มหิสราชจริยาที่ ๕

(ยกมาจากจริยาปิฏก เล่ม 33/3) ว่าด้วยจริยาวัตรของพระยากระบือ [๑๕] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นกระบือ เที่ยวอยู่ในป่าใหญ่มีกาย อ้วนพี มีกำลังมากใหญ่โต ดูหน้ากลัวพิลึก ประเทศไรๆ ในป่า ใหญ่นี้อันเป็นที่อยู่ของฝูงกระบือ มีอยู่ที่เงื้อมเขาก็ดี ที่ซอกห้วยธาร เขาก็ดี ที่โคนไม้ก็ดีที่ใกล้บึงก็ดี เราเที่ยวไปในที่นั้นๆ เมื่อเราเที่ยว ไปในป่าใหญ่ ได้เห็นสถานที่อันเจริญเราจึงเข้าไปสู่ที่นั้น แล้วยืน พักอยู่และนอนอยู่ ครั้งนั้น ลิงป่าผู้ลามก หลุกหลิก ลอกแลกมา ณ ที่นั้นถ่ายอุจจาระปัสสาวะรดเราที่คอที่หน้าผาก ที่คิ้ว ย่อม เบียดเบียนเราวันหนึ่งครั้งหนึ่ง วันที่ ๒ วันที่ ๓ แม้วันที่ ๔ ก็วัน ละครั้ง เราจึงเป็นผู้อันลิงนั้นเบียดเบียนตลอดกาลทั้งปวง เทวดา เห็นเราถูกลิงเบียดเบียน ได้กล่าวกะเราดังนี้ว่า ท่านจงยังลิงลามก ตัวนี้ให้ฉิบหายตายโหงเสีย ด้วยเขาและกีบเถิด เมื่อเทวดากล่าว อย่างนี้ในครั้งนั้นแล้ว เราได้ตอบเทวดานั้นว่าเหตุไร ท่านจะให้เรา เปื้อนซากศพอันลามกไม่เจริญเล่า ถ้าเราพึงโกรธต่อลิงนั้น เราก็พึง เป็นผู้เลวกว่ามัน ศีลของเราก็จะพึงแตก และวิญญูชนทั้งหลายก็จะ พึงติเตียนเรา เราเป็นผู้บริสุทธิ์ ตายเสียยังประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ ที่น่าละอายอีกอย่างไรเราจักเบียดเบียนผู้อื่นแม้เพราะเหตุแห่งชีวิต บุคคลผู้มีปัญญา อดกลั้นคำดูหมิ่นในเพราะของคนเลวคนปานกลาง และคนชั้นสูง ย่อมได้อย่างนี้ตามใจปรารถนา ฉะนี้แล. จบมหิสราชจริยาที่ ๕

อรรถกถามหิสราชจริยาที่ ๕

พึงทราบวินิจฉัยในอรรถกถามหิสราชจริยาที่ ๕ ดังต่อไปนี้. บทว่า มหึโส ปวนจารโก โยชนาแก้ว่าในกาลเมื่อเราเป็นกระบือป่าเที่ยวอยู่ใน ป่าใหญ่. บทว่า ปวฑฺฒกาโย มีกายอ้วนพี คือมีกายเติบใหญ่ด้วยวัย สมบูรณ์และด้วยความอ้วนของอวัยวะน้อยใหญ่. บทว่า พลวา คือมีกำลัง มาก สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรง. บทว่า มหนฺโต คือมีร่างใหญ่. นัยว่ากาย ของพระโพธิสัตว์ในครั้งนั้นประมาณเท่าช้างหนุ่ม. บทว่า ภีมทสฺสโน ดูน่ากลัวพิลึก คือดูน่ากลัวเพราะให้เกิดความกลัวแก่ผู้ไม่รู้จักศีล เพราะ ร่างใหญ่โตและเพราะเป็นกระบือป่า. บทว่า ปพฺภาเร คือที่เงื้อมเขามีหิน ย้อย. บทว่า ทกาสเย คือที่ใกล้บึง. บทว่า โหเตตฺถ ฐานํ คือในป่า ใหญ่อันเป็นถิ่นที่อยู่ของกระบือป่า. บทว่า ตหึ ตหึ คือในป่านั้นๆ. บทว่า วิจรนฺโต คือเที่ยวไปเพื่อหาความผาสุกในการอยู่. บทว่า ฐานํ อทฺทส ภทฺทกํ ได้เห็นสถานที่อันเจริญ คือเมื่อเราเที่ยวไปอย่างนี้ได้เห็น สถานที่โคนไม้อันเป็นที่เจริญในป่าใหญ่นั้น เป็นความผาสุกของเรา. ครั้น เห็นแล้วเราจึงเข้าไปยังที่นั้น ยืนและนอน หาอาหารในตอนกลางวันแล้วไป ยังโคนต้นไม้นั้น ยังกาลเวลาให้ล่วงไปด้วยการยืนและการนอน. ท่านแสดง ไว้ดังนี้.

