พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภอุบาสกคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้น ว่า มา สุ นนฺทิ อิจฺฉติ มํ ดังนี้.
            ได้ยินมาว่า อุบาสกชาวเมืองสาวัตถีผู้หนึ่ง ดำรงมั่นใน สรณะทั้ง ๓ ในศีลทั้ง ๕ เป็นพุทธมามกะ (ยึดถือพระพุทธเจ้า ว่าเป็นของเรา) เป็นธัมมมามกะ (ยึดถือพระธรรมว่าเป็นของ เรา)เป็นสังฆมามกะ (ยึดถือพระสงฆ์ว่าเป็นของเรา). ส่วน ภรรยาของเขา เป็นหญิงทุศีล มีบาปธรรมวันใดได้ประพฤติ นอกใจผัว วันนั้นจะสดชื่นเหมือนนางทาสีที่ไถ่มาด้วยทรัพย์ ๑๐๐ กษาปณ์แต่ในวันไหนไม่ได้คบชู้ ก็จะเป็นเหมือนเจ้านาย ที่ดุร้าย หยาบคาย. เขาอ่านใจนางไม่ออก เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เกิด เอือมระอาในนางผู้เป็นภรรยาไม่ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า.
            ภายหลัง วันหนึ่ง เขาถือเครื่องสักการะมีของหอม และดอกไม้เป็นต้น ไปถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ พระศาสดาตรัสว่า เป็นอย่างไรหรือ จึงไม่ได้มายังสำนักของตถาคตถึง ๗-๘ วัน. เขากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม่เรือนของข้าพระองค์ บางวันก็เป็น เหมือนดังนางทาสีที่เขาไถ่มาด้วยทรัพย์นับร้อยกษาปณ์ บางวัน ก็ทำเป็นเหมือนเจ้านาย ดุร้ายหยาบคาย ข้าพระองค์อ่านนาง ไม่ออกเลย ข้าพระองค์เกิดเอือมระอาในนาง จึงไม่ได้เข้ามาเฝ้า พระเจ้าข้า.
            ครั้นพระศาสดาทรงสดับคำของเขาแล้ว จึงตรัสว่า อุบาสก ขึ้นชื่อว่า สภาพของมาตุคามรู้ได้ยากจริง แม้ในครั้งก่อน บัณฑิตทั้งหลายก็เคยบอกกับท่านแล้ว แต่ท่านไม่อาจกำหนดได้ ้เพราะเกิด ๆ ดับ ๆ ระหว่างภพต่อภพมากำบังไว้ อันอุบาสก กราบทูลอาราธนาแล้ว จึงทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
            ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ให้มาณพ ๕๐๐ คน ศึกษาศิลปะ ครั้งนั้น มาณพผู้หนึ่งอยู่นอกแว่นแคว้น มาเรียนศิลปะในสำนักของท่าน เกิดมีจิตปฏิพัทธ์ในหญิงนางหนึ่ง ได้นางเป็นภรรยา พำนักอยู่ในกรุงพาราณสีนั่นแหละ ไม่ได้ ไปอุปัฏฐากอาจารย์เสีย ๒-๓ เวลา
            ส่วนหญิงผู้เป็นภรรยาของ เขา เป็นหญิงมีนิสัยชั่ว ใฝ่ต่ำ ในวันที่ประพฤตินอกใจสามีได้ จะสดชื่นเหมือนนางทาสี (ที่เขาไถ่มาด้วยทรัพย์ ๑๐๐ กษาปณ์) ในวันที่ประพฤติไม่ได้ ก็จะเป็นเหมือนเจ้านายที่ดุร้าย หยาบคาย. เขาไม่อาจทราบความประพฤติของนางได้ จึงเกิดเอือมระอา ขุ่นข้องหมองใจนาง ไม่ได้ไปสู่ที่บำรุงของอาจารย์. ครั้นล่วงมา ๗-๘ วันจึงได้มา ท่านอาจารย์จึงถามว่า พ่อมาณพ เป็นอะไร ไปหรือ จึงไม่มาเลย. เขาบอกว่า ท่านอาจารย์ขอรับ ภรรยา ของกระผมบางวันก็ดูปรารถนากระผม ต้องการกระผม เป็น เหมือนนางทาสีที่หมดมานะ บางวันก็เป็นเหมือนเจ้านาย กระด้าง หยาบคาย กระผมไม่อาจอ่านสภาพใจของนางออกได้เลย จึง เกิดเอือมระอา ขุ่นข้องหมองใจ มิได้มาปรนนิบัติท่านอาจารย์.
