พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้กระสันนั่นแหละตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า โกธนา อกตญฺญู จ ดังนี้.
            พระศาสดาตรัสถามว่า จริงหรือภิกษุที่เขาว่า เธอกระสัน แล้ว ? เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า ตรัสว่า ขึ้นชื่อว่า หญิงทั้งหลาย เป็นคนอกตัญญู ประทุษร้ายมิตร เหตุไรเธอจึง กระสันเพราะอาศัยหญิงเหล่านั้น แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
            ๑. ม. อรรถกถาตักกปัณฑิตชาดก ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บวชเป็นฤาษี สร้างอาศรมอยู่ที่ฝั่ง แม่น้ำคงคา ยังสมาบัติและอภิญญาให้เกิดแล้ว ยับยั้งอยู่ด้วย ความสุขอันเกิดแต่ความยินดีในฌาน. ในสมัยนั้น ธิดาของท่าน เศรษฐี ในกรุงพาราณสี ชื่อว่าทุษฐกุมารีเป็นหญิงดุร้าย หยาบคาย มักด่า มักตี ทาส และกรรมกร.
            ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง คนที่เป็นบริวารชวนนางไปว่า จักเล่นน้ำในแม่น้ำคงคา. ขณะ เมื่อมนุษย์เหล่านั้นเล่นน้ำกันอยู่นั่นแหละ เป็นเวลาที่พระอาทิตย์ ใกล้จะอัษฎงค์. เมฆฝนก็ตั้งเค้าขึ้น. พวกมนุษย์ทั้งหลายเห็น เมฆฝนแล้ว ก็รีบวิ่งแยกย้ายกันไป. พวกทาสกรรมกรของธิดา ท่านเศรษฐีพูดกันว่า วันนี้พวกเราควรแก้เผ็ดนางตัวร้ายน ี้แล้วทิ้งนางไว้ในน้ำนั่นแล พากันขึ้นไปเสีย. ฝนก็ตกลงมา แม้ ดวงอาทิตย์ก็อัษฎงค์. เกิดความมืดมัวทั่วไป. พวกทาสและ กรรมกรเหล่านั้น เว้นแต่ธิดาท่านเศรษฐีคนเดียว ไปถึงเรือน
            เมื่อคนทั้งหลาย พูดว่า ธิดาท่านเศรษฐีไปไหนเล่า ? ก็กล่าวว่า นางขึ้นจากแม่น้ำคงคาก่อนหน้าแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกข้าพเจ้า จึงไม่รู้ว่านางไปไหน. แม้พวกญาติพากันค้นหาก็ไม่พบ. ธิดาท่านเศรษฐีร้องดังลั่น ลอยไปตามน้ำ ถึงที่ใกล้ บรรณศาลาของพระโพธิสัตว์ เมื่อเวลาเที่ยงคืน. พระโพธิสัตว์ ได้ยินเสียงของนางก็คิดว่า นั่นเสียงหญิง ต้องช่วยเหลือนาง พลางถือคบหญ้าเดินไปสู่ฝั่งแม่น้ำ เห็นนางแล้ว ก็ปลอบว่า อย่ากลัว อย่ากลัว ด้วยมีกำลังดังช้างสาร สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรง ว่ายน้ำไปช่วยนางขึ้นได้ พาไปอาศรม ก่อไฟให้นางผิง
            ครั้นนาง ค่อยสร้างหนาวแล้ว ก็จัดหาผลไม้น้อยใหญ่ที่อร่อย ๆ มาให้ พลางถามนางขณะที่บริโภคผลไม้นั้น ๆ ว่า นางอยู่ที่ไหน และ ทำไมถึงตกน้ำลอยมา. นางก็เล่าเรื่องราวนั้นให้ฟัง. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์กล่าวกะนางว่า เธอพักเสียที่นี่แหละ แล้วจัดให้นาง พักในบรรณศาลา ตนพักอยู่กลางแจ้ง สองสามวัน แล้วกล่าวว่า บัดนี้ เธอจงไปเถิด.
