อรรถกถาวัณณุปถชาดก

ดังได้สดับมา เมื่อพระตถาคตประทับอยู่ในนครสาวัตถี มีกุลบุตร ชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่ง ไปพระเชตวันวิหาร สดับพระธรรมเทศนาในสำนัก ของพระศาสดา มีจิตเลื่อมใส เห็นโทษในกามและอานิสงส์ในการออกจากกาม จึงบวช อุปสมบทได้ ๕ พรรษา เรียนได้มาติกา ๒ บท ศึกษาการประพฤติ วิปัสสนา รับพระกรรมฐานที่จิตของตนชอบ ในสำนักของพระศาสดาเข้าไป ยังป่าแห่งหนึ่ง จำพรรษา พยายามอยู่ตลอดไตรมาสไม่อาจทำสักว่าโอภาสหรือ นิมิตให้เกิดขึ้น.

ลำดับนั้นภิกษุนั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า พระศาสดาตรัสบุคคล ๔ จำพวก ในบุคคล ๔ จำพวกนั้น เราคงจะเป็นปทปรมะ เราเห็นจะไม่มี มรรคหรือผลในอัตภาพนี้ เราจักกระทำอะไรด้วยการอยู่ป่า เราจักไปยังสำนัก ของพระศาสดา แลดูพระรูปของพระพุทธเจ้าอันถึงความงามแห่งพระรูปอย่าง ยิ่ง ฟังพระธรรมเทศนาอันไพเราะอยู่ (จะดีกว่า) ครั้นคิดแล้วก็กลับมายัง พระเชตวันวิหารนั่นแลอีก.

ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นเพื่อนเห็นและคบกัน กล่าวกะภิกษุนั้น ว่า ดูก่อนอาวุโส ท่านเรียนกรรมฐานในสำนักของพระศาสดาแล้วไปด้วยหวัง ใจว่า จักกระทำสมณธรรม แต่บัดนี้มาเที่ยวรื่นรมย์ด้วยการคลุกคลีอยู่ กิจแห่ง บรรพชิตของท่านถึงที่สุดแล้วหรือหนอ ท่านจะเป็นผู้ไม่มีปฏิสนธิแลหรือ. ภิกษุนั้นกล่าวว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย เราไม่ได้มรรคหรือผล จึงคิดว่าเราน่า จะเป็นอภัพพบุคคล จึงได้สละความเพียรแล้วมาเสีย. ภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่า ดูก่อนอาวุโส ท่านบวชในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้มีความเพียรมั่นแล้ว ละความเพียรเสีย กระทำสิ่งอันมิใช่เหตุแล้ว มาเถิดท่าน พวกเราจักแสดง ท่านแด่พระตถาคต.

ครั้นกล่าวแล้ว ภิกษุเหล่านั้นจึงได้พาภิกษุนั้นไปยังสำนัก ของพระศาสดา. พระศาสดาพอทรงเห็นภิกษุนั้น จึงตรัสอย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเป็นผู้พาภิกษุผู้ไม่ปรารถนารูปนี้มาแล้ว ภิกษุนี้ทำอะไร. ภิกษุ ทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ภิกษุนี้บวชในพระศาสนาอันเป็น เครื่องนำออกจากทุกข์เห็นปานนี้ ไม่อาจกระทำสมณธรรม ละความเพียรเสีย มาแล้ว.

ลำดับนั้นพระศาสดาตรัสกะภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่าเธอละ ความเพียรจริงหรือ. ภิกษุนั้นกราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เธอบวชในศาสนาอันเป็นเครื่องนำ ออกจากทุกข์เห็นปานนี้ ทำไมจึงไม่ให้เขารู้จักตนอย่างนี้ว่า เป็นผู้มักน้อย หรือว่า เป็นผู้สันโดษหรือว่าเป็นผู้สงัด หรือว่าเป็นผู้ไม่เกี่ยวข้อง หรือว่าเป็น ผู้ปรารภความเพียร ให้เขารู้จักว่า เป็นภิกษุผู้ละความเพียร เมื่อครั้งก่อน เธอได้เป็นผู้มีความเพียรมิใช่หรือ เมื่อเกวียน ๕๐๐เล่ม ไปในทางกันดาร เพราะทราย พวกมนุษย์และโคทั้งหลายได้นํ้าดื่มมีความสุข เพราะอาศัยความ เพียรซึ่งเธอผู้เดียวกระทำแล้ว เพราะเหตุไร บัดนี้ เธอจึงละความเพียรเสีย.

