พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภความตะเกียกตะกายขวนขวายเพื่อการฆ่าของพระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ยสฺเสเต จตุโร ธมฺมา ดังนี้.
            ในสมัยนั้น พระศาสดาทรงสดับข่าวว่า พระเทวทัตกำลัง ตะเกียกตะกายเพื่อปลงพระชนม์ จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่พระเทวทัตตะเกียกตะกายเพื่อฆ่าเรา แม้ในกาลก่อน ก็เคยตะเกียกตะกายแล้วเหมือนกัน แต่ไม่อาจ กระทำเหตุเพียงความสะดุ้งแก่เราได้เลย แล้วทรงนำเอาเรื่อง ในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
            ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นกระบี่ ครั้นเจริญวัย มีร่างกายเติบโตขนาดลูกม้า สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรง เที่ยวไป ตามแนวฝั่งน้ำลำพังผู้เดียว. ก็กลางแม่น้ำนั้น มีเกาะแห่งหนึ่ง อุดมสมบูรณ์ด้วยต้นไม้อันมีผลนานาชนิด มีมะม่วงและขนุน เป็นต้น.
            พระโพธิสัตว์ มีกำลังดังช้างสาร สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรง โจนจากฝั่งแม่น้ำข้างนี้แล้ว ก็ไปพักที่หินดาดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ กลางลำน้ำ ระหว่างฝั่งแห่งเกาะ โจนจากแผ่นหินนั้นแล้ว ก็ขึ้น เกาะนั้นได้ ขบเคี้ยวผลไม้ต่าง ๆ บนเกาะนั้น พอเวลาเย็นก็ กระโดดกลับมาด้วยอุบายนั้น กลับที่อยู่ของตน ครั้นวันรุ่งขึ้น ก็กระทำเช่นนั้นอีก พำนักอยู่ในสถานที่นั้น โดยนิยามนี้แล.
            ก็ในครั้งนั้น มีจระเข้ตัวหนึ่งพร้อมกับเมียอาศัยอยู่ใน น่านน้ำนั้น. เมียของมันเห็นพระโพธิสัตว์โดดไปโดดมา เกิด แพ้ท้องต้องการกินเนื้อหัวใจของพระโพธิสัตว์ จึงพูดกะจระเข้ ผู้ผัวว่า ทูลหัว ฉันเกิดแพ้ท้อง ต้องการกินเนื้อหัวใจของพานรินท์ นี้. จระเข้ผู้ผัวกล่าวว่า ได้ซี่ เธอจ๋า เธอจะต้องได้. แล้วพูดต่อไป ว่า วันนี้พี่จะคอยจ้องจับ เมื่อมันกลับมาจากเกาะในเวลาเย็น แล้วไปนอนคอยเหนือแผ่นหิน.
            พระโพธิสัตว์เที่ยวไปทั้งวัน ครั้นเวลาเย็น ก็หยุดยืนอยู่ที่ชายเกาะ มองดูแผ่นหินแล้วดำริว่า บัดนี้ แผ่นหินนี้สูงกว่าเก่า เป็นเพราะเหตุอะไรหนอ ? ได้ยินว่า ประมาณของน้ำ และประมาณของแผ่นหิน พระโพธิสัตว์กำหนด ไว้เป็นอย่างดีทีเดียว ด้วยเหตุนั้น จึงมีวิตกว่า วันนี้ก็ไม่ลง และไม่ขึ้นเลย ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ หินนี้ดูใหญ่โตขึ้น จระเข้มันนอน คอยจับเราอยู่บนแผ่นหินนั้น บ้างกระมัง.
            พระโพธิสัตว์ คิดว่า เราจักทดสอบดูก่อน คงยืนอยู่ตรงนั้นแหละ ทำเป็นพูดกะหิน พลางกล่าวว่า แผ่นหินผู้เจริญ ยังไม่ได้รับคำตอบ ก็กล่าวว่า หิน ๆ ถึง ๓ ครั้ง หินจักให้คำตอบได้อย่างไร ? วานรคงพูด กะหินซ้ำอีกว่า แผ่นหินผู้เจริญ เป็นอย่างไรเล่า วันนี้จึงไม่ตอบรับ ข้าพเจ้า. จระเข้ฟังแล้วคิดว่า ในวันอื่น ๆ แผ่นหินนี้ คงให้คำตอบ แก่พานรินทร์แล้วเป็นแน่ บัดนี้เราจะให้คำตอบแก่เขา พลาง กล่าวว่า อะไรหรือพานรินทร์ผู้เจริญ.
