พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน ทรง ปรารภพระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ยสํ ลทฺธาน ทุมฺเมโธ ดังนี้ :-
            ความโดยย่อว่า ภิกษุทั้งหลายพากันกล่าวโทษของพระเทวทัตในธรรมสภาว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พระเทวทัตมองดู พระพักตร์อันทรงสิริ เหมือนดวงจันทร์เต็มดวง และพระอัตภาพ อันประดับด้วยอนุพยัญชนะ ๘๐ และมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ แวดวงด้วยพระรัศมีแผ่ซ่านประมาณ ๑ วา ถึงความงาม เลิศเป็นยอดเยี่ยม เปล่งพระพุทธรัศมี เป็นแฉกคู่ ๆ กัน โดย อาการต่าง ๆ สลับกันของพระตถาคตแล้ว ไม่อาจยังจิตให้ เลื่อมใสได้ มิหนำซ้ำยังกระทำความริษยาเอาด้วยไม่อาจจะอดใจ ได้ในเมื่อมีผู้กล่าวว่า ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงประกอบ แล้วด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติญาณทัสสนะ เห็นปานนี้ กระทำความริษยาถ่ายเดียว
            พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่เทวทัตกระทำการ ริษยาเรา ในเมื่อมีผู้กล่าวถึงคุณของเรา แม้ในปางก่อนก็ได้ เคยกระทำแล้วเหมือนกัน แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
            ในอดีตกาล ครั้งเมื่อพระเจ้ามคธองค์หนึ่ง ครองราชสมบัติ ในกรุงราชคฤห์ พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดช้าง ได้เป็น ช้างเผือก ถึงพร้อมด้วยรูปสมบัติ เช่นเดียวกับที่พรรณนา มาแล้วในหนหลังพระราชาพระองค์นั้นทรงพระดำริว่า ช้างนี้ สมบูรณ์ด้วยลักษณะ จึงได้ทรงแต่งตั้งให้เป็นมงคลหัตถี ครั้น ถึงวันมหรสพวันหนึ่ง โปรดให้ประดับตกแต่งพระนครทั้งสิ้น งดงามดังเทพนคร เสด็จขึ้นสู่มงคลหัตถี อันประดับด้วยเครื่อง อลังการพร้อมสรรพ ทรงกระทำประทักษิณพระนครด้วยราชานุภาพอันใหญ่หลวง มหาชนยืนดูในที่นั้น ๆ เห็นสรีระอันถึง ความงามเลิศด้วยสมบัติของมงคลหัตถี ก็พากันพรรณนาถึง มงคลหัตถีเท่านั้น ว่ารูปงาม การเดินสง่า ท่าทางองอาจ สมบูรณ์ ด้วยลักษณะอย่างแท้จริง พญาช้างเผือกเห็นปานนี้ สมควรเป็น คู่บุญบารมีของพระเจ้าจักรพรรดิ์
            พระราชาทรงสดับเสียง สรรเสริญมงคลหัตถี ไม่ทรงสามารถจะอดพระทัยได้ ทรงเกิด ความริษยา ดำริว่า วันนี้แหละจะให้มันตกเขาถึงความสิ้นชีวิต ให้จงได้
            แล้วรับสั่งให้หานายหัตถาจารย์มา รับสั่งถามว่า ช้างนี้ ต้องทำอย่างไรบ้าง เจ้าให้ศึกษาแล้วหรือ ?
            นายหัตถาจารย์ กราบทูลว่าข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์ให้ศึกษาดีแล้วพระเจ้าข้า
            รับสั่งท้วงว่า ยังฝึกไม่ดีนะ
            กราบทูลยืนยันว่า ฝึกดีแล้ว พระเจ้าข้า
            รับสั่งว่า ถ้าฝึกดีแล้ว เจ้าจักอาจให้มันขึ้นสู่ยอดเขา เวปุลละ ได้หรือ ?
            กราบทูลว่าพระเจ้าข้า ข้าแต่สมมติเทพ
            รับสั่งว่าถ้าเช่นนั้นมาเถิด
            พระองค์เองเสด็จลงให้นายหัตถาจารย์ ขึ้นนั่งไสไปถึงเชิงเขา เมื่อนายหัตถาจารย์นั่งเหนือหลังช้าง ไสถึงยอดเขาเวปุลละแล้ว แม้พระองค์เองแวดล้อมด้วยหมู่อำมาตย์ ก็เสด็จขึ้นสู่ยอดเขา แล้วทรงบังคับนายหัตถาจารย์ ให้ไสช้าง บ่ายหน้าไปทางเหว
            รับสั่งว่า เจ้าบอกว่าช้างเชือกนี้ฝึกดีแล้ว จงให้มันยืน ๓ ขา เท่านั้น
            นายหัตถาจารย์นั่งบนหลัง ได้ให้ สัญญาแก่ช้างด้วยส้นเท้า ให้ช้างรู้ว่า พ่อเอ๋ย จงยืน ๓ ขาเถิด
            พระราชารับสั่งว่า ให้มันยืนด้วยเท้าหน้าทั้งสองเท่านั้นเถิด
            ช้างผู้มหาสัตว์ ก็ยกเท้าหลังทั้งสองขึ้น ยืนด้วยสองเท้าหน้า แม้เมื่อพระราชาตรัสว่า ให้มันยืนด้วยสองเท้าหลังเท่านั้น ก็ยก เท้าทั้งสองข้างหน้าขึ้น ยืนด้วยสองเท้าหลัง