ภิกษุนั้นได้กำลังใจด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้. ฝ่ายภิกษุทั้งหลายได้ฟังพระดำรัสนั้น จึงอ้อนวอนพระผู้มีพระภาคเจ้า ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความที่ความเพียรอันภิกษุนี้สละแล้ว ปรากฏแก่ ข้าพระองค์ทั้งหลายในบัดนี้แล้ว ก็ในกาลก่อน ความที่โคและมนุษย์ทั้งหลาย ได้นํ้าดื่มมีความสุขในทางกันดารเพราะทราย เหตุอาศัยความเพียรที่ภิกษุนี้ กระทำ ยังลี้ลับสำหรับข้าพระองค์ทั้งหลาย ปรากฏแก่พระองค์ผู้ทรงบรรลุ พระสัพพัญญุตญาณเท่านั้น ขอพระองค์จงตรัสเหตุนี้แม้แก่ข้าพระองค์ ทั้งหลายเถิด.

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังการเกิดสติให้เกิดแก่ภิกษุทั้งหลาย เหล่านั้นด้วยพระดำรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้น เธอทั้งหลายจงฟัง แล้วได้ทรงกระทำเหตุการณ์อันระหว่างแห่งภพปกปิดไว้ให้ปรากฏ.

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนคร พาราณสี พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในตระกูลพ่อค้าเกวียน. พระโพธิสัตว์นั้น เจริญวัยแล้ว เที่ยวกระทำการค้าด้วยเกวียน ๕๐๐ เล่ม. พระโพธิสัตว์นั้นเดิน ทางกันดารเพราะทรายแห่งหนึ่งมีระยะประมาณ ๖๐ โยชน์. ก็ในทางกันดารนั้น ทรายละเอียดกำมือไว้ยังติดอยู่ในมือ ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นมีความร้อน เหมือน กองถ่านเพลิง ไม่อาจข้ามไปได้

เพราะฉะนั้น พระโพธิสัตว์นั้นเมื่อดำเนิน ทางกันดารนั้นจึงเอาเกวียนบรรทุกฟืน นํ้า นํ้ามัน และข้าวสารเป็นต้น ไป เฉพาะกลางคืน ในเวลาอรุณขึ้นกระทำเกวียนให้เป็นวงแล้ว ให้ทำปะรำไว้เบื้อง บนทำกิจในเรื่องอาหารให้เสร็จแต่เช้าตรู่แล้วนั่งในร่มเงาจนหมดวัน เมื่อพระอาทิตย์อัสดงแล้ว บริโภคอาหารเย็น เมื่อพื้นดินเกิดความเย็น จึงเทียม เกวียนเดินทางไป การไปเหมือนกับการไปในทะเลนั่นแหละ ย่อมจะมีในทาง กันดารนั้น. ธรรมดาผู้กำหนดบท๑ ควรจะมี เพราะเหตุนั้น พระโพธิสัตว์นั้น จึงให้กระทำการประกอบการไปของหมู่เกวียนตามสัญญาของดวงดาว

ในกาลนั้น พ่อค้าเกวียนแม้นั้น เมื่อจะไปยังทางกันดารนั้น ตามทำนองนี้นั่นแล จึงไปได้ ๕๙ โยชน์ คิดว่า บัดนี้ โดยราตรีเดียวเท่านั้น จักออกจากทางกันดารเพราะ ทรายจึงบริโภคอาหารเย็น ใช้ฟืนและนํ้าทั้งปวงให้หมดสิ้นแล้วจึงเทียมเกวียน ๑.

คนนำทาง เช่นเดียวกับคนนำร่องในทางนํ้า ไป คนนำทางให้ลาดอาสนะในเกวียนเล่มแรก นอนดูดาวในท้องฟ้าบอกว่า จงขับไปข้างนี้ จงขับไปข้างโน้น คนนำทางนั้นเหน็ดเหนื่อยเพราะไม่ได้หลับ เป็นระยะกาลนาน จึงหลับไป เมื่อโคหวนกลับเข้าเส้นทางที่มาเดิม ก็ไม่รู้สึก โคทั้งหลายได้เดินทางไปตลอดคืนยังรุ่ง. คนนำทางตื่นขึ้นในเวลาอรุณขึ้น มองดูดาวนักษัตรแล้วกล่าวว่าจงกลับเกวียน จงกลับเกวียน และเมื่อคนทั้ง หลายพากันกลับเกวียนทำไว้ตามลำดับ ๆ นั่นแล อรุณขึ้นไปแล้ว.