ได้ยินว่า ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์ บังเกิดในกำเนิดกระบือใน หิมวันตประเทศ ครั้นเจริญวัย สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรงมีร่างใหญ่ประมาณ เท่าช้างหนุ่มเที่ยวไปตามเชิงเขา เงื้อมเขา ซอกเขา ป่าและห้วยเป็นต้น เห็นโคนต้นไม้ใหญ่น่าสบายต้นหนึ่ง หาอาหารแล้วก็มาอาศัยอยู่ที่โคน ต้นไม้นั้นในเวลากลางวัน. ครั้งนั้นมีลิงลามกตัวหนึ่งลงจากต้นไม้ขึ้นหลัง พระมหาสัตว์ ถ่ายอุจจาระปัสสาวะรด จับเขาโหนตัว จับหางเล่น ห้อยโหน. พระโพธิสัตว์ไม่สนใจการทำอนาจารของลิงนั้น เพราะถึงพร้อม ด้วย ขันติ เมตตาและความเอ็นดู. ลิงยิ่งกำเริบทำอย่างนั้นบ่อยๆ.

ดังที่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า อเถตฺถ กปิ มาคนฺตฺวา คือลิงมา ณ ที่นั้น. ม อักษรเป็นบทสนธิ. บทว่า ปาโป คือลามก. บทว่า อนริโย คือ ลิงนั้นเหลาะแหละด้วยความประพฤติ ในความเสื่อมและด้วยไม่ประพฤติใน ความเจริญ อธิบายว่ามีมารยาทเลว. บทว่า ลหุ คือ ล่อกแล่ก. บทว่า ขนฺเธ คือที่ลำคอ. บทว่า มุตฺเตติ คือถ่ายปัสสาวะ. บทว่า โอหเนติ* (ในอรรถกถาเป็น โอหเหติ.) คือถ่ายอุจจาระ. บทว่า ตํ คือ มํ ได้แก่ เราผู้เป็นกระบือในครั้งนั้น. บทว่า สกิมฺปิ ทิวสํ คือ เบียดเบียนเราวันหนึ่งบ้างตลอดกาล ทั้งปวงบ้าง. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ทูเสติ มํ สพฺพกาลํ เบียดเบียนเราตลอดกาลทั้งปวง. คือไม่เบียดเบียนเราเพียง ๒ วัน ๓ วัน ๔ วัน ที่แท้เบียดเบียนเราด้วยการถ่ายปัสสาวะเป็นต้นแม้ตลอดกาลทั้งปวง. ท่านแสดงไว้ว่า ลิงนั้นขึ้นหลังเราในเวลาที่จะถ่ายปัสสาวะเป็นต้นเท่านั้น. บทว่า อุปทฺทุโต คือเบียดเบียน. อธิบายว่าเราถูกลิงนั้นเบียดเบียนด้วย การห้อยโหนเป็นต้นที่เขา ด้วยการเอาของสกปรกมีปัสสาวะเป็นต้นมา และ ด้วยรดน้ำปนเปือกตมและฝุ่นล้างหลายครั้งที่ปลายเขา และปลายหางเพื่อ นำสิ่งสกปรกออก. บทว่า ยกฺโข คือเทวดาที่สิงสถิตอยู่บนต้นไม้นั้น. บทว่า มํ อิทมพฺรวิ คือเทวดาที่สิงสถิตอยู่บนต้นไม้ เมื่อจะประกาศเนื้อความนี้ว่า ท่านมหิสราชเพราะเหตุไรท่านจึงอดทนความดูแคลนของลิงชั่วนี้อยู่ได้ จึง ได้กล่าวคำนี้กะเราว่า ท่านจงยังลิงลามกตัวนี้ให้ฉิบหายเสียด้วยเขาและกีบ เถิด. บทว่า เอวํ วุตฺเต ตทา ยกฺเข คือเมื่อเทวดากล่าวอย่างนี้ในกาล นั้นแล้ว. บทว่า อหํ ตํ อิทมพฺรวึ คือเราได้กล่าวตอบกะเทวดานั้นผู้ กล่าวอยู่. บทว่า กุณเปน คือด้วยซากศพเพราะเป็นสิ่งน่าเกลียดอย่างยิ่ง ของคนดีมีชาติสะอาดด้วยการไหลออกแห่งอสุจิ คือกิเลสและเพราะเป็นเช่น กับซากศพ ด้วยมีกลิ่นเหม็นฟุ้งไป. บทว่า ปาเปน คือ ลามกด้วยการ ฆ่าสัตว์. บทว่า อนริเยน ท่านแสดงไว้ว่า ท่านเทวดาเพราะเหตุไรท่าน จึงดูแคลนเราด้วยสิ่งอันไม่เจริญ เพราะเป็นธรรมของคนเลวมีพรานเนื้อ เป็นต้น ผู้ไม่เจริญไม่ใช่คนดี ถ้อยคำที่ท่านกล่าวชักชวนเราในความชั่วนั้น