พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระจูฬปิณฑปาติกติสสเถระ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า น กิรตฺถิ รเสหิ ปาปิโย ดังนี้. ได้ยินว่า เมื่อพระศาสดาทรงอาศัยพระนครราชคฤห์ ประทับอยู่ใน พระวิหารเวฬุวัน วันหนึ่ง บุตรของตระกูลเศรษฐีผู้มีทรัพย์มาก ชื่อว่า ติสสกุมาร ไป พระวิหารเวฬุวัน ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้วประสงค์จะบวช จึงทูลขอบรรพชา แต่บิดามารดายังไม่อนุญาต จึงถูกปฏิเสธ ได้กระทำ การอดอาหาร ๗ วัน แล้วให้บิดามารดาอนุญาต เหมือนดังพระรัฐบาลเถระ ได้บวชในสำนักของพระศาสดาแล้ว. พระศาสดาครั้นทรงให้ติสสกุมารนั้นบวช แล้ว ประทับอยู่ในพระวิหารเวฬุวันประมาณกึ่งเดือน แล้วได้เสด็จไปพระวิหารเชตวัน ในพระเชตวันนั้น กุลบุตรนี้สมาทานธุดงค์ ๑๓ เที่ยวไปบิณฑบาตตามลำดับตรอกในนครสาวัตถี ยังกาลเวลาให้ล่วงไป ใคร ๆ เรียกว่า พระจูฬบิณฑปาติกติสสเถระ ได้เป็นผู้ปรากฏรู้กันทั่วไปในพระพุทธศาสนา เหมือนพระจันทร์เพ็ญในพื้นท้องฟ้าฉะนั้น.

ในกาลนั้น เมื่อกาลเล่นนักขัตฤกษ์ยังดำเนินไปในนครราชคฤห์ บิดา มารดาของพระเถระเก็บสิ่งของอันเป็นเครื่องประดับ อันมีอยู่ในครั้งพระเถระ เป็นคฤหัสถ์ไว้ในผอบเงิน เอามาวางไว้ที่อกร้องไห้พลางพูดว่า ในการเล่น นักขัตฤกษ์อื่น ๆ บุตรของพวกเรานี้ประดับด้วยเครื่องประดับนี้เล่นนักขัตฤกษ์ พระสมณโคดมพาเอาบุตรน้อยนั้นของพวกเราไปยังพระนครสาวัตถี บัดนี้ บุตรน้อยของเราทั้งหลายนั้น นั่งที่ไหนหนอ ยืนที่ไหนหนอ.

ลำดับนั้น นางวัณณทาสีคนหนึ่งไปยังตระกูลนั้น เห็นภรรยาของเศรษฐีกำลังร้องไห้อยู่ จึง ถามว่า แม่เจ้า ท่านร้องไห้ทำไม ? ภรรยาของเศรษฐีนั้นจึงบอกเนื้อความ นั้น นางวัณณทาสีกล่าวว่า แม่เจ้า ก็พระลูกเจ้ารักอะไร ? ภรรยาเศรษฐี กล่าวว่า รักของสิ่งโน้นและสิ่งโน้น. นางวัณณทาสีกล่าวว่า ถ้าท่านจะให้ ความเป็นใหญ่ทั้งหมดในเรือนนี้แก่ดิฉันไซร้ ดิฉันจักนำบุตรของท่านมา. ภรรยาท่านเศรษฐีรับคำว่า ได้ แล้วให้สะเบียง ส่งนางวัณณทาสีนั้นไปด้วย บริวารใหญ่ โดยพูดว่า ท่านจงไปนำบุตรของเรามา ด้วยความสามารถของตน นางวัณณทาสีนั้นนั่งในยานน้อยอันปกปิด ไปยังนครสาวัตถี ถือเอาการอยู่อาศัย ใกล้ถนนที่พระเถระเที่ยวภิกขาจาร ไม่ให้พระเถระเห็นพวกคนที่มาจากตระกูล เศรษฐี แวดล้อมด้วยบริวารของตนเท่านั้น เมื่อพระเถระเข้าไปบิณฑบาต ได้ ถวายยาคูหนึ่งกระบวยและภิกษามีรส ผูกพันด้วยความอยากในรสไว้แต่เบื้องต้น แล้วให้นั่งในเรือนถวายภิกษาโดยลำดับ รู้ว่าพระเถระตกอยู่ในอำนาจของตน จึงแสดงการว่าเป็นไข้นอนอยู่ภายในห้อง. ฝ่ายพระเถระเที่ยวไปตามลำดับ ตรอก ในเวลาภิกขาจาร ได้ไปถึงประตูเรือน ชนที่เป็นบริวารรับบาตรของ พระเถระแล้วนิมนต์พระเถระให้นั่งในเรือน. พระเถระนั่งแล้วถามว่า อุบาสิกา ไปไหน ? ชนบริวารกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ อุบาสิกาเป็นไข้ปรารถนาจะเห็นท่าน พระเถระถูกตัณหาในรสผูกพัน ทำลายการสมาทานวัตรของตน เข้าไปยังที่ที่ นางวัณณทาสีนั้นนอนอยู่ นางวัณณทาสีรู้เหตุแห่งการมาเพื่อตน จึงประเล้า ประโลมพระเถระนั้น ผูกด้วยตัณหาในรส ให้สึกแล้วให้ตั้งอยู่ในอำนาจของ ตน ให้นั่งในยาน ได้ไปยังนครราชคฤห์นั่นเอง ด้วยบริวารใหญ่. ข่าวนั้น ได้ปรากฏแล้ว. ภิกษุทั้งหลายนั่งประชุมกันในโรงธรรมสภา สนทนากันขึ้นว่า ได้ยิน ว่า นางวัณณทาสีคนหนึ่ง ผูกพระจูฬบิณฑปาติกาติสสเถระด้วยตัณหา ในรส แล้วพาไปแล้ว. พระศาสดาเสด็จเข้าไปยังโรงธรรมสภา ประทับบน อาสนะที่เขาตกแต่งไว้ แล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่ง สนทนากันด้วยเรื่องอะไร ? ภิกษุเหล่านั้นได้กราบทูลเรื่องราวนั้น. พระศาสดา ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้ติดในรสตัณหา ตกอยู่ในอำนาจของ นางวัณณทาสีนั้น ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็ตกอยู่ในอำนาจ ของนางเหมือนกัน แล้วทรงนำอดีตนิทานมาว่า