            อาจารย์กล่าวว่า ดูก่อนมาณพ เรื่องนี้ก็เป็นอย่างนั้น ขึ้นชื่อว่า หญิงที่นิสัยชั่ว ในวันที่ประพฤตินอกใจสามีได้ ก็ย่อมโอนอ่อน ผ่อนตามสามี เหมือนทาสีที่หมดมานะแล้ว แต่ในวันที่ประพฤติ นอกใจไม่ได้ จะกลายเป็นหญิงกระด้างด้วยมานะ ไม่ยอมรับ นับว่าเป็นสามี ขึ้นชื่อว่าหญิงมีความประพฤติใฝ่ต่ำ นิสัยชั่ว เหล่านี้ ก็เป็นอย่างนี้ ชื่อว่า สภาพของหญิงเหล่านั้น รู้ได้ยาก ในเมื่อพวกนางจะต้องการก็ตาม ไม่ต้องการก็ตาม พึงตั้งตน เป็นกลางเข้าไว้ แล้วกล่าวคาถานี้ โดยมุ่งให้โอวาทแก่เขาว่า :-
            "อย่ายินดีเลยว่า นางปรารถนาเรา อย่า เสียใจเลยว่านางไม่ปรารถนาเรา สภาพของหญิง รู้ได้ยาก เหมือนรอยของปลาในน้ำ" ดังนี้.
            บรรดาบทเหล่านั้น สุ อักษรในบาทคาถาว่า มา สุ นนฺทิ อิจฺฉติ มํ เป็นเพียงนิบาติ ความก็ว่า อย่ายินดีเลยว่า หญิงน ี้ต้องการเรา คือมีความปรารถนา มีความสิเน่หาในเรา บทว่า มา สุ โสจิ น อิจฺฉติ ความว่า ทั้งไม่ต้องเสียใจ ไปว่า "หญิงนี้ไม่ต้องการเรา" ขยายความว่า เมื่อนางต้องการ ก็ไม่ต้องชื่นชม เมื่อนางไม่ต้องการ ก็ไม่ต้องโศรกเศร้า. ทำใจ เป็นกลางเข้าไว้. บทว่า ถีนํ ภาโว ทุราชาโน ความว่า ขึ้นชื่อว่า สภาพของ หญิงทั้งหลาย รู้ได้ยาก เพราะมีมายาหญิงปกปิดไว้. เหมือนอะไร ? เหมือนการไปของปลาในน้ำรู้ได้ยาก เพราะน้ำปกปิดไว้ ด้วยเหตุนี้แล เมื่อชาวประมงมาปลาก็กำบัง การแหวกว่ายไป ด้วยน้ำ หนีรอดไป ไม่ให้จับตัวได้ฉันใด หญิงทั้งหลายก็ฉันนั้น เหมือนกัน กระทำความชั่วแม้ใหญ่หลวง ก็ปกปิดกรรมที่ตน กระทำเสีย ด้วยมายาหญิง คือลวงสามีว่าดิฉันไม่ได้กระทำ อย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าหญิงเหล่านี้ มีบาปธรรม มีความประพฤติชั่ว อย่างนี้ ต้องทำใจให้เป็นกลางในนางเหล่านั้น จึงจะมีความสุข. พระโพธิสัตว์ ได้ให้โอวาทแก่ศิษย์อย่างนี้
            ตั้งแต่นั้นมา เขาก็เริ่มวางมาดเหนือหญิงเหล่านั้น. ถึงแม้ภรรยาของเขา พอรู้ว่า ได้ยินว่าท่านอาจารย์รู้ความประพฤติชั่วของเราแล้ว ตั้งแต่นั้นมา ก็เลิกประพฤติชั่ว.
            แม้พระบรมศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรง ประกาศสัจจะทั้งหลาย ในเวลาจบสัจจะ อุบาสกดำรงค์อยู่ใน โสดาปัตติผลแล้ว พระศาสดาทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า เมียผัวทั้งสองในครั้งนั้นได้มาเป็นสองเมียผัวในครั้งนี้ ส่วน อาจารย์ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
            จบ อรรถกถาทุรานชาดกที่ ๔