            เศรษฐีธิดาคิดว่า เราจักทำดาบสนี้ถึง สีสเภท แล้วชวนไปด้วยให้จงได้ ดังนี้แล้วไม่ยอมไป. ครั้นเวลา ล่วงผ่านไป ก็แสดงกระบิดกระบวนเล่ห์มายาหญิง ทำให้พระดาบสศีลขาด เสื่อมจากฌาน. ดาบสก็ชวนนางอยู่ในป่านั่นเอง
            ครั้งนั้น นางกล่าวกะดาบสว่า ข้าแต่ท่านเจ้า เราทั้งสองจักอยู่ ในป่าทำไม เราสองคนพากันไปสู่ยานมนุษย์เถิด. ดาบสก็พานางไป ถึงบ้านชายแดนตำบลหนึ่ง ประกอบอาชีพด้วยการขายเปรียง เลี้ยงนาง. เพราะท่านดาบสขายเปรียงเลี้ยงชีวิต ฝูงชนจึงขนานนาม ว่า ตักกบัณฑิต.
            ครั้งนั้น พวกชาวบ้านร่วมกันให้เสบียงอาหาร แก่ท่านกล่าวว่า ท่านช่วยบอกเหตุการณ์ที่บุคคลประกอบ ดีหรือชั่ว แก่พวกข้าพเจ้า อยู่เสียในที่นี้เถิดแล้วช่วยกันสร้าง กระท่อมให้อยู่ใกล้ประตูบ้าน. ก็โดยสมัยนั้น พวกโจรพากันลงมาจากภูเขา ปล้นชนบท ชายแดน วันหนึ่งพากันมาปล้น บ้านนั้น แล้วใช้ชาวชนบท นั้นแหละให้ขนข้าวของไปให้ ยึดเอาตัวนางเศรษฐีธิดา แม้นั้น ไปยังที่พำนักของตน แล้วจึงปล่อยคนที่เหลือ. ส่วนนายโจร พอใจในรูปของนาง จึงทำนางให้เป็นภรรยาของตน.
            พระโพธิสัตว์ สอบถามว่า หญิงชื่อนี้ไปไหนเสียเล่า ? แม้จะได้ฟังว่า ถูก นายโจรยึดเอาไว้เป็นภรรยาเสียแล้ว ก็ยังคิดว่า นางจักยังไม่ ทิ้งเรา อยู่ในที่นั้น จักต้องหนีมาเป็นแน่ รอคอยนางอยู่ในบ้าน นั่นเอง. ฝ่ายนางเศรษฐีธิดา ก็คิดว่า เราอยู่ที่นี่เป็นสุขดี บางที ตักกบัณฑิตอาศัยเหตุไร ๆ แล้ว จะมาพาเราไปเสียจากที่นี้ เมื่อ เป็นเช่นนั้น เราจักเสื่อมจากความสุขนี้ ถ้ากระไร เราทำเป็น เหมือนยังอาลัยรักอยู่ ให้คนไปตามตัวมาแล้วให้เขาฆ่าเสีย คิดแล้ว เรียกมนุษย์ผู้หนึ่งมาส่งข่าวไปว่า ดิฉันเป็นอยู่อย่างลำบากใน ที่นี้ ท่านตักกบัณฑิตกรุณามารับฉันไปด้วยเถิด.
