พราหมณ์ท่านจงไปนำบุตรมาเถิด. พราหมณ์ไปบอกความนั้นแก่บุตร แล้วนำบุตรมา. พระมหาสัตว์พาพ่อลูกทั้งสองนำมาสู่นาคพิภพด้วยอานุภาพ ของตน. อัตภาพทิพย์ปรากฏแก่พ่อลูกในนาคพิภพนั้น. พระมหาสัตว์ทรง ประทานทิพยสมบัติให้แก่พ่อลูก แล้วทรงประทานนาคกัญญาให้คนละ ๔๐๐. พ่อลูกเสวยสมบัติยิ่งใหญ่. แม้พระมหาสัตว์ก็มิได้ทรงประมาท ได้รักษาอุโบสถ. ทุกกึ่งเดือน ได้ทรงไปเยี่ยมพระมารดาบิดา แล้วทรงกล่าวธรรมกถา จากนั้นก็ไปหา พราหมณ์ถามถึงทุกข์สุขแล้วตรัสว่า ท่านพึงบอกถึงสิ่งที่ท่านต้องการ แล้ว ตรัสต่อไปว่า ท่านไม่พอใจอะไรก็จงบอก ทรงทำปฏิสันถารกับโสมทัตแล้ว เสด็จกลับที่ประทับ. พราหมณ์อยู่ที่นาคพิภพได้หนึ่งปี เพราะตนมีบุญน้อย ไม่พอใจจะอยู่ จึงพาบุตรไปอำลาพระโพธิสัตว์ ไม่รับทรัพย์เป็นอันมากที่ พระโพธิสัตว์ทรงให้ แม้แก้วมณี ซึ่งเป็นแก้วสารพัดนึก ให้สำเร็จสิ่งที่ ปรารถนาทั้งปวงก็ไม่รับ เพราะค่าที่ตนเป็นคนไม่มีวาสนา กล่าวว่า ข้าพเจ้า จะไปมนุษยโลก แล้วจักบวช. พระมหาสัตว์สั่งให้นาคมาณพพาพราหมณ์ พร้อมกับบุตรไปส่งถึงมนุษยโลก. พ่อลูกทั้งสองเปลื้องเครื่องทิพย์ และผ้าทิพย์ออกแล้วลงสระโบกขรณีเพื่อจะอาบน้ำ. ในขณะนั้นเครื่องประดับ และ ผ้าทิพย์ก็อันตรธานไปสู่นาคพิภพนั่นเอง. ลำดับนั้นผ้ากาสาวะ และผ้าเก่า ที่ตนนุ่งไปครั้งแรกก็สวมลงในร่างกาย. สองพ่อลูกถือธนู ศร และหอก เข้าป่าล่าเนื้อ สำเร็จชีวิตอยู่อย่างเดิม. สมัยนั้นดาบสองค์หนึ่ง ให้มนต์อาลัมพายน์ที่ได้มาจากพระยาครุฑ และโอสถ อันสมควรแก่มนต์นั้น และมนต์ทิพย์แก่พราหมณ์คนหนึ่ง ซึ่ง บำรุงตน. พราหมณ์นั้นคิดว่า เราได้อุบายเครื่องเลี้ยงชีพแล้ว จึงพักอยู่ ๒-๓ วัน อำลาดาบสไปถึงฝั่งแม่น้ำยมุนา โดยลำดับท่องมนต์นั้น เดิน ไปตามทางหลวง. ครั้งนั้นนางนาคมาณวิกา ซึ่งเป็นบริจาริกา ของพระ- โพธิสัตว์ ถือเอาแก้วมณี อันเป็นแก้วสารพัดนึกให้ทุกสิ่งที่ต้องการ วาง แก้วมณีไว้เหนือกองทราย ณ ฝั่งแม่น้ำยมุนา เพลิดเพลินในยามราตรีด้วย แสงของแก้วมณีนั้น ตอนอรุณขึ้นได้ยินเสียงมนต์ของพราหมณ์ตกใจกลัว ด้วยสำคัญว่า เป็นครุฑ ไม่ถือเอาแก้วมณีไปด้วย ดำลงในแผ่นดินไปนาค พิภพ. พราหมณ์จึงถือเอาแก้วมณีไป. ในขณะนั้น เนสาทพราหมณ์ไปป่า กับบุตรเพื่อล่าเนื้อ เห็นแก้วมณีในมือพราหมณ์นั้น จำได้ว่า เป็นแก้วมณี