            แม้เมื่อตรัสสั่งว่า ให้ยืนขาเดียว ก็ยกเท้าทั้งสามขึ้นเสีย ยืนด้วยเท้าข้างเดียว เท่านั้น
            พระราชาครั้นทรงทราบความที่พญาช้างนั้นไม่ตก ก็ ตรัสสั่งว่า ถ้าสามารถจริง ก็จงให้ยืนในอากาศเถิด
            นายหัตถาจารย์คิดว่า ทั่วชมพูทวีป ช้างที่ได้ชื่อว่าฝึกดีแล้ว เช่นกับ พญาช้างนี้ไม่มีเลย ก็แต่พระราชาพระองค์นี้ มีพระประสงค์ ให้ช้างนั้นตกเขาตายเป็นแน่ไม่ต้องสงสัย คิดแล้วก็กระซิบที่ ใกล้หูว่า พ่อเอ๋ย พระราชานี้ประสงค์จะให้เจ้าตกเขาตายเสีย เจ้าไม่คู่ควรแก่ท้าวเธอ ถ้าเจ้ามีกำลังพอจะไปทางอากาศได้ ก็จงพาเราผู้นั่งบนหลัง เหาะขึ้นสู่เวหาไปสู่พระนครพาราณส ีเถิด
            พระมหาสัตว์ถึงพร้อมด้วยบุญฤทธิ์ ได้ยืนอยู่ในอากาศ ในขณะนั้นเอง นายหัตถาจารย์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ช้างนี้ ถึงพร้อมด้วยบุญฤทธิ์ ไม่คู่ควรแก่คนมีบุญน้อย ปัญญาทราม เช่นพระองค์ คู่ควรแก่พระราชาผู้เป็นบัณฑิต ถึงพร้อมด้วยบุญ ขึ้นชื่อว่า คนบุญน้อยเช่นพระองค์ ถึงได้พาหนะเช่นนี้ ก็มิได้ รู้คุณของมัน รังแต่จะยังพาหนะนั้น และยศสมบัติที่เหลือ ให้ ฉิบหายไปฝ่ายเดียว ทั้ง ๆ ที่นั่งอยู่บนคอช้าง กล่าวคาถานี้ ความว่า :- "ผู้มีปัญญาทราม ได้ยศแล้ว ย่อม ประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่ตน ย่อม ปฏิบัติเพื่อความเบียดเบียนตนและคนอื่น" ดังนี้.
            ในคาถานั้น มีความสังเขปดังนี้ ข้าแต่มหาราชเจ้า คนโง่ ๆ คือคนที่ไร้ปัญญาเช่นพระองค์ ได้บริวารสมบัติแล้ว ย่อมประพฤติ ความฉิบหายแก่ตน เพราะเหตุไร ? เพราะเหตุว่า คนโง่ ๆ นั้น มัวเมาในยศแล้ว มิได้รู้การที่ควรทำและไม่ควรทำ ย่อมปฏิบัติ เพื่อเบียดเบียนตนและคนอื่น ๆ คือย่อมดำเนินการเพื่อที่ยังความ ลำบาก และความทุกข์เกิดขึ้น ซึ่งเรียกว่า เบียดเบียนเท่านั้นเอง. นายหัตถาจารย์แสดงธรรมแก่พระราชา ด้วยคาถานี้ ด้วยประการฉะนี้
            แล้วกราบทูลว่า คราวนี้เชิญเสด็จประทับ อยู่เถิด แล้วพรางเหาะขึ้นในอากาศ ตรงไปพระนครพาราณส ีทีเดียว หยุดอยู่ในอากาศที่ท้องพระลานหลวง ทั่วทั้งพระนคร อื้อฉาวเอิกเกริกเป็นเสียงเดียวกันว่า ช้างเผือกของพระราชา แห่งชาวเรามาทางอากาศ หยุดยืนอยู่ที่ท้องพระลานหลวง ราชบุรุษทั้งหลายรีบกราบทูลพระราชา พระราชาเสด็จมาตรัส ว่า ถ้าเจ้ามาเพื่อเป็นอุปโภคแก่เรา เชิญเจ้าลงยืนที่พื้นดินเถิด
            พระโพธิสัตว์ก็ลงยืนที่แผ่นดิน อาจารย์ก็ก้าวลงถวายบังคม พระราชา ได้รับพระดำรัสว่า พ่อคุณ พ่อมาจากไหน ?
            กราบ ทูลว่า มาจากเมืองราชคฤห์พระเจ้าข้า แล้วกราบทูลเรื่องทั้งปวง ให้ทรงทราบ พระราชตรัสว่า พ่อคุณ การที่พ่อมาที่นี่ กระทำ สิ่งที่น่าชื่นชมจริง ๆ ทรงหรรษาและดีพระทัย ตรัสให้ตระเตรียม พระนคร ทรงตั้งพญาช้างในตำแหน่งมงคลหัตถี ทรงแบ่งราชสมบัติทั้งสิ้นออกเป็น ๓ ส่วน ส่วนหนึ่งพระราชทานแก่พระโพธิสัตว์ ส่วนหนึ่งแก่อาจารย์ ส่วนหนึ่งพระองค์ทรงครอบครอง
            ก็นับจำเดิมแต่พระโพธิสัตว์มาแล้วนั่นแล ราชสมบัติในชมพูทวีป ทั้งสิ้น ก็ตกอยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ของพระราชา พระองค์เป็น พระราชาผู้ยิ่งใหญ่ในชมพูทวีป ทรงบำเพ็ญบุญมีทานเป็นต้น แล้วเสด็จไปตามยถากรรม.
            พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม ชาดกว่า พระราชามคธในครั้งนั้น ได้มาเป็นเทวทัต พระเจ้ากรุงพาราณสีได้มาเป็นพระสารีบุตร นายหัตถาจารย์ได้มาเป็น อานนท์ ส่วนช้างได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
            จบ อรรถกถาทุมเมธชาดกที่ ๒