พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน ทรงปรารภพระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้มีคำเริ่มต้น ว่า อกฺขี ภินฺนา ปโฏ นฏฺโฐ ดังนี้.
            ได้ยินว่า ในครั้งนั้นภิกษุทั้งหลาย พากันยกเรื่องขึ้น สนทนากันในธรรมสภาว่า ผู้มีอายุทั้งหลายขอนไม้ไหม้ไฟ ทั้งสองข้าง ท่ามกลางเปื้อนคูถ ไม่อำนวยประโยชน์สมเป็นไม้ ในป่า ไม่อำนวยประโยชน์สมเป็นไม้ในบ้าน แม้ฉันใดเล่า พระเทวทัต ก็ฉันนั้นเหมือนกัน บวชแล้วในพระศาสนา อันประกอบ ด้วยธรรมเครื่องนำสัตว์ออกจากทุกข์ เห็นปานนี้ ยังพลาด เสื่อมถอยจากประโยชน์ทั้งสองด้านเสียได้ คือเสื่อมถอย จากโภคะแห่งคฤหัสถ์ ทั้งไม่สามารถทำประโยชน์แห่งความเป็น สมณะให้บริบูรณ์ได้ พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่อง อะไร ?
            เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่บัดนี้เท่านั้น ที่เทวทัตพลาดจาก ประโยชน์ทั้งสองด้าน แม้ในอดีต ก็ได้เคยพลาดจากประโยชน์ ทั้งสองด้านมาแล้วเหมือนกัน แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
            ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นรุกขเทวดา ในครั้งนั้น พวกพรานเบ็ด อยู่กันเป็นชุมนุม ณ หมู่บ้านตำบลหนึ่ง
            ครั้งนั้นพรานเบ็ดคนหนึ่ง ถือเบ็ดไปกับลูกชายรุ่นหนุ่ม ไปที่บึง ซึ่งพวกพรานเบ็ดพากันจับปลาโดยปกติอยู่ แล้วลงเบ็ด เบ็ดติด ที่ตอ ๆ หนึ่งใต้น้ำ พรานเบ็ดไม่สามารถจะดึงขึ้นมาได้ ก็คิดว่า เบ็ดคงติดปลาตัวใหญ่ เราต้องส่งลูกชายไปหาแม่ ให้ก่อการทะเลาะ กับพวกคนใกล้เคียง เมื่อเป็นเช่นนี้ ใคร ๆ ก็จะไม่คอยจ้อง จะเอาส่วนแบ่งจากปลาตัวนี้
            แล้วบอกลูกชายว่า ไปเถิดลูก เจ้า จงไปบอกแม่ ถึงเรื่องที่เราได้ปลาตัวใหญ่ ให้แม่เขาก่อการ ทะเลาะวิวาทกับคนใกล้เคียงเสีย ครั้นเขาส่งลูกไปแล้ว เมื่อไม ่อาจจะดึงเบ็ดมาได้ เกรงสายเบ็ดจะขาด จึงแก้ผ้าวางไว้บนบก โดดลงน้ำ เพราะอยากได้ปลา หาได้พิจารณาว่าจะเป็นปลา หรือไม่ จึงกระทบเข้ากับตอ นัยน์ตาแตกทั้งสองข้าง ผ้านุ่งที่วางไว้ บนบกเล่า ขโมยก็ลักไปเสีย เขาเจ็บปวดเอามือกุมนัยน์ตา ทั้งสองข้างไว้ ขึ้นจากน้ำ ซมซานหาผ้านุ่ง
            ฝ่ายว่าภรรยาของเขา คิดว่า เราจักก่อการทะเลาะ ทำให้ใคร ๆ ไม่จ้องขอส่วนแบ่ง ดังนี้แล้วเอาใบตาลประดับหูข้างหนึ่งเท่านั้น ตาข้างหนึ่งก็มอมเสีย อุ้มลูกหมาใส่สะเอว เดินไปนั่งหัวบ้านท้ายบ้าน ครั้งนั้นหญิง เพื่อนกันคนหนึ่ง พูดคะนองอย่างนี้ว่า เจ้าเอาใบตาลมาประดับ ที่หูข้างเดียวเท่านั้น ตาข้างหนึ่งก็มอมเสีย อุ้มลูกหมาใส่สะเอว ปานประหนึ่งว่าเป็นลูกรัก เดินไปหัวบ้านท้ายบ้าน เจ้าเป็นบ้า ไปแล้วหรือ ?
            นางกล่าวว่า ไม่ได้เป็นบ้า ก็เจ้ามาด่าว่าเราโดย หาเหตุมิได้ บัดนี้เราจักพาเจ้าไปหานายอำเภอ ให้ปรับเจ้าเสีย แปดกษาปณ์ ครั้นทะเลาะกันอย่างนี้แล้ว คนทั้งสองก็พากันไป ยังที่ว่าการอำเภอ เมื่อนายอำเภอชำระข้อพิพาทของหญิงทั้งสอง นั้น ก็ปรับหญิงผู้เป็นภรรยาของพรานเบ็ดซ้ำเข้าอีก คนทั้งหลาย ก็มัดนาง เร่งรัดว่า จงให้ค่าปรับ แล้วเริ่มเฆี่ยน
            รุกขเทวดา เห็นพฤติกรรมนี้ของนางในบ้าน และความฉิบหายของผัวนั้น ในป่า ก็ยืนที่ค่าคบไม้ กล่าวว่า ดูก่อนเจ้าคนถ่อย การงาน ของเจ้าเสื่อมเสียหมดแล้ว ทั้งในน้ำ ทั้งบนบก เจ้าพลาดเสียแล้ว จากประโยชน์ทั้งสองสถานแล้วกล่าวคาถานี้ ความว่า :- "ตาของเจ้าก็แตก ผ้าของเจ้าก็หาย ภรรยาของเจ้าก็ทะเลาะกับหญิงเพื่อนบ้าน การ งานทั้งหลายเสียหายทั้งสองด้าน ทั้งในน้ำ ทั้ง บนบก" ดังนี้.
            บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สขีเคเห จ ภณฺฑนํ ความว่า หญิงผู้เป็นสหายชื่อว่า เพื่อน ขยายความว่า เมียของเจ้าทำ ความร้าวฉาน ในเรือนของหญิงผู้เป็นสหายนั้น ถูกจับมัดเฆี่ยนลงทัณฑ์. บทว่า อุภโต ปทุฏฺฐา ความว่า การงานในฐานะทั้งสอง ของเจ้า เสียหาย ย่อยยับ อย่างนี้ทีเดียว. ถามว่า ในฐานะทั้งสองอย่างไหนบ้าง ? ตอบว่า ทั้งทางน้ำ และทั้งทางบก ได้แก่การงานในน้ำ เสียหายเพราะนัยน์ตาแตก และผ้านุ่งถูกขโมยลัก การงาน บนบกเสียหาย เพราะเมียทำความร้าวฉานกับเพื่อนบ้าน ถูกจับ มัดเฆี่ยนลงทัณฑ์.
            พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม ชาดกว่า พรานเบ็ดในครั้งนั้น ได้มาเป็นเทวทัต ส่วนรุกขเทวดา ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
            จบ อรรถกถาอุภโตภัตถชาดกที่ ๙