สารพัดนึกของพระภูริทัตตะ อยากจะได้แก้วมณีนั้น จึงทำเป็นสนทนาปราศรัยกับพราหมณ์นั้นรู้ว่าแก้วมณีนั้นมีมนต์ขลัง จึงกล่าวว่า หากท่านให้ แก้วมณีนี้แก่เรา. เราจักแสดงนาคซึ่งมีอานุภาพมากแก่ท่าน. ท่านพานาคนั้น เที่ยวไปยังหมู่บ้าน นิคมและราชธานีจักได้ทรัพย์เป็นอันมาก. เมื่อพราหมณ์ กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นจงจับมาแสดงเถิด. เนสาทพราหมณ์ จึงพาพราหมณ์ นั้นไปยืนอยู่ไม่ไกล ชี้ให้ดูพระโพธิสัตว์ ซึ่งนอนขดขนดอยู่บนยอดจอม ปลวกอันเป็นที่รักษาอุโบสถ. พระมหาสัตว์ เห็นเนสาทนั้น ดำริว่า เจ้าเนสาทนี้แม้เรานำไปยัง นาคพิภพเพราะเกรงว่า จะพึงทำอันตรายแก่อุโบสถของเราให้ดำรงอยู่ใน มหาสมบัติก็ไม่ปรารถนา. อยากจะหลีกออกจากนาคพิภพกลับไปเอง ใช่ ต้องการแม้แก้วมณีที่เราให้. แต่บัดนี้กลับพาคนจับงูมา. หากเราโกรธคน ประทุษร้ายมิตรนี้. ศีลก็จักขาด. เราอธิษฐานอุโบสถประกอบด้วยองค์ ๔ ไว้แต่แรก. อุโบสถนั้นจงเป็นไปตามที่เราอธิษฐานไว้เถิด. เจ้าอาลัมพายน์ จะเชือดเฉือนเราหรือไม่ก็ตาม เราจะไม่โกรธเขา จึงหลับตาทำอธิษฐาน บารมีให้เป็นปุเรจาริก คือนำไปข้างหน้า สอดศีรษะไว้ในระหว่างขนดนอน เฉย. แม้เนสาทพราหมณ์ก็กล่าวว่า ท่านอลัมพายน์ท่านจงจับนาคนี้. ท่าน จงให้แก้วมณีแก่เราเถิด. อาลัมพายน์เห็นนาคก็ดีใจ ไม่คำนึงถึงแก้วมณีแต่ อย่างไร โยนแก้วมณีลงในมือกล่าวว่า เอาไปเถอะพ่อพราหมณ์. แก้วมณี นั้นพลัดจากมือพราหมณ์ พอตกถึงพื้นดินเท่านั้นก็แทรกแผ่นดินไปสู่นาคพิภพทันที. เนสาทพราหมณ์เสื่อมจากแก้วมณี และจากความเป็นมิตรกับ พระภูริทัตตะจึงหมดที่พึ่งหลีกไป. แม้อาลัมพายน์ก็เอาโอสถที่มีอานุภาพมาก ทาร่างกายของตนแล้ว เคี้ยวกินหน่อยหนึ่ง พ่นน้ำลายลงในกายของตนร่ายทิพยมนต์เข้าไปหาพระพระโพธิสัตว์ จับที่หางกระชากออกมา แล้วจับศีรษะจนแน่น งัดปากของ พระโพธิสัตว์ เคี้ยวโอสถ พ่นโอสถกับน้ำลายเข้าไปในปาก. พระมหาสัตว์ เป็นผู้สะอาด ไม่โกรธเพราะเกรงศีลขาดจึงไม่ลืมตา. เนสาทพราหมณ์ จับ พระโพธิสัตว์ที่หางด้วยกำลังโอสถและทิพยมนต์ จับศีรษะไว้ข้างล่าง รีดเอา อาหารออก ให้นอนเหยียดยาวบนแผ่นดิน เอามือขยำดุจขยำหมอน. กระดูก ทั้งหลายได้เป็นเหมือนจะแหลกละเอียด. จับที่หางอีกทุบเหมือนทุบผ้า. พระมหาสัตว์แม้ได้รับทุกข์ถึงปานนี้ก็มิได้โกรธ. รำลึกถึงศีลของตนอย่างเดียว. เนสาทพราหมณ์ ทำพระมหาสัตว์ให้หมดกำลัง เอาเถาวัลย์มัดเตรียมกระสอบใส่พระมหาสัตว์ลงในตะกร้า. แต่ร่างกายของพระมหาสัตว์ใหญ่ จึงเข้า ไปในตะกร้าไม่ได้. เนสาทพราหมณ์จึงเอาส้นเท้าเหยียบพระมหาสัตว์ให้ เข้าไปจนได้ แล้วแบกตะกร้าไปยังหมู่บ้านหมู่หนึ่งวางลงท่ามกลางบ้านประกาศว่า ผู้ประสงค์จะดูนาคฟ้อนรำจงมาดูได้. พวกชาวบ้านทั้งหมดพากันมา มุงดู. ในขณะนั้นเนสาทอาลัมพายน์ จึงพูดว่า มหานาคจงออกมา. พระมหาสัตว์ดำริว่า วันนี้เราควรเล่นให้ประชาชนพอใจ. โดยประการฉะนี้ เนสาทอาลัมพายน์ได้ทรัพย์มากจักดีใจปล่อยเรา. เราจักทำสิ่งที่เนสาทให้ เราทำทุกประการ. เนสาทอาลัมพายน์ พูดกะพระโพธิสัตว์ซึ่งออกจากตะกร้าว่า เจ้าจง ทำให้ใหญ่. พระมหาสัตว์ก็ได้ทำให้ใหญ่. เมื่อเนสาทพูดว่า จงทำให้เล็ก จงขด จงคลาย ให้มีพังพานหนึ่ง ให้มีพังพานสองจนถึงพันพังพาน ให้สูง ให้ต่ำ ให้เห็นตัว ให้หายตัว ให้เห็นครึ่งตัว ให้สีเขียว เหลือง แดง ขาว หงสบาท ให้พ่นควัน เปลวไฟและน้ำ. ดังที่ท่านกล่าวว่า พระโพธิสัตว์ เนรมิตอาการนั้นแล้วแสดงการฟ้อน. พวกมนุษย์เห็นดังนั้น คิดว่าน่าอัศจรรย์ไม่เคยมี จึงได้ให้เงินทอง ผ้าและเครื่องประดับเป็นอันมาก. เนสาทพราหมณ์ได้ทรัพย์ในหมู่บ้านนั้นประมาณ ,๐๐๐. อันที่จริงเมื่อเนสาทอาลัมพายน์จับพระมหาสัตว์ได้สัญญาว่า ได้ทรัพย์ ๑,๐๐๐ แล้วจักปล่อยพระมหาสัตว์. แต่เนสาทอาลัมพายน์ ครั้นได้ทรัพย์นั้นแล้วคิดว่า ในหมู่บ้าน น้อยๆ เรายังได้ทรัพย์ถึงเพียงนี้. ถ้าในพระนครเราจักได้ทรัพย์อีกมากมาย ด้วยความโลภทรัพย์จึงมิได้ปล่อยพระโพธิสัตว์. อาลัมพายน์ รวบรวมทรัพย์ในหมู่บ้านนั้น จึงให้ช่างทำตะกร้าแก้ว ใส่พระมหาสัตว์ลงในตะกร้านั้น ตนขี่ยานเล็กอย่างสบาย พาบริวารใหญ่ ออกจากหมู่บ้าน ให้พระมหาสัตว์เล่นไปตามบ้าน นิคมและราชธานี จนถึง กรุงพาราณสี. อาลัมพายน์ไม่ให้น้ำผึ้งและข้าวตอกแก่พระยานาค. ให้แต่ กบ. พระมหาสัตว์ ไม่ยอมรับอาหาร เพราะเกรงว่าอาลัมพายน์จะไม่ปล่อย. แม้พระโพธิสัตว์จะไม่รับอาหาร อาลัมพายน์ก็ยังพระมหาสัตว์ให้เล่นตาม หมู่บ้านใกล้ประตูพระนคร ๔ ด้านเป็นต้น ประมาณ ๑ เดือน.