            ตักกบัณฑิต สดับข่าวนั้นแล้วก็เชื่อ จึงไปที่บ้านนายโจร หยุดรอที่ประตูบ้าน ส่งข่าวไป. นางออกมาพบ แล้วพูดว่า ท่านเจ้าขา ถ้าเราพากันไป เดี๋ยวนี้ นายโจรจักติดตามฆ่าเราทั้งสองเสียก็ได้ เราจักไปกัน ในเวลากลางคืนพาตักกบัณฑิตมาให้บริโภค ให้ซ่อนตัวอยู่ ในยุ้ง
            ตกเวลาเย็น นายโจรกลับมา กินเหล้า เมา ก็พูดว่า ท่าน เจ้าค๊ะ ถ้านายเห็นศัตรูของนายในเวลานี้ นายจะพึงทำอย่างไร กะเขา. นายโจรกล่าวว่าเราจักกระทำเช่นนี้ ๆ. นางจึงบอกว่า ก็ศัตรูนั้นอยู่ไกลเสียเมื่อไรเล่า นั่งอยู่ในยุ้งข้าวนี่เอง. นายโจร ถือพระขรรค์เดินไปที่ยุ้งข้าว เห็นตักกบัณฑิตก็จับเหวี่ยงให้ ล้มลงกลางเรือน โบยด้วยท่อนไม้ ทุบถองด้วยศอกเข่าเป็นต้น จนหนำใจ ตักกบัณฑิตถึงจะถูกโบยก็ไม่พูดถ้อยคำอะไรอย่างอื่น เลย กล่าวแต่คำว่า ขี้โกรธ อกตัญญู ชอบส่อเสียด ประทุษร้าย มิตร อย่างเดียวเท่านั้น ฝ่ายโจรโบยตักกบัณฑิตแล้วก็มัดให้นอน มากินอาหารเย็นแล้วก็หลับไปตื่นขึ้น พอฤทธิ์สุราสร่าง ก็เริ่ม โบยตักกบัณฑิตอีก.
            แม้ตักกบัณฑิต ก็กล่าวแต่คำ ๔ คำ อยู่ อย่างนั้น. โจรคิดว่า ท่านผู้นี้ แม้จะถูกเราโบยอย่างนี้ ก็ไม่ยอม พูดอะไรอย่างอื่นเลย คงกล่าวแต่คำ๔ คำ อยู่ตลอดมา เราจัก ถามดู แล้วก็ถามตักกบัณฑิตว่า นี่แน่ะท่านผู้เจริญ ถึงแม้ท่าน จะถูกโบยอย่างนี้ เหตุไฉน จึงกล่าวแต่คำ ๔ คำ เหล่านี้เท่านั้น. ตักกบัณฑิตกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น จงฟังแล้วกล่าวลำดับเหตุการณ์ ตั้งแต่ต้นว่า เดิมข้าพเจ้าเป็นดาบสผู้หนึ่งอยู่ในป่า ได้ฌาน ข้าพเจ้าช่วยหญิงผู้นี้ผู้ลอยมาในแม่น้ำคงคาให้ขึ้นได้แล้ว ประคบ ประหงม เมื่อเป็นเช่นนี้ นางผู้นี้ ก็เล้าโลมข้าพเจ้า ทำให้เสื่อม จากฌาน ข้าพเจ้าต้องทิ้งป่าพานางมาเลี้ยงดูอยู่ที่บ้านชายแดน ครั้นนางส่งข่าวไปถึงข้าพเจ้าว่า ถูกพวกโจรนำมาที่นี่ ต้องอยู่ อย่างลำบาก ให้ช่วยพานางกลับไป ทำให้ข้าพเจ้าต้องตกอยู่ใน เงื้อมมือของท่านในบัดนี้ ด้วยเหตุนั้นข้าพเจ้าจึงกล่าวอยู่อย่างนี้.