ไม่สมควรเลย. บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงประกาศโทษในธรรมอันลามก นั้น จึงตรัสพระดำรัสมีอาทิว่า ยทิหํ ดังนี้. บทนั้นมีความดังต่อไปนี้ ท่านเทวดาผู้เจริญ ผิว่าเราโกรธลิงนั้น. เราก็เลวกว่ามัน. เพราะลิงนั้นเป็นลิงพาล เป็นลิงเลว ด้วยไม่ประพฤติ ธรรม. หากเราพึงประพฤติธรรมลามกอันมีกำลังกว่าลิงนั้น. เราก็จะพึง เป็นผู้ลามกกว่าลิงนั้นด้วยเหตุนั้นมิใช่หรือ. ข้อที่เรารู้โลกนี้โลกหน้าอย่างดี ยิ่ง แล้วดำรงอยู่ได้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่นโดยส่วนเดียวเท่านั้น พึง ประพฤติธรรมลามกเห็นปานนั้นมิใช่ฐานะที่จะมีได้. มีอะไรยิ่งไปกว่านั้นอีก. มีซิ. บทว่า สีลญฺจ เม ปภิชฺเชยฺย ศีลของเราก็จะพึงแตก คือ เราพึง ทำความลามกเห็นปานนั้น. ศีลบารมีของเราจะพึงแตก. บทว่า วิญฺญู จ ครเหยฺยุ มํ คือ เทวดาและมนุษย์ผู้เป็นบัณฑิตจะพึงติเตียนเราได้ว่า พ่อแม่ พี่น้องทั้งหลาย จงดูพระโพธิสัตว์นี้เที่ยวแสวงหาโพธิญาณ ได้ทำความชั่ว เห็นปานนี้แล้ว. บทว่า หีฬิตา ชีวิตา วาปิ. วา ศัพท์ เป็นอวธารณะ. อธิบายว่า ตายด้วยความบริสุทธิ์ คือ เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ยังประเสริฐ อุดมดีกว่ามีชีวิต อยู่ ถูกวิญญูชนทั้งหลายติฉินนินทาด้วยประการฉะนี้. บทว่า กฺยาหํ ชีวิตเหตูปิ, กาหามิ ปรเหฐนํ อย่างไรเราจักเบียดเบียนผู้อื่นแม้เพราะเหตุ แห่งชีวิตเล่า คือ เมื่อเรารู้อยู่อย่างนี้เราจักทำการเบียดเบียนสัตว์อื่น เอา ชีวิตของเราเป็นเดิมพันได้อย่างไรเล่า อธิบายว่า ไม่มีเหตุในการทำความ เบียดเบียนนี้. กระบือกล่าวว่า ลิงนี้สำคัญสัตว์อื่นว่า เป็นเหมือนเราจักทำอนาจาร อย่างนี้. แต่นั้นกระบือที่ดุจักฆ่าลิงที่ทำไปอย่างนั้นเสีย. การตายของลิงนี้ ด้วยสัตว์อื่นจักเป็นอันพ้นจากทุกข์และจากการฆ่าสัตว์ของเรา. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า:- ลิงนี้จะสำคัญสัตว์อื่นเป็นเหมือนเรา จัก ทำอย่างนี้ แม้แก่สัตว์อื่นบ้าง. สัตว์เหล่านั้น จักฆ่าลิงนั้นเสีย. ความตายของลิงนั้นจักเป็น อันพ้นเราไปดังนี้. ในบทเหล่านั้นบทว่า มเมวายํ ตัดบทเป็น มํ อิว อยํ. บทว่า อญฺเญปิ คือ แม้แก่สัตว์เหล่าอื่น. บทที่เหลือมีความดังได้กล่าวแล้ว. บทว่า หีนมชฺฌิมอุกฺกฏฺเฐ คือ เป็นนิมิตในเพราะของคนเลว คนปานกลางและคนชั้นสูง. บทว่า สหนฺโต อวมานิตํ คือ อดกลั้นคำ ดูหมิ่นเหยียดหยามที่คนเหล่านั้นมิได้จำแนกไว้เป็นไปแล้ว. บทว่า เอวํ ลภติ สปฺปญฺโญ คนมีปัญญามิได้ทำการจำแนกในคนเลวเป็นต้นอย่างนี้ เข้าไปตั้งขันติ เมตตาและความเอ็นดูไว้ อดกลั้นความผิดนั้น เพิ่มพูนศีล บารมีเป็นต้น ย่อมได้คือแทงตลอดสัพพัญญุตญาณ ตามใจปรารถนา คือ ตามต้องการ. ความปรารถนาของเขานั้นอยู่ไม่ไกลนัก ด้วยประการฉะนี้. พระมหาสัตว์เมื่อจะประกาศอัธยาศัยของตนอย่างนี้ จึงแสดงธรรม แก่เทวดา.