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า:- อาลัมพายน์อันบุคคลผู้อกตัญญู บอก แล้วได้จับเราใส่ไว้ในตะกร้า ให้เราเล่นในที่ นั้นๆ แม้เมื่ออาลัมพายน์ใส่เราไว้ในตะกร้า แม้เมื่อบีบเราด้วยฝ่ามือ เราก็ไม่โกรธ เพราะ เรากลัวศีลของเราจะขาด การที่เราบริจาคชีวิต ของตน เป็นของเบาแม้กว่าหญ้า การล่วงศีล ของเรา เป็นเหมือนดังว่าแผ่นดิน เราพึงสละ ชีวิตของเราสิ้นร้อยชาติเนืองๆ เราไม่พึงทำลาย ศีล แม้เพราะเหตุแห่งทวีปทั้ง ๔ ถึงแม้เราจะ ไม่ถูกพราหมณ์อาลัมพายน์ใส่ไว้ในตะกร้า เรา ก็มิได้ทำจิตให้โกรธเคือง เพื่อรักษาศีล เพื่อ บำเพ็ญศีลบารมีให้เต็ม ฉะนี้แล. ในบทเหล่านั้น บทว่า สํสิโต บอกแล้ว คืออาลัมพายน์อันคน อกตัญญู ชี้บอกถึงที่อยู่อย่างนี้ว่า พระยานาคนี้นอนอยู่ที่ยอดจอมปลวก ใกล้ ต้นไทรโน้น. บทว่า อกตญฺญุนา อธิบายว่า เนสาทพราหมณ์ผู้ประทุษร้ายมิตร ผู้ไม่รู้อุปการะที่ตนทำแล้ว. บทว่า อาลมฺพาโน คือพราหมณ์ ผู้จับงูได้ชื่ออย่างนี้ว่า อาลมฺพายน เพราะร่ายวิชาชื่อว่าอาลัมพายน์คือวิชา สะกดจิต บทว่า มมคฺคหิ คือได้จับเรา. บทว่า กีเฬติ มํ ตหี ตหึ คือให้เราเล่นในบ้าน นิคม ชนบท และราชธานีนั้นๆ เพื่อเลี้ยงชีพของตน. บทว่า ติณโตปิ ลหุโก มม ความว่าการบริจาคชีวิตของตนเบา แม้กว่าการบริจาคเส้นหญ้า ย่อมปรากฏแก่เรา. บทว่า ปฐวีอุปฺปตนํ วิย ดุจแผ่นดิน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า ส่วนการล่วงศีลย่อมปรากฏ แก่เราว่า เป็นสิ่งที่หนักกว่านั้นดุจการพลิกแผ่นดิน ซึ่งหนาถึง ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์. บทว่า นิรนฺตรํ ชาติสตํ ความว่า เราพึงสละคือสามารถสละชีวิต ของเรา เพราะเหตุการไม่ล่วงศีลเนืองๆ สิ้นร้อยชาติของเราไม่น้อย คือใน ชาติแม้ร้อยชาติไม่น้อย. บทว่า เนว สีลํ ปภินฺเทยฺยํ ความว่า เราไม่ พึงทำลายศีลแม้ข้อเดียวที่เราสมาทานแล้ว คือไม่ให้เสื่อม. บทว่า จตุทฺที- ปาน เหตุปิ แม้เพราะเหตุแห่งทวีปทั้ง ๔ ท่านแสดงว่า เพราะเหตุจักรพรรดิราชสมบัติอันเป็นสิริ. บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงถึงประโยชน์ที่พระองค์ทรง สละแม้ชีวิตของพระองค์ แล้วทรงรักศีลอย่างเดียว ทั้งพระองค์มิได้ทรง โกรธเคืองในพราหมณ์เนสาทอาลัมพายน์ ผู้ทำความย่อยยับให้ เพื่อรักษา ศีลนั้นจึงตรัสพระคาถาสุดท้ายมีอาทิว่า อปิจ ดังนี้. บทนั้นมีความดังได้ กล่าวไว้แล้วนั่นแล.