ในอดีตกาล ในพระนครพาราณสี ได้มีนายอุทยานบาลของพระเจ้า พรหมทัต ชื่อว่าสัญชัย ครั้งนั้น เนื้อสมันตัวหนึ่งมายังอุทยานนั้น เห็น นายอุยยานบาลคนเฝ้าอุทยานจึงหนีไป. ฝ่ายนายสัญชัยมิได้ขู่คุกคามเนื้อสมัน นั้นให้ออกไป เนื้อสมันนั้นจึงมาเที่ยวในอุทยานนั้นนั่นแลบ่อย ๆ นายอุยยานบาลนำเอาดอกไม้และผลไม้มีประการต่าง ๆ มาจากอุทยานแต่เช้าตรู่ นำไป เฉพาะพระราชาทุกวัน ๆ.

ครั้นวันหนึ่ง พระราชาตรัสถามนายอุยยานบาลนั้น ว่า ดูก่อนสหายอุยยานบาล เธอเห็นความอัศจรรย์อะไร ๆ ในอุทยานบ้างไหม ? นายอุยยานบาลกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระบาทไม่เห็นสิ่งอื่น แต่ว่า เนื้อสมันตัวหนึ่งมาเที่ยวอยู่ในอุทยาน ข้าพระบาทได้เห็นสิ่งนี้. พระราชาตรัส ถามว่า ก็เธอจักอาจจับมันไหม ? นายอุยยานบาลกราบทูลว่า ข้าพระบาท เมื่อได้นํ้าผึ้งหน่อยหนึ่งจักอาจนำเนื้อสมันนี้มา แม้ยังภายในพระราชนิเวศน์ พระเจ้าข้า. พระราชาได้ให้นํ้าผึ้งแก่นายอุยยานบาลนั้น. นายอุยยานบาลนั้น รับนํ้าผึ้งนั้นแล้วไปยังอุทยาน แอบเอานํ้าผึ้งทาหญ้าทั้งหลายในที่ที่เนื้อสมัน เที่ยวไป. เนื้อสมันมากินหญ้าที่ทาด้วยนํ้าผึ้ง ติดในรสตัณหา ไม่ไปที่อื่น มาเฉพาะอุทยานเท่านั้น. นายอุยยานบาลรู้ว่าเนื้อสมันนั้นติดหญ้าที่ทาด้วยนํ้า ผึ้ง จึงแสดงตนให้เห็นโดยลำดับ.