            โจรได้คิดว่า หญิงคนนี้ปฏิบัติผิดถึงอย่างนี้ ในท่านผู้สมบูรณ์ ด้วยคุณ มีอุปการะถึงอย่างนี้มันคงทำอุปัทวันตรายอะไร ๆ ให้แก่เราก็ได้ ต้องฆ่ามันเสีย. นายโจรปลอบให้ตักกบัณฑิต เบาใจ ปลุกนางฉวยพระขรรค์ออกมาพูดว่า เราจักฆ่าชายผู้น ี้ที่ประตูบ้าน เดินไปนอกบ้านกับนางพลางบอกให้นางจับมือ ท่านตักกบัณฑิตไว้ด้วยคำว่า จงยึดมือชายผู้นี้ไว้ แล้วชักพระขรรค์ ทำเป็นเหมือนจะฟันท่านตักกบัณฑิต กลับฟันนางขาด ๒ ท่อน อาบน้ำดำเกล้าแล้ว เลี้ยงดูท่านตักกบัณฑิตด้วยโภชนะอัน ประณีต สองสามวัน ก็กล่าวว่า บัดนี้ท่านจักไปไหนต่อไปเล่า ? ตักกบัณฑิตกล่าวว่า ขึ้นชื่อว่ากิจด้วยการอยู่ครองเรือนไม่มีแก่ ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจักบวชเป็นฤาษีอยู่ในป่านั่นแหละ. โจรกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็จักบวชด้วย.
            ทั้งสองคนพากันบวช ไปสู่ ราวป่านั้น ให้อภิญญา๕ และสมาบัติ ๘ เกิดได้แล้ว ในเวลา สิ้นชีวิต ก็ได้ไปสู่พรหมโลก. พระบรมศาสดาตรัสเรื่องทั้งสองเหล่านี้แล้ว ครั้นตรัสรู้ แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ ความว่า
            "หญิงทั้งหลาย เป็นผู้มักโกรธ. อกตัญญู มักส่อเสียด และคอยแต่ทำลาย ดูก่อนภิกษุ เธอ จงประพฤติพรหมจรรย์เถิด แล้วเธอจักไม่คลาด ความสุขเป็นแน่" ดังนี้.
            ในพระคาถานั้น ประมวลอรรถาธิบายได้ดังนี้ :- ดูก่อนภิกษุ ขึ้นชื่อว่าหญิงทั้งหลาย เป็นผู้มักโกรธ ไม่ สามารถจะหักห้ามความโกรธที่เกิดขึ้นแล้วได้เลย เป็นคนอกตัญญู ไม่รู้อุปการคุณแม้จะยิ่งใหญ่ เป็นคนส่อเสียด ชอบกล่าวคำ อันแสดงถึงความส่อเสียดอยู่ร่ำไป เป็นผู้มีนิสัยชอบทำลาย ชอบทำลายหมู่มิตร มีปกติกล่าวคำทำให้มิตรแตกกันเป็นประจำ หญิงเหล่านี้ ประกอบไปด้วยธรรมอันลามกเห็นปานนี้. เธอจะ ไปต้องการหญิงเหล่านี้ ทำไมเล่า ? ดูก่อนภิกษุ เธอจงประพฤติ พรหมจรรย์เถิด เพราะว่าการงดเว้นจากเมถุนธรรมนี้ ชื่อว่า พรหมจรรย์ ด้วยอรรถว่าเป็นคุณอันบริสุทธิ์ เธอประพฤติ พรหมจรรย์นั้น ก็จะไม่คลาดความสุข คือว่า เมื่อเธออยู่ประพฤติ พรหมจรรย์นั้น จักไม่คลาดความสุขในฌานได้แก่ความสุข อันเกิดจากมรรค และความสุขอันเกิดจากผล อธิบายว่า จักไม่ ละความสุขนี้ คือจักไม่เสื่อมจากความสุขนี้. ปาฐะ ว่า น ปริหายสิ เธอจักไม่เสื่อม ดังนี้ก็มี. ความก็อย่างเดียวกันนี้แหละ.
            พระบรมศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัส ประกาศสัจจะทั้งหลาย. ในเวลาจบสัจจะภิกษุผู้กระสันดำรงอยู่ ในโสดาปัตติผลแล้ว. แม้พระบรมศาสดา ก็ทรงสืบอนุสนธิ ประชุมชาดกว่า นายโจรในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระอานนท์ ในครั้งนี้ ส่วนตักกบัณฑิตได้มาเป็น เราตถาคตฉะนี้แล.
            จบ อรรถกถาตักกชาดก(๑)ที่ ๓