เมื่อพระโพธิสัตว์ตกอยู่ในเงื้อมมือของคนจับงู พระมารดาของพระโพธิสัตว์ทรงฝันร้าย ไม่ทรงเห็นโอรส ณ ที่นั้น ได้ถูกความโศกครอบงำ. ลำดับนั้น สุทัศนะผู้เป็นเชษฐบุตร (โอรสองค์รอง) ของพระมารดานั้นได้ ทราบข่าว จึงส่งสุโภคะพระอนุชาไปสั่งว่า น้องจงไปป่าหิมพานต์ตรวจหาน้อง ภูริทัตตะที่แม่น้ำใหญ่ทั้ง ๕ และที่สระใหญ่ทั้ง ๗ แล้วจงกลับมา. ส่งอริฏฐะ พระอนุชาองค์เล็กไปสั่งว่า หากทวยเทพประสงค์จะฟังธรรมพาน้องภูริทัตตะ ไปเทวโลก แล้วนำไปในที่นั้น. น้องจงนำภูริทัตตะกลับจากเทวโลก. ส่วน ตนเอง จะไปเที่ยวหาในมนุษยโลก จึงแปลงเพศเป็นดาบสออกจากนาคพิภพ. พระภคินีต่างพระมารดาของพระโพธิสัตว์ ชื่อว่าอัจจิมุขี มีความรักใน พระโพธิสัตว์มาก จึงได้ติดตามไป. สุทัศนะจึงให้นางอัจจิมุขี แปลงเป็น ลูกกบใส่ไว้ในระหว่างชฎาเที่ยวตามหาทุกแห่งหน เป็นต้นว่า สถานที่รักษา อุโบสถของพระมหาสัตว์ ถึงกรุงพาราณสีโดยลำดับ ได้ไปยังประตูพระราชวัง. ในกาลนั้น อาลัมพายน์เปิดตระกร้า เพื่อให้พระภูริทัตตะแสดงการ เล่นถวายพระราชาในท่ามกลางมหาชน ณ พระลานหลวงแล้วได้ให้สัญญาณ ว่า ออกมาเถิดมหานาค. พระมหาสัตว์ โผล่ศีรษะมองดูเห็นสุทัศนะพี่ชายจึงเลื้อยออกจากตะกร้าตรงไปหา. มหาชนต่างกลัวจึงรีบถอยออกไป. พระโพธิสัตว์ไปไหว้ สุทัศนะแล้วกลับเข้าตะกร้า. อาลัมพายน์เข้าใจว่า ดาบสถูกนาคกัด จึงกล่าว ว่า อย่ากลัวอย่ากลัว. สุทัศนะกล่าวว่านาคนี้จักทำอะไรเราได้ ชื่อว่าหมองู เช่นกับเราไม่มีอีกแล้ว ต่างโต้เถียงกัน สุทัศนะจึงกล่าวว่า ท่านพานาคนี้ มาขู่. เราจะให้ลูกกบกำจัดอาลัมพายน์ให้ย่อยยับ จึงเรียกน้องสาว แล้ว เหยียดมือ. ลูกกบนอนอยู่ในระหว่างชฎาได้ยินเสียงของสุทัศนะ จึงร้องเป็น เสียงกบ ๓ ครั้ง แล้วกระโดดออกมานั่งที่จะงอยบ่า คายพิษ ๓ หยดลงใน ฝ่ามือของสุทัศนะ แล้วเข้าไประหว่างชฎาของสุทัศนะอีก. สุทัศนะแสดงหยาดพิษกล่าวว่า หากพิษนี้หยดลงในแผ่นดินต้นหญ้า ต้นหญ้าและป่าทั้งหลายจักย่อยยับหมด. หากขว้างขึ้นไปบนอากาศฝนจะไม่ ตกไปตลอด ๗ ปี. หากหยดลงไปในน้ำ สัตว์น้ำมีเท่าใดจะตายหมด เพื่อให้ พระราชาทรงเชื่อจึงให้ขุดบ่อ ๓ บ่อ. บ่อที่หนึ่งให้เต็มด้วยยาต่างๆ. บ่อที่สอง ให้เต็มไปด้วยโคมัย (คูถโค) บ่อที่สามให้เต็มด้วยยาทิพย์ แล้วจึงใส่หยดพิษ ลงในบ่อที่หนึ่ง. ทันใดนั้นก็เกิดควันลุกขึ้นเป็นเปลว. หยดพิษนั้นลามไปจับ เอาบ่อโคมัย แล้วลุกลามไปถึงบ่อยาทิพย์ ครั้นไหม้ยาทิพย์หมดแล้วก็ดับ. อาลัมพายน์ยืนอยู่ใกล้บ่อนั้น ไอควันพิษฉาบเอาผิวหนังลอกไป. กลายเป็น ขี้เรื้อนด่าง. อาลัมพายน์ตกใจกลัวจึงเปล่งเสียงขึ้น ๓ ครั้งว่า ข้าพเจ้าจะ ปล่อยนาคราช. พระโพธิสัตว์ได้ยินดังนั้น จึงออกจากตะกร้าแล้วเนรมิต อัตภาพ ประดับด้วยสรรพาลังการยืน ยืนโดยท่าทางดั่งเทวราช. สุทัศนะ และอัจจิมุขีก็ยืนอยู่เหมือนกัน. ลำดับนั้น สุทัศนะทูลพระราชาว่าตนเป็นพี่ของพระภูริทัตตะ. พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้ว ทรงเข้าไปกอดจุมพิตที่ศีรษะ ทรงนำเข้าภายใน พระนคร ทรงกระทำสักการะสัมมานะยิ่งใหญ่ เมื่อจะทรงทำปฏิสันถารกับ พระภูริทัตตะ จึงตรัสถามว่า พ่อคุณ อาลัมพายน์จับพ่อผู้มีอนุภาพมากถึง อย่างนี้ได้อย่างไร. พระภูริทัตตะทูลเรื่องราวทั้งหมดให้ทรงทราบแล้วทรง แสดงธรรมแก่พระเจ้าลุงว่า ข้าแต่มหาราชธรรมดาพระราชาควรครองราชสมบัติ โดยทำนองนี้. ลำดับนั้น สุทัศนะทูลว่า ข้าแต่พระเจ้าลุง พระมารดา ของข้าพระองค์ เมื่อไม่ทรงเห็นภูริทัตตะย่อมลำบาก. พวกข้าพระองค์ไม่ สามารถจะอยู่ช้าในที่นี้ได้ แล้วทรงลาพระเจ้าลุงไปยังนาคพิภพกับพระภูริทัตตะและนางอัจจิมุขี. ครั้งนั้น พระมหาบุรุษนอนเป็นไข้ เมื่ออริฏฐะกล่าวโจมตีคัมภีร์ พระเวท คัมภีร์ยัญญ์ และคัมภีร์พราหมณของนาคบริษัทหมู่ใหญ่ผู้มาเพื่อ ถามอาการไข้ จึงทำลายวาทะนั้นเสีย แล้วแสดงธรรมโดยนัยต่างๆ ให้ตั้ง อยู่ในศีลสัมปทา และทิฏฐิสัมปทา รักษาศีลตลอดชีวิต กระทำอุโบสถกรรม เมื่อสิ้นอายุก็ไปบังเกิดบนสวรรค์.