มนุษย์ทั้ง หลายพากันกล่าวว่า นี่เป็นที่ตั้งค่ายที่พวกเราอยู่เมื่อวานนี้ แม้ฟืนและนํ้าของ พวกเราก็หมดแล้ว บัดนี้พวกเราฉิบหายแล้ว จึงปลดเกวียนพักไว้โดยเป็นวง กลมแล้วทำปะรำไว้เบื้องบน นอนเศร้าโศกอยู่ภายใต้เกวียนของตน ๆ

พระโพธิสัตว์คิดว่า เมื่อเราละความเพียรเสีย คนทั้งหมดนั้นจักพากันฉิบหาย พอ เวลาเช้า จึงเที่ยวไปในเวลาที่ยังมีความเย็น เห็นกอหญ้าแพรกกอหนึ่งจึงคิดว่า หญ้าเหล่านี้จักเกิดขึ้น เพราะความเย็นของนํ้าข้างล่าง จึงให้คนถือจอบมา ให้ ขุดลงยังที่นั้น คนเหล่านั้นขุดที่ (ลึกลงไป) ได้ ๖๐ ศอก. เมื่อคนทั้งหลาย ขุดไปถึงที่มีประมาณเท่านี้ จอบได้กระทบหินข้างล่าง. พอจอบกระทบหิน คนทั้งปวงก็พากันละความเพียรเสีย

ฝ่ายพระโพธิสัตว์คิดว่า ภายใต้หินนี้จะพึง มีนํ้า จึงลงไปยืนที่พื้นหิน ก้มลงเงี่ยหูฟังเสียง ได้ยินเสียงนํ้าเบื้องล่าง จึง ขึ้นมาบอกกะคนรับใช้ว่า ดูก่อนพ่อ เมื่อเธอละความเพียรเสีย พวกเราจัก ฉิบหาย เธออย่าละความเพียร จงถือเอาค้อนเหล็กนี้ลงไปยังหลุม ทุบที่หินนี้ คนรับใช้นั้นรับคำของพระโพธิสัตว์นั้นแล้ว ไม่ละความเพียรในเมื่อคนทั้งปวง ละความเพียรยืนอยู่จึงลงไปทุบหิน. หินแตก ๒ ซีกตกลงไปข้างล่างได้ตั้งขวาง กระแสนํ้าอยู่. เกลียวนํ้าประมาณเท่าลำตาลพุ่งขึ้น. คนทั้งปวงพากันดื่มกิน แล้วอาบ ผ่าเพลาและแอกเป็นต้นที่เหลือเพื่อหุงข้าวยาคูและภัตบริโภคและให้ โคกิน และเมื่อพระอาทิตย์อัสดง จึงผูกธงใกล้บ่อนํ้า แล้วได้พากันไปยัง ที่ที่ปรารถนาแล้ว ๆ.

คนเหล่านั้นขายสินค้าในที่นั้นแล้วได้ลาภ ๒ เท่า ๓ เท่า จึงได้พากันไปเฉพาะที่อยู่ของตน ๆ. คนเหล่านั้นดำรงอยู่ในอัตภาพนั้นจนชั่ว อายุแล้วไปตามยถากรรม. ฝ่ายพระโพธิสัตว์กระทำบุญมีทานเป็นต้น ได้ไป ตามยถากรรมเหมือนกัน.

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าครั้นตรัสพระธรรมเทศนานี้แล้ว ทรงเป็นผู้ตรัส รู้ยิ่งเองเทียว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า ชนทั้งหลายผู้ไม่เกียจคร้าน ขุดภาคพื้นที่ทาง ทราย ได้พบนํ้าในทางทรายนั้น ณ ที่ลานกลางแจ้ง ฉันใด มุนีผู้ประกอบด้วยความเพียรและกำลัง เป็นผู้ ไม่เกียจคร้าน พึงได้ความสงบใจ ฉันนั้น.

พระศาสดาครั้นทรงแสดงพระธรรมเทศนานี้ อย่างนี้แล้ว จึงทรง ประกาศสัจจะ ๔. ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้ละความเพียรดำรงอยู่ในพระอรหัต อันเป็นผลอันเลิศ.

แม้พระศาสดาก็ตรัสเรื่อง ๒ เรื่องสืบต่อกัน ทรงประชุม ชาดกแสดงว่า คนรับใช้ผู้ไม่ละความเพียร ต่อยหินให้นํ้าแก่มหาชน ในสมัย นั้น ได้เป็นภิกษุผู้ละความเพียรรูปนี้ ในบัดนี้ บริษัทที่เหลือในสมัยนั้น เป็นพุทธบริษัทในบัดนี้ ส่วนหัวหน้าพ่อค้าเกวียนได้เป็นเรา ดังนี้ ได้ให้ พระธรรมเทศนานี้จบลงแล้ว.

จบ วัณณุปถชาดกที่ ๒

กลับที่เดิม