            พระโพธิสัตว์ถามว่า เจ้าเป็นใคร ? เราเป็นจระเข้. เจ้ามานอนที่นี่ เพื่อต้องการอะไร ? เพื่อต้องการเนื้อหัวใจของท่าน. พระโพธิสัตว์ดำริว่า เราไม่มีทางไปทางอื่น วันนี้ต้อง ลวงจระเข้ตัวนี้.
            ครั้นคิดแล้ว จึงพูดกะมันอย่างนี้ว่า จระเข้สหาย รัก เราจะตัดใจสละร่างกายให้ท่าน ท่านจงอ้าปากคอยงับเรา ในเวลาที่เราถึงตัวท่าน. เพราะหลักธรรมดามีอยู่ว่า เมื่อจระเข้ อ้าปาก นัยน์ตาทั้งสองข้างก็จะหลับ. จระเข้ไม่ทันกำหนดเหตุ (อันเป็นหลักธรรมดา) นั้น ก็อ้าปากคอย ทีนั้นนัยน์ตาของมัน ก็ปิด. มันจึงนอนอ้าปากหลับตารอ. พระโพธิสัตว์รู้สภาพเช่นนั้น ก็เผ่นไปจากเกาะ เหยียบหัวจระเข้ แล้วโดดจากหัวจระเข้ไป ยังฝั่งตรงข้าม เร็วเหมือนฟ้าแลบ.
            จระเข้เห็นเหตุอัศจรรย์นั้น คิดว่า พานรินทร์นี้กระทำการน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก พลางพูดว่า พานรินทร์ผู้เจริญ ในโลกนี้บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ย่อมครอบงำศัตรูได้ ธรรมเหล่านั้น ชะรอยจะมีภายในของท่าน ครบทุกอย่าง แล้วกล่าวคาถานี้ ใจความว่า :-
            พานรินทร์ ธรรม ๔ ประการเหล่านี้ สัจจะ ธรรม ธิติ และจาคะ มีแก่บุคคลใด เหมือนมีแก่ท่าน บุคคลนั้นย่อมพ้นศัตรูไปได้ ดังนี้.
            บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยสฺส ได้แก่ บุคคลใดบุคคล หนึ่ง. บทว่า เอเต ความว่า ย่อมปรากฏโดยประจักษ์ในธรรม ที่เราจะกล่าวในบัดนี้. บทว่า จตุโร ธมฺมา ได้แก่คุณธรรม ๔ ประการ. บทว่า สจฺจํ ได้แก่ วจีสัจ คือที่ท่านบอกว่า จักมาสู่สำนัก ของข้าพเจ้า ท่านก็มิได้กระทำให้เป็นการกล่าวเท็จ มาจริง ๆ ทีเดียว ข้อนี้เป็นวจีสัจของท่าน. บทว่า ธมฺโม ได้แก่วิจารณปัญญา กล่าวคือ ความรู้จัก พิจารณาว่าเมื่อทำอย่างนี้แล้ว จักต้องมีผลเช่นนี้ ข้อนี้เป็น วิจารณปัญญาของท่าน. ความเพียรอันไม่ย่อหย่อนขาดตอนลง ท่านเรียกว่าธิติ แม้คุณธรรมข้อนี้ ก็มีแก่ท่าน. บทว่า จาโค ได้แก่ การสละตน คือการที่ท่านสละชีวิต มาถึงสำนักของเรา แต่เราไม่อาจจับท่านได้ นี้เป็นโทษของเรา ฝ่ายเดียว. บทว่า ทิฏฺฐํ ได้แก่ปัจจามิตร. บทว่า โส อติวตฺตติ ความว่า ธรรม ๔ อย่างเหล่านี้ ดังพรรณนามานี้มีแก่บุคคลใด เหมือนมีแก่ท่าน บุคคลผู้นั้น ย่อมก้าวล่วง คือครอบงำเสียได้ ซึ่งปัจจามิตรของตน เหมือน ดังท่านล่วงพ้นข้าพเจ้าไปได้ในวันนี้ ฉะนั้น.
            จระเข้สรรเสริญพระโพธิสัตว์อย่างนี้แล้ว ก็ไปที่อยู่ ของตน. แม้พระบรมศาสดาก็ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวทัต มิใช่เพื่อจะตะเกียกตะกายจะฆ่าเรา ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อน ก็ตะเกียกตะกายเหมือนกัน
            ดังนี้แล้ว ทรงนำ พระธรรมเทศนานี้มา สืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า จระเข้ ใน ครั้งนั้น ได้มาเป็นพระเทวทัตในครั้งนี้ เมียของจระเข้ ได้มา เป็นนางจิญจมาณวิกา ส่วนพานรินทร์ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
            จบ อรรถกถาวานรินทชาดกที่ ๗