พระมารดาบิดาในครั้งนั้นได้เป็นพระราชตระกูลใหญ่ในครั้งนี้. เนสาทพราหมณ์ คือเทวทัต. โสมทัต คือพระอานนท์. นางอัจจิมุขี คือ นางอุบลวรรณา. สุทัศนะ คือพระสารีบุตร. สุโภคะ คือพระโมคคัลลานะ. อริฏฐะ คือสุนักขัตตะ. พระภูริทัตตะ คือพระโลกนาถ.

แม้ในภูริทัตตจริยานี้ ก็พึงเจาะจงกล่าวถึงบารมีที่เหลือของพระภูริทัตตะ นั้น โดยนัยดังกล่าวแล้วนั้นแล. แม้ในจริยานี้ก็พึงทราบคุณานุภาพของ พระโพธิสัตว์ มีอาทิอย่างนี้ คือการที่พระโพธิสัตว์อันนางนาคกัญญา ๑๖,๐๐๐ บำเรออยู่ดุจรูปวิจิตร ในนาคพิภพของตนร้อยโยชน์ แม้ดำรงอยู่ในความ เป็นอิสระในโลกของนาค เช่นกับสมบัติในเทวโลก ก็มิได้มัวเมาในความ เป็นอิสระ บำรุงมารดาบิดาทุกกึ่งเดือน. การอ่อนน้อมต่อผู้เป็นใหญ่ใน ตระกูล. การตัดปัญหาที่เกิดขึ้นแก่หมู่นาค หมู่เทพชั้นจาตุมมหาราชิกา หมู่ เทพชั้นดาวดึงส์ทั้งสิ้น ด้วยศัสตราคือปัญญาของตน ในท่ามกลางบริษัท นั้นๆ ได้ทันทีทันใด ดุจตัดกำก้านบัวด้วยศัสตราที่ลับดีแล้ว ฉะนั้น แล้ว แสดงธรรมสมควรแก่จิตของบริษัทเหล่านั้น ละโภคสมบัติมีประการดังกล่าว แล้ว อธิษฐานอุโบสถประกอบด้วยองค์ ๔ ไม่คำนึงถึงร่างกายและชีวิตของ ตน. การยอมตกอยู่ในเงื้อมมือของหมองู เพราะเกรงจะพูดผิดคำปฏิญญา. แม้เมื่อเนสาทอาลัมพายน์ทำการทารุณมีประการต่างๆ มีอาทิอย่างนี้ คือพ่น น้ำลายเจือด้วยยาพิษลงในปาก จับหางฉุดกระชากครูดสีบนแผ่นดิน เหยียบ แม้พระโพธิสัตว์ได้รับทุกข์ใหญ่ถึงปานนี้ แม้สามารถจะทำเนสาทอาลัมพายน์ ให้เป็นเถ้าถ่านด้วยเพียงโกรธแล้วมองดู ก็รำพึงถึงศีลบารมี ไม่มีจิตคิดร้าย แม้แต่น้อยเพราะเกรงศีลจะขาด. การทำตามใจเนสาทอาลัมพายน์ด้วยคิดว่า จะให้เขาได้ทรัพย์. แม้ยังไม่อธิษฐานศีลก็ไม่โกรธเนสาทพราหมณ์ผู้ทำลาย มิตรผู้เป็นคนอกตัญญู ซึ่งสุโภคะนำมาอีก. การทำลายวาทะผิดที่อริฏฐะ กล่าว แล้วแสดงธรรมโดยปริยายต่างๆ ในนาคบริษัทตั้งอยู่ในศีลและสัมมาทิฏฐิ.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า:- ท่านผู้แสวงหาธรรมอันยิ่งใหญ่ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมี ฯลฯ โดยธรรมสมควรแก่ธรรม ฉะนี้แล.

จบ อรรถกถาภูริทัตตจริยาที่ ๒

กลับที่เดิม