เนื้อสมันนั้นครั้นเห็นนายอุยยานบาลนั้น ๒ - ๓ วันแรกก็หนีไป แต่พอเห็นเข้าบ่อย ๆ จึงคุ้นเคย ถึงกับกินหญ้าที่อยู่ใน มือของนายอุยยานบาลได้โดยลำดับ. นายอุยยานบาลรู้ว่าเนื้อสมันนั้นคุ้นเคยแล้ว จึงเอาเสื่อลำแพนล้อมถนนจนถึงพระราชนิเวศน์ แล้วเอากิ่งไม้หักปักไว้ในที่ นั้น ๆ สพายนํ้าเต้าบรรจุนํ้าผึ้ง หนีบกำหญ้า แล้วโปรยหญ้าที่ทาด้วยนํ้าผึ้ง ลงข้างหน้าเนื้อ. ได้ไปยังภายในพระราชนิเวศน์ทีเดียว เมื่อเนื้อเข้าไปภายใน แล้ว คนทั้งหลายจึงปิดประตู เนื้อเห็นมนุษย์ทั้งหลายก็ตัวสั่นกลัวแต่มรณภัย วิ่งมาวิ่งไป ณ พระลานในภายในพระราชนิเวศน์ พระราชาเสด็จลงจากปราสาท ทอดพระเนตรเห็นเนื้อนั้นตัวสั่น จึงตรัสว่า ธรรมดาเนื้อย่อมไม่ไปยังที่ที่คน เห็นตลอด ๗ วัน ย่อมไม่ไปยังที่ที่ถูกคุกคามตลอดชีวิต เนื้อสมันผู้อาศัย ป่าชัฏอยู่เห็นปานนี้นั้นถูกผูกด้วยความอยากในรส มาสู่ที่เห็นปานนี้ ในบัดนี้ ผู้เจริญทั้งหลาย ชื่อว่าสิ่งที่ลามกกว่าความอยากในรส ย่อมไม่มีในโลกหนอ แล้วทรงเริ่มตั้งธรรมเทศนาด้วยคาถานี้ว่า ได้ยินว่า สิ่งอื่นที่จะเลวยิ่งไปกว่ารสทั้งหลายย่อม ไม่มี รสเป็นสภาพเลวแม้กว่าถิ่นที่อยู่ แม้กว่าความ สนิทสนม นายสัญชัยอุยยานบาลนำเนื้อสมันซึ่งอาศัย อยู่ในป่าชัฏมาสู่อำนาจของตนได้ ด้วยรสทั้งหลาย.

ศัพท์ว่า กิระ ได้ยินว่า ในคาถานั้น เป็นนิบาตใช้ในอรรถว่าได้ ยินได้ฟัง. บทว่า รเสหิ กว่ารสทั้งหลาย ความว่า กว่ารสหวานและรส เปรี้ยวเป็นต้นที่พึงรู้ด้วยลิ้น. บทว่า ปาปิโย แปลว่า เลวกว่า. บทว่า อาวา- เสหิ วา สนฺถเวหิ วา แม้กว่าถิ่นที่อยู่ แม้กว่าความสนิทสนม ความว่า ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจในถิ่นที่อยู่กล่าวคือสถานที่อยู่ประจำก็ดี ใน ความสนิทสนมด้วยอำนาจความเป็นมิตรก็ดี ลามกแท้ แต่รสในการบริโภคที่ เป็นไปกับด้วยฉันทราคะนั่นแหละเป็นสภาพเลวกว่า แม้กว่าถิ่นที่อยู่ แม้กว่า ความสนิทสนมด้วยความเป็นมิตร ซึ่งมีการบริโภคด้วยฉันทราคะเหล่านี้ โดย ร้อยเท่าพันเท่า เพราะอรรถว่า ต้องเสพเฉพาะเป็นประจำ และเพราะเว้น อาหาร การรักษาชีวิตินทรีย์ก็ไม่มี ก็พระโพธิสัตว์ทรงกระทำเนื้อความนี้ ให้ เป็นเสมือนเนื้อที่ตามมาด้วยดี จึงตรัสว่า ได้ยินว่าสภาพที่เลวกว่ารสทั้งหลาย ย่อมไม่มี รสเป็นสภาพเลวกว่า แม้กว่าถิ่นที่อยู่ แม้กว่าความสนิทสนม บัดนี้ พระโพธิสัตว์เมื่อจะแสดงว่ารสเหล่านั้นเลว จึงตรัสคำมีอาทิว่า วาตมิคํ ดังนี้ บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า คหนนิสฺสิตํ แปลว่า อาศัยที่เป็นป่ารกชัฏ ท่าน กล่าวอธิบายไว้ว่า ท่านทั้งหลายจงดูความที่รสทั้งหลายเป็นสภาพเลว นาย สญชัยอุยยานบาลนำเนื้อสมันชื่อนี้ ซึ่งอาศัยอยู่ในป่าชัฏ ในราวป่า มาสู่อำนาจ ของตนด้วยรสนํ้าผึ้ง สิ่งอื่นที่เลวกว่า คือลามกกว่า ชื่อว่าเลวกว่ารสทั้งหลาย ซึ่งมีการบริโภคด้วยฉันทราคะ ย่อมไม่มี แม้โดยประการทั้งปวง.

พระโพธิสัตว์ ตรัสโทษแห่งตัณหาในรส ด้วยประการดังนี้ ก็แหละครั้นตรัสแล้ว จึงทรงให้ ส่งเนื้อนั้นไปยังป่านั่นเอง.

พระศาสดาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย นางวัณณทาสีนั้น ผูกภิกษุนั้นด้วย ตัณหาในรส กระทำไว้ในอำนาจของตนในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาล ก่อน ก็ได้กระทำแล้วเหมือนกัน ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาสืบต่อ อนุสนธิแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า นายสัญชัยในครั้งนั้น ได้เป็นนาง วัณณทาสีคนนี้ เนื้อสมันในครั้งนั้น ได้เป็นพระจูฬบิณฑปาติกภิกษุ ส่วนพระเจ้าพาราณสีได้เป็นเราแล.

จบ วาตมิคชาดกที่ ๔

กลับที่เดิม