กระบือนั้นล่วงไป ๒-๓ วัน ก็ได้ไปที่อื่น. กระบือดุตัวอื่นได้ ไปตั้งหลักฐานอยู่ ณ ที่นั้นเพราะเป็นที่อยู่สบาย. ลิงชั่วสำคัญว่ากระบือตัวนี้ ก็คือกระบือตัวนั้นนั่นเองจึงขึ้นหลังกระบือดุนั้น แล้วได้ทำอนาจารในที่นั้น อย่างเดียวกัน. กระบือดุตัวนั้นจึงสลัดลิงให้ตกลงบนพื้นดินเอาเขาขวิดที่ หัวใจ เอาเท้าเหยียบจนแหลกเหลวไป.

มหิสราชในครั้งนั้น คือ พระโลกนาถในครั้งนี้.

แม้ในมหิสราชจริยานี้ ก็พึงเจาะจงกล่าวถึงบารมีที่เหลือของพระ- โพธิสัตว์นั้นตามสมควรโดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล. อนึ่งพึงทราบ คุณานุภาพของพระมหาสัตว์ในจริยานี้ ดุจในหัตถินาคจริยา ภูริทัตตจริยา จัมเปยยจริยา และนาคราชจริยา.

จบ อรรถกถามหิสราชจริยาที่ ๕

